แชร์

บทที่ 0010

ผู้เขียน: สืออีเหนียน
ของในมือเขาเป็นกล่องไม้เคลือบสีดำ บนกล่องสลักเป็นลวดลายดอกไม้อันวิจิตร

บริวารของเซียวเฟิ่งชีก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อรับกล่องนั้นไป แล้วส่งให้แก่เซียวเฟิ่งชี

ฉินเจินเองก็เงยหน้าขึ้นไปมองเช่นกัน นางต้องการรู้ว่าจวินเหลยถิงมอบอะไรให้แก่เซียวเฟิ่งชี

ครั้นเมื่อกล่องนั้นถูกเปิดออก ก็เห็นป้ายเหล็กรูปทรงคล้ายกระเบื้องหลังคาปรากฏอยู่ตรงหน้า บนป้ายเหล็กนั้นหลักตัวอักษรไว้มาก แต่ตัวอักษรใหญ่ด้านบนสุดนั้นปรากฏอยู่ในสายตาของฉินเจินแจ่มชัดที่สุด ป้ายเหล็กอักษรชาด

ฉินเจินสูดลมหายใจเข้าไปเบา ๆ ด้วยความตกใจ แม้แต่ดวงตาที่แดงก่ำก็ค่อย ๆ เบิกกว้าง

บนป้ายเหล็กนั้น สลักไว้ซึ่งคุณงามความดีที่ตระกูลจวินทั้งสี่รุ่นได้ทำเพื่อราชวงศ์ต้าเซี่ย มีระบุเวลาที่พระราชทาน ชื่อสกุล ยศศักดิ์ ที่ดินของผู้ที่ได้รับพระราชทาน เป็นเกียรติยศพิเศษและรางวัลที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมอบให้ต่อตระกูลจวิน

ป้ายเหล็กอักษรชาด คือป้ายละเว้นโทษตาย !

ฉินเจินตื่นตะลึงในสิ่งที่เห็น นางคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่จวินเหลยถิงมอบให้เสวียนอ๋องจะเป็นป้ายละเว้นโทษตายที่มีความสำคัญมากเช่นนี้ นี่เป็นเกียรติยศอันหาที่สุดมิได้ของตระกูล เป็นของที่สำคัญที่สุดในการรักษาชีวิตของตระกูลนักรบ บัดนี้เขากลับนำมันออกมาเพื่อรักษาชีวิตนางไว้ ปกป้องให้นางปลอดภัย

เพราะป้ายเหล็กอักษรชาดถูกบรรจุไว้ในกล้อง คนอื่น ๆ จึงไม่กล้ายื่นคอออกมาดูของที่จวินเหลยถิงนำออกมา มีเพียงตำแหน่งที่ฉินเจินอยู่เท่านั้นจึงจะมองเห็นได้พอดี

ฉินเจินสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด คล้ายว่านาทีนี้นางเข้าใจจวินเหลยถิงผู้นี้ได้อย่างท่องแท้

แม่ทัพแห่งแคว้น ย่อมมิใช่คนทำอะไรหยาบโลน เขามีความกล้า มีความรู้ และมีความรับผิดชอบ

ทันทีที่ป้ายเหล็กอักษรชาดปรากฏขึ้น แม้แต่ท่านอ๋องเองก็ต้องถวายทำความเคารพแก่ฮ่องเต้พระองค์ก่อน ขอเพียงจวินเหลยถิงนำป้ายเหล็กอักษรชาดมาร้องขอต่อเซียวเฟิ่งชี มิให้เอาผิดต่อการที่ ‘นาง’ ล่วงเกินอีก เซียวเฟิ่งชีก็จะต้องยอมตอบตกลง ตามคำสั่งของฮ่องเต้พระองค์ก่อน หรือต่อให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอยู่ที่นี่ตอนนี้ ก็ไม่อาจขัดขืนต่อคำสั่งของฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้ มิฉะนั้นจะถือว่าทำผิดต่อบรรพบุรุษ

แต่จวินเหลยถิงมิได้ทำเช่นนั้น เขาเพียงแต่หยิบมันออกมาแล้วมอบให้แก่เซียวเฟิ่งชีอย่างเงียบ ๆ

เขาไม่อยากให้คนรู้กันไปทั่ว ไม่อยากให้คนในใต้หล้ารู้ว่าตระกูลจวินมีป้ายละเว้นโทษตายคอยคุ้มครองอยู่ จึงเลือกที่จะให้เซียวเฟิ่งชีเห็นเพียงคนเดียวเพื่อขอยอมความต่อกัน เขาไม่อยากให้เสวียนอ๋องเกิดความรังเกียจต่อตระกูลจวิน กลัวว่าวันหน้าลูกสาวจะถูกแก้แค้น เขาจึงยินดีที่จะทำดีต่ออีกฝ่าย ยินดีที่จะนำเอาไพ่ไม้ตายสุดท้ายของตระกูลจวินออกมาให้เซียวเฟิ่งชี

จวินเหลยถิง ยินดีใช้ทุกอย่างเพื่อปกป้องนางผู้เป็นลูกสาวจากใจจริง

ภายในใจของฉินเจินนั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึงจนไม่อาจพรรณนาความรู้สึกได้

นางกะพริบตาเพื่อไล่หยดน้ำตานั้น แม้นางจะโชคร้ายแต่นางก็ยังโชคดี

นางถูกคนทอดทิ้ง แต่ก็ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากอีกคน

ฉินเจินมองจวินเหลยถิงที่พยายามกลั้นความรู้สึกจนตาแดงก่ำไปหมด นางคิดไปว่า หากจวินเหลยถิงรู้ว่าลูกสาวของเขาได้จากโลกนี้ไปแบบไม่มีวันกลับแล้วเขาจะต้องปวดใจมากเพียงใด

"ของของตระกูลจวิน ท่านแม่ทัพจวินเก็บไว้ให้ดีเถิด"

ในขณะที่ฉินเจินนิ่งอึ้ง เสียงอันเย็นชาของเซียวเฟิ่งชีก็ดังขึ้นมากะทันหัน

เขาปิดกล่องไม้ในมือแล้วยื่นมันคืนให้แก่จวินเหลยถิง

"ท่านอ๋อง นี่..."

"ไม่เอาความอีก"

เซียวเฟิ่งชีเอ่ยตอบสี่พยางค์ด้วยน้ำเสียงเย็นชา กับสีหน้าที่ไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้

จวินเหลยถิงกลับตาแดงก่ำขึ้นมา "ขอบพระทัยท่านอ๋อง"

บริวารที่ยืนอยู่เบื้องหลังเซียวเฟิ่งชีเดินก้าวออกมาช่วยพยุงจวินเหลยถิงให้ลุกขึ้น

เซียวเฟิ่งชียกมือขึ้นเพื่อยื่นเอาป้ายเหล็กอักษรชาดมอบคืนแก่จวินเหลยถิง ไม่มีใครรู้ว่าภายในระยะเวลาสั้น ๆ นี้ จวินเหลยถิงได้ยอมเปิดเผยไพ่ไม้ตายของตระกูลจวินเพื่อลูกสาวของเขา ขณะที่เซียวเฟิ่งชีเองก็ไว้หน้าอีกฝ่าย

เพียงชายหนุ่มเอ่ยว่าไม่เอาความอีกฝ่าย ในใจของคนในหอฮุ่ยอิงก็พากันตกตะลึงถึงขีดสุด ในขณะที่ทุกคนต่างก็ตะลึงในตัวแม่ทัพใหญ่ตระกูลจวินที่รักและปกป้องลูกสาวยิ่งกว่าอะไรดี แล้วก็นึกสงสัยในของที่เขามอบให้แก่เซียวเฟิ่งชี แต่พวกเขาก็จดจำไว้ด้วยว่าแม่ทัพใหญ่ตระกูลจวินนั้นเก่งกาจสมคำร่ำลือ ขนาดเสวียนอ๋องยังต้องไว้หน้า

แน่นอนว่าก็ต้องมีคนที่ไม่ยอมแพ้เช่นกัน อย่างเช่นเซี่ยจืออั๋งที่คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้ได้

ไม่เอาความอีกหรือ

จะยอมจบแค่นี้น่ะหรือ

"ท่านพี่ ท่านจะยอมปล่อยไปเช่นนี้ได้อย่างไร จวินเฟยเซ่อผู้นั้นนางล่วงเกินท่านนะ แถมยังทำร้ายข้าที่เป็นญาติผู้น้องของท่านอีก ท่านดูเอาเถิด ตอนนี้ข้ายังนอนอยู่กับพื้นอยู่เลย"

ดวงตาดอกท้อของเซี่ยจืออั๋งตะลึงจนเบิกกว้าง ร้องโวยวายด้วยความไม่ยอม

จวินเหลยถิงเลิกคิ้วขึ้น พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ออกหมัดกับอีกฝ่าย

"พาตัวเซี่ยซือจื่อไป ตามหมอมาตรวจอาการด้วย"

เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้น

บริวารของเขาได้ยินเช่นนั้นก็ก้าวออกมาข้างหน้าทันที ก่อนจะช่วยพยุงตัวเซี่ยจืออั๋งให้ลุกขึ้น เซี่ยซือจื่อคนนี้ก็แสบนัก นอนกับพื้นอยู่เนิ่นนาน ผู้ติดตามพยายามพยุงกี่ทีก็ไม่ยอมให้แตะ พอตอนนี้ก็เริ่มร้องขึ้นมาอีก "ไม่ ๆ ๆ ข้าไม่ลุก ท่านพี่ ท่านจะปล่อยไปเช่นนี้มิได้ ท่านต้องคืนความเป็นธรรมให้แก่ข้า เจ็บ ๆ ๆ อย่ามาแตะตัวข้า..."

เซี่ยจืออั๋งร้องโวยวายเสียงดัง

ฉินเจินได้ยินแล้วก็นึกโมโหขึ้นมา เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนแต่เป็นเพราะเซี่ยจืออั๋ง ไม่รู้เพราะอะไร นางจึงอยากจะทำตามอำเภอใจสักหน จึงตัดสินใจก้าวขาออกไปทางเซี่ยจืออั๋ง

"เจ้า ๆ ๆ เจ้าทำอะไร..."

เพียงฉินเจินขยับ ทุกคนก็พากันหันมามองนาง

หากแต่เพียงแค่เดินตรงไปยืนอยู่ตรงหน้าเซี่ยจืออั๋งโดยไม่พูดอันใด ยกมือของนางขึ้นแล้วสับสันมือลงที่ต้นคอด้านหลังของเซี่ยจืออั๋งโดยไม่ลังเล

เซี่ยจืออั๋งกลอกตาไปมาก่อนจะสลบลงไปทันที

ฟู่...

ในที่สุดใต้หล้าก็เป็นสุขได้เสียที

ที่แท้การได้ทำอะไรตามอำเภอใจก็สะใจเช่นนี้เองหรือ พอไม่ถูกกันก็ลงมือลงไม้นั้นช่วยระบายความโกรธได้ถึงขนาดนี้

พอฉินเจินหวนนึกถึงชาติที่แล้วของตนเอง ก็รู้สึกได้เพียงความรู้สึกอึดอัดน้อยเนื้อต่ำใจ

ผู้คนพากันเงียบ... !

จวินเหลยถิงเอง... ก็พูดไม่ออกเช่นกัน !

ลูกสาวของเขาก็ยังคงเป็นลูกสาวคนเดิม

แต่การลงมือต่อหน้าเสวียนอ๋องเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็กระอักกระอ่วนไปบ้าง เซี่ยจืออั๋งเป็นถึงลูกพี่ลูกน้องของอ๋องเซียว ซ้ำยังเป็นญาติสายตรงด้วย

"แค่ก ๆ"

จวินเหลยถิงกระแอมไอขึ้นมา ก่อนจะทำทีเป็นตำหนิขึ้น "นางหนูนี่นะ เจ้าลงมือทำร้ายคนต่อหน้าเสวียนอ๋องตามอำเภอใจเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ต่อให้เซี่ยซือจื่อผู้นี้เข้าใจเจ้าผิด แล้วยังใส่ร้ายเจ้า ด่าว่าเหยียดหยามเจ้า แล้วยังพูดจาไม่ดี แต่เจ้าจะลงมือตามอำเภอใจเช่นนี้ไม่ได้นะ โชคดีที่เสวียนอ๋องท่านมีเมตตาใจกว้างนัก ไม่เอาเรื่องกับทุกอย่างในอดีตอีก รีบมาขอบพระทัยเสวียนอ๋องเร็วเข้า"

และเป็นอีกครั้งที่ผู้คนพากันอึ้งกิมกี่... !

คำพูดคำจาช่างมีวาทศิลป์จริง ๆ

ฉินเจินมองไปทางเซียวเฟิ่งชีอย่างไม่ชอบใจนัก แต่คิดไม่ถึงว่าเขากำลังจ้องนางอยู่ สองสายตาประสานกันราวกับมีมีดวายุไร้รูปลักษณ์ผ่านหน้าไป

สายตาของฉินเจินนั้นเย็นชาเรียบเฉย นางไม่ยินดีที่จะขอบคุณอีกฝ่าย

ความรักและการปกป้องลูกสาวของจวินเหลยถิงทำให้นางตกตะลึงก็จริง แต่นางก็รู้ดีว่าเซียวเฟิ่งชีเป็นคนสังหารจวินเฟยเซ่อ จะให้ขอบคุณหรือ จะให้ขอบคุณอะไรกันเล่า

จวินเหลยถิงเห็นว่าลูกสาวยืนอยู่กับที่ไม่ขยับก็นึกร้อนใจขึ้นมา เพราะเขาเห็นว่าสายตาของลูกสาวตนเองนั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา ในใจก็นึกกังวลขึ้นมา คิดเพียงว่าลูกสาวคงแค้นเสวียนอ๋องเข้าแล้ว เพราะถึงอย่างไรเขาก็เคยเกือบฆ่านางจนตาย แล้วยังทำให้หน้าผากของนางมีแผลเป็นอีก

แม่ทัพใหญ่ลอบถอนใจอยู่ภายในใจ

เด็กคนนี้ ยังเก็บอารมณ์ไม่อยู่เช่นเคย

เสวียนอ๋องเป็นคนที่ใส่อารมณ์ด้วยได้อย่างนั้นหรือ

ทุกคนในราชวงศ์ต้าเซี่ยต่างก็รู้กันว่า "ยอมล่วงเกินองค์รัชทายาท ดีกว่าล่วงเกินเสวียนอ๋อง"

นั่นเป็นเพราะองค์รัชทายาทยังมีฮ่องเต้คอยควบคุมอีกที แต่เสวียนอ๋องนั้นไม่ฟังใครทั้งนั้น เขาเย็นชาไม่เข้าใกล้ใคร ทำอะไรตามลำพัง

ประโยคนี้มีที่มาชัดเจน ครานั้นท่านโหวน้อยตระกูลเซี่ยจากจวนโหวจิ้งกั๋วกงดื่มจนเมา ปากไม่มีหูรูด จนเผลอพลั้งพูดจาเย้ยหยันที่เสวียนอ๋องขาพิการในวงเหล้า ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ไปถึงหูของเสวียนอ๋องได้อย่างไร ต่อมาท่านโหวน้อยคนนี้ก็ถูกคนของจวนเสวียนอ๋องจับตัวไป

เพราะจวนโหวจิ้งกั๋วกงนั้นมีทายาทเพียงคนเดียว ครานั้นจิ้งกั๋วกงนำคนทั้งตระกูลไปคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ขอให้ฮ่องเต้ออกหน้าขอร้องเสวียนอ๋อง ให้ปล่อยท่านโหวน้อยตระกูลเซี่ยไป

ฮ่องเต้เองก็ทรงเห็นแก่ที่จวนโหวจิ้งกั๋วกงทำความดีความชอบให้แก่ราชวงศ์ จึงได้ไว้หน้าอีกฝ่าย ส่งพระราชโองการถึงสามฉบับไปเรียกเซียวเฟิ่งชีให้เข้าวัง ให้เขาปล่อยท่านโหวน้อยตระกูลเซี่ย

แต่ทว่า...

พอคิดมาถึงตรงนี้ จวินเหลยถิงถึงกับถอนหายใจ

เขาปล่อยคนแล้วก็จริง แต่ถูกทิ้งไว้หน้าประตูจวนจิ้งกั๋วกงด้วยสภาพที่ถูกถลกหนังเลาะเอ็น

เป็นสภาพที่น่าอนาถ อนาถจนเลือดไหลนองทั่วหน้าประตูจวน

ว่ากันว่าจิ้งกั๋วกงถึงกับหมดสติไปในทันที ป่วยหนักอยู่สามเดือนเต็ม ไม่อาจไปว่าราชการได้อีก

และด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงได้รู้ว่าเสวียนอ๋องผู้ที่ดูผิวเผินแล้วแค่ไม่แยแสใคร แท้จริงแล้วเย็นชาไร้หัวใจ

ดังนั้นตอนที่ลูกสาวของเขาแอบไปดูเสวียนอ๋องอาบน้ำจนถูกทำร้ายด้วยสภาพปางตายก่อนจะนำมาส่งที่จวน เขายังรู้สึกว่าโชคดียิ่งนัก ที่มิได้ถูกถลกหนังเลาะกระดูก เลือดอาบนองประตูเหมือนท่านโหวน้อยตระกูลเซี่ย ตายชนิดที่ไม่มีวันฟื้นได้อีก

ฉินเจินไม่เต็มใจนัก เท้าหนักราวกับหลอมตะกั่วเอาไว้ นางเงยหน้ามองเซียวเฟิ่งชี แต่คิดไม่ถึงว่า...

บทที่เกี่ยวข้อง

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0011

    เซียวเฟิ่งชีมองดูหญิงสาวด้วยแววตาเยือกเย็นดวงตาของทั้งคู่สบประสานกันต่างฝ่ายต่างจ้องกันราวกับมีไอสังหารที่มองไม่เห็นแผ่อยู่โดยรอบ คนหนึ่งเรียบเฉย อีกคนเย็นชา แต่ก็เหมือนกับซ่อนอะไรบางอย่างไว้ลึกยิ่งกว่านั้น"คุณหนูจวินไม่ยินดีทำ แม่ทัพใหญ่ก็ไม่ต้องฝืนนางไปหรอก ในเมื่อข้าบอกแล้วว่าจะไม่เอาความอีก เช่นนั้นข้าก็ย่อมไม่สนใจคำขอโทษจากคุณหนูจวิน"เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้นดวงตาที่งดงามภายใต้หน้ากากนั้น จับจ้องไปยังฉินเจินด้วยความนิ่งสงบและล้ำลึก เม้มมุมปากอยู่เล็กน้อยด้วยความเย็นชาจวินเหลยถิงได้ยินเซียวเฟิ่งชีเอ่ยเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้น ใจก็พลางนึกว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร ทั้งที่เสวียนอ๋องปากก็บอกว่าไม่สนใจ แต่สายตาที่จับจ้องมายังใบหน้าของลูกสาวเขานั้นดูจะเย็นชาเสียยิ่งกว่าไม่ดีแน่เมื่อคิดได้เช่นนั้น แม่ทัพใหญ่ก็โค้งตัวแล้วเอ่ยขึ้นทันที "ท่านอ๋องอย่าได้ทรงเข้าใจผิดไป ลูกสาวกระหม่อมย่อมมิได้ไม่ยินยอมขอโทษท่านอ๋องอย่างแน่นอน ลูกสาวกระหม่อมรู้ว่าตัวเองผิดอย่างไม่น่าให้อภัย ในใจรู้สึกหวั่นกลัว จึงมิกล้ามองท่านอ๋องก็เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ"จวินเหลยถิงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีที่เปี่ยมด้วยความยุติ

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0012

    เซียวเฟิ่งชีกำลังพูดถึงฉินเจินเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถในการสังเกตได้อย่างน่าทึ่ง ตอนท้ายที่จวินเหลยถิงให้จวินเฟยเซ่อขอโทษเขา เห็นได้ชัดว่าจวินเฟยเซ่อปฏิเสธที่จะทำ แต่เพราะฐานันดรจึงจำเป็นต้องทำ ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากก็เป็นลมไปเสียแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญเกินไป ตอนนั้นเขาสังเกตได้ว่า มือของจวินเฟยเซ่อวางอยู่ตรงตำแหน่งนี้โดยตลอดพอคิดถึงก่อนหน้าที่หญิงสาวคนนี้เพียงจับชีพจรก็รู้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เขาเลยลอบสังเกตนางอยู่ตลอดวันนี้ตอนที่ได้พบกันเขาก็รู้สึกว่าแปลก ที่แปลกก็คือจวินเฟยเซ่อ ไม่ว่าจะเป็นท่าที คำพูด กริยาท่าทางก็ต่างกับก่อนหน้านี้ลิบลับ ทำให้เขานึกสงสัยขึ้นมา"อะไรนะ"เฝิงเฉินฟังแล้วก็ฉงนนักจนพลั้งปากเอ่ยถามกลับแต่กลับพบว่าแววตาของเซียวเฟิ่งชีดูเคร่งขรึมลง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงถามขึ้น "อาเฉิน มีคนที่เพียงจับชีพจรของข้าก็รู้ว่าข้ามีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน นางบอกว่า นางช่วยข้าได้""อะไรนะ !"ครั้งนี้เฝิงเฉินตกตะลึงขึ้นจริง ๆ เขาลุกขึ้นพรวดจนไล่ความง่วงออกไปได้หมด เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่าจิ่งสิงไม่ใช่คนที่พูดจาซี้ซั้ว"ใครกัน เป็นใครก

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0013

    เฝิงเฉินกับเหลิ่งมู่มองหน้ากัน ทั้งสองต่างไม่พูดไม่จาไม่ว่าอย่างไร เจ้านายก็ยังเป็นเจ้านายคนเดิมของเขาอยู่ดี...อีกด้านหนึ่งการที่ฉินเจินสลบไสลไปทำให้จวินเหล่ยถิงถึงกับตกใจจนแทบแย่ ลี่ว์จู๋ที่เดินตามหลังก็เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ ครั้นพอกลับถึงจวนแม่ทัพฉินเจินก็ตื่นขึ้นพอดี ก่อนนี้นางได้กดจุดของตัวเองจนทำให้หน้ามืดไป ก็เพื่อที่จะหลีกหนีการขอโทษเซียวเฟิ่งชีอีกอย่าง รอยรัดที่คอรวมถึงแผลบนฝ่ามือของนางก็ล้วนเกิดจากเซียวเฟิ่งชี ต่อให้บัดนี้นางอาศัยร่างของจวินเฟยเซ่ออยู่ แต่ต้องรู้ไว้ว่าจวินเฟ่ยเซ่อตายด้วยน้ำมือของเขา แล้วนี่จะให้นางขอโทษแทนจวินเฟยเซ่ออย่างนั้นหรือ อย่าเลยดีกว่า...คนก็ตายไปแล้ว ยังจะต้องขอโทษอะไรกันอีกเล่า"ลูกพ่อ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง"เมื่อจวินเหลยถิงเห็นว่าลูกสาวฟื้น เขาก็รีบถามด้วยความระมัดระวัง ในสายตาของจวินเหลยถิงตอนนี้ จวินเฟยเซ่อเป็นเหมือนวัตถุบอบบางที่แตกหักได้ง่าย"ข้าไม่เป็นไร"ฉินเจินส่ายหน้าปฏิเสธเมื่อมองดูจวินเหลยถิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ภายในใจทั้งสับสนและอิ่มเอมลี่ว์จู๋เดินไปเคาะประตู แจ้งว่าแม่ทัพกลับมาแล้ว ประตูของแม่ทัพใหญ่จึงเปิดขึ้น พกวเขาสา

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0014

    หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง ขณะที่จวินเหลยถิงฟังแล้วรู้สึกเหมือนใจสลาย น้ำตาของบุรุษอกสามศอกเอ่อล้นขอบตา "ดูเจ้าสินางหนู ไม่ว่าเจ้าเปลี่ยนไปอย่างไร เจ้าก็เป็นลูกของพ่ออยู่ดี แล้วพ่อจะไม่รักเจ้าได้อย่างไรเล่า"จวินเหลยถิงเอามือลูบหน้า ทอดถอนใจพลางเอ่ยขึ้น "นางหนู ที่จริงพ่อรู้มาตลอดว่าเจ้าเกลียดพ่อ"ครั้นพ่อแม่ทัพใหญ่พูดจบ ฉินเจินก็ถึงกับตกตะลึงไป ด้วยคิดไม่ถึงว่าจวินเหลยถิงจะเอ่ยเช่นนี้ จึงรีบส่ายหัวแล้วเอ่ยขึ้น "จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า..."แต่ยังไม่ทันพูดจบ นางก็เห็นว่าจวินเหลยถิงส่ายหัว ใบหน้าของเขาปรากฏสีหน้าที่ยากจะเอื้อนเอ่ย "นางหนู ในใจพ่อรู้ดีทุกอย่างว่า ลึก ๆ ในใจเจ้าแล้วแค้นพ่อขนาดไหน เจ้าไม่มีแม่มาตั้งแต่เด็ก พ่อเองก็อยู่ในสนามรบตลอด ทิ้งเจ้าไว้ในจวนแม่ทัพแห่งเมืองหลวงตัวคนเดียว ใช้ชีวิตอยู่กับท่านย่า พ่อได้รับจดหมายจากย่าเจ้าเสมอ บอกว่าเจ้าไปสร้างเรื่องอะไรมาบ้าง วันนี้ไปเตะต่อยกับใคร วันก่อนด่ากับใครมา แล้วยังไปทำอะไรกับใครบ้านไหนอีก ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงวุ่นวายไปหมด...พอเห็นจดหมายพวกนี้ พ่อก็นึกถึงภาพที่ย่าเจ้าโมโหจนตัวสั่นได้เลย แต่พ่อกังวลเจ้ามากกว่า กังวลว่าเ

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0015

    กิริยาท่าทางที่เป็นตามไปธรรมเนียมของความเป็นกุลธิดาชั้นสูงทำให้ทุกคนตะลึงขึ้นมาในทันทีแม้แต่ฮูหยินใหญ่เองก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน มือที่จับไม้เท้าอยู่ถึงกับสั่นเทาขึ้นมา แม้แต่ขอบตาก็เริ่มแดงก่ำขึ้น "นางหนู..."เอ่ยได้เพียงเท่านี้ หญิงชราก็ไม่อาจพูดอะไรต่อไปได้อีกแม้แต่นางเองก็สะอื้นไห้ขึ้นมาเช่นกันนางหนูตัวดีที่วัน ๆ อยู่ไม่สุข ก่อเรื่องโดยไม่สนใจใครของนาง กลับคารวะนางด้วยท่าทีที่เป็นระเบียบเรียบร้อย นี่คงเป็นเพราะเจอบทลงโทษที่หนักหนาจนกลัวแล้วสินะฮูหยินใหญ่ถึงกับทอดถอนใจ นางไม่อาจเอ่ยคำต่อว่าต่อขานหญิงสาวได้ลงอีก"ท่าทางเรียบร้อยว่าง่ายของเจ้าเช่นนี้ ทำให้ย่านึกถึงแม่ของเจ้าขึ้นมา"ฮูหยินใหญ่ถอนใจพลางเบือนหน้าหนี แล้วใช้มือคลึงหว่างคิ้วจวินเหลยถิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เองก็ทรมานใจเช่นกัน ท่าทีเคารพตามฉบับสตรีชั้นสูงของลูกสาวเขาเรียกความทรงจำที่ถูกกดไว้ภายในใจของเขาออกมาทั้งหมด หญิงสาวที่เขารักได้จากเขาไปถึงสิบหกปีแล้ว...ฮูหยินใหญ่พึมพำกับตัวเอง ครั้นเมื่อรู้สึกได้ว่าท่าทีของตนเองดูอ่อนลงเพราะการเคารพแบบสตรีชั้นสูงนี่ ก็รีบปั้นหน้าตึงขึ้นอีกครั้ง "เจ้านี่นะ พอไปเจอเรื่องเสียเปรีย

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0016

    "น้องหญิง นี่ข้าเอง" เสียงทุ้มต่ำของชายผู้หนึ่งดังขึ้น พลางคว้ามือของฉินเจินที่ยื่นออกมากุมไว้จนแน่น ฉินเจินกะพริบตาขณะยังคงหอบหายใจอยู่ สายตาที่พร่าเลือนอยู่ชั่วครู่ทำให้ไม่ทันนึกว่าตนเองอยู่ที่ใด ท้องฟ้าด้านนอกมืดมิด สายฝนโปรยปราย ราวกับได้ย้อนกลับไปในคืนนั้น ฉินเจินค่อย ๆ รวบรวมสติขึ้นมา สายตาจึงค่อยกลับมามองได้ชัดเจนขึ้น แล้วจึงหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเตียง เขาสวมชุดทหารรักษาพระองค์ปักลายนกอินทรี เรียวคิ้วคมกริบดั่งกระบี่ ใบหน้าคมชัด ดวงตาลึกซึ้ง ริมฝีปากเม้มเข้าหากันราวกับกำลังกังวลใจ นี่คือจวินเสวียนเย่ พี่ชายคนโตของจวินเฟยเซ่อ "น้องหญิง เจ้าฝันร้ายหรือ"ในแววตาของจวินเสวียนเย่ฉายแววกังวลอย่างชัดเจนเขามาถึงนานแล้ว กลับเห็นว่าน้องสาวของตนดูเหมือนจะอยู่ในห้วงฝันร้าย เฝ้าตะโกนถามว่า ‘ทำไม... ทำไม...’ อยู่ตลอดเวลา แม้แต่ในขณะหลับฝันก็ยังรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวของนางในใจจวินเสวียนเย่รู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งนัก เพราะรู้ว่าครานี้น้องสาวเจอเรื่องร้ายแรงมาจนทำให้ตกใจกลัว ฉินเจินค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจ แล้วค่อยตระหนักถึงสถานการณ์ตรงหน้าได้ จวินเหลยถิงมีบุตรชายสามคน พี่ชายใ

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0017

    จวินหลิงเอ๋อร์ถามออกมาตามสัญชาตญาณ ฉินเจินเม้มริมฝีปาก นางชินกับท่าทีพวกนี้เสียแล้ว คำพูดคำจา กิริยาท่าทางที่ดุจดั่งสตรีชนชั้นสูงนั้นมันฝังลึกอยู่ในตัวนาง ไม่ใช่เรื่องที่จะเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาอันสั้น แน่นอนว่านางก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงเช่นกัน กฎระเบียบที่เรียนในวัยเด็กสอนไว้ว่า ยามยืนต้องยืนอย่างน่าเคารพ ยามนั่งต้องนั่งอย่างมีมารยาท นางคือฉินเจินในชาติก่อน และจวินเฟยเซ่อในชาตินี้ นางไม่คิดที่จะแสร้งทำนิสัยอย่างจวินเฟยเซ่อ เพราะจะเสแสร้งได้ไม่นาน ในเมื่อนางยอมรับความเป็นจวินเฟยเซ่อแล้ว นางเพียงอยากจะแสดงออกในแบบที่เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด "น้องหญิง เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ" ฉินเจินเอ่ยถามขึ้น เพียงเอ่ยออกไปก็สามารถดึงความสนใจของจวินหลิงเอ๋อร์ได้ตามคาด "มีสิ" จวินหลิงเอ๋อร์พยักหน้า แต่พอจะพูด ใบหน้านางกลับขมวดคิ้วมุ่น "ท่านพี่ ทำไมท่านเรียกข้าว่าน้องหญิง ข้าไม่ชินเลย ก่อนหน้านี้ท่านเรียกข้าว่าจวินหลิงเอ๋อร์" ฉินเจิน "...!" นางกะพริบตาพลางกระแอมไอ ใช่ นางเคยได้ยินจวินเฟยเซ่อเรียกจวินหลิงเอ๋อร์อย่างนั้นสุดท้ายนางก็เชิดคางขึ้น เรียกชื่อจวินหลิงเอ๋อร์ซ้ำ ๆ ในตอ

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0018

    "ไม่...ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ" ลี่ว์จู๋ส่ายหัวด้วยใบหน้าขาวซีด แต่เสียงอึกทึกข้างนอกกลับดังขึ้นเรื่อย ๆ ฉินเจินขมวดคิ้วมุ่น "เกิดอะไรขึ้นกันแน่" ลี่ว์จู๋ไม่พูดอะไร ฉินเจินจึงลุกขึ้นและเดินตรงไปด้านนอก "คุณหนู ออกไปไม่ได้นะเจ้าคะ... ฮูหยินผู้เฒ่าและท่านแม่ทัพสั่งไว้ว่า ท่านจะโผล่หน้าออกไปไม่ได้เด็ดขาดเลยนะเจ้าคะ" เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หัวใจของฉินเจินพลันกระตุก และเข้าใจในทันทีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอกนั้นต้องเกี่ยวข้องกับนางแน่ "ออกไปดูหน่อย" ฉินเจินพูดกับจวินหลิงเอ๋อร์ เมื่อทั้งสองคนเตรียมจะเดินออกไป ทันใดนั้นลี่ว์จู๋กลับวิ่งไปที่ประตู กางแขนทั้งสองข้างขวางไว้ "ไม่ได้นะเจ้าคะ คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง พวกท่านจะออกไปไม่ได้" ท่าทีของนางนั้นเด็ดขาดมาก "หลีกไป" เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ข้างนอกต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ ฉินเจินตะคอกเสียงเย็นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ลี่ว์จู๋สะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาแดงก่ำ แต่ยังคงยืนขวางประตูไว้ "นังบ่าว เจ้ากำลังทำอะไร เจ้าไม่เห็นหรือว่าท่านพี่โกรธแล้ว หากพวกข้าจะออกไป เจ้าก็ขวางไม่ได้หรอก ดังนั้นรีบบอกมา ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นกันแน่" จว

บทล่าสุด

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0040

    เดิมทีเซียวเฟิ่งชีเป็นคนที่โดดเด่นมากอยู่แล้ว ในยามที่เขาจ้องมองคน ความกดดันจึงมากยิ่งกว่าเดิม"มีอะไรหรือเพคะ บนหน้าหม่อมฉันมีอะไรติดอยู่หรือ"ฉินเจินเห็นว่าเซียวเฟิ่งชีจ้องมองตนเองอยู่จึงเอ่ยถามออกไป"เจ้าไม่รู้เชียวหรือว่าคราวก่อนที่ข้าพิษกำเริบคือเมื่อใด"จู่ ๆ เซียวเฟิ่งชีก็เอ่ยถามขึ้นฉินเจินกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความแปลกใจ จึงถามขึ้นทันที "หม่อมฉันจะทราบได้อย่างไรเพคะ"เซียวเฟิ่งชีนิ่งขรึมไปโดยไม่เอ่ยคำใดอีกเหลิ่งมู่เองก็เงยหน้ามองฉินเจินคล้ายอยากพูดอะไร แต่ก็มิได้พูดออกมาแม้แต่เฝิงเฉินเองก็เหมือนว่าอยากพูดอะไรขึ้นมาเช่นกันฉินเจินรู้สึกแปลกกับท่าทีของทุกคนอยู่บ้าง แต่นางยังคงเอ่ยกับเฝิงเฉินด้วยความสุภาพ "คุณชายเฝิง แม้วิชาแพทย์ของข้าจะพอใช้ได้ แต่ลำพังแค่การจับชีพจรนั้นไม่อาจรู้ได้จริง ๆ ว่าท่านอ๋องมีอาการพิษกำเริบครั้งล่าสุดเมื่อใดกัน""เหอะ..."แต่แล้วเซียวเฟิ่งชีกลับยิ้มเยาะออกมารัศมีที่เซียวเฟิ่งชีแผ่ออกมานั้นเปลี่ยนไปในฉับพลัน เพียงเขายกมือขึ้น ด้ายสีทองก็สว่างวาบจากนิ้วของเขาดุจสายฟ้า พุ่งตรงไปยังฉินเจิน เพียงครู่เดียวก็รัดลำคอของหญิงสาวไว้อีกครา"เสวียนอ๋อง

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0039

    เฝิงเฉินเอ่ยถามออกมาสายตาของเขาแฝงด้วยความหวัง การรอคอย รวมถึงความสับสนและความเจ็บปวดจิ่งสิงเป็นสหายที่ดีที่สุดของเขา เป็นกระทั่งผู้ที่นำทางให้เขาสนใจเรียนวิชาแพทย์ แต่สิ่งที่เขาเรียนรู้มาทั้งชีวิตกลับไม่อาจช่วยชีวิตสหายรักของเขาได้ ใครเลยจะรู้ว่าเขาสิ้นหวังมากเพียงใดครั้นพอฉินเจินได้ยินคำถามของเฝิงเฉิน สีหน้าของนางก็พลอยเคร่งเครียดไปด้วย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยออกมา "เช่นนั้นพิษที่เสวียนอ๋องได้รับก็มิใช่พิษอัคคีเหมันต์""จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ดูจากปฏิกิริยาเมื่อพิษกำเริบ อาการป่วย ดูอย่างไรก็เป็นพิษอัคคีเหมันต์ เรื่องนี้สามารถยืนยันได้แน่นอน ข้ากำลังคิดว่า บางทีในตัวของจิ่งสิงอาจมีพิษอื่นที่ยังตรวจไม่พบ พอพิษทั้งสองผสานเข้าด้วยกัน ยาแก้พิษก็เลยใช้ไม่ได้ผลก็เป็นได้"หากแต่ฉินเจินกลับส่ายหน้า "ถึงแม้อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่สุด แต่จากประสบการณ์ที่ข้าเรียนวิชาแพทย์มาหลายปี ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ พิษอัคคีเหมันต์เป็นพิษที่ร้ายแรงมากแล้ว จะยังมีพิษอะไรที่อยู่ร่วมกับมันแล้วพวกเราจะไม่อาจรู้ได้เล่า"คำตอบของฉินเจินได้ปัดข้อสันนิษฐานของเฝิงเฉินทิ้ง"เว้นเสียแ

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0038

    แต่นางคิดไม่ถึงว่าเซียวเฟิ่งชีจะเจอเรื่องที่น่าอนาถยิ่งกว่านาง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงโอรสสวรรค์พิษอัคคีเหมันต์ เป็นหนึ่งในสิบพิษที่ร้ายแรงที่สุด เป็นพิษที่ทำให้ผู้คนต้องทนทุกข์ทรมานยิ่งกว่าความตาย ไม่เพียงแต่ทำลายร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำลายจิตใจและสติสัมปชัญญะอีกด้วยมีคนจำนวนไม่น้อยที่เมื่อถูกพิษนี้แล้วไม่สามารถทนได้ตั้งแต่ระยะแรก และเลือกที่จะปลิดชีพหรือจบชีวิตตัวเองด้วยการฆ่าตัวตายใครกันแน่ที่เกลียดชังเซียวเฟิ่งชีถึงขนาดวางยาพิษอัคคีเหมันต์ให้แก่เขาได้"ใช่ พิษอัคคีเหมันต์นี่ละ !"เฝิงเฉินพยักหน้ายืนยันดวงตาของชายหนุ่มเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น และเพราะความเศร้าใจที่เกิดเมื่อพูดถึงอาการป่วยของเซียวเฟิ่งชี"พิษอัคคีเหมันต์ เป็นหนึ่งในสิบพิษที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดในใต้หล้าก็จริง แต่ถ้าจัดยาแก้พิษมาก็จะสามารถแก้ไขพิษนี้ได้ ยาแก้พิษอัคคีเหมันต์ ต้องใช้หญ้าตี้จิ่นธาตุร้อน บัวปิงเสวี่ยธาตุเย็น เพิ่มด้วยแมลงจิ่วเซียงที่อาศัยอยู่ชั้นใต้ผิวดิน แล้วหลอมออกมาเป็นยา ก็จะสามารถแก้พิษอัคคีเหมันต์ได้"ฉินเจินเอ่ยตำรับยาแก้พิษออกมาได้ทันทีทันทีที่หญิงสาวเอ่ยจบ เฝิงเฉ

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0037

    ขณะที่ฉินเจินเอ่ยอธิบาย ท่าทีของเซียวเฟิ่งชีก็ดูเย็นลงไม่น้อยขณะที่เฝิงเฉินและเหลิ่งมู่กลับมองฉินเจินด้วยแววตาตกตะลึงเมื่อได้ยินในสิ่งที่นางเอ่ย โดยเฉพาะเฝิงเฉินที่มองหญิงสาวด้วยแววตาตื่นเต้นยิ่งกว่าอะไร"ร่างกายของพระองค์ทรุดโทรมมากแล้ว ถ้ายังหาวิธีแก้พิษไม่ได้อีก เกรงว่าพระองค์คงอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี"เสียงของฉินเจินดูเครียดขึ้นเล็กน้อย เพราะนางค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ของเซียวเฟิ่งชีเข้าเสียแล้ว หญิงสาวเริ่มเกิดความรู้สึกสงสารอีกฝ่ายขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ นางคิดว่าเซียวเฟิ่งชีนับได้ว่าน่าสงสารอยู่บ้าง"ครั้งที่แล้วเจ้าบอกว่าข้าจะอยู่ได้อีกไม่นาน อย่างมากที่สุดก็เพียงสามเดือนมิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้ถึงบอกว่าหนึ่งปีเล่า"อารมณ์ของเซียวเฟิ่งชีนั้นเรียบเฉย ไร้ซึ่งความกลัวหรือความเศร้าโศก ราวกับว่าเขายอมรับความจริงข้อนี้ได้นานแล้ว เพียงแต่เอ่ยถามด้วยความสงสัยเท่านั้น"ตอนนี้มีหม่อมฉันอยู่มิใช่หรือเพคะ หากหาวิธีแก้พิษไม่ได้ หม่อมฉันสามารถฝังเข็มเพื่อยื้อเวลาให้พระองค์ต่อไป แต่นี่จะเป็นวิธีสุดท้ายที่ใช้แก้ไข ดังนั้นจึงยื้อได้นานที่สุดถึงหนึ่งปี"  ฉินเจินกล่าวขึ้นน้ำเสียงที่นางพูดถึง

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0036

    ฉินเจินพยักหน้ารับแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองเซียวเฟิ่งชี "ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะช่วยจับชีพจรให้พระองค์ก่อนแล้วกันนะเพคะ""ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อคืนเจ้าได้ช่วยเซี่ยจืออั๋งไว้ ข้าคงไม่อาจเชื่อใจเจ้าได้ เพราะเจ้าเป็นหมอที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองโดนวางยาพิษ"เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเย็นชาเย่อหยิ่ง แลน้ำเสียงที่ทำให้คนหมั่นไส้ฝ่ายฉินเจินเมื่อถูกเซียวเฟิ่งชีขัดขาอีกคราก็เกิดความโกรธขึ้นในใจ จึงอดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่อีกฝ่าย "เสวียนอ๋องทรงคิดจะหาเรื่องหม่อมฉันเช่นนี้ตลอดให้ได้เลยใช่หรือไม่เพคะ""ข้าก็แค่พูดความจริง"หากแต่เซียวเฟิ่งชีกลับตอบหน้าตาเฉยเล่นเอาเฟิงเฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับเอามือลูบจมูกไปมาแล้วหลุดหัวเราะเสียงเบา ๆเซียวเฟิ่งชีกับฉินเจินได้ยินเสียงจึงพากันหันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน เฝิงเฉินจึงทำได้เพียงกระแอมไอเบา ๆ "ไม่มีอะไร ข้าสำลักน่ะ"เมื่อได้ยินคำตอบ ทั้งคู่จึงเบนหน้าหนีพร้อมกัน"รบกวนท่านอ๋องยื่นข้อมือออกมาด้วยเพคะ"ฉินเจินเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเซียวเฟิ่งชีแล้วเอ่ยขึ้นคราวนี้เซียวเฟิ่งชีให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขายื่นมือออกมา ฉินเจินถึงได้รู้ว่าข้อมือของเซียวเฟิ่

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0035

    เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้นฉินเจินเผยอปากด้วยคิดจะเถียงกลับตามสัญชาตญาณ แต่ก็รั้งสติตัวเองไว้ได้ทันเวลา หญิงสาวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น "อันหุนเล่อเดิมทีเป็นยาพิษที่ทำให้คนตายไปในห้วงนิทรา ไร้สีไร้รส เว้นเสียแต่จะตรวจเลือดจึงจะรู้ได้แต่หม่อมฉันมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ ในร่างกายของหม่อมฉัน นั่นแปลว่าพิษอันหุนเล่อนี้เพิ่งอยู่ในร่างกายของหม่อมฉันได้ไม่นาน หลายวันก่อนหม่อมฉันถูกท่านอ๋องทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นี่ก็เพิ่งฟื้นมาได้เพียงสองวัน ช่วงระหว่างนี้คงมีใครคิดจะฆ่าหม่อมฉัน เพียงแต่หม่อมฉันดวงแข็ง ฟื้นกลับมาได้ พิษอันหุนเล่อที่ตกตะกอนอยู่ในร่างกายจนกระอักเลือดออกมาในวันนี้ได้"เซียวเฟิ่งชีหาได้ตอบโต้เรื่องที่ฉินเจินเอ่ยถึงการถูกท่านอ๋องทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ฝ่ายหญิงสาวเองก็มีสีหน้าเย็นชาไม่ต่างกัน จนเฝิงเฉินที่ยืนฟังอยู่คิดไปว่าทั้งสองคนกำลังจะลงไม้ลงมือกันขึ้นมาเสียแล้ว"แม่นางจวินวิเคราะห์ได้ถูกต้องยิ่งนัก"เฝิงเฉินเอ่ยขึ้นมา ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นไม่น้อยฉินเจินจึงหันไปส่งยิ้มให้เฝิงเฉินเซียวเฟิ่งชีเหลือบมองภาพตรงหน้า ก่อนจะขยับริมฝีปากบางแล้วเอ่ยขึ้น "ขนาดตอนหมดสติยังม

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0034

    ปีนี้คุณชายเฝิงอายุราวยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปีแล้ว บัดนี้เขาก็ยังอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยได้ยินว่าเขาหมั้นหมายกับหญิงสาวจากตระกูลขุนนางบ้านไหนมาก่อน เพียงแต่นางเองก็นึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะปรากฏตัวที่จวนเสวียนอ๋องเสียได้"แม่นางจวิน ยาชามนี้ข้าต้มไว้ให้เจ้าเพื่อปรับสมดุลของร่างกายและชำระล้างพิษที่ยังตกค้าง รีบดื่มตอนร้อน ๆ เถอะ"เฝิงเฉินยื่นถ้วยยาในมือของตนเองให้แก่ฉินเจินหากแต่ฉินเจินที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ความสงสัยฉายแววผ่านดวงตากลมโตของนาง "พิษตกค้างหรือ นี่ข้าถูกพิษอย่างนั้นหรือ""แม่นางจวินไม่ทราบหรือ"  เฝิงเฉินเองก็เอ่ยถามด้วยความตกใจเช่นกันหญิงสาวอึ้งไปชั่วขณะแล้วจึงส่ายหัว "ข้าไม่รู้หรอก"ใช่ว่าก่อนหน้านี้นางไม่เคยตรวจชีพจรของตัวเองมาก่อน เพียงแต่ชีพจรที่ตรวจพบนั้นผันผวนไม่มั่นคง อาการเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่นัก นางจึงคิดว่าอาจเป็นผลที่เกิดจากการกลับมาเกิดใหม่ โดยมิได้นึกไปถึงว่าตนเองจะถูกพิษเลยแม้แต่น้อยนางถูกพิษได้อย่างไรกันใครเป็นคนวางยานางกันแน่ฝ่ายเฝิงเฉินเองพอได้ยินฉินเจินตอบเช่นนั้นก็พลอยขมวดคิ้วไปด้วย คล้ายว่าชายหนุ่มเองก็คิดไม่ถึงเช่นว

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0033

    ก่อนที่นางจะหมดสติไป คล้ายว่ามือคู่หนึ่งได้คว้าคอเสื้อของหญิงสาวไว้ เพื่อมิให้ร่างของนางต้องลงไปกองกับพื้นอย่างน่าอนาถสายลมอ่อนโยนน่าสดชื่น แสงแดดอันอบอุ่นสาดส่องกระทบผ่านริมหน้าต่างมายังเตียง ขนตาแพยาวของฉินเจินเคลื่อนไหวอยู่เล็กน้อยก่อนที่หญิงสาวจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นสิ่งที่หญิงสาวเห็นคือกระโจมสีเข้มที่ดูเคร่งขรึม ไม่เหมือนห้องส่วนตัวของเด็กสาว แต่ตอนนี้นางนอนอยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้าไหมชั้นดี นี่ตอนนี้นางอยู่ที่ใดกันแน่... เมื่อคิดได้ดังนี้ หญิงสาวก็นึกย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตรอกฉินเจินพบกับฉินหงซวงและลงมือทำร้ายนาง แล้วหลังจากนั้นเล่าเซียวเฟิ่งชี !ใช่แล้ว เซียวเฟิ่งชี !ฉินเจินคิดได้เช่นนั้นก็ลุกพรวดขึ้นทันที แต่เพราะออกแรงมากเกินไปทำให้นางเริ่มรู้สึกเวียนหัวจนเกือบจะล้มตัวลงบนเตียงภาพเหตุการณ์ก่อนที่จะสลบไปฉายเข้ามาในหัวของหญิงสาว ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะต่อยตัวเองสักหมัดสองหมัด ตอนนั้นนางรู้สึกเจ็บหัวใจขึ้นมา จากนั้นก็กระอักเลือด ภาพจำที่ชัดเจนที่สุดก็คือชุดสีมรกตของเซียวเฟิ่งชีเปื้อนไปด้วยคราบเลือด แล้วยังมีใต้คางของเขาอีก..."คุณพระคุณเจ้า !"ฉินเจินเอามือกุมหัว

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0032

    ฉินเจินสูดลมหายใจเข้าจนลึกพลางมองไปยังเซียวเฟิ่งชีด้วยแววตาที่เป็นประกาย "เสวียนอ๋อง เรามาทำข้อแลกเปลี่ยนกันเถอะเพคะ""หืม"เซียวเฟิ่งชีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองไปทางหญิงสาวการกระทำของชายหนุ่มนั้นเป็นไปโดยธรรมชาติ หากแต่ยังแฝงไปด้วยกิริยาท่าทีที่แสดงว่าตนเองมีความสูงศักดิ์และเย่อหยิ่ง อยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายไว้"หม่อมฉันรู้ว่าพระวรกายของพระองค์ไม่สู้ดีนัก หม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาให้พระองค์ แต่พระองค์ช่วยทำเมินเฉยต่อทุกอย่างที่หม่อมฉันทำได้หรือไม่เพคะ"นี่คือแผนที่ฉินเจินพยายามคิดออกมาอย่างรอบคอบภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆหญิงสาวมีความแค้นครั้งใหญ่ที่ต้องสะสาง ไร้ซึ่งเวลาที่จะไปรับมือกับเสวียนอ๋องได้แม้แต่วันนั้นที่จวินเหลยถิงหยิบป้ายเหล็กอักษรชาดออกมาจนเซียวเฟิ่งชีเอ่ยว่าจะไม่เอาเรื่องอีก นางก็หาได้เชื่อคำพูดนั้นไม่ เพราะนางรู้ความลับของเซียวเฟิ่งชีเข้าแล้ว จะถอนตัวออกไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกันเล่า"เจ้าคิดว่าข้าจะรับปากเจ้าหรือ"เซียวเฟิ่งชีถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่ยี่หระนักฉินเจินนึกไปถึงก่อนหน้านี้ที่นางใช้การช่วยชีวิตมาต่อรองกับเซียวเฟิ่งชี ชายหนุ่มถามนางก

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status