"น้องหญิง นี่ข้าเอง" เสียงทุ้มต่ำของชายผู้หนึ่งดังขึ้น พลางคว้ามือของฉินเจินที่ยื่นออกมากุมไว้จนแน่น ฉินเจินกะพริบตาขณะยังคงหอบหายใจอยู่ สายตาที่พร่าเลือนอยู่ชั่วครู่ทำให้ไม่ทันนึกว่าตนเองอยู่ที่ใด ท้องฟ้าด้านนอกมืดมิด สายฝนโปรยปราย ราวกับได้ย้อนกลับไปในคืนนั้น ฉินเจินค่อย ๆ รวบรวมสติขึ้นมา สายตาจึงค่อยกลับมามองได้ชัดเจนขึ้น แล้วจึงหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเตียง เขาสวมชุดทหารรักษาพระองค์ปักลายนกอินทรี เรียวคิ้วคมกริบดั่งกระบี่ ใบหน้าคมชัด ดวงตาลึกซึ้ง ริมฝีปากเม้มเข้าหากันราวกับกำลังกังวลใจ นี่คือจวินเสวียนเย่ พี่ชายคนโตของจวินเฟยเซ่อ "น้องหญิง เจ้าฝันร้ายหรือ"ในแววตาของจวินเสวียนเย่ฉายแววกังวลอย่างชัดเจนเขามาถึงนานแล้ว กลับเห็นว่าน้องสาวของตนดูเหมือนจะอยู่ในห้วงฝันร้าย เฝ้าตะโกนถามว่า ‘ทำไม... ทำไม...’ อยู่ตลอดเวลา แม้แต่ในขณะหลับฝันก็ยังรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวของนางในใจจวินเสวียนเย่รู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งนัก เพราะรู้ว่าครานี้น้องสาวเจอเรื่องร้ายแรงมาจนทำให้ตกใจกลัว ฉินเจินค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจ แล้วค่อยตระหนักถึงสถานการณ์ตรงหน้าได้ จวินเหลยถิงมีบุตรชายสามคน พี่ชายใ
จวินหลิงเอ๋อร์ถามออกมาตามสัญชาตญาณ ฉินเจินเม้มริมฝีปาก นางชินกับท่าทีพวกนี้เสียแล้ว คำพูดคำจา กิริยาท่าทางที่ดุจดั่งสตรีชนชั้นสูงนั้นมันฝังลึกอยู่ในตัวนาง ไม่ใช่เรื่องที่จะเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาอันสั้น แน่นอนว่านางก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงเช่นกัน กฎระเบียบที่เรียนในวัยเด็กสอนไว้ว่า ยามยืนต้องยืนอย่างน่าเคารพ ยามนั่งต้องนั่งอย่างมีมารยาท นางคือฉินเจินในชาติก่อน และจวินเฟยเซ่อในชาตินี้ นางไม่คิดที่จะแสร้งทำนิสัยอย่างจวินเฟยเซ่อ เพราะจะเสแสร้งได้ไม่นาน ในเมื่อนางยอมรับความเป็นจวินเฟยเซ่อแล้ว นางเพียงอยากจะแสดงออกในแบบที่เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด "น้องหญิง เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ" ฉินเจินเอ่ยถามขึ้น เพียงเอ่ยออกไปก็สามารถดึงความสนใจของจวินหลิงเอ๋อร์ได้ตามคาด "มีสิ" จวินหลิงเอ๋อร์พยักหน้า แต่พอจะพูด ใบหน้านางกลับขมวดคิ้วมุ่น "ท่านพี่ ทำไมท่านเรียกข้าว่าน้องหญิง ข้าไม่ชินเลย ก่อนหน้านี้ท่านเรียกข้าว่าจวินหลิงเอ๋อร์" ฉินเจิน "...!" นางกะพริบตาพลางกระแอมไอ ใช่ นางเคยได้ยินจวินเฟยเซ่อเรียกจวินหลิงเอ๋อร์อย่างนั้นสุดท้ายนางก็เชิดคางขึ้น เรียกชื่อจวินหลิงเอ๋อร์ซ้ำ ๆ ในตอ
"ไม่...ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ" ลี่ว์จู๋ส่ายหัวด้วยใบหน้าขาวซีด แต่เสียงอึกทึกข้างนอกกลับดังขึ้นเรื่อย ๆ ฉินเจินขมวดคิ้วมุ่น "เกิดอะไรขึ้นกันแน่" ลี่ว์จู๋ไม่พูดอะไร ฉินเจินจึงลุกขึ้นและเดินตรงไปด้านนอก "คุณหนู ออกไปไม่ได้นะเจ้าคะ... ฮูหยินผู้เฒ่าและท่านแม่ทัพสั่งไว้ว่า ท่านจะโผล่หน้าออกไปไม่ได้เด็ดขาดเลยนะเจ้าคะ" เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หัวใจของฉินเจินพลันกระตุก และเข้าใจในทันทีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอกนั้นต้องเกี่ยวข้องกับนางแน่ "ออกไปดูหน่อย" ฉินเจินพูดกับจวินหลิงเอ๋อร์ เมื่อทั้งสองคนเตรียมจะเดินออกไป ทันใดนั้นลี่ว์จู๋กลับวิ่งไปที่ประตู กางแขนทั้งสองข้างขวางไว้ "ไม่ได้นะเจ้าคะ คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง พวกท่านจะออกไปไม่ได้" ท่าทีของนางนั้นเด็ดขาดมาก "หลีกไป" เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ข้างนอกต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ ฉินเจินตะคอกเสียงเย็นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ลี่ว์จู๋สะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาแดงก่ำ แต่ยังคงยืนขวางประตูไว้ "นังบ่าว เจ้ากำลังทำอะไร เจ้าไม่เห็นหรือว่าท่านพี่โกรธแล้ว หากพวกข้าจะออกไป เจ้าก็ขวางไม่ได้หรอก ดังนั้นรีบบอกมา ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นกันแน่" จว
"ท่านย่า ท่านพ่อ อารอง อาสะใภ้รอง พวกท่านรออยู่ที่จวนเถิด ตอนนี้ข้าต้องไปที่จวนคังชินอ๋องเดี๋ยวนี้ พี่ใหญ่ท่านขี่ม้าพาข้าไปหน่อย ต้องเร่งแล้ว!" ฉินเจินได้ยินเซียวเจิงบอกว่าเซี่ยจืออั๋งอยู่ในช่วงใกล้สิ้นลมหายใจแล้ว นั่นหมายความว่ายังไม่ตาย หากยังไม่ตาย ก็ยังสามารถช่วยได้ ทุกคนเห็นฉินเจินสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงจริงจัง ยามที่สายฟ้าผ่าลงมา แสงนั้นสาดกระทบบนใบหน้าของนาง นางดูสงบนิ่ง ไม่มีท่าทีหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกเลย "นางหนู ตอนนี้เจ้าจะไปจวนคังชินอ๋องทำไม เจ้า..." ฮูหยินผู้เฒ่าพูดต่อไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้จวนคังชินอ๋องคงยุ่งเหยิงมากแน่ ซื่อจื่อตระกูลเซี่ยประสบเคราะห์ใหญ่เช่นนี้ จนคังชินอ๋องต้องบุกมาถึงหน้าประตู นางหนูกลับอยากไปเองถึงที่ เช่นนั้นอาจถูกทำร้ายถึงตายได้ หลานสาวของนางทำผิดย่อมต้องได้รับโทษ แต่ก็ไม่ควรถูกศาลเตี้ยลงโทษเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าทำใจรับไม่ได้และคงไม่ยอม "ไปช่วยชีวิตคน ขอเพียงเซี่ยจืออั๋งยังมีลมหายใจ ข้าจะดึงเขากลับจากประตูปรโลกเอง" คำพูดของฉินเจินทำให้ทุกคนถึงกับตกตะลึงจนไม่รู้จะตอบสนองอย่างไร อะไร อะไรกัน "พี่ใหญ่ รีบหน่อยช่วงเวลาคับขัน" ฉินเจินเ
ในตอนนี้เอง เสียงดุดันและเกรี้ยวกราดของเจ้าตระกูลเฝิงก็ดังขึ้น เขาอายุมากแล้ว อีกทั้งยังพยายามช่วยชีวิตเซี่ยซื่อจื่อมาเกือบทั้งคืน เหนื่อยล้าจนตาแทบปิด จึงทำให้ปฏิกิริยาตอบโต้ของเขาค่อยข้างช้าและเพิ่งได้สติกลับมา เมื่อฟังสิ่งที่ฉินเจินพูดจนเข้าใจแล้ว เขาก็ตะคอกออกมาทันที ฉินเจินเงยหน้าขึ้นมองเจ้าตระกูลเฝิงแวบหนึ่ง "เซี่ยจืออั๋งยังมีทางรอด" ตระกูลเฝิงเป็นตระกูลแพทย์มานับร้อยปี บรรพบุรุษเป็นแพทย์หลวงมาหลายยุค แม้เมื่อมาถึงรุ่นของเฝิงเหวินเฟิง เพราะลูกหลานไม่มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นในด้านการแพทย์ อิทธิพลไม่เหมือนแต่ก่อน แต่สำหรับในเมืองหลวงนั้น ตระกูลเฝิงยังคงมีบทบาทสำคัญในวงการแพทย์ หากบรรดาขุนนางผู้สูงศักดิ์เกิดเจ็บป่วยขึ้นมา ล้วนเรียกใช้ตระกูลเฝิง แล้วก็เพราะเหตุนี้เฝิงเหวินเฟิงที่เป็นเจ้าของตระกูลเฝิงจึงได้รับยกย่องเทิดทูนจากผู้อื่น ไม่ว่าจะไปที่ใดเขาล้วนได้รับการต้อนรับเฉกเช่นแขกผู้มีเกียรติเสมอ แต่สิ่งที่เขาได้ยินเมื่อครู่คืออะไรกัน เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมตรงหน้าผู้นี้ ถึงขั้นโอ้อวดว่าจะช่วยชีวิตซื่อจื่อของตระกูลเซี่ยอย่างนั้นหรือ หึ ช่างน่าขันเสียจริง เฝิงเหวินเฟิงโกรธจนห
ดวงตาทั้งสองข้างของผู้อาวุโสเฝิงแดงก่ำ จ้องมองฉินเจินด้วยความตื่นเต้นฉินเจินถูกผู้อาวุโสเฝิงจ้องจนเริ่มรู้สึกวางตัวไม่ถูก จึงพยักหน้าเบา ๆ ให้กับอีกฝ่าย "ขอบคุณเข็มเงินจากผู้อาวุโสเฝิง ล่วงเกินท่านแล้ว"กิริยาท่าทางดูงดงามเรียบร้อย"แม่นางใช้เข็มเงินของข้าได้ก็นับเป็นเกียรติของข้าแล้ว ไม่ทราบว่าที่แม่นางใช้เมื่อครู่นั้น ใช่วิชาเสวียนหลิงสิบสามเข็มที่สาบสูญไปนานใช่หรือไม่"ผู้อาวุโสเฝิงรีบเอ่ยถาม น้ำเสียงและคำพูดที่ใช้นั้นเปลี่ยนไปถนัดตาฉินเจินเม้มปากพลางคิดอยู่ครู่หนึ่ง วิชาเสวียนหลิงสิบสามเข็มนั้นเป็นวิธีการฝังเข็มช่วยชีวิตที่ง่ายที่สุดใน "คัมภีร์เวชมนตรา" ไม่ใช่แค่สิบสามเข็มเท่านั้น ต่อให้เป็นสิบสี่เข็ม สิบหกเข็ม สิบเก้าเข็ม ร้อยแปดเข็ม นางก็ใช้เป็นทั้งสิ้น การใช้สิบสามเข็มนั้นเป็นวิธีช่วยชีวิตที่ง่ายที่สุดแต่สิ่งที่ฉินเจินนึกไม่ถึงคือวิชาการฝังเข็มเหล่านี้ได้หายสาบสูญไปนานแล้วหรือ"อืม"ฉินเจินเองก็มิได้ปิดบัง อีกทั้งยังพยักหน้ารับผู้อาวุโสเฝิงเห็นเช่นนั้นก็ตื่นเต้นมากขึ้น หนวดเคราของเขาสั่นไปหมด แม้แต่มือขาก็สั่นเทา แววตาทั้งสองเปี่ยมไปด้วยความเร่าร้อนราวกับมองเห็นฉิน
คำพูดของเฝิงเหวินเฟิง ทำให้ทุกคนเกิดอาการตะลึงตาค้างกันเป็นแถบผู้อาวุโสผู้เป็นเจ้าตระกูลการแพทย์คิดจะขอเป็นศิษย์บุตรีตระกูลจวินอย่างนั้นหรือนี่มันเรื่องอัศจรรย์อะไรกันอย่าว่าแต่คังชินอ๋องเซียวเจิ้งที่ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก แม้แต่ชาวตระกูลจวินเองก็พากันตีสีหน้างุนงงเช่นกัน"ผู้อาวุโสเฝิง ลูกข้าไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ หรือ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่"เซียวเจิ้งมองเฝิงเหวินเฟิงที่มองฉินเจินด้วยสีหน้าเคารพนับถือเสียยิ่งกว่าอะไร เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันไป ผู้อาวุโสตระกูลเฝิงอายุเยอะมากแล้ว น้อยครั้งที่จะรับรักษาให้ผู้อื่น เพราะถึงอย่างไรทั้งสถานะ ฐานันดรและอายุก็เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วกันแล้วแต่บัดนี้พอได้ยินสิ่งที่ผู้ที่ถือได้ว่ามีหน้ามีตาในเมืองหลวงแห่งต้าเซี่ยเอ่ยขึ้น ไม่ว่าจะพินิจตามเช่นไร ก็แปลว่าเขาอยากนับบุตรีตระกูลจวินที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ป่นปี้คนนั้นเป็นอาจารย์หรือเรื่องนี้ช่างน่าขันยิ่งนักแต่มันไม่ใช่เพียงเรื่องเล่าขำขันนี่สิ"ท่านอ๋อง เซี่ยซื่อจื่อไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ มีบุตรีตระกูลจวินอยู่ ไม่นานเซี่ยซื่อจื่อก็จะกลับมาแข็งแรงกระปรี้กระเปร่าเช่นเดิม ท่านไม่รู้อะไร เดิมท
"ข้าน้อยปรนนิบัติซื่อจื่อถึงยามเซิน แต่เพราะข้าน้อยถูกโบยจนเดินขากะเผลก ซื่อจื่อเห็นแล้วรำคาญใจ จึงให้ข้าน้อยออกไปแล้วให้เสี่ยวเต๋อจื่อมาปรนนิบัติแทน ก่อนนี้ได้ยินเสี่ยวเต๋อจื่อบอกว่าซื่อจื่อถือไม้เท้าออกจากเรือนไป""ไปเรียกเสี่ยวเต๋อจื่อมา"ยามนี้สีหน้าของพระชายาคังชินอ๋องถึงกับเคร่งเครียดไปทันทีเพราะนางรู้แล้วว่า ครั้งนี้ที่ลูกชายเกือบตายนั้นอาจมีคนร้ายอยู่อีกคนหนึ่งไม่นานนักเสี่ยวเต๋อจื่อก็ถูกพาตัวมา เสี่ยวเต๋อจื่อเป็นบ่าวที่ซื่อตรง พอได้ยินว่าท่านอ๋องเอ่ยถาม ก็รีบตอบทุกอย่างตามความเป็นจริง "เรียนท่านอ๋อง พระชายา ข้าน้อยกับซื่อจื่อได้ออกจากจวนไปครั้งหนึ่งจริงขอรับ ซื่อจื่อจะกินเกาลัดคั่วของร้านทางตอนเหนือในเมืองให้ได้ ข้าน้อยจะไปซื้อ ซื่อจื่อก็ไม่ยอม บอกว่าจะกินแบบเพิ่งทำเสร็จให้ได้...""พูดประเด็นสำคัญสิ !"เซียวเจิ้งอดตวาดขึ้นไม่ได้ฝ่ายบ่าวรับใช้นั้นถูกตวาดจนลนลาน จึงรีบตอบด้วยความไวกว่าเดิม "เรียนท่านอ๋อง ประเด็นสำคัญก็คือซื่อจื่อออกจากจวนไปเองขอรับ ระหว่างทางไปเจอกับคุณชายรองตระกูลฉินเข้า คุณชายรองตระกูลฉินกับซื่อจื่อไม่ถูกกันเป็นทุนเดิม ก็เลยลงไม้ลงมือกันขึ้นมา เดิมซื
เดิมทีเซียวเฟิ่งชีเป็นคนที่โดดเด่นมากอยู่แล้ว ในยามที่เขาจ้องมองคน ความกดดันจึงมากยิ่งกว่าเดิม"มีอะไรหรือเพคะ บนหน้าหม่อมฉันมีอะไรติดอยู่หรือ"ฉินเจินเห็นว่าเซียวเฟิ่งชีจ้องมองตนเองอยู่จึงเอ่ยถามออกไป"เจ้าไม่รู้เชียวหรือว่าคราวก่อนที่ข้าพิษกำเริบคือเมื่อใด"จู่ ๆ เซียวเฟิ่งชีก็เอ่ยถามขึ้นฉินเจินกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความแปลกใจ จึงถามขึ้นทันที "หม่อมฉันจะทราบได้อย่างไรเพคะ"เซียวเฟิ่งชีนิ่งขรึมไปโดยไม่เอ่ยคำใดอีกเหลิ่งมู่เองก็เงยหน้ามองฉินเจินคล้ายอยากพูดอะไร แต่ก็มิได้พูดออกมาแม้แต่เฝิงเฉินเองก็เหมือนว่าอยากพูดอะไรขึ้นมาเช่นกันฉินเจินรู้สึกแปลกกับท่าทีของทุกคนอยู่บ้าง แต่นางยังคงเอ่ยกับเฝิงเฉินด้วยความสุภาพ "คุณชายเฝิง แม้วิชาแพทย์ของข้าจะพอใช้ได้ แต่ลำพังแค่การจับชีพจรนั้นไม่อาจรู้ได้จริง ๆ ว่าท่านอ๋องมีอาการพิษกำเริบครั้งล่าสุดเมื่อใดกัน""เหอะ..."แต่แล้วเซียวเฟิ่งชีกลับยิ้มเยาะออกมารัศมีที่เซียวเฟิ่งชีแผ่ออกมานั้นเปลี่ยนไปในฉับพลัน เพียงเขายกมือขึ้น ด้ายสีทองก็สว่างวาบจากนิ้วของเขาดุจสายฟ้า พุ่งตรงไปยังฉินเจิน เพียงครู่เดียวก็รัดลำคอของหญิงสาวไว้อีกครา"เสวียนอ๋อง
เฝิงเฉินเอ่ยถามออกมาสายตาของเขาแฝงด้วยความหวัง การรอคอย รวมถึงความสับสนและความเจ็บปวดจิ่งสิงเป็นสหายที่ดีที่สุดของเขา เป็นกระทั่งผู้ที่นำทางให้เขาสนใจเรียนวิชาแพทย์ แต่สิ่งที่เขาเรียนรู้มาทั้งชีวิตกลับไม่อาจช่วยชีวิตสหายรักของเขาได้ ใครเลยจะรู้ว่าเขาสิ้นหวังมากเพียงใดครั้นพอฉินเจินได้ยินคำถามของเฝิงเฉิน สีหน้าของนางก็พลอยเคร่งเครียดไปด้วย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยออกมา "เช่นนั้นพิษที่เสวียนอ๋องได้รับก็มิใช่พิษอัคคีเหมันต์""จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ดูจากปฏิกิริยาเมื่อพิษกำเริบ อาการป่วย ดูอย่างไรก็เป็นพิษอัคคีเหมันต์ เรื่องนี้สามารถยืนยันได้แน่นอน ข้ากำลังคิดว่า บางทีในตัวของจิ่งสิงอาจมีพิษอื่นที่ยังตรวจไม่พบ พอพิษทั้งสองผสานเข้าด้วยกัน ยาแก้พิษก็เลยใช้ไม่ได้ผลก็เป็นได้"หากแต่ฉินเจินกลับส่ายหน้า "ถึงแม้อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่สุด แต่จากประสบการณ์ที่ข้าเรียนวิชาแพทย์มาหลายปี ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ พิษอัคคีเหมันต์เป็นพิษที่ร้ายแรงมากแล้ว จะยังมีพิษอะไรที่อยู่ร่วมกับมันแล้วพวกเราจะไม่อาจรู้ได้เล่า"คำตอบของฉินเจินได้ปัดข้อสันนิษฐานของเฝิงเฉินทิ้ง"เว้นเสียแ
แต่นางคิดไม่ถึงว่าเซียวเฟิ่งชีจะเจอเรื่องที่น่าอนาถยิ่งกว่านาง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงโอรสสวรรค์พิษอัคคีเหมันต์ เป็นหนึ่งในสิบพิษที่ร้ายแรงที่สุด เป็นพิษที่ทำให้ผู้คนต้องทนทุกข์ทรมานยิ่งกว่าความตาย ไม่เพียงแต่ทำลายร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำลายจิตใจและสติสัมปชัญญะอีกด้วยมีคนจำนวนไม่น้อยที่เมื่อถูกพิษนี้แล้วไม่สามารถทนได้ตั้งแต่ระยะแรก และเลือกที่จะปลิดชีพหรือจบชีวิตตัวเองด้วยการฆ่าตัวตายใครกันแน่ที่เกลียดชังเซียวเฟิ่งชีถึงขนาดวางยาพิษอัคคีเหมันต์ให้แก่เขาได้"ใช่ พิษอัคคีเหมันต์นี่ละ !"เฝิงเฉินพยักหน้ายืนยันดวงตาของชายหนุ่มเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น และเพราะความเศร้าใจที่เกิดเมื่อพูดถึงอาการป่วยของเซียวเฟิ่งชี"พิษอัคคีเหมันต์ เป็นหนึ่งในสิบพิษที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดในใต้หล้าก็จริง แต่ถ้าจัดยาแก้พิษมาก็จะสามารถแก้ไขพิษนี้ได้ ยาแก้พิษอัคคีเหมันต์ ต้องใช้หญ้าตี้จิ่นธาตุร้อน บัวปิงเสวี่ยธาตุเย็น เพิ่มด้วยแมลงจิ่วเซียงที่อาศัยอยู่ชั้นใต้ผิวดิน แล้วหลอมออกมาเป็นยา ก็จะสามารถแก้พิษอัคคีเหมันต์ได้"ฉินเจินเอ่ยตำรับยาแก้พิษออกมาได้ทันทีทันทีที่หญิงสาวเอ่ยจบ เฝิงเฉ
ขณะที่ฉินเจินเอ่ยอธิบาย ท่าทีของเซียวเฟิ่งชีก็ดูเย็นลงไม่น้อยขณะที่เฝิงเฉินและเหลิ่งมู่กลับมองฉินเจินด้วยแววตาตกตะลึงเมื่อได้ยินในสิ่งที่นางเอ่ย โดยเฉพาะเฝิงเฉินที่มองหญิงสาวด้วยแววตาตื่นเต้นยิ่งกว่าอะไร"ร่างกายของพระองค์ทรุดโทรมมากแล้ว ถ้ายังหาวิธีแก้พิษไม่ได้อีก เกรงว่าพระองค์คงอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี"เสียงของฉินเจินดูเครียดขึ้นเล็กน้อย เพราะนางค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ของเซียวเฟิ่งชีเข้าเสียแล้ว หญิงสาวเริ่มเกิดความรู้สึกสงสารอีกฝ่ายขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ นางคิดว่าเซียวเฟิ่งชีนับได้ว่าน่าสงสารอยู่บ้าง"ครั้งที่แล้วเจ้าบอกว่าข้าจะอยู่ได้อีกไม่นาน อย่างมากที่สุดก็เพียงสามเดือนมิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้ถึงบอกว่าหนึ่งปีเล่า"อารมณ์ของเซียวเฟิ่งชีนั้นเรียบเฉย ไร้ซึ่งความกลัวหรือความเศร้าโศก ราวกับว่าเขายอมรับความจริงข้อนี้ได้นานแล้ว เพียงแต่เอ่ยถามด้วยความสงสัยเท่านั้น"ตอนนี้มีหม่อมฉันอยู่มิใช่หรือเพคะ หากหาวิธีแก้พิษไม่ได้ หม่อมฉันสามารถฝังเข็มเพื่อยื้อเวลาให้พระองค์ต่อไป แต่นี่จะเป็นวิธีสุดท้ายที่ใช้แก้ไข ดังนั้นจึงยื้อได้นานที่สุดถึงหนึ่งปี" ฉินเจินกล่าวขึ้นน้ำเสียงที่นางพูดถึง
ฉินเจินพยักหน้ารับแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองเซียวเฟิ่งชี "ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะช่วยจับชีพจรให้พระองค์ก่อนแล้วกันนะเพคะ""ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อคืนเจ้าได้ช่วยเซี่ยจืออั๋งไว้ ข้าคงไม่อาจเชื่อใจเจ้าได้ เพราะเจ้าเป็นหมอที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองโดนวางยาพิษ"เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเย็นชาเย่อหยิ่ง แลน้ำเสียงที่ทำให้คนหมั่นไส้ฝ่ายฉินเจินเมื่อถูกเซียวเฟิ่งชีขัดขาอีกคราก็เกิดความโกรธขึ้นในใจ จึงอดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่อีกฝ่าย "เสวียนอ๋องทรงคิดจะหาเรื่องหม่อมฉันเช่นนี้ตลอดให้ได้เลยใช่หรือไม่เพคะ""ข้าก็แค่พูดความจริง"หากแต่เซียวเฟิ่งชีกลับตอบหน้าตาเฉยเล่นเอาเฟิงเฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับเอามือลูบจมูกไปมาแล้วหลุดหัวเราะเสียงเบา ๆเซียวเฟิ่งชีกับฉินเจินได้ยินเสียงจึงพากันหันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน เฝิงเฉินจึงทำได้เพียงกระแอมไอเบา ๆ "ไม่มีอะไร ข้าสำลักน่ะ"เมื่อได้ยินคำตอบ ทั้งคู่จึงเบนหน้าหนีพร้อมกัน"รบกวนท่านอ๋องยื่นข้อมือออกมาด้วยเพคะ"ฉินเจินเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเซียวเฟิ่งชีแล้วเอ่ยขึ้นคราวนี้เซียวเฟิ่งชีให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขายื่นมือออกมา ฉินเจินถึงได้รู้ว่าข้อมือของเซียวเฟิ่
เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้นฉินเจินเผยอปากด้วยคิดจะเถียงกลับตามสัญชาตญาณ แต่ก็รั้งสติตัวเองไว้ได้ทันเวลา หญิงสาวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น "อันหุนเล่อเดิมทีเป็นยาพิษที่ทำให้คนตายไปในห้วงนิทรา ไร้สีไร้รส เว้นเสียแต่จะตรวจเลือดจึงจะรู้ได้แต่หม่อมฉันมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ ในร่างกายของหม่อมฉัน นั่นแปลว่าพิษอันหุนเล่อนี้เพิ่งอยู่ในร่างกายของหม่อมฉันได้ไม่นาน หลายวันก่อนหม่อมฉันถูกท่านอ๋องทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นี่ก็เพิ่งฟื้นมาได้เพียงสองวัน ช่วงระหว่างนี้คงมีใครคิดจะฆ่าหม่อมฉัน เพียงแต่หม่อมฉันดวงแข็ง ฟื้นกลับมาได้ พิษอันหุนเล่อที่ตกตะกอนอยู่ในร่างกายจนกระอักเลือดออกมาในวันนี้ได้"เซียวเฟิ่งชีหาได้ตอบโต้เรื่องที่ฉินเจินเอ่ยถึงการถูกท่านอ๋องทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ฝ่ายหญิงสาวเองก็มีสีหน้าเย็นชาไม่ต่างกัน จนเฝิงเฉินที่ยืนฟังอยู่คิดไปว่าทั้งสองคนกำลังจะลงไม้ลงมือกันขึ้นมาเสียแล้ว"แม่นางจวินวิเคราะห์ได้ถูกต้องยิ่งนัก"เฝิงเฉินเอ่ยขึ้นมา ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นไม่น้อยฉินเจินจึงหันไปส่งยิ้มให้เฝิงเฉินเซียวเฟิ่งชีเหลือบมองภาพตรงหน้า ก่อนจะขยับริมฝีปากบางแล้วเอ่ยขึ้น "ขนาดตอนหมดสติยังม
ปีนี้คุณชายเฝิงอายุราวยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปีแล้ว บัดนี้เขาก็ยังอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยได้ยินว่าเขาหมั้นหมายกับหญิงสาวจากตระกูลขุนนางบ้านไหนมาก่อน เพียงแต่นางเองก็นึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะปรากฏตัวที่จวนเสวียนอ๋องเสียได้"แม่นางจวิน ยาชามนี้ข้าต้มไว้ให้เจ้าเพื่อปรับสมดุลของร่างกายและชำระล้างพิษที่ยังตกค้าง รีบดื่มตอนร้อน ๆ เถอะ"เฝิงเฉินยื่นถ้วยยาในมือของตนเองให้แก่ฉินเจินหากแต่ฉินเจินที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ความสงสัยฉายแววผ่านดวงตากลมโตของนาง "พิษตกค้างหรือ นี่ข้าถูกพิษอย่างนั้นหรือ""แม่นางจวินไม่ทราบหรือ" เฝิงเฉินเองก็เอ่ยถามด้วยความตกใจเช่นกันหญิงสาวอึ้งไปชั่วขณะแล้วจึงส่ายหัว "ข้าไม่รู้หรอก"ใช่ว่าก่อนหน้านี้นางไม่เคยตรวจชีพจรของตัวเองมาก่อน เพียงแต่ชีพจรที่ตรวจพบนั้นผันผวนไม่มั่นคง อาการเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่นัก นางจึงคิดว่าอาจเป็นผลที่เกิดจากการกลับมาเกิดใหม่ โดยมิได้นึกไปถึงว่าตนเองจะถูกพิษเลยแม้แต่น้อยนางถูกพิษได้อย่างไรกันใครเป็นคนวางยานางกันแน่ฝ่ายเฝิงเฉินเองพอได้ยินฉินเจินตอบเช่นนั้นก็พลอยขมวดคิ้วไปด้วย คล้ายว่าชายหนุ่มเองก็คิดไม่ถึงเช่นว
ก่อนที่นางจะหมดสติไป คล้ายว่ามือคู่หนึ่งได้คว้าคอเสื้อของหญิงสาวไว้ เพื่อมิให้ร่างของนางต้องลงไปกองกับพื้นอย่างน่าอนาถสายลมอ่อนโยนน่าสดชื่น แสงแดดอันอบอุ่นสาดส่องกระทบผ่านริมหน้าต่างมายังเตียง ขนตาแพยาวของฉินเจินเคลื่อนไหวอยู่เล็กน้อยก่อนที่หญิงสาวจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นสิ่งที่หญิงสาวเห็นคือกระโจมสีเข้มที่ดูเคร่งขรึม ไม่เหมือนห้องส่วนตัวของเด็กสาว แต่ตอนนี้นางนอนอยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้าไหมชั้นดี นี่ตอนนี้นางอยู่ที่ใดกันแน่... เมื่อคิดได้ดังนี้ หญิงสาวก็นึกย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตรอกฉินเจินพบกับฉินหงซวงและลงมือทำร้ายนาง แล้วหลังจากนั้นเล่าเซียวเฟิ่งชี !ใช่แล้ว เซียวเฟิ่งชี !ฉินเจินคิดได้เช่นนั้นก็ลุกพรวดขึ้นทันที แต่เพราะออกแรงมากเกินไปทำให้นางเริ่มรู้สึกเวียนหัวจนเกือบจะล้มตัวลงบนเตียงภาพเหตุการณ์ก่อนที่จะสลบไปฉายเข้ามาในหัวของหญิงสาว ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะต่อยตัวเองสักหมัดสองหมัด ตอนนั้นนางรู้สึกเจ็บหัวใจขึ้นมา จากนั้นก็กระอักเลือด ภาพจำที่ชัดเจนที่สุดก็คือชุดสีมรกตของเซียวเฟิ่งชีเปื้อนไปด้วยคราบเลือด แล้วยังมีใต้คางของเขาอีก..."คุณพระคุณเจ้า !"ฉินเจินเอามือกุมหัว
ฉินเจินสูดลมหายใจเข้าจนลึกพลางมองไปยังเซียวเฟิ่งชีด้วยแววตาที่เป็นประกาย "เสวียนอ๋อง เรามาทำข้อแลกเปลี่ยนกันเถอะเพคะ""หืม"เซียวเฟิ่งชีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองไปทางหญิงสาวการกระทำของชายหนุ่มนั้นเป็นไปโดยธรรมชาติ หากแต่ยังแฝงไปด้วยกิริยาท่าทีที่แสดงว่าตนเองมีความสูงศักดิ์และเย่อหยิ่ง อยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายไว้"หม่อมฉันรู้ว่าพระวรกายของพระองค์ไม่สู้ดีนัก หม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาให้พระองค์ แต่พระองค์ช่วยทำเมินเฉยต่อทุกอย่างที่หม่อมฉันทำได้หรือไม่เพคะ"นี่คือแผนที่ฉินเจินพยายามคิดออกมาอย่างรอบคอบภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆหญิงสาวมีความแค้นครั้งใหญ่ที่ต้องสะสาง ไร้ซึ่งเวลาที่จะไปรับมือกับเสวียนอ๋องได้แม้แต่วันนั้นที่จวินเหลยถิงหยิบป้ายเหล็กอักษรชาดออกมาจนเซียวเฟิ่งชีเอ่ยว่าจะไม่เอาเรื่องอีก นางก็หาได้เชื่อคำพูดนั้นไม่ เพราะนางรู้ความลับของเซียวเฟิ่งชีเข้าแล้ว จะถอนตัวออกไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกันเล่า"เจ้าคิดว่าข้าจะรับปากเจ้าหรือ"เซียวเฟิ่งชีถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่ยี่หระนักฉินเจินนึกไปถึงก่อนหน้านี้ที่นางใช้การช่วยชีวิตมาต่อรองกับเซียวเฟิ่งชี ชายหนุ่มถามนางก