ในตอนนี้เอง เสียงดุดันและเกรี้ยวกราดของเจ้าตระกูลเฝิงก็ดังขึ้น เขาอายุมากแล้ว อีกทั้งยังพยายามช่วยชีวิตเซี่ยซื่อจื่อมาเกือบทั้งคืน เหนื่อยล้าจนตาแทบปิด จึงทำให้ปฏิกิริยาตอบโต้ของเขาค่อยข้างช้าและเพิ่งได้สติกลับมา เมื่อฟังสิ่งที่ฉินเจินพูดจนเข้าใจแล้ว เขาก็ตะคอกออกมาทันที ฉินเจินเงยหน้าขึ้นมองเจ้าตระกูลเฝิงแวบหนึ่ง "เซี่ยจืออั๋งยังมีทางรอด" ตระกูลเฝิงเป็นตระกูลแพทย์มานับร้อยปี บรรพบุรุษเป็นแพทย์หลวงมาหลายยุค แม้เมื่อมาถึงรุ่นของเฝิงเหวินเฟิง เพราะลูกหลานไม่มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นในด้านการแพทย์ อิทธิพลไม่เหมือนแต่ก่อน แต่สำหรับในเมืองหลวงนั้น ตระกูลเฝิงยังคงมีบทบาทสำคัญในวงการแพทย์ หากบรรดาขุนนางผู้สูงศักดิ์เกิดเจ็บป่วยขึ้นมา ล้วนเรียกใช้ตระกูลเฝิง แล้วก็เพราะเหตุนี้เฝิงเหวินเฟิงที่เป็นเจ้าของตระกูลเฝิงจึงได้รับยกย่องเทิดทูนจากผู้อื่น ไม่ว่าจะไปที่ใดเขาล้วนได้รับการต้อนรับเฉกเช่นแขกผู้มีเกียรติเสมอ แต่สิ่งที่เขาได้ยินเมื่อครู่คืออะไรกัน เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมตรงหน้าผู้นี้ ถึงขั้นโอ้อวดว่าจะช่วยชีวิตซื่อจื่อของตระกูลเซี่ยอย่างนั้นหรือ หึ ช่างน่าขันเสียจริง เฝิงเหวินเฟิงโกรธจนห
ดวงตาทั้งสองข้างของผู้อาวุโสเฝิงแดงก่ำ จ้องมองฉินเจินด้วยความตื่นเต้นฉินเจินถูกผู้อาวุโสเฝิงจ้องจนเริ่มรู้สึกวางตัวไม่ถูก จึงพยักหน้าเบา ๆ ให้กับอีกฝ่าย "ขอบคุณเข็มเงินจากผู้อาวุโสเฝิง ล่วงเกินท่านแล้ว"กิริยาท่าทางดูงดงามเรียบร้อย"แม่นางใช้เข็มเงินของข้าได้ก็นับเป็นเกียรติของข้าแล้ว ไม่ทราบว่าที่แม่นางใช้เมื่อครู่นั้น ใช่วิชาเสวียนหลิงสิบสามเข็มที่สาบสูญไปนานใช่หรือไม่"ผู้อาวุโสเฝิงรีบเอ่ยถาม น้ำเสียงและคำพูดที่ใช้นั้นเปลี่ยนไปถนัดตาฉินเจินเม้มปากพลางคิดอยู่ครู่หนึ่ง วิชาเสวียนหลิงสิบสามเข็มนั้นเป็นวิธีการฝังเข็มช่วยชีวิตที่ง่ายที่สุดใน "คัมภีร์เวชมนตรา" ไม่ใช่แค่สิบสามเข็มเท่านั้น ต่อให้เป็นสิบสี่เข็ม สิบหกเข็ม สิบเก้าเข็ม ร้อยแปดเข็ม นางก็ใช้เป็นทั้งสิ้น การใช้สิบสามเข็มนั้นเป็นวิธีช่วยชีวิตที่ง่ายที่สุดแต่สิ่งที่ฉินเจินนึกไม่ถึงคือวิชาการฝังเข็มเหล่านี้ได้หายสาบสูญไปนานแล้วหรือ"อืม"ฉินเจินเองก็มิได้ปิดบัง อีกทั้งยังพยักหน้ารับผู้อาวุโสเฝิงเห็นเช่นนั้นก็ตื่นเต้นมากขึ้น หนวดเคราของเขาสั่นไปหมด แม้แต่มือขาก็สั่นเทา แววตาทั้งสองเปี่ยมไปด้วยความเร่าร้อนราวกับมองเห็นฉิน
คำพูดของเฝิงเหวินเฟิง ทำให้ทุกคนเกิดอาการตะลึงตาค้างกันเป็นแถบผู้อาวุโสผู้เป็นเจ้าตระกูลการแพทย์คิดจะขอเป็นศิษย์บุตรีตระกูลจวินอย่างนั้นหรือนี่มันเรื่องอัศจรรย์อะไรกันอย่าว่าแต่คังชินอ๋องเซียวเจิ้งที่ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก แม้แต่ชาวตระกูลจวินเองก็พากันตีสีหน้างุนงงเช่นกัน"ผู้อาวุโสเฝิง ลูกข้าไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ หรือ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่"เซียวเจิ้งมองเฝิงเหวินเฟิงที่มองฉินเจินด้วยสีหน้าเคารพนับถือเสียยิ่งกว่าอะไร เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันไป ผู้อาวุโสตระกูลเฝิงอายุเยอะมากแล้ว น้อยครั้งที่จะรับรักษาให้ผู้อื่น เพราะถึงอย่างไรทั้งสถานะ ฐานันดรและอายุก็เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วกันแล้วแต่บัดนี้พอได้ยินสิ่งที่ผู้ที่ถือได้ว่ามีหน้ามีตาในเมืองหลวงแห่งต้าเซี่ยเอ่ยขึ้น ไม่ว่าจะพินิจตามเช่นไร ก็แปลว่าเขาอยากนับบุตรีตระกูลจวินที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ป่นปี้คนนั้นเป็นอาจารย์หรือเรื่องนี้ช่างน่าขันยิ่งนักแต่มันไม่ใช่เพียงเรื่องเล่าขำขันนี่สิ"ท่านอ๋อง เซี่ยซื่อจื่อไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ มีบุตรีตระกูลจวินอยู่ ไม่นานเซี่ยซื่อจื่อก็จะกลับมาแข็งแรงกระปรี้กระเปร่าเช่นเดิม ท่านไม่รู้อะไร เดิมท
"ข้าน้อยปรนนิบัติซื่อจื่อถึงยามเซิน แต่เพราะข้าน้อยถูกโบยจนเดินขากะเผลก ซื่อจื่อเห็นแล้วรำคาญใจ จึงให้ข้าน้อยออกไปแล้วให้เสี่ยวเต๋อจื่อมาปรนนิบัติแทน ก่อนนี้ได้ยินเสี่ยวเต๋อจื่อบอกว่าซื่อจื่อถือไม้เท้าออกจากเรือนไป""ไปเรียกเสี่ยวเต๋อจื่อมา"ยามนี้สีหน้าของพระชายาคังชินอ๋องถึงกับเคร่งเครียดไปทันทีเพราะนางรู้แล้วว่า ครั้งนี้ที่ลูกชายเกือบตายนั้นอาจมีคนร้ายอยู่อีกคนหนึ่งไม่นานนักเสี่ยวเต๋อจื่อก็ถูกพาตัวมา เสี่ยวเต๋อจื่อเป็นบ่าวที่ซื่อตรง พอได้ยินว่าท่านอ๋องเอ่ยถาม ก็รีบตอบทุกอย่างตามความเป็นจริง "เรียนท่านอ๋อง พระชายา ข้าน้อยกับซื่อจื่อได้ออกจากจวนไปครั้งหนึ่งจริงขอรับ ซื่อจื่อจะกินเกาลัดคั่วของร้านทางตอนเหนือในเมืองให้ได้ ข้าน้อยจะไปซื้อ ซื่อจื่อก็ไม่ยอม บอกว่าจะกินแบบเพิ่งทำเสร็จให้ได้...""พูดประเด็นสำคัญสิ !"เซียวเจิ้งอดตวาดขึ้นไม่ได้ฝ่ายบ่าวรับใช้นั้นถูกตวาดจนลนลาน จึงรีบตอบด้วยความไวกว่าเดิม "เรียนท่านอ๋อง ประเด็นสำคัญก็คือซื่อจื่อออกจากจวนไปเองขอรับ ระหว่างทางไปเจอกับคุณชายรองตระกูลฉินเข้า คุณชายรองตระกูลฉินกับซื่อจื่อไม่ถูกกันเป็นทุนเดิม ก็เลยลงไม้ลงมือกันขึ้นมา เดิมซื
"เป็นข้าที่คิดไม่รอบคอบเอง ข้าจะให้รถม้าไปส่งฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านแม่ทัพจวินกลับเดี๋ยวนี้"เซียวเจิ้งรีบเอ่ยขึ้นทันที"มิต้องหรอกท่านอ๋อง รถม้าของข้าจอดอยู่ที่หน้าจวนนี้เอง พวกข้ากลับไปเองได้"จวินเหลยถิงตอบรับครั้นเมื่อแม่ทัพใหญ่เอ่ยจบ สีหน้าของเขาก็เหมือนเกิดความลังเลขึ้น ท่าทีเหมือนอยากเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร"แม่ทัพใหญ่ยังมีเรื่องอะไรหรือ"คังชินอ๋องรีบถามขึ้นทันทีจวินเหลยถิงจึงประสานมือเข้าหากันแล้วเอ่ยขึ้น "ข้ายังมีเรื่องหนึ่งที่อยากรบกวน""เชิญท่านแม่ทัพเอ่ยได้""ท่านอ๋อง พระชายา ข้าอยากให้พวกท่านช่วยปิดเรื่องในคืนนี้ที่ลูกสาวข้ารู้วิชาแพทย์เป็นความลับ อย่าได้แพร่งพรายออกไป"จวินเหลยถิงเอ่ยตอบสีหน้าดุดันในยามนี้เคร่งขรึมยิ่งกว่าทุกคราทันทีที่เขาเอ่ยจบกลับพบว่า ไม่เพียงแต่พวกคนในจวนคังชินอ๋องเท่านั้นที่มีสีหน้าแปลกใจ แม้แม้แต่ฉินเจินเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก จนถึงขนาดเงยหน้าขึ้นมอง"แม่ทัพจวิน แม่หนูจวินมีวิชาแพทย์ล้ำเลิศ นี่เป็นเรื่องดี หากบอกกล่าวออกไปก็จะได้รับความเคารพนับถือจากผู้อื่น แล้วเหตุใดต้องปิดบังด้วยเล่า"พระชายาคังชินอ๋องเอ่ยขึ้นด้วยควา
"น่าจะใช่"จวินเหลยถิงพยักหน้าพลางเอ่ยตอบครั้นพอเอ่ยจบ ทุกสายตาก็พากันจับจ้องไปที่ฉินเจิน"นางหนู ตอนที่อาจารย์ของเจ้าจากไปได้บอกอะไรกับเจ้าไว้บ้างหรือไม่"ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามขึ้นตอนนี้ในหัวของฉินเจินนั้นเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง เพราะเท่าที่นางฟังคำบอกเล่าของจวินเหลยถิงแล้ว นางมั่นใจได้ว่าผู้มีฝีมือคนนั้นกับอาจารย์ของนางเป็นคนคนเดียวกัน นั่นก็แปลว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน อาจารย์ได้เคยเจอกับจวินเหลยถิงมาแล้ว กระทั่งทำนายดวงชะตาของจวินเฟยเซ่อออกมา เช่นนั้นการที่นางเจออาจารย์ที่วัดเชียนอวิ๋นจะเป็นสิ่งที่อาจารย์ตั้งใจทำให้เกิดขึ้นแต่แรกหรือไม่ หรือพูดได้อีกนัยหนึ่งว่า อาจารย์อาจจะรู้ชะตาชีวิตของนางตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้มิน่าเล่า อาจารย์จึงชอบบอกว่านางเป็นเด็กโง่เง่า ใช้สายตาเวทนามองมาที่นางบ่อยครั้งตอนนั้นที่อาจารย์ให้นางเลือกว่าจะเรียนวิชาหมอหรือเรียนวิชาพิษ ครั้นพอนางเลือกเรียนวิชาหมอ อาจารย์ก็เหมือนว่าจะถอนหายใจบัดนี้พอมาคิดดูแล้ว ทุกคำพูดละทุกการกระทำของอาจารย์ล้วนแต่มีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่โชคชะตาของจวินเฟยเซ่อและการกลับมาเกิดใหม่ของนาง ล้วนแล้วแต่อยู่ในแผนการของอาจารย์ต
เมื่อก่อนเสียงนั้นอ่อนหวานจับใจ แต่ในคืนนั้นกลับเยือกเย็นนับคณาฉินเจินก้าวเท้าขึ้นบันไดไปที่ชั้นสองก็พลันเห็นสตรีนางหนึ่งหยิบเสื้อที่ทำจากผ้าไหมตัวหนึ่งขึ้นมาทาบขนาดดูบนตัว และสตรีนางนี้ก็คือน้องสาวต่างมารดาตัวดีของนางในชาติที่แล้ว หรือก็คือพระชายารองขององค์ชายหก ฉินหงซวงนั่นเอง !ฉินเจินคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับฉินหงซวงเร็วถึงเพียงนี้ ผ่านพ้นไปสามปี ยามนี้ฉินหงซวงหาได้แต่งตัวเฉกเช่นหญิงสาววัยแรกแย้มอีกต่อไป แต่นางเกล้าผมด้วยปิ่นของสตรีผู้ที่ออกเรือนแล้ว ทว่าหากเทียบกับเมื่อสามปีก่อน รูปลักษณ์ของนางหาได้เปลี่ยนไปไม่ มีเพียงแค่รูปร่างที่ดูสมส่วนกว่าเดิมก็เท่านั้นยังคงมิโดดเด่น งดงามราวกับสตรีสามัญชนทั่วไปดูเผิน ๆ แล้วทั้งอ่อนหวานและน่าทะนุถนอม ทว่าครั้นแสดงความโหดเหี้ยมออกมา กลับน่ากลัวถึงเพียงนั้นที่ยอดเขาของเขาเป่ยซาน สายตาเหี้ยมโหด รอยยิ้มประดุจอสรพิษ ฉินหงซวงเทยาสลายร่างลงบนบาดแผลของนางทั้งที่นางยังมิสิ้นใจ การกระทำที่เหี้ยมโหดเช่นนี้เกิดขึ้นจากน้ำมือของน้องสาวต่างมารดาผู้อ่อนโยนคนนั้นจริง ๆ"หงซวง เสื้อผ้าไหมตัวนี้ดูดีนัก ข้าซื้อให้แล้วกัน"เสียงสตรีอีกนางหนึ่งดังขึ้นพร้
ชื่อหนึ่งที่หายสาบสูญไปนานถึงสามปีพลันปรากฏขึ้นมาในหัวของนาง ฉินเจิน !"พระชายารองเพคะ""หงซวง"ข้ารับใช้และเซี่ยรั่วถงต่างพากันตกใจ รู้สึกเพียงว่าฉินหงซวงหน้าเปลี่ยนสีกะทันหัน คล้ายเจอเข้ากับเรื่องน่าตกอกตกใจบางอย่าง จึงรีบเอ่ยเรียกนาง"เจ้า เจ้าพูดอะไร ข้ามิเข้าใจ"เนิ่นนานกว่าฉินหงซวงจะกลับมามีเสียงอีกครั้ง นางกดความตกใจไว้ภายในใจ พยายามควบคุมความรู้สึกของนางไว้ให้มากที่สุด แล้วเอ่ยขึ้นครั้นเห็นฉินหงซวงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ในใจของฉินเจินก็พลันรู้สึกผิดหวังฉินหงซวง เจ้าก็ร้อนตัวเป็นด้วยอย่างนั้นหรือยามที่เจ้าเอากระบี่เสียบทะลุอกข้า ยามที่เจ้าเอายาสลายร่างเทลงบนตัวข้าทั้งที่ข้ายังมิได้สิ้นลมหายใจ เจ้าเคยรู้สึกหวาดกลัวสักนิดหรือไม่นัยน์ตาของฉินเจินภายใต้ผ้าคลุมนั้นเย็นชาถึงที่สุด เป็นความเย็นชาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความแค้นบุคคลตรงหน้าของนางนี้ น้องสาวที่นางเคยดูแลประคบประหงมด้วยความจริงใจของนางผู้นี้ทำลายชีวิตนาง ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของนาง ทำให้นางตายไปอย่างไม่อยากยอมรับ ทำให้นางแค้นเสียจนเกิดใหม่ ทำให้นางมีชีวิตคล้ายกับเป็นตัวตลก !"มิเข้าใจงั้นหรือ"ฉินเจินหัวเราะด้วยเสีย
เดิมทีเซียวเฟิ่งชีเป็นคนที่โดดเด่นมากอยู่แล้ว ในยามที่เขาจ้องมองคน ความกดดันจึงมากยิ่งกว่าเดิม"มีอะไรหรือเพคะ บนหน้าหม่อมฉันมีอะไรติดอยู่หรือ"ฉินเจินเห็นว่าเซียวเฟิ่งชีจ้องมองตนเองอยู่จึงเอ่ยถามออกไป"เจ้าไม่รู้เชียวหรือว่าคราวก่อนที่ข้าพิษกำเริบคือเมื่อใด"จู่ ๆ เซียวเฟิ่งชีก็เอ่ยถามขึ้นฉินเจินกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความแปลกใจ จึงถามขึ้นทันที "หม่อมฉันจะทราบได้อย่างไรเพคะ"เซียวเฟิ่งชีนิ่งขรึมไปโดยไม่เอ่ยคำใดอีกเหลิ่งมู่เองก็เงยหน้ามองฉินเจินคล้ายอยากพูดอะไร แต่ก็มิได้พูดออกมาแม้แต่เฝิงเฉินเองก็เหมือนว่าอยากพูดอะไรขึ้นมาเช่นกันฉินเจินรู้สึกแปลกกับท่าทีของทุกคนอยู่บ้าง แต่นางยังคงเอ่ยกับเฝิงเฉินด้วยความสุภาพ "คุณชายเฝิง แม้วิชาแพทย์ของข้าจะพอใช้ได้ แต่ลำพังแค่การจับชีพจรนั้นไม่อาจรู้ได้จริง ๆ ว่าท่านอ๋องมีอาการพิษกำเริบครั้งล่าสุดเมื่อใดกัน""เหอะ..."แต่แล้วเซียวเฟิ่งชีกลับยิ้มเยาะออกมารัศมีที่เซียวเฟิ่งชีแผ่ออกมานั้นเปลี่ยนไปในฉับพลัน เพียงเขายกมือขึ้น ด้ายสีทองก็สว่างวาบจากนิ้วของเขาดุจสายฟ้า พุ่งตรงไปยังฉินเจิน เพียงครู่เดียวก็รัดลำคอของหญิงสาวไว้อีกครา"เสวียนอ๋อง
เฝิงเฉินเอ่ยถามออกมาสายตาของเขาแฝงด้วยความหวัง การรอคอย รวมถึงความสับสนและความเจ็บปวดจิ่งสิงเป็นสหายที่ดีที่สุดของเขา เป็นกระทั่งผู้ที่นำทางให้เขาสนใจเรียนวิชาแพทย์ แต่สิ่งที่เขาเรียนรู้มาทั้งชีวิตกลับไม่อาจช่วยชีวิตสหายรักของเขาได้ ใครเลยจะรู้ว่าเขาสิ้นหวังมากเพียงใดครั้นพอฉินเจินได้ยินคำถามของเฝิงเฉิน สีหน้าของนางก็พลอยเคร่งเครียดไปด้วย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยออกมา "เช่นนั้นพิษที่เสวียนอ๋องได้รับก็มิใช่พิษอัคคีเหมันต์""จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ดูจากปฏิกิริยาเมื่อพิษกำเริบ อาการป่วย ดูอย่างไรก็เป็นพิษอัคคีเหมันต์ เรื่องนี้สามารถยืนยันได้แน่นอน ข้ากำลังคิดว่า บางทีในตัวของจิ่งสิงอาจมีพิษอื่นที่ยังตรวจไม่พบ พอพิษทั้งสองผสานเข้าด้วยกัน ยาแก้พิษก็เลยใช้ไม่ได้ผลก็เป็นได้"หากแต่ฉินเจินกลับส่ายหน้า "ถึงแม้อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่สุด แต่จากประสบการณ์ที่ข้าเรียนวิชาแพทย์มาหลายปี ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ พิษอัคคีเหมันต์เป็นพิษที่ร้ายแรงมากแล้ว จะยังมีพิษอะไรที่อยู่ร่วมกับมันแล้วพวกเราจะไม่อาจรู้ได้เล่า"คำตอบของฉินเจินได้ปัดข้อสันนิษฐานของเฝิงเฉินทิ้ง"เว้นเสียแ
แต่นางคิดไม่ถึงว่าเซียวเฟิ่งชีจะเจอเรื่องที่น่าอนาถยิ่งกว่านาง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงโอรสสวรรค์พิษอัคคีเหมันต์ เป็นหนึ่งในสิบพิษที่ร้ายแรงที่สุด เป็นพิษที่ทำให้ผู้คนต้องทนทุกข์ทรมานยิ่งกว่าความตาย ไม่เพียงแต่ทำลายร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำลายจิตใจและสติสัมปชัญญะอีกด้วยมีคนจำนวนไม่น้อยที่เมื่อถูกพิษนี้แล้วไม่สามารถทนได้ตั้งแต่ระยะแรก และเลือกที่จะปลิดชีพหรือจบชีวิตตัวเองด้วยการฆ่าตัวตายใครกันแน่ที่เกลียดชังเซียวเฟิ่งชีถึงขนาดวางยาพิษอัคคีเหมันต์ให้แก่เขาได้"ใช่ พิษอัคคีเหมันต์นี่ละ !"เฝิงเฉินพยักหน้ายืนยันดวงตาของชายหนุ่มเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น และเพราะความเศร้าใจที่เกิดเมื่อพูดถึงอาการป่วยของเซียวเฟิ่งชี"พิษอัคคีเหมันต์ เป็นหนึ่งในสิบพิษที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดในใต้หล้าก็จริง แต่ถ้าจัดยาแก้พิษมาก็จะสามารถแก้ไขพิษนี้ได้ ยาแก้พิษอัคคีเหมันต์ ต้องใช้หญ้าตี้จิ่นธาตุร้อน บัวปิงเสวี่ยธาตุเย็น เพิ่มด้วยแมลงจิ่วเซียงที่อาศัยอยู่ชั้นใต้ผิวดิน แล้วหลอมออกมาเป็นยา ก็จะสามารถแก้พิษอัคคีเหมันต์ได้"ฉินเจินเอ่ยตำรับยาแก้พิษออกมาได้ทันทีทันทีที่หญิงสาวเอ่ยจบ เฝิงเฉ
ขณะที่ฉินเจินเอ่ยอธิบาย ท่าทีของเซียวเฟิ่งชีก็ดูเย็นลงไม่น้อยขณะที่เฝิงเฉินและเหลิ่งมู่กลับมองฉินเจินด้วยแววตาตกตะลึงเมื่อได้ยินในสิ่งที่นางเอ่ย โดยเฉพาะเฝิงเฉินที่มองหญิงสาวด้วยแววตาตื่นเต้นยิ่งกว่าอะไร"ร่างกายของพระองค์ทรุดโทรมมากแล้ว ถ้ายังหาวิธีแก้พิษไม่ได้อีก เกรงว่าพระองค์คงอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี"เสียงของฉินเจินดูเครียดขึ้นเล็กน้อย เพราะนางค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ของเซียวเฟิ่งชีเข้าเสียแล้ว หญิงสาวเริ่มเกิดความรู้สึกสงสารอีกฝ่ายขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ นางคิดว่าเซียวเฟิ่งชีนับได้ว่าน่าสงสารอยู่บ้าง"ครั้งที่แล้วเจ้าบอกว่าข้าจะอยู่ได้อีกไม่นาน อย่างมากที่สุดก็เพียงสามเดือนมิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้ถึงบอกว่าหนึ่งปีเล่า"อารมณ์ของเซียวเฟิ่งชีนั้นเรียบเฉย ไร้ซึ่งความกลัวหรือความเศร้าโศก ราวกับว่าเขายอมรับความจริงข้อนี้ได้นานแล้ว เพียงแต่เอ่ยถามด้วยความสงสัยเท่านั้น"ตอนนี้มีหม่อมฉันอยู่มิใช่หรือเพคะ หากหาวิธีแก้พิษไม่ได้ หม่อมฉันสามารถฝังเข็มเพื่อยื้อเวลาให้พระองค์ต่อไป แต่นี่จะเป็นวิธีสุดท้ายที่ใช้แก้ไข ดังนั้นจึงยื้อได้นานที่สุดถึงหนึ่งปี" ฉินเจินกล่าวขึ้นน้ำเสียงที่นางพูดถึง
ฉินเจินพยักหน้ารับแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองเซียวเฟิ่งชี "ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะช่วยจับชีพจรให้พระองค์ก่อนแล้วกันนะเพคะ""ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อคืนเจ้าได้ช่วยเซี่ยจืออั๋งไว้ ข้าคงไม่อาจเชื่อใจเจ้าได้ เพราะเจ้าเป็นหมอที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองโดนวางยาพิษ"เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเย็นชาเย่อหยิ่ง แลน้ำเสียงที่ทำให้คนหมั่นไส้ฝ่ายฉินเจินเมื่อถูกเซียวเฟิ่งชีขัดขาอีกคราก็เกิดความโกรธขึ้นในใจ จึงอดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่อีกฝ่าย "เสวียนอ๋องทรงคิดจะหาเรื่องหม่อมฉันเช่นนี้ตลอดให้ได้เลยใช่หรือไม่เพคะ""ข้าก็แค่พูดความจริง"หากแต่เซียวเฟิ่งชีกลับตอบหน้าตาเฉยเล่นเอาเฟิงเฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับเอามือลูบจมูกไปมาแล้วหลุดหัวเราะเสียงเบา ๆเซียวเฟิ่งชีกับฉินเจินได้ยินเสียงจึงพากันหันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน เฝิงเฉินจึงทำได้เพียงกระแอมไอเบา ๆ "ไม่มีอะไร ข้าสำลักน่ะ"เมื่อได้ยินคำตอบ ทั้งคู่จึงเบนหน้าหนีพร้อมกัน"รบกวนท่านอ๋องยื่นข้อมือออกมาด้วยเพคะ"ฉินเจินเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเซียวเฟิ่งชีแล้วเอ่ยขึ้นคราวนี้เซียวเฟิ่งชีให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขายื่นมือออกมา ฉินเจินถึงได้รู้ว่าข้อมือของเซียวเฟิ่
เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้นฉินเจินเผยอปากด้วยคิดจะเถียงกลับตามสัญชาตญาณ แต่ก็รั้งสติตัวเองไว้ได้ทันเวลา หญิงสาวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น "อันหุนเล่อเดิมทีเป็นยาพิษที่ทำให้คนตายไปในห้วงนิทรา ไร้สีไร้รส เว้นเสียแต่จะตรวจเลือดจึงจะรู้ได้แต่หม่อมฉันมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ ในร่างกายของหม่อมฉัน นั่นแปลว่าพิษอันหุนเล่อนี้เพิ่งอยู่ในร่างกายของหม่อมฉันได้ไม่นาน หลายวันก่อนหม่อมฉันถูกท่านอ๋องทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นี่ก็เพิ่งฟื้นมาได้เพียงสองวัน ช่วงระหว่างนี้คงมีใครคิดจะฆ่าหม่อมฉัน เพียงแต่หม่อมฉันดวงแข็ง ฟื้นกลับมาได้ พิษอันหุนเล่อที่ตกตะกอนอยู่ในร่างกายจนกระอักเลือดออกมาในวันนี้ได้"เซียวเฟิ่งชีหาได้ตอบโต้เรื่องที่ฉินเจินเอ่ยถึงการถูกท่านอ๋องทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ฝ่ายหญิงสาวเองก็มีสีหน้าเย็นชาไม่ต่างกัน จนเฝิงเฉินที่ยืนฟังอยู่คิดไปว่าทั้งสองคนกำลังจะลงไม้ลงมือกันขึ้นมาเสียแล้ว"แม่นางจวินวิเคราะห์ได้ถูกต้องยิ่งนัก"เฝิงเฉินเอ่ยขึ้นมา ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นไม่น้อยฉินเจินจึงหันไปส่งยิ้มให้เฝิงเฉินเซียวเฟิ่งชีเหลือบมองภาพตรงหน้า ก่อนจะขยับริมฝีปากบางแล้วเอ่ยขึ้น "ขนาดตอนหมดสติยังม
ปีนี้คุณชายเฝิงอายุราวยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปีแล้ว บัดนี้เขาก็ยังอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยได้ยินว่าเขาหมั้นหมายกับหญิงสาวจากตระกูลขุนนางบ้านไหนมาก่อน เพียงแต่นางเองก็นึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะปรากฏตัวที่จวนเสวียนอ๋องเสียได้"แม่นางจวิน ยาชามนี้ข้าต้มไว้ให้เจ้าเพื่อปรับสมดุลของร่างกายและชำระล้างพิษที่ยังตกค้าง รีบดื่มตอนร้อน ๆ เถอะ"เฝิงเฉินยื่นถ้วยยาในมือของตนเองให้แก่ฉินเจินหากแต่ฉินเจินที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ความสงสัยฉายแววผ่านดวงตากลมโตของนาง "พิษตกค้างหรือ นี่ข้าถูกพิษอย่างนั้นหรือ""แม่นางจวินไม่ทราบหรือ" เฝิงเฉินเองก็เอ่ยถามด้วยความตกใจเช่นกันหญิงสาวอึ้งไปชั่วขณะแล้วจึงส่ายหัว "ข้าไม่รู้หรอก"ใช่ว่าก่อนหน้านี้นางไม่เคยตรวจชีพจรของตัวเองมาก่อน เพียงแต่ชีพจรที่ตรวจพบนั้นผันผวนไม่มั่นคง อาการเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่นัก นางจึงคิดว่าอาจเป็นผลที่เกิดจากการกลับมาเกิดใหม่ โดยมิได้นึกไปถึงว่าตนเองจะถูกพิษเลยแม้แต่น้อยนางถูกพิษได้อย่างไรกันใครเป็นคนวางยานางกันแน่ฝ่ายเฝิงเฉินเองพอได้ยินฉินเจินตอบเช่นนั้นก็พลอยขมวดคิ้วไปด้วย คล้ายว่าชายหนุ่มเองก็คิดไม่ถึงเช่นว
ก่อนที่นางจะหมดสติไป คล้ายว่ามือคู่หนึ่งได้คว้าคอเสื้อของหญิงสาวไว้ เพื่อมิให้ร่างของนางต้องลงไปกองกับพื้นอย่างน่าอนาถสายลมอ่อนโยนน่าสดชื่น แสงแดดอันอบอุ่นสาดส่องกระทบผ่านริมหน้าต่างมายังเตียง ขนตาแพยาวของฉินเจินเคลื่อนไหวอยู่เล็กน้อยก่อนที่หญิงสาวจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นสิ่งที่หญิงสาวเห็นคือกระโจมสีเข้มที่ดูเคร่งขรึม ไม่เหมือนห้องส่วนตัวของเด็กสาว แต่ตอนนี้นางนอนอยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้าไหมชั้นดี นี่ตอนนี้นางอยู่ที่ใดกันแน่... เมื่อคิดได้ดังนี้ หญิงสาวก็นึกย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตรอกฉินเจินพบกับฉินหงซวงและลงมือทำร้ายนาง แล้วหลังจากนั้นเล่าเซียวเฟิ่งชี !ใช่แล้ว เซียวเฟิ่งชี !ฉินเจินคิดได้เช่นนั้นก็ลุกพรวดขึ้นทันที แต่เพราะออกแรงมากเกินไปทำให้นางเริ่มรู้สึกเวียนหัวจนเกือบจะล้มตัวลงบนเตียงภาพเหตุการณ์ก่อนที่จะสลบไปฉายเข้ามาในหัวของหญิงสาว ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะต่อยตัวเองสักหมัดสองหมัด ตอนนั้นนางรู้สึกเจ็บหัวใจขึ้นมา จากนั้นก็กระอักเลือด ภาพจำที่ชัดเจนที่สุดก็คือชุดสีมรกตของเซียวเฟิ่งชีเปื้อนไปด้วยคราบเลือด แล้วยังมีใต้คางของเขาอีก..."คุณพระคุณเจ้า !"ฉินเจินเอามือกุมหัว
ฉินเจินสูดลมหายใจเข้าจนลึกพลางมองไปยังเซียวเฟิ่งชีด้วยแววตาที่เป็นประกาย "เสวียนอ๋อง เรามาทำข้อแลกเปลี่ยนกันเถอะเพคะ""หืม"เซียวเฟิ่งชีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองไปทางหญิงสาวการกระทำของชายหนุ่มนั้นเป็นไปโดยธรรมชาติ หากแต่ยังแฝงไปด้วยกิริยาท่าทีที่แสดงว่าตนเองมีความสูงศักดิ์และเย่อหยิ่ง อยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายไว้"หม่อมฉันรู้ว่าพระวรกายของพระองค์ไม่สู้ดีนัก หม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาให้พระองค์ แต่พระองค์ช่วยทำเมินเฉยต่อทุกอย่างที่หม่อมฉันทำได้หรือไม่เพคะ"นี่คือแผนที่ฉินเจินพยายามคิดออกมาอย่างรอบคอบภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆหญิงสาวมีความแค้นครั้งใหญ่ที่ต้องสะสาง ไร้ซึ่งเวลาที่จะไปรับมือกับเสวียนอ๋องได้แม้แต่วันนั้นที่จวินเหลยถิงหยิบป้ายเหล็กอักษรชาดออกมาจนเซียวเฟิ่งชีเอ่ยว่าจะไม่เอาเรื่องอีก นางก็หาได้เชื่อคำพูดนั้นไม่ เพราะนางรู้ความลับของเซียวเฟิ่งชีเข้าแล้ว จะถอนตัวออกไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกันเล่า"เจ้าคิดว่าข้าจะรับปากเจ้าหรือ"เซียวเฟิ่งชีถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่ยี่หระนักฉินเจินนึกไปถึงก่อนหน้านี้ที่นางใช้การช่วยชีวิตมาต่อรองกับเซียวเฟิ่งชี ชายหนุ่มถามนางก