ชื่อหนึ่งที่หายสาบสูญไปนานถึงสามปีพลันปรากฏขึ้นมาในหัวของนาง ฉินเจิน !"พระชายารองเพคะ""หงซวง"ข้ารับใช้และเซี่ยรั่วถงต่างพากันตกใจ รู้สึกเพียงว่าฉินหงซวงหน้าเปลี่ยนสีกะทันหัน คล้ายเจอเข้ากับเรื่องน่าตกอกตกใจบางอย่าง จึงรีบเอ่ยเรียกนาง"เจ้า เจ้าพูดอะไร ข้ามิเข้าใจ"เนิ่นนานกว่าฉินหงซวงจะกลับมามีเสียงอีกครั้ง นางกดความตกใจไว้ภายในใจ พยายามควบคุมความรู้สึกของนางไว้ให้มากที่สุด แล้วเอ่ยขึ้นครั้นเห็นฉินหงซวงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ในใจของฉินเจินก็พลันรู้สึกผิดหวังฉินหงซวง เจ้าก็ร้อนตัวเป็นด้วยอย่างนั้นหรือยามที่เจ้าเอากระบี่เสียบทะลุอกข้า ยามที่เจ้าเอายาสลายร่างเทลงบนตัวข้าทั้งที่ข้ายังมิได้สิ้นลมหายใจ เจ้าเคยรู้สึกหวาดกลัวสักนิดหรือไม่นัยน์ตาของฉินเจินภายใต้ผ้าคลุมนั้นเย็นชาถึงที่สุด เป็นความเย็นชาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความแค้นบุคคลตรงหน้าของนางนี้ น้องสาวที่นางเคยดูแลประคบประหงมด้วยความจริงใจของนางผู้นี้ทำลายชีวิตนาง ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของนาง ทำให้นางตายไปอย่างไม่อยากยอมรับ ทำให้นางแค้นเสียจนเกิดใหม่ ทำให้นางมีชีวิตคล้ายกับเป็นตัวตลก !"มิเข้าใจงั้นหรือ"ฉินเจินหัวเราะด้วยเสีย
ฉินหงซวงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่กำลังร้อนใจเซี่ยรั่วถงเห็นนางเป็นเช่นนี้ แม้นในใจจะนึกสงสัย แต่ก็มิได้ดื้อดึง เพียงแต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงว่า "ตกลง เช่นนั้นเจ้ากลับไปพักผ่อนสักงีบเถิด ดูจากสีหน้าเจ้าแล้วไม่ค่อยดีเท่าไร""อืม"ฉินหงซวงพยักหน้า แล้วก็หมุนตัวเดินจากไป เซี่ยรั่วถงยังอยู่ที่เดิม ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก็หมุนตัวกลับเข้าไปในหออวิ๋นจวงอีกครั้ง นางคิดจะไปหาฉินเจินเสียหน่อย ทว่ายามนี้ฉินเจินกลับออกจากหออวิ๋นจวง ไปที่ตรอกด้านหลังของหออวิ๋นจวงไปเสียแล้วเพราะนางรู้ดี ไม่ว่าอย่างไรฉินหงซวงจะต้องมาเป็นไปตามคาด เพียงครู่เดียว เงาร่างของฉินหงซวงก็ปรากฏอยู่ในตรอกนั้นข้างกายฉินหงซวงไม่มีผู้ใด กระทั่งข้ารับใช้นางนั้นก็โดนนางไล่ตะเพิดไปแล้ว ก็มิแปลก เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับของนาง นางจะปล่อยให้บุคคลที่สามรู้ได้อย่างไรในตรอกนั้นวังเวงเป็นอย่างมาก มิรู้ว่าสวนหลังบ้านของผู้ใดปลูกต้นอู๋ถงเอาไว้ ต้นอู๋ถงนั้นอายุมากแล้ว มันสูงใหญ่ตระการตา เงาของต้นอู๋ถงที่สาดส่องเข้ามาปกคลุมตรอกเส้นนั้นไปครึ่งหนึ่ง และภายในตรอกนั้นชื้นแฉะเป็นอย่างมาก บนผนังกำแพงจึงมีตะไคร่น้ำสีเขียวปกคลุมไป
ฉินเจินเอ่ยถามด้วยเสียงกัดฟันกรอดพอพูดจบ ใบหน้าที่แท้จริงของฉินหงซวงก็ปรากฏออกมา ดวงตาของนางพลันเบิกโพลง รู้สึกได้แต่เพียงความเย็นที่ไหลวาบลงมาจากศีรษะถึงปลายเท้าลมหายใจเองก็พลันหยุดชะงักอยู่ในลำคอความลับนี้ของฉินหงซวงหายไปได้สามปีแล้ว นางคิดไม่ถึงว่าจู่ ๆ วันหนึ่งจะมีคนพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา คล้ายกับเป็นสัญชาตญาณ ฉินหงซวงพลันยื่นมือไปคว้าหมวกคลุมหน้าของฉินเจินเอาไว้ ความดุร้ายในดวงตาก็ทะลักออกมาอย่างปิดไม่มิด นางจะดูสิว่า ผู้ที่รู้ความลับของนางคนนี้คือใครกันแน่ทว่าฉินเจินนั้นเตรียมตัวไว้นานแล้วในตอนที่ฉินหงซวงยื่นมือออกมานั้นเอง ฉินเจินก็พลันเบี่ยงตัวหลบทันที พร้อมทั้งฟาดฝ่ามือออกไปทางฉินหงซวงด้วยฝ่ามือนี้แฝงไปด้วยความแค้นและความไม่ยินยอมของนางทั้งหมดในใจ มันฟาดลงบนแขนของฉินหงซวงจัง ๆ ฉับพลันก็ทำให้ฉินหงซวงกระเด็นออกไปไกลได้ยินเพียงเสียงปึกเสียงหนึ่ง เป็นเสียงที่ฉินหงซวงกระเด็นเข้ากับกำแพง แล้วก็ตกลงพื้นอย่างแรง จากนั้นนางก็พ้นเลือดออกมาพลังงานบางอย่างในร่างกายที่ไม่อาจควบคุมได้คล้ายกับวิ่งพล่านขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ถูกฉินเจินกดลงไปได้ครั้งก่อนที่หอฮุ่ยอิง ตอนที่นางตบเซี่
นางมิมีทางรู้ได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้านางคือฉินเจินที่ตายไปแล้วเกิดใหม่ยามนี้ ฉิงหงซวงมีคนคอยสนับสนุนมากมาย ไม่ว่าตระกูลฉิน หรือองค์ชายหกก็ล้วนแต่เป็นแรงสนับสนุนของนางทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้กระทั่งคำพูดนางก็แข็งกร้าวขึ้นมาทว่าคำพูดของฉินหงซวงนั้นช่างบาดหูเสียจริง เปรียบดั่งมีดเล็กด้ามหนึ่งที่กำลังกรีดทำร้ายหัวใจของนาง แม้นนางอยากจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็ยังควบคุมไม่ได้อยู่ดี"ฉินหงซวง ข้าจะมิฆ่าเจ้า แต่ข้าจะเอาเรื่องที่เจ้าทำ ไปป่าวประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ ข้าจะทำให้คนในใต้หล้ารับรู้ใบหน้าอันเน่าเฟะของเจ้า ข้าจะทำให้ทุกสิ่งที่เจ้าเคยทำกับฉินเจินย้อนกลับไปในตัวเจ้า"ทุกคำทุกประโยคของฉินเจิน ล้วนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ลอดไรฟันออกมาพอนางกล่าวจบ มือที่บีบคอของฉินหงซวงอยู่ก็ออกแรงไม่พัก ทุกครั้งที่ฉินหงซวงโดนบีบคอจนตาเหลือบ ใกล้จะหมดสติไปนั้น นางก็คลายแรงลง ให้โอกาสนางได้สูบลมหายใจวิธีนี้นางเรียนรู้มาจากเซียวเฟิ่งชีในวันนั้น ลำคอของนางก็ถูกด้ายทองของเขากอดรัดแล้วก็คุมแรงไว้เช่นนี้ที่แท้ ความรู้สึกที่สามารถควบคุมได้ว่าใครจะอยู่ใครจะตายก็ดีเช่นนี้นี่เองหากดูจากความแค้นที่นางมีต่อฉินหงซ
เพียงประโยคเดียวก็ทำให้ฉินเจินหมดซึ่งความคิดที่จะหนีไปอีกทางทันทีนางสวมหมวกที่มีผ้าคลุมบาง ๆ แล้วเดินออกจากจวนแม่ทัพโดยมิให้ใครเห็นหน้าได้ชัด แต่เซียวเฟิ่งชีกลับเรียกชื่อนางออกมาได้ทันที เห็นได้ชัดว่ามีการส่งคนมาสะกดรอยนางฉินเจินนึกโกรธขึ้นมาในใจ ใบหน้าของหญิงสาวดูเย็นชาขึ้นมากกว่าเดิม นางเองก็หาได้ยอมถอยไม่ หากแต่ก้าวเข้าไปหาเซียวเฟิ่งชีแทน "เสวียนอ๋อง พระองค์จำคนผิดแล้วเพคะ"ครั้นเมื่อพูดจบก็คิดจะเดินเบี่ยงตัวออกไปทว่า ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะก้าวออกไป หมวกที่สวมไว้ถูกด้ายสีทองพุ่งเข้าใส่จนหลุดลอยไป เผยให้เห็นหน้าของฉินเจินในทันใดฉินเจินหันกลับมามองอีกฝ่ายทันที หางตาของหญิงสาวแดงก่ำ ตาก็จ้องมองไปยังเซียวเฟิ่งชีด้วยความโกรธ "เสวียนอ๋อง นี่พระองค์ต้องการสิ่งใดกันแน่หรือ""คราวนี้ยอมรับแล้วหรือว่าข้าทักไม่ผิดคนน่ะ"เซียวเฟิ่งชีถามด้วยเสียงเรียบฉินเจินเม้มริมฝีปาก แม้แต่ลมหายใจก็ถูกสูดเข้าออกอย่างหนักหน่วงขึ้น"พระชายารองขององค์ชายหกมีความแค้นอะไรหนักหนากับคุณหนูใหญ่ตระกูลจวินอย่างนั้นหรือ ถึงขั้นที่ทำร้ายนางจนเป็นเช่นนี้ได้"เซียวเฟิ่งชีเหลือบมองเข้าไปในตรอกแล้วเอ่ยขึ้นเมื
ฉินเจินสูดลมหายใจเข้าจนลึกพลางมองไปยังเซียวเฟิ่งชีด้วยแววตาที่เป็นประกาย "เสวียนอ๋อง เรามาทำข้อแลกเปลี่ยนกันเถอะเพคะ""หืม"เซียวเฟิ่งชีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองไปทางหญิงสาวการกระทำของชายหนุ่มนั้นเป็นไปโดยธรรมชาติ หากแต่ยังแฝงไปด้วยกิริยาท่าทีที่แสดงว่าตนเองมีความสูงศักดิ์และเย่อหยิ่ง อยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายไว้"หม่อมฉันรู้ว่าพระวรกายของพระองค์ไม่สู้ดีนัก หม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาให้พระองค์ แต่พระองค์ช่วยทำเมินเฉยต่อทุกอย่างที่หม่อมฉันทำได้หรือไม่เพคะ"นี่คือแผนที่ฉินเจินพยายามคิดออกมาอย่างรอบคอบภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆหญิงสาวมีความแค้นครั้งใหญ่ที่ต้องสะสาง ไร้ซึ่งเวลาที่จะไปรับมือกับเสวียนอ๋องได้แม้แต่วันนั้นที่จวินเหลยถิงหยิบป้ายเหล็กอักษรชาดออกมาจนเซียวเฟิ่งชีเอ่ยว่าจะไม่เอาเรื่องอีก นางก็หาได้เชื่อคำพูดนั้นไม่ เพราะนางรู้ความลับของเซียวเฟิ่งชีเข้าแล้ว จะถอนตัวออกไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกันเล่า"เจ้าคิดว่าข้าจะรับปากเจ้าหรือ"เซียวเฟิ่งชีถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่ยี่หระนักฉินเจินนึกไปถึงก่อนหน้านี้ที่นางใช้การช่วยชีวิตมาต่อรองกับเซียวเฟิ่งชี ชายหนุ่มถามนางก
ก่อนที่นางจะหมดสติไป คล้ายว่ามือคู่หนึ่งได้คว้าคอเสื้อของหญิงสาวไว้ เพื่อมิให้ร่างของนางต้องลงไปกองกับพื้นอย่างน่าอนาถสายลมอ่อนโยนน่าสดชื่น แสงแดดอันอบอุ่นสาดส่องกระทบผ่านริมหน้าต่างมายังเตียง ขนตาแพยาวของฉินเจินเคลื่อนไหวอยู่เล็กน้อยก่อนที่หญิงสาวจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นสิ่งที่หญิงสาวเห็นคือกระโจมสีเข้มที่ดูเคร่งขรึม ไม่เหมือนห้องส่วนตัวของเด็กสาว แต่ตอนนี้นางนอนอยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้าไหมชั้นดี นี่ตอนนี้นางอยู่ที่ใดกันแน่... เมื่อคิดได้ดังนี้ หญิงสาวก็นึกย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตรอกฉินเจินพบกับฉินหงซวงและลงมือทำร้ายนาง แล้วหลังจากนั้นเล่าเซียวเฟิ่งชี !ใช่แล้ว เซียวเฟิ่งชี !ฉินเจินคิดได้เช่นนั้นก็ลุกพรวดขึ้นทันที แต่เพราะออกแรงมากเกินไปทำให้นางเริ่มรู้สึกเวียนหัวจนเกือบจะล้มตัวลงบนเตียงภาพเหตุการณ์ก่อนที่จะสลบไปฉายเข้ามาในหัวของหญิงสาว ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะต่อยตัวเองสักหมัดสองหมัด ตอนนั้นนางรู้สึกเจ็บหัวใจขึ้นมา จากนั้นก็กระอักเลือด ภาพจำที่ชัดเจนที่สุดก็คือชุดสีมรกตของเซียวเฟิ่งชีเปื้อนไปด้วยคราบเลือด แล้วยังมีใต้คางของเขาอีก..."คุณพระคุณเจ้า !"ฉินเจินเอามือกุมหัว
ปีนี้คุณชายเฝิงอายุราวยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปีแล้ว บัดนี้เขาก็ยังอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยได้ยินว่าเขาหมั้นหมายกับหญิงสาวจากตระกูลขุนนางบ้านไหนมาก่อน เพียงแต่นางเองก็นึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะปรากฏตัวที่จวนเสวียนอ๋องเสียได้"แม่นางจวิน ยาชามนี้ข้าต้มไว้ให้เจ้าเพื่อปรับสมดุลของร่างกายและชำระล้างพิษที่ยังตกค้าง รีบดื่มตอนร้อน ๆ เถอะ"เฝิงเฉินยื่นถ้วยยาในมือของตนเองให้แก่ฉินเจินหากแต่ฉินเจินที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ความสงสัยฉายแววผ่านดวงตากลมโตของนาง "พิษตกค้างหรือ นี่ข้าถูกพิษอย่างนั้นหรือ""แม่นางจวินไม่ทราบหรือ" เฝิงเฉินเองก็เอ่ยถามด้วยความตกใจเช่นกันหญิงสาวอึ้งไปชั่วขณะแล้วจึงส่ายหัว "ข้าไม่รู้หรอก"ใช่ว่าก่อนหน้านี้นางไม่เคยตรวจชีพจรของตัวเองมาก่อน เพียงแต่ชีพจรที่ตรวจพบนั้นผันผวนไม่มั่นคง อาการเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่นัก นางจึงคิดว่าอาจเป็นผลที่เกิดจากการกลับมาเกิดใหม่ โดยมิได้นึกไปถึงว่าตนเองจะถูกพิษเลยแม้แต่น้อยนางถูกพิษได้อย่างไรกันใครเป็นคนวางยานางกันแน่ฝ่ายเฝิงเฉินเองพอได้ยินฉินเจินตอบเช่นนั้นก็พลอยขมวดคิ้วไปด้วย คล้ายว่าชายหนุ่มเองก็คิดไม่ถึงเช่นว
เดิมทีเซียวเฟิ่งชีเป็นคนที่โดดเด่นมากอยู่แล้ว ในยามที่เขาจ้องมองคน ความกดดันจึงมากยิ่งกว่าเดิม"มีอะไรหรือเพคะ บนหน้าหม่อมฉันมีอะไรติดอยู่หรือ"ฉินเจินเห็นว่าเซียวเฟิ่งชีจ้องมองตนเองอยู่จึงเอ่ยถามออกไป"เจ้าไม่รู้เชียวหรือว่าคราวก่อนที่ข้าพิษกำเริบคือเมื่อใด"จู่ ๆ เซียวเฟิ่งชีก็เอ่ยถามขึ้นฉินเจินกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความแปลกใจ จึงถามขึ้นทันที "หม่อมฉันจะทราบได้อย่างไรเพคะ"เซียวเฟิ่งชีนิ่งขรึมไปโดยไม่เอ่ยคำใดอีกเหลิ่งมู่เองก็เงยหน้ามองฉินเจินคล้ายอยากพูดอะไร แต่ก็มิได้พูดออกมาแม้แต่เฝิงเฉินเองก็เหมือนว่าอยากพูดอะไรขึ้นมาเช่นกันฉินเจินรู้สึกแปลกกับท่าทีของทุกคนอยู่บ้าง แต่นางยังคงเอ่ยกับเฝิงเฉินด้วยความสุภาพ "คุณชายเฝิง แม้วิชาแพทย์ของข้าจะพอใช้ได้ แต่ลำพังแค่การจับชีพจรนั้นไม่อาจรู้ได้จริง ๆ ว่าท่านอ๋องมีอาการพิษกำเริบครั้งล่าสุดเมื่อใดกัน""เหอะ..."แต่แล้วเซียวเฟิ่งชีกลับยิ้มเยาะออกมารัศมีที่เซียวเฟิ่งชีแผ่ออกมานั้นเปลี่ยนไปในฉับพลัน เพียงเขายกมือขึ้น ด้ายสีทองก็สว่างวาบจากนิ้วของเขาดุจสายฟ้า พุ่งตรงไปยังฉินเจิน เพียงครู่เดียวก็รัดลำคอของหญิงสาวไว้อีกครา"เสวียนอ๋อง
เฝิงเฉินเอ่ยถามออกมาสายตาของเขาแฝงด้วยความหวัง การรอคอย รวมถึงความสับสนและความเจ็บปวดจิ่งสิงเป็นสหายที่ดีที่สุดของเขา เป็นกระทั่งผู้ที่นำทางให้เขาสนใจเรียนวิชาแพทย์ แต่สิ่งที่เขาเรียนรู้มาทั้งชีวิตกลับไม่อาจช่วยชีวิตสหายรักของเขาได้ ใครเลยจะรู้ว่าเขาสิ้นหวังมากเพียงใดครั้นพอฉินเจินได้ยินคำถามของเฝิงเฉิน สีหน้าของนางก็พลอยเคร่งเครียดไปด้วย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยออกมา "เช่นนั้นพิษที่เสวียนอ๋องได้รับก็มิใช่พิษอัคคีเหมันต์""จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ดูจากปฏิกิริยาเมื่อพิษกำเริบ อาการป่วย ดูอย่างไรก็เป็นพิษอัคคีเหมันต์ เรื่องนี้สามารถยืนยันได้แน่นอน ข้ากำลังคิดว่า บางทีในตัวของจิ่งสิงอาจมีพิษอื่นที่ยังตรวจไม่พบ พอพิษทั้งสองผสานเข้าด้วยกัน ยาแก้พิษก็เลยใช้ไม่ได้ผลก็เป็นได้"หากแต่ฉินเจินกลับส่ายหน้า "ถึงแม้อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่สุด แต่จากประสบการณ์ที่ข้าเรียนวิชาแพทย์มาหลายปี ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ พิษอัคคีเหมันต์เป็นพิษที่ร้ายแรงมากแล้ว จะยังมีพิษอะไรที่อยู่ร่วมกับมันแล้วพวกเราจะไม่อาจรู้ได้เล่า"คำตอบของฉินเจินได้ปัดข้อสันนิษฐานของเฝิงเฉินทิ้ง"เว้นเสียแ
แต่นางคิดไม่ถึงว่าเซียวเฟิ่งชีจะเจอเรื่องที่น่าอนาถยิ่งกว่านาง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงโอรสสวรรค์พิษอัคคีเหมันต์ เป็นหนึ่งในสิบพิษที่ร้ายแรงที่สุด เป็นพิษที่ทำให้ผู้คนต้องทนทุกข์ทรมานยิ่งกว่าความตาย ไม่เพียงแต่ทำลายร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำลายจิตใจและสติสัมปชัญญะอีกด้วยมีคนจำนวนไม่น้อยที่เมื่อถูกพิษนี้แล้วไม่สามารถทนได้ตั้งแต่ระยะแรก และเลือกที่จะปลิดชีพหรือจบชีวิตตัวเองด้วยการฆ่าตัวตายใครกันแน่ที่เกลียดชังเซียวเฟิ่งชีถึงขนาดวางยาพิษอัคคีเหมันต์ให้แก่เขาได้"ใช่ พิษอัคคีเหมันต์นี่ละ !"เฝิงเฉินพยักหน้ายืนยันดวงตาของชายหนุ่มเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น และเพราะความเศร้าใจที่เกิดเมื่อพูดถึงอาการป่วยของเซียวเฟิ่งชี"พิษอัคคีเหมันต์ เป็นหนึ่งในสิบพิษที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดในใต้หล้าก็จริง แต่ถ้าจัดยาแก้พิษมาก็จะสามารถแก้ไขพิษนี้ได้ ยาแก้พิษอัคคีเหมันต์ ต้องใช้หญ้าตี้จิ่นธาตุร้อน บัวปิงเสวี่ยธาตุเย็น เพิ่มด้วยแมลงจิ่วเซียงที่อาศัยอยู่ชั้นใต้ผิวดิน แล้วหลอมออกมาเป็นยา ก็จะสามารถแก้พิษอัคคีเหมันต์ได้"ฉินเจินเอ่ยตำรับยาแก้พิษออกมาได้ทันทีทันทีที่หญิงสาวเอ่ยจบ เฝิงเฉ
ขณะที่ฉินเจินเอ่ยอธิบาย ท่าทีของเซียวเฟิ่งชีก็ดูเย็นลงไม่น้อยขณะที่เฝิงเฉินและเหลิ่งมู่กลับมองฉินเจินด้วยแววตาตกตะลึงเมื่อได้ยินในสิ่งที่นางเอ่ย โดยเฉพาะเฝิงเฉินที่มองหญิงสาวด้วยแววตาตื่นเต้นยิ่งกว่าอะไร"ร่างกายของพระองค์ทรุดโทรมมากแล้ว ถ้ายังหาวิธีแก้พิษไม่ได้อีก เกรงว่าพระองค์คงอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี"เสียงของฉินเจินดูเครียดขึ้นเล็กน้อย เพราะนางค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ของเซียวเฟิ่งชีเข้าเสียแล้ว หญิงสาวเริ่มเกิดความรู้สึกสงสารอีกฝ่ายขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ นางคิดว่าเซียวเฟิ่งชีนับได้ว่าน่าสงสารอยู่บ้าง"ครั้งที่แล้วเจ้าบอกว่าข้าจะอยู่ได้อีกไม่นาน อย่างมากที่สุดก็เพียงสามเดือนมิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้ถึงบอกว่าหนึ่งปีเล่า"อารมณ์ของเซียวเฟิ่งชีนั้นเรียบเฉย ไร้ซึ่งความกลัวหรือความเศร้าโศก ราวกับว่าเขายอมรับความจริงข้อนี้ได้นานแล้ว เพียงแต่เอ่ยถามด้วยความสงสัยเท่านั้น"ตอนนี้มีหม่อมฉันอยู่มิใช่หรือเพคะ หากหาวิธีแก้พิษไม่ได้ หม่อมฉันสามารถฝังเข็มเพื่อยื้อเวลาให้พระองค์ต่อไป แต่นี่จะเป็นวิธีสุดท้ายที่ใช้แก้ไข ดังนั้นจึงยื้อได้นานที่สุดถึงหนึ่งปี" ฉินเจินกล่าวขึ้นน้ำเสียงที่นางพูดถึง
ฉินเจินพยักหน้ารับแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองเซียวเฟิ่งชี "ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะช่วยจับชีพจรให้พระองค์ก่อนแล้วกันนะเพคะ""ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อคืนเจ้าได้ช่วยเซี่ยจืออั๋งไว้ ข้าคงไม่อาจเชื่อใจเจ้าได้ เพราะเจ้าเป็นหมอที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองโดนวางยาพิษ"เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเย็นชาเย่อหยิ่ง แลน้ำเสียงที่ทำให้คนหมั่นไส้ฝ่ายฉินเจินเมื่อถูกเซียวเฟิ่งชีขัดขาอีกคราก็เกิดความโกรธขึ้นในใจ จึงอดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่อีกฝ่าย "เสวียนอ๋องทรงคิดจะหาเรื่องหม่อมฉันเช่นนี้ตลอดให้ได้เลยใช่หรือไม่เพคะ""ข้าก็แค่พูดความจริง"หากแต่เซียวเฟิ่งชีกลับตอบหน้าตาเฉยเล่นเอาเฟิงเฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับเอามือลูบจมูกไปมาแล้วหลุดหัวเราะเสียงเบา ๆเซียวเฟิ่งชีกับฉินเจินได้ยินเสียงจึงพากันหันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน เฝิงเฉินจึงทำได้เพียงกระแอมไอเบา ๆ "ไม่มีอะไร ข้าสำลักน่ะ"เมื่อได้ยินคำตอบ ทั้งคู่จึงเบนหน้าหนีพร้อมกัน"รบกวนท่านอ๋องยื่นข้อมือออกมาด้วยเพคะ"ฉินเจินเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเซียวเฟิ่งชีแล้วเอ่ยขึ้นคราวนี้เซียวเฟิ่งชีให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขายื่นมือออกมา ฉินเจินถึงได้รู้ว่าข้อมือของเซียวเฟิ่
เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้นฉินเจินเผยอปากด้วยคิดจะเถียงกลับตามสัญชาตญาณ แต่ก็รั้งสติตัวเองไว้ได้ทันเวลา หญิงสาวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น "อันหุนเล่อเดิมทีเป็นยาพิษที่ทำให้คนตายไปในห้วงนิทรา ไร้สีไร้รส เว้นเสียแต่จะตรวจเลือดจึงจะรู้ได้แต่หม่อมฉันมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ ในร่างกายของหม่อมฉัน นั่นแปลว่าพิษอันหุนเล่อนี้เพิ่งอยู่ในร่างกายของหม่อมฉันได้ไม่นาน หลายวันก่อนหม่อมฉันถูกท่านอ๋องทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นี่ก็เพิ่งฟื้นมาได้เพียงสองวัน ช่วงระหว่างนี้คงมีใครคิดจะฆ่าหม่อมฉัน เพียงแต่หม่อมฉันดวงแข็ง ฟื้นกลับมาได้ พิษอันหุนเล่อที่ตกตะกอนอยู่ในร่างกายจนกระอักเลือดออกมาในวันนี้ได้"เซียวเฟิ่งชีหาได้ตอบโต้เรื่องที่ฉินเจินเอ่ยถึงการถูกท่านอ๋องทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ฝ่ายหญิงสาวเองก็มีสีหน้าเย็นชาไม่ต่างกัน จนเฝิงเฉินที่ยืนฟังอยู่คิดไปว่าทั้งสองคนกำลังจะลงไม้ลงมือกันขึ้นมาเสียแล้ว"แม่นางจวินวิเคราะห์ได้ถูกต้องยิ่งนัก"เฝิงเฉินเอ่ยขึ้นมา ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นไม่น้อยฉินเจินจึงหันไปส่งยิ้มให้เฝิงเฉินเซียวเฟิ่งชีเหลือบมองภาพตรงหน้า ก่อนจะขยับริมฝีปากบางแล้วเอ่ยขึ้น "ขนาดตอนหมดสติยังม
ปีนี้คุณชายเฝิงอายุราวยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปีแล้ว บัดนี้เขาก็ยังอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยได้ยินว่าเขาหมั้นหมายกับหญิงสาวจากตระกูลขุนนางบ้านไหนมาก่อน เพียงแต่นางเองก็นึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะปรากฏตัวที่จวนเสวียนอ๋องเสียได้"แม่นางจวิน ยาชามนี้ข้าต้มไว้ให้เจ้าเพื่อปรับสมดุลของร่างกายและชำระล้างพิษที่ยังตกค้าง รีบดื่มตอนร้อน ๆ เถอะ"เฝิงเฉินยื่นถ้วยยาในมือของตนเองให้แก่ฉินเจินหากแต่ฉินเจินที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ความสงสัยฉายแววผ่านดวงตากลมโตของนาง "พิษตกค้างหรือ นี่ข้าถูกพิษอย่างนั้นหรือ""แม่นางจวินไม่ทราบหรือ" เฝิงเฉินเองก็เอ่ยถามด้วยความตกใจเช่นกันหญิงสาวอึ้งไปชั่วขณะแล้วจึงส่ายหัว "ข้าไม่รู้หรอก"ใช่ว่าก่อนหน้านี้นางไม่เคยตรวจชีพจรของตัวเองมาก่อน เพียงแต่ชีพจรที่ตรวจพบนั้นผันผวนไม่มั่นคง อาการเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่นัก นางจึงคิดว่าอาจเป็นผลที่เกิดจากการกลับมาเกิดใหม่ โดยมิได้นึกไปถึงว่าตนเองจะถูกพิษเลยแม้แต่น้อยนางถูกพิษได้อย่างไรกันใครเป็นคนวางยานางกันแน่ฝ่ายเฝิงเฉินเองพอได้ยินฉินเจินตอบเช่นนั้นก็พลอยขมวดคิ้วไปด้วย คล้ายว่าชายหนุ่มเองก็คิดไม่ถึงเช่นว
ก่อนที่นางจะหมดสติไป คล้ายว่ามือคู่หนึ่งได้คว้าคอเสื้อของหญิงสาวไว้ เพื่อมิให้ร่างของนางต้องลงไปกองกับพื้นอย่างน่าอนาถสายลมอ่อนโยนน่าสดชื่น แสงแดดอันอบอุ่นสาดส่องกระทบผ่านริมหน้าต่างมายังเตียง ขนตาแพยาวของฉินเจินเคลื่อนไหวอยู่เล็กน้อยก่อนที่หญิงสาวจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นสิ่งที่หญิงสาวเห็นคือกระโจมสีเข้มที่ดูเคร่งขรึม ไม่เหมือนห้องส่วนตัวของเด็กสาว แต่ตอนนี้นางนอนอยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้าไหมชั้นดี นี่ตอนนี้นางอยู่ที่ใดกันแน่... เมื่อคิดได้ดังนี้ หญิงสาวก็นึกย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตรอกฉินเจินพบกับฉินหงซวงและลงมือทำร้ายนาง แล้วหลังจากนั้นเล่าเซียวเฟิ่งชี !ใช่แล้ว เซียวเฟิ่งชี !ฉินเจินคิดได้เช่นนั้นก็ลุกพรวดขึ้นทันที แต่เพราะออกแรงมากเกินไปทำให้นางเริ่มรู้สึกเวียนหัวจนเกือบจะล้มตัวลงบนเตียงภาพเหตุการณ์ก่อนที่จะสลบไปฉายเข้ามาในหัวของหญิงสาว ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะต่อยตัวเองสักหมัดสองหมัด ตอนนั้นนางรู้สึกเจ็บหัวใจขึ้นมา จากนั้นก็กระอักเลือด ภาพจำที่ชัดเจนที่สุดก็คือชุดสีมรกตของเซียวเฟิ่งชีเปื้อนไปด้วยคราบเลือด แล้วยังมีใต้คางของเขาอีก..."คุณพระคุณเจ้า !"ฉินเจินเอามือกุมหัว
ฉินเจินสูดลมหายใจเข้าจนลึกพลางมองไปยังเซียวเฟิ่งชีด้วยแววตาที่เป็นประกาย "เสวียนอ๋อง เรามาทำข้อแลกเปลี่ยนกันเถอะเพคะ""หืม"เซียวเฟิ่งชีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองไปทางหญิงสาวการกระทำของชายหนุ่มนั้นเป็นไปโดยธรรมชาติ หากแต่ยังแฝงไปด้วยกิริยาท่าทีที่แสดงว่าตนเองมีความสูงศักดิ์และเย่อหยิ่ง อยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายไว้"หม่อมฉันรู้ว่าพระวรกายของพระองค์ไม่สู้ดีนัก หม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาให้พระองค์ แต่พระองค์ช่วยทำเมินเฉยต่อทุกอย่างที่หม่อมฉันทำได้หรือไม่เพคะ"นี่คือแผนที่ฉินเจินพยายามคิดออกมาอย่างรอบคอบภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆหญิงสาวมีความแค้นครั้งใหญ่ที่ต้องสะสาง ไร้ซึ่งเวลาที่จะไปรับมือกับเสวียนอ๋องได้แม้แต่วันนั้นที่จวินเหลยถิงหยิบป้ายเหล็กอักษรชาดออกมาจนเซียวเฟิ่งชีเอ่ยว่าจะไม่เอาเรื่องอีก นางก็หาได้เชื่อคำพูดนั้นไม่ เพราะนางรู้ความลับของเซียวเฟิ่งชีเข้าแล้ว จะถอนตัวออกไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกันเล่า"เจ้าคิดว่าข้าจะรับปากเจ้าหรือ"เซียวเฟิ่งชีถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่ยี่หระนักฉินเจินนึกไปถึงก่อนหน้านี้ที่นางใช้การช่วยชีวิตมาต่อรองกับเซียวเฟิ่งชี ชายหนุ่มถามนางก