นางเอ่ยประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ทว่าเซียวเฟิ่งชีก็ได้ยินมัน ลูกน้องที่เป็นชายชุดดำทั้งสองคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังก็ได้ยินแล้วเช่นกัน สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปในทันที กระบี่ที่อยู่ในมือพร้อมเข้าฟาดฟันร่างของฉินเจินจนเกือบควบคุมไม่อยู่แต่ใบหน้างดงามอันเย็นชาของฉินเจินในบัดนี้กลับมิได้แสดงซึ่งสีหน้าใด ๆ ดวงตาทั้งสองข้างก็จับจ้องไปยังเซียวเฟิ่งชี"ชีพจรอยู่ไม่นิ่ง พิษเข้าสู่ปอด อยู่ได้นานสุดอีกสามเดือน"นางเอ่ยปากขึ้นอีกครั้งแม้จะเป็นการพูดอย่างไม่รีบร้อน แต่กลับทำให้คนฟังวิตกกังวลยิ่งเซียวเฟิ่งชีเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาที่เย็นชาภายใต้หน้ากากของเขาประสานเข้ากับดวงตาของหญิงสาวเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครส่งเสียงอันใดออกมา...ชาติภพก่อน ฉินเจินมีความลับอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่มีใครเคยได้รู้ กระทั่งอดีตคู่หมั้นของนางอย่างเซียวหงอวี่ก็ไม่รู้เช่นกันยามที่นางอายุยังน้อย เคยได้ติดตามท่านยายในตระกูลไปไว้พระขอพรให้แก่ตระกูลฉินที่วัดเชียนอวิ๋น ต้องจำศีลกินเจอยู่ในวัดถึงเจ็ดวัน แต่เพราะนางติดเล่นสนุกจึงแอบหนีไปเล่นหลังเขาและได้ช่วยชายชราคนหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัสเอาไว้ชายชราผู้นั้นนอนหายใจรวยริน
เสียงของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง เปี่ยมไปด้วยความเสียใจสุดคณานับฉินเจินเม้มริมฝีปาก นางพยายามจะเอ่ยปากแต่ไม่ว่าอย่างไรก็เรียกว่าท่านพ่อไม่ได้เสียทีเมื่อครู่นางเพิ่งถูกขับไล่ออกจากตระกูลฉิน ความรู้สึกในใจนั้นยังมิทันได้ปรับตัวได้ แล้วจะเรียกได้อย่างไรกัน จะไม่เป็นการผิดต่อความรู้สึกหรือจวินเหลยถิงมองดูลูกสาวที่เย็นชาห่างเหินแล้วก็ยิ่งปวดใจจนไม่อาจรับได้อีก แต่ในยามนี้เอง จู่ ๆ เสียงของเซี่ยจืออั๋งก็ดังโวยวายขึ้น "แม่ทัพจวิน ท่านมาพอดีเลย ท่านดูลูกสาวตัวดีที่ท่านเลี้ยงมาสิ นี่เพิ่งฟื้นมาก็จะมาดักรอพี่ชายข้าที่หอฮุ่ยอิงแล้ว นอกจากจะทำร้ายข้าจนสาหัสแล้วยังกล้าหยอกล้อ ลวนลามพี่ชายข้าอีก ท่านว่าเรื่องนี้ควรทำอย่างไรดีเล่า"เซี่ยจืออันตวาดขึ้นมา เขานอนแผ่อยู่บนพื้นอยู่นานสองนาน ความเจ็บปวดทั่วร่างทำให้เขาโกรธยิ่งกว่าอะไร เลยถือโอกาสนี้หาใครสักคนระบายอารมณ์ ร้องโอดโอยขึ้นมาทันทีจวินเหลยถิงที่กำลังปวดใจดุจมีดกรีดแทงอยู่นั้น เมื่อได้ยินเสียงของเซี่ยจืออั๋งก็หันขวับไปมอง จึงได้พบว่าที่แท้ยังมีคนนอนอยู่บนพื้นอีกคน อ้อ... ที่แท้ก็คือเซี่ยซือจื่อที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงไม่ย
ของในมือเขาเป็นกล่องไม้เคลือบสีดำ บนกล่องสลักเป็นลวดลายดอกไม้อันวิจิตรบริวารของเซียวเฟิ่งชีก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อรับกล่องนั้นไป แล้วส่งให้แก่เซียวเฟิ่งชีฉินเจินเองก็เงยหน้าขึ้นไปมองเช่นกัน นางต้องการรู้ว่าจวินเหลยถิงมอบอะไรให้แก่เซียวเฟิ่งชีครั้นเมื่อกล่องนั้นถูกเปิดออก ก็เห็นป้ายเหล็กรูปทรงคล้ายกระเบื้องหลังคาปรากฏอยู่ตรงหน้า บนป้ายเหล็กนั้นหลักตัวอักษรไว้มาก แต่ตัวอักษรใหญ่ด้านบนสุดนั้นปรากฏอยู่ในสายตาของฉินเจินแจ่มชัดที่สุด ป้ายเหล็กอักษรชาดฉินเจินสูดลมหายใจเข้าไปเบา ๆ ด้วยความตกใจ แม้แต่ดวงตาที่แดงก่ำก็ค่อย ๆ เบิกกว้างบนป้ายเหล็กนั้น สลักไว้ซึ่งคุณงามความดีที่ตระกูลจวินทั้งสี่รุ่นได้ทำเพื่อราชวงศ์ต้าเซี่ย มีระบุเวลาที่พระราชทาน ชื่อสกุล ยศศักดิ์ ที่ดินของผู้ที่ได้รับพระราชทาน เป็นเกียรติยศพิเศษและรางวัลที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมอบให้ต่อตระกูลจวินป้ายเหล็กอักษรชาด คือป้ายละเว้นโทษตาย !ฉินเจินตื่นตะลึงในสิ่งที่เห็น นางคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่จวินเหลยถิงมอบให้เสวียนอ๋องจะเป็นป้ายละเว้นโทษตายที่มีความสำคัญมากเช่นนี้ นี่เป็นเกียรติยศอันหาที่สุดมิได้ของตระกูล เป็นของที่สำคัญที่สุดใน
เซียวเฟิ่งชีมองดูหญิงสาวด้วยแววตาเยือกเย็นดวงตาของทั้งคู่สบประสานกันต่างฝ่ายต่างจ้องกันราวกับมีไอสังหารที่มองไม่เห็นแผ่อยู่โดยรอบ คนหนึ่งเรียบเฉย อีกคนเย็นชา แต่ก็เหมือนกับซ่อนอะไรบางอย่างไว้ลึกยิ่งกว่านั้น"คุณหนูจวินไม่ยินดีทำ แม่ทัพใหญ่ก็ไม่ต้องฝืนนางไปหรอก ในเมื่อข้าบอกแล้วว่าจะไม่เอาความอีก เช่นนั้นข้าก็ย่อมไม่สนใจคำขอโทษจากคุณหนูจวิน"เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้นดวงตาที่งดงามภายใต้หน้ากากนั้น จับจ้องไปยังฉินเจินด้วยความนิ่งสงบและล้ำลึก เม้มมุมปากอยู่เล็กน้อยด้วยความเย็นชาจวินเหลยถิงได้ยินเซียวเฟิ่งชีเอ่ยเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้น ใจก็พลางนึกว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร ทั้งที่เสวียนอ๋องปากก็บอกว่าไม่สนใจ แต่สายตาที่จับจ้องมายังใบหน้าของลูกสาวเขานั้นดูจะเย็นชาเสียยิ่งกว่าไม่ดีแน่เมื่อคิดได้เช่นนั้น แม่ทัพใหญ่ก็โค้งตัวแล้วเอ่ยขึ้นทันที "ท่านอ๋องอย่าได้ทรงเข้าใจผิดไป ลูกสาวกระหม่อมย่อมมิได้ไม่ยินยอมขอโทษท่านอ๋องอย่างแน่นอน ลูกสาวกระหม่อมรู้ว่าตัวเองผิดอย่างไม่น่าให้อภัย ในใจรู้สึกหวั่นกลัว จึงมิกล้ามองท่านอ๋องก็เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ"จวินเหลยถิงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีที่เปี่ยมด้วยความยุติ
เซียวเฟิ่งชีกำลังพูดถึงฉินเจินเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถในการสังเกตได้อย่างน่าทึ่ง ตอนท้ายที่จวินเหลยถิงให้จวินเฟยเซ่อขอโทษเขา เห็นได้ชัดว่าจวินเฟยเซ่อปฏิเสธที่จะทำ แต่เพราะฐานันดรจึงจำเป็นต้องทำ ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากก็เป็นลมไปเสียแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญเกินไป ตอนนั้นเขาสังเกตได้ว่า มือของจวินเฟยเซ่อวางอยู่ตรงตำแหน่งนี้โดยตลอดพอคิดถึงก่อนหน้าที่หญิงสาวคนนี้เพียงจับชีพจรก็รู้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เขาเลยลอบสังเกตนางอยู่ตลอดวันนี้ตอนที่ได้พบกันเขาก็รู้สึกว่าแปลก ที่แปลกก็คือจวินเฟยเซ่อ ไม่ว่าจะเป็นท่าที คำพูด กริยาท่าทางก็ต่างกับก่อนหน้านี้ลิบลับ ทำให้เขานึกสงสัยขึ้นมา"อะไรนะ"เฝิงเฉินฟังแล้วก็ฉงนนักจนพลั้งปากเอ่ยถามกลับแต่กลับพบว่าแววตาของเซียวเฟิ่งชีดูเคร่งขรึมลง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงถามขึ้น "อาเฉิน มีคนที่เพียงจับชีพจรของข้าก็รู้ว่าข้ามีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน นางบอกว่า นางช่วยข้าได้""อะไรนะ !"ครั้งนี้เฝิงเฉินตกตะลึงขึ้นจริง ๆ เขาลุกขึ้นพรวดจนไล่ความง่วงออกไปได้หมด เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่าจิ่งสิงไม่ใช่คนที่พูดจาซี้ซั้ว"ใครกัน เป็นใครก
เฝิงเฉินกับเหลิ่งมู่มองหน้ากัน ทั้งสองต่างไม่พูดไม่จาไม่ว่าอย่างไร เจ้านายก็ยังเป็นเจ้านายคนเดิมของเขาอยู่ดี...อีกด้านหนึ่งการที่ฉินเจินสลบไสลไปทำให้จวินเหล่ยถิงถึงกับตกใจจนแทบแย่ ลี่ว์จู๋ที่เดินตามหลังก็เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ ครั้นพอกลับถึงจวนแม่ทัพฉินเจินก็ตื่นขึ้นพอดี ก่อนนี้นางได้กดจุดของตัวเองจนทำให้หน้ามืดไป ก็เพื่อที่จะหลีกหนีการขอโทษเซียวเฟิ่งชีอีกอย่าง รอยรัดที่คอรวมถึงแผลบนฝ่ามือของนางก็ล้วนเกิดจากเซียวเฟิ่งชี ต่อให้บัดนี้นางอาศัยร่างของจวินเฟยเซ่ออยู่ แต่ต้องรู้ไว้ว่าจวินเฟ่ยเซ่อตายด้วยน้ำมือของเขา แล้วนี่จะให้นางขอโทษแทนจวินเฟยเซ่ออย่างนั้นหรือ อย่าเลยดีกว่า...คนก็ตายไปแล้ว ยังจะต้องขอโทษอะไรกันอีกเล่า"ลูกพ่อ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง"เมื่อจวินเหลยถิงเห็นว่าลูกสาวฟื้น เขาก็รีบถามด้วยความระมัดระวัง ในสายตาของจวินเหลยถิงตอนนี้ จวินเฟยเซ่อเป็นเหมือนวัตถุบอบบางที่แตกหักได้ง่าย"ข้าไม่เป็นไร"ฉินเจินส่ายหน้าปฏิเสธเมื่อมองดูจวินเหลยถิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ภายในใจทั้งสับสนและอิ่มเอมลี่ว์จู๋เดินไปเคาะประตู แจ้งว่าแม่ทัพกลับมาแล้ว ประตูของแม่ทัพใหญ่จึงเปิดขึ้น พกวเขาสา
หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง ขณะที่จวินเหลยถิงฟังแล้วรู้สึกเหมือนใจสลาย น้ำตาของบุรุษอกสามศอกเอ่อล้นขอบตา "ดูเจ้าสินางหนู ไม่ว่าเจ้าเปลี่ยนไปอย่างไร เจ้าก็เป็นลูกของพ่ออยู่ดี แล้วพ่อจะไม่รักเจ้าได้อย่างไรเล่า"จวินเหลยถิงเอามือลูบหน้า ทอดถอนใจพลางเอ่ยขึ้น "นางหนู ที่จริงพ่อรู้มาตลอดว่าเจ้าเกลียดพ่อ"ครั้นพ่อแม่ทัพใหญ่พูดจบ ฉินเจินก็ถึงกับตกตะลึงไป ด้วยคิดไม่ถึงว่าจวินเหลยถิงจะเอ่ยเช่นนี้ จึงรีบส่ายหัวแล้วเอ่ยขึ้น "จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า..."แต่ยังไม่ทันพูดจบ นางก็เห็นว่าจวินเหลยถิงส่ายหัว ใบหน้าของเขาปรากฏสีหน้าที่ยากจะเอื้อนเอ่ย "นางหนู ในใจพ่อรู้ดีทุกอย่างว่า ลึก ๆ ในใจเจ้าแล้วแค้นพ่อขนาดไหน เจ้าไม่มีแม่มาตั้งแต่เด็ก พ่อเองก็อยู่ในสนามรบตลอด ทิ้งเจ้าไว้ในจวนแม่ทัพแห่งเมืองหลวงตัวคนเดียว ใช้ชีวิตอยู่กับท่านย่า พ่อได้รับจดหมายจากย่าเจ้าเสมอ บอกว่าเจ้าไปสร้างเรื่องอะไรมาบ้าง วันนี้ไปเตะต่อยกับใคร วันก่อนด่ากับใครมา แล้วยังไปทำอะไรกับใครบ้านไหนอีก ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงวุ่นวายไปหมด...พอเห็นจดหมายพวกนี้ พ่อก็นึกถึงภาพที่ย่าเจ้าโมโหจนตัวสั่นได้เลย แต่พ่อกังวลเจ้ามากกว่า กังวลว่าเ
กิริยาท่าทางที่เป็นตามไปธรรมเนียมของความเป็นกุลธิดาชั้นสูงทำให้ทุกคนตะลึงขึ้นมาในทันทีแม้แต่ฮูหยินใหญ่เองก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน มือที่จับไม้เท้าอยู่ถึงกับสั่นเทาขึ้นมา แม้แต่ขอบตาก็เริ่มแดงก่ำขึ้น "นางหนู..."เอ่ยได้เพียงเท่านี้ หญิงชราก็ไม่อาจพูดอะไรต่อไปได้อีกแม้แต่นางเองก็สะอื้นไห้ขึ้นมาเช่นกันนางหนูตัวดีที่วัน ๆ อยู่ไม่สุข ก่อเรื่องโดยไม่สนใจใครของนาง กลับคารวะนางด้วยท่าทีที่เป็นระเบียบเรียบร้อย นี่คงเป็นเพราะเจอบทลงโทษที่หนักหนาจนกลัวแล้วสินะฮูหยินใหญ่ถึงกับทอดถอนใจ นางไม่อาจเอ่ยคำต่อว่าต่อขานหญิงสาวได้ลงอีก"ท่าทางเรียบร้อยว่าง่ายของเจ้าเช่นนี้ ทำให้ย่านึกถึงแม่ของเจ้าขึ้นมา"ฮูหยินใหญ่ถอนใจพลางเบือนหน้าหนี แล้วใช้มือคลึงหว่างคิ้วจวินเหลยถิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เองก็ทรมานใจเช่นกัน ท่าทีเคารพตามฉบับสตรีชั้นสูงของลูกสาวเขาเรียกความทรงจำที่ถูกกดไว้ภายในใจของเขาออกมาทั้งหมด หญิงสาวที่เขารักได้จากเขาไปถึงสิบหกปีแล้ว...ฮูหยินใหญ่พึมพำกับตัวเอง ครั้นเมื่อรู้สึกได้ว่าท่าทีของตนเองดูอ่อนลงเพราะการเคารพแบบสตรีชั้นสูงนี่ ก็รีบปั้นหน้าตึงขึ้นอีกครั้ง "เจ้านี่นะ พอไปเจอเรื่องเสียเปรีย
เดิมทีเซียวเฟิ่งชีเป็นคนที่โดดเด่นมากอยู่แล้ว ในยามที่เขาจ้องมองคน ความกดดันจึงมากยิ่งกว่าเดิม"มีอะไรหรือเพคะ บนหน้าหม่อมฉันมีอะไรติดอยู่หรือ"ฉินเจินเห็นว่าเซียวเฟิ่งชีจ้องมองตนเองอยู่จึงเอ่ยถามออกไป"เจ้าไม่รู้เชียวหรือว่าคราวก่อนที่ข้าพิษกำเริบคือเมื่อใด"จู่ ๆ เซียวเฟิ่งชีก็เอ่ยถามขึ้นฉินเจินกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความแปลกใจ จึงถามขึ้นทันที "หม่อมฉันจะทราบได้อย่างไรเพคะ"เซียวเฟิ่งชีนิ่งขรึมไปโดยไม่เอ่ยคำใดอีกเหลิ่งมู่เองก็เงยหน้ามองฉินเจินคล้ายอยากพูดอะไร แต่ก็มิได้พูดออกมาแม้แต่เฝิงเฉินเองก็เหมือนว่าอยากพูดอะไรขึ้นมาเช่นกันฉินเจินรู้สึกแปลกกับท่าทีของทุกคนอยู่บ้าง แต่นางยังคงเอ่ยกับเฝิงเฉินด้วยความสุภาพ "คุณชายเฝิง แม้วิชาแพทย์ของข้าจะพอใช้ได้ แต่ลำพังแค่การจับชีพจรนั้นไม่อาจรู้ได้จริง ๆ ว่าท่านอ๋องมีอาการพิษกำเริบครั้งล่าสุดเมื่อใดกัน""เหอะ..."แต่แล้วเซียวเฟิ่งชีกลับยิ้มเยาะออกมารัศมีที่เซียวเฟิ่งชีแผ่ออกมานั้นเปลี่ยนไปในฉับพลัน เพียงเขายกมือขึ้น ด้ายสีทองก็สว่างวาบจากนิ้วของเขาดุจสายฟ้า พุ่งตรงไปยังฉินเจิน เพียงครู่เดียวก็รัดลำคอของหญิงสาวไว้อีกครา"เสวียนอ๋อง
เฝิงเฉินเอ่ยถามออกมาสายตาของเขาแฝงด้วยความหวัง การรอคอย รวมถึงความสับสนและความเจ็บปวดจิ่งสิงเป็นสหายที่ดีที่สุดของเขา เป็นกระทั่งผู้ที่นำทางให้เขาสนใจเรียนวิชาแพทย์ แต่สิ่งที่เขาเรียนรู้มาทั้งชีวิตกลับไม่อาจช่วยชีวิตสหายรักของเขาได้ ใครเลยจะรู้ว่าเขาสิ้นหวังมากเพียงใดครั้นพอฉินเจินได้ยินคำถามของเฝิงเฉิน สีหน้าของนางก็พลอยเคร่งเครียดไปด้วย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยออกมา "เช่นนั้นพิษที่เสวียนอ๋องได้รับก็มิใช่พิษอัคคีเหมันต์""จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ดูจากปฏิกิริยาเมื่อพิษกำเริบ อาการป่วย ดูอย่างไรก็เป็นพิษอัคคีเหมันต์ เรื่องนี้สามารถยืนยันได้แน่นอน ข้ากำลังคิดว่า บางทีในตัวของจิ่งสิงอาจมีพิษอื่นที่ยังตรวจไม่พบ พอพิษทั้งสองผสานเข้าด้วยกัน ยาแก้พิษก็เลยใช้ไม่ได้ผลก็เป็นได้"หากแต่ฉินเจินกลับส่ายหน้า "ถึงแม้อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่สุด แต่จากประสบการณ์ที่ข้าเรียนวิชาแพทย์มาหลายปี ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ พิษอัคคีเหมันต์เป็นพิษที่ร้ายแรงมากแล้ว จะยังมีพิษอะไรที่อยู่ร่วมกับมันแล้วพวกเราจะไม่อาจรู้ได้เล่า"คำตอบของฉินเจินได้ปัดข้อสันนิษฐานของเฝิงเฉินทิ้ง"เว้นเสียแ
แต่นางคิดไม่ถึงว่าเซียวเฟิ่งชีจะเจอเรื่องที่น่าอนาถยิ่งกว่านาง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงโอรสสวรรค์พิษอัคคีเหมันต์ เป็นหนึ่งในสิบพิษที่ร้ายแรงที่สุด เป็นพิษที่ทำให้ผู้คนต้องทนทุกข์ทรมานยิ่งกว่าความตาย ไม่เพียงแต่ทำลายร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำลายจิตใจและสติสัมปชัญญะอีกด้วยมีคนจำนวนไม่น้อยที่เมื่อถูกพิษนี้แล้วไม่สามารถทนได้ตั้งแต่ระยะแรก และเลือกที่จะปลิดชีพหรือจบชีวิตตัวเองด้วยการฆ่าตัวตายใครกันแน่ที่เกลียดชังเซียวเฟิ่งชีถึงขนาดวางยาพิษอัคคีเหมันต์ให้แก่เขาได้"ใช่ พิษอัคคีเหมันต์นี่ละ !"เฝิงเฉินพยักหน้ายืนยันดวงตาของชายหนุ่มเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น และเพราะความเศร้าใจที่เกิดเมื่อพูดถึงอาการป่วยของเซียวเฟิ่งชี"พิษอัคคีเหมันต์ เป็นหนึ่งในสิบพิษที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดในใต้หล้าก็จริง แต่ถ้าจัดยาแก้พิษมาก็จะสามารถแก้ไขพิษนี้ได้ ยาแก้พิษอัคคีเหมันต์ ต้องใช้หญ้าตี้จิ่นธาตุร้อน บัวปิงเสวี่ยธาตุเย็น เพิ่มด้วยแมลงจิ่วเซียงที่อาศัยอยู่ชั้นใต้ผิวดิน แล้วหลอมออกมาเป็นยา ก็จะสามารถแก้พิษอัคคีเหมันต์ได้"ฉินเจินเอ่ยตำรับยาแก้พิษออกมาได้ทันทีทันทีที่หญิงสาวเอ่ยจบ เฝิงเฉ
ขณะที่ฉินเจินเอ่ยอธิบาย ท่าทีของเซียวเฟิ่งชีก็ดูเย็นลงไม่น้อยขณะที่เฝิงเฉินและเหลิ่งมู่กลับมองฉินเจินด้วยแววตาตกตะลึงเมื่อได้ยินในสิ่งที่นางเอ่ย โดยเฉพาะเฝิงเฉินที่มองหญิงสาวด้วยแววตาตื่นเต้นยิ่งกว่าอะไร"ร่างกายของพระองค์ทรุดโทรมมากแล้ว ถ้ายังหาวิธีแก้พิษไม่ได้อีก เกรงว่าพระองค์คงอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี"เสียงของฉินเจินดูเครียดขึ้นเล็กน้อย เพราะนางค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ของเซียวเฟิ่งชีเข้าเสียแล้ว หญิงสาวเริ่มเกิดความรู้สึกสงสารอีกฝ่ายขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ นางคิดว่าเซียวเฟิ่งชีนับได้ว่าน่าสงสารอยู่บ้าง"ครั้งที่แล้วเจ้าบอกว่าข้าจะอยู่ได้อีกไม่นาน อย่างมากที่สุดก็เพียงสามเดือนมิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้ถึงบอกว่าหนึ่งปีเล่า"อารมณ์ของเซียวเฟิ่งชีนั้นเรียบเฉย ไร้ซึ่งความกลัวหรือความเศร้าโศก ราวกับว่าเขายอมรับความจริงข้อนี้ได้นานแล้ว เพียงแต่เอ่ยถามด้วยความสงสัยเท่านั้น"ตอนนี้มีหม่อมฉันอยู่มิใช่หรือเพคะ หากหาวิธีแก้พิษไม่ได้ หม่อมฉันสามารถฝังเข็มเพื่อยื้อเวลาให้พระองค์ต่อไป แต่นี่จะเป็นวิธีสุดท้ายที่ใช้แก้ไข ดังนั้นจึงยื้อได้นานที่สุดถึงหนึ่งปี" ฉินเจินกล่าวขึ้นน้ำเสียงที่นางพูดถึง
ฉินเจินพยักหน้ารับแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองเซียวเฟิ่งชี "ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะช่วยจับชีพจรให้พระองค์ก่อนแล้วกันนะเพคะ""ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อคืนเจ้าได้ช่วยเซี่ยจืออั๋งไว้ ข้าคงไม่อาจเชื่อใจเจ้าได้ เพราะเจ้าเป็นหมอที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองโดนวางยาพิษ"เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเย็นชาเย่อหยิ่ง แลน้ำเสียงที่ทำให้คนหมั่นไส้ฝ่ายฉินเจินเมื่อถูกเซียวเฟิ่งชีขัดขาอีกคราก็เกิดความโกรธขึ้นในใจ จึงอดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่อีกฝ่าย "เสวียนอ๋องทรงคิดจะหาเรื่องหม่อมฉันเช่นนี้ตลอดให้ได้เลยใช่หรือไม่เพคะ""ข้าก็แค่พูดความจริง"หากแต่เซียวเฟิ่งชีกลับตอบหน้าตาเฉยเล่นเอาเฟิงเฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับเอามือลูบจมูกไปมาแล้วหลุดหัวเราะเสียงเบา ๆเซียวเฟิ่งชีกับฉินเจินได้ยินเสียงจึงพากันหันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน เฝิงเฉินจึงทำได้เพียงกระแอมไอเบา ๆ "ไม่มีอะไร ข้าสำลักน่ะ"เมื่อได้ยินคำตอบ ทั้งคู่จึงเบนหน้าหนีพร้อมกัน"รบกวนท่านอ๋องยื่นข้อมือออกมาด้วยเพคะ"ฉินเจินเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเซียวเฟิ่งชีแล้วเอ่ยขึ้นคราวนี้เซียวเฟิ่งชีให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขายื่นมือออกมา ฉินเจินถึงได้รู้ว่าข้อมือของเซียวเฟิ่
เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้นฉินเจินเผยอปากด้วยคิดจะเถียงกลับตามสัญชาตญาณ แต่ก็รั้งสติตัวเองไว้ได้ทันเวลา หญิงสาวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น "อันหุนเล่อเดิมทีเป็นยาพิษที่ทำให้คนตายไปในห้วงนิทรา ไร้สีไร้รส เว้นเสียแต่จะตรวจเลือดจึงจะรู้ได้แต่หม่อมฉันมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ ในร่างกายของหม่อมฉัน นั่นแปลว่าพิษอันหุนเล่อนี้เพิ่งอยู่ในร่างกายของหม่อมฉันได้ไม่นาน หลายวันก่อนหม่อมฉันถูกท่านอ๋องทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นี่ก็เพิ่งฟื้นมาได้เพียงสองวัน ช่วงระหว่างนี้คงมีใครคิดจะฆ่าหม่อมฉัน เพียงแต่หม่อมฉันดวงแข็ง ฟื้นกลับมาได้ พิษอันหุนเล่อที่ตกตะกอนอยู่ในร่างกายจนกระอักเลือดออกมาในวันนี้ได้"เซียวเฟิ่งชีหาได้ตอบโต้เรื่องที่ฉินเจินเอ่ยถึงการถูกท่านอ๋องทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ฝ่ายหญิงสาวเองก็มีสีหน้าเย็นชาไม่ต่างกัน จนเฝิงเฉินที่ยืนฟังอยู่คิดไปว่าทั้งสองคนกำลังจะลงไม้ลงมือกันขึ้นมาเสียแล้ว"แม่นางจวินวิเคราะห์ได้ถูกต้องยิ่งนัก"เฝิงเฉินเอ่ยขึ้นมา ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นไม่น้อยฉินเจินจึงหันไปส่งยิ้มให้เฝิงเฉินเซียวเฟิ่งชีเหลือบมองภาพตรงหน้า ก่อนจะขยับริมฝีปากบางแล้วเอ่ยขึ้น "ขนาดตอนหมดสติยังม
ปีนี้คุณชายเฝิงอายุราวยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปีแล้ว บัดนี้เขาก็ยังอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยได้ยินว่าเขาหมั้นหมายกับหญิงสาวจากตระกูลขุนนางบ้านไหนมาก่อน เพียงแต่นางเองก็นึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะปรากฏตัวที่จวนเสวียนอ๋องเสียได้"แม่นางจวิน ยาชามนี้ข้าต้มไว้ให้เจ้าเพื่อปรับสมดุลของร่างกายและชำระล้างพิษที่ยังตกค้าง รีบดื่มตอนร้อน ๆ เถอะ"เฝิงเฉินยื่นถ้วยยาในมือของตนเองให้แก่ฉินเจินหากแต่ฉินเจินที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ความสงสัยฉายแววผ่านดวงตากลมโตของนาง "พิษตกค้างหรือ นี่ข้าถูกพิษอย่างนั้นหรือ""แม่นางจวินไม่ทราบหรือ" เฝิงเฉินเองก็เอ่ยถามด้วยความตกใจเช่นกันหญิงสาวอึ้งไปชั่วขณะแล้วจึงส่ายหัว "ข้าไม่รู้หรอก"ใช่ว่าก่อนหน้านี้นางไม่เคยตรวจชีพจรของตัวเองมาก่อน เพียงแต่ชีพจรที่ตรวจพบนั้นผันผวนไม่มั่นคง อาการเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่นัก นางจึงคิดว่าอาจเป็นผลที่เกิดจากการกลับมาเกิดใหม่ โดยมิได้นึกไปถึงว่าตนเองจะถูกพิษเลยแม้แต่น้อยนางถูกพิษได้อย่างไรกันใครเป็นคนวางยานางกันแน่ฝ่ายเฝิงเฉินเองพอได้ยินฉินเจินตอบเช่นนั้นก็พลอยขมวดคิ้วไปด้วย คล้ายว่าชายหนุ่มเองก็คิดไม่ถึงเช่นว
ก่อนที่นางจะหมดสติไป คล้ายว่ามือคู่หนึ่งได้คว้าคอเสื้อของหญิงสาวไว้ เพื่อมิให้ร่างของนางต้องลงไปกองกับพื้นอย่างน่าอนาถสายลมอ่อนโยนน่าสดชื่น แสงแดดอันอบอุ่นสาดส่องกระทบผ่านริมหน้าต่างมายังเตียง ขนตาแพยาวของฉินเจินเคลื่อนไหวอยู่เล็กน้อยก่อนที่หญิงสาวจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นสิ่งที่หญิงสาวเห็นคือกระโจมสีเข้มที่ดูเคร่งขรึม ไม่เหมือนห้องส่วนตัวของเด็กสาว แต่ตอนนี้นางนอนอยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้าไหมชั้นดี นี่ตอนนี้นางอยู่ที่ใดกันแน่... เมื่อคิดได้ดังนี้ หญิงสาวก็นึกย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตรอกฉินเจินพบกับฉินหงซวงและลงมือทำร้ายนาง แล้วหลังจากนั้นเล่าเซียวเฟิ่งชี !ใช่แล้ว เซียวเฟิ่งชี !ฉินเจินคิดได้เช่นนั้นก็ลุกพรวดขึ้นทันที แต่เพราะออกแรงมากเกินไปทำให้นางเริ่มรู้สึกเวียนหัวจนเกือบจะล้มตัวลงบนเตียงภาพเหตุการณ์ก่อนที่จะสลบไปฉายเข้ามาในหัวของหญิงสาว ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะต่อยตัวเองสักหมัดสองหมัด ตอนนั้นนางรู้สึกเจ็บหัวใจขึ้นมา จากนั้นก็กระอักเลือด ภาพจำที่ชัดเจนที่สุดก็คือชุดสีมรกตของเซียวเฟิ่งชีเปื้อนไปด้วยคราบเลือด แล้วยังมีใต้คางของเขาอีก..."คุณพระคุณเจ้า !"ฉินเจินเอามือกุมหัว
ฉินเจินสูดลมหายใจเข้าจนลึกพลางมองไปยังเซียวเฟิ่งชีด้วยแววตาที่เป็นประกาย "เสวียนอ๋อง เรามาทำข้อแลกเปลี่ยนกันเถอะเพคะ""หืม"เซียวเฟิ่งชีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองไปทางหญิงสาวการกระทำของชายหนุ่มนั้นเป็นไปโดยธรรมชาติ หากแต่ยังแฝงไปด้วยกิริยาท่าทีที่แสดงว่าตนเองมีความสูงศักดิ์และเย่อหยิ่ง อยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายไว้"หม่อมฉันรู้ว่าพระวรกายของพระองค์ไม่สู้ดีนัก หม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาให้พระองค์ แต่พระองค์ช่วยทำเมินเฉยต่อทุกอย่างที่หม่อมฉันทำได้หรือไม่เพคะ"นี่คือแผนที่ฉินเจินพยายามคิดออกมาอย่างรอบคอบภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆหญิงสาวมีความแค้นครั้งใหญ่ที่ต้องสะสาง ไร้ซึ่งเวลาที่จะไปรับมือกับเสวียนอ๋องได้แม้แต่วันนั้นที่จวินเหลยถิงหยิบป้ายเหล็กอักษรชาดออกมาจนเซียวเฟิ่งชีเอ่ยว่าจะไม่เอาเรื่องอีก นางก็หาได้เชื่อคำพูดนั้นไม่ เพราะนางรู้ความลับของเซียวเฟิ่งชีเข้าแล้ว จะถอนตัวออกไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกันเล่า"เจ้าคิดว่าข้าจะรับปากเจ้าหรือ"เซียวเฟิ่งชีถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่ยี่หระนักฉินเจินนึกไปถึงก่อนหน้านี้ที่นางใช้การช่วยชีวิตมาต่อรองกับเซียวเฟิ่งชี ชายหนุ่มถามนางก