Share

บทที่ 0006

Author: สืออีเหนียน
แววตาของฉินเจินนั้นเย็นชา อีกยังไร้ซึ่งอารมณ์ทางสีหน้าใด ๆ ดวงตาคู่นั้นดุจหิมะที่ตกลงสู่ดินจนกลายเป็นสีขาวโพลนอันเยือกเย็น มีเพียงความเย็นชาที่ฉายออกมาทางแววตาเท่านั้น หาได้มีความรู้สึกอื่นไม่ ไร้ซึ่งความโกรธ ไร้ซึ่งความแค้น ไร้ซึ่งทุกอารมณ์

เซี่ยจืออั๋งยืนนิ่งอึ้งไป เขามองท่าทีของจวินเฟยเซ่อที่ทำให้เขาทำตัวไม่ถูกขึ้นมา

ฉินเจินเห็นว่าว่าเซี่ยจืออั๋งจ้องนางอยู่เช่นนั้นโดยไม่ได้มีท่าทีว่าจะหลีกทางให้ นางจึงเม้มปากขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา

"จวินเฟยเซ่อ เจ้าเป็นใครมาจากไหนอย่างนั้นหรือถึงได้กล้าสั่งข้า"

เซี่ยจืออั๋งคำรามใส่หญิงสาวเสียงดังลั่น ดวงตาดอกท้อของเขาคู่นั้นก็เปี่ยมไปด้วยเพลิงโทสะ ราวกับว่ายิ่งเสียงของเขาดังเท่าไร ความโกรธแค้นก็ยิ่งลุกโชนขึ้นเท่านั้น มีเพียงการทำเช่นนี้ถึงจะปกปิดท่าทีที่เขาผงะไปเมื่อครู่ได้

ฉินเจินไม่อยากเสียเวลากับชายหนุ่มอีก จึงคิดจะสาวเท้าเดินอ้อมเขาเข้าไปภายในหอโดยไม่พูดอะไรสักคำ

หากแต่เซี่ยจืออั๋งกลับถูกท่าทีเช่นนี้ของฉินเจินทำให้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ "จวินเฟยเซ่อ นี่เจ้ากล้าเมินข้าหรือ"

ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นแล้วเอื้อมมือออกไปคว้าตัวฉินเจินไว้

ทว่า ฉินเจินกลับหรี่ตามองพลางยกมือขึ้นด้วยสัญชาตญาณ ฉับพลัน ผู้คนตรงนั้นต่างก็รู้สึกได้เพียงว่ามีพลังบางอย่างแล่นผ่านไป จนร่างของเซี่ยจืออั๋งจะกระเด็นออกไปไกลก่อนจะตกลงบนโต๊ะอาหารเสียงดังลั่นหอ...

"... !" เหล่าชาวบ้านที่มุงดูต่างก็ตกใจ

"... !" ฉินเจินเองก็เช่นกัน

หญิงสาวเองก็ไม่เข้าใจนัก นางคิดไม่ถึงว่าการที่ตัวเองสะบัดมือโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นจะทำให้เซี่ยจืออั๋งกระเด็นออกไปได้ บัดนี้นางเพียงแต่รู้สึกว่าฝ่ามือของนางร้อนขึ้นมา ครั้นเมื่อก้มมองก็เห็นเพียงว่าที่ฝ่ามือมีแสงสีแดงวาบผ่านไป คล้ายภาพของนกเฟิ่งหวง

หืม

เหตุใดภาพนกเฟิ่งหวงนี้ถึงได้คุ้นตานัก

ฉินเจินนิ่งไปครู่หนึ่ง ในหัวคล้ายว่ามีภาพอะไรบางอย่างแวบเข้ามา

นี่คือ... จี้หยกเฟิ่งหวงชิ้นนั้นที่มารดาของนางใส่เมื่อครั้งยังมีชีวิต เป็นของดูต่างหน้าที่มารดาทิ้งไว้ให้นาง แล้วก็เป็นของที่นางกำไว้ในมือจนแน่นเมื่อครั้งก่อนตาย แล้วเหตุใดถึงมาปรากฏอยู่บนฝ่ามือของนางเช่นนี้ได้เล่า

หัวใจของฉินเจินเต้นระส่ำขึ้นมา หรือจี้หยกนี้จะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ จี้หยกนี้ทำให้นางได้กลับมามีชีวิตในร่างใหม่หรือ

"โอ๊ย... เอวข้า ขาข้า แขนข้า... โอ๊ย..."

เป็นเสียงของเซี่ยจืออั๋งที่ดังขึ้นมา

ชายหนุ่มน่าจะถูกซัดกระเด็นจนงุนงงไปหมดเสียแล้ว กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใดตัวเขาจึงกระเด็นออกไปได้เช่นนี้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็นอนแผ่สองสลึงอยู่บนพื้นเสียแล้ว หน้าและผมของเขาในตอนนี้มีแต่น้ำแกงเลอะเทอะเต็มไปหมด

ครั้นพอขยับตัว ก็รู้สึกเหมือนกระดูกทั่วร่างไม่ประสานกัน เจ็บจนแทบไร้สติ

"ซือจื่อ ท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ ข้าน้อยจะช่วยพยุงท่านลุกขึ้น"

"ซือจื่อ..."

ผู้ติดตามสองคนของเซี่ยจืออั๋งก็เพิ่งเรียกสติกลับมาได้เช่นกัน พวกเขารีบรุดเข้าไปช่วยพยุงชายหนุ่ม แต่เพิ่งแตะโดนตัวผู้เป็นนายไปไม่ทันไร เซี่ยจืออั๋งก็ร้องโวยวายขึ้นมา

"อย่าแตะ... อย่าแตะต้องข้า... เจ็บ ๆ ๆ"

เซี่ยจืออังที่นอนแผ่อยู่บนพื้นในตอนนี้ ไม่ว่าจะแตะตัวเขาที่ตรงไหนก็ปวดระบมไปหมด

ในยามนี้เหล่าคนในหอฮุ่ยอิงต่างพากันปิดปากเงียบ แต่ละคนต่างแอบกลืนน้ำลายลงคอ พวกเขาพากันจ้องมองมายังฉินเจินด้วยความหวาดกลัว ต่างก็นึกอยู่ในใจว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลจวินมีวรยุทธ์สูงถึงเพียงนี้ แล้วนางจะได้ยินที่พวกเขานินทาเย้ยหยันนางกันเมื่อครู่นี้หรือไม่

"จวินเฟยเซ่อ ข้าฝากไว้ก่อนเถอะ นี่เจ้ากล้าลอบทำร้ายข้า ข้าต้องคิดบัญชีกับเจ้าให้ได้ เจ้าคอยดูเถอะ ข้าจะต้องถลกหนังเลาะเอ็นเจ้าเสีย ฮึ่มฮึ่ม น่าโมโหเป็นบ้า !"

ยามนี้เซี่ยจืออั๋งนอนอยู่บนพื้นโดยไม่อาจขยับตัวได้ ความโกรธแค้นในใจเขาดุจภูเขาไฟที่กำลังปะทุถึงขีดสุด นี่เขากำลังถูกผู้หญิงที่ลามกหยาบช้าเป็นนิสัยอย่างจวินเฟยเซ่อตบกระเด็นอย่างนั้นหรือ

ทำแบบนี้มันได้เสียที่ไหนกันเล่า

ทั้งหน้าตาทั้งศักดิ์ศรีของเขาถูกทำลายจนหมดสิ้น

แล้วถ้าเรื่องในวันนี้ถูกเผยแพร่ออกไป วันหน้าเขาจะยังอยู่ในสังคมลูกเศรษฐีเมืองหลวงได้อย่างไรอีก

เซี่ยจืออั๋งยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นจนแทบร้องไห้ ร่างกายก็ยังขยับไม่ได้อีก เหลือเพียงปากเท่านั้นที่ยังขยับด่าได้

เสียงสะท้อนทั่วทั้งหอฮุ่ยอิงมีเพียงเสียงด่าทอของเซี่ยฮุ่ยอิงเท่านั้น

ขณะที่ฉินเจินที่เดิมทีตบเซี่ยจืออั๋งจนกระเด็นในคราเดียว ได้ยินเขาร้องโวยวายก็คิดจะเข้าไปช่วยดูอาการบาดเจ็บให้เขา แต่แล้วกลับไปได้ยินเขาด่ากราดสาปแช่งเสียได้

ถลกหนังเลาะเอ็นหรือ

ร่างของนางผงะไปชั่วครู่ ประโยคนี้เหมือนเป็นคำสาปที่ฝังเข้าไปยังห้วงคิดของนาง เปิดเอาความแค้นและความเจ็บปวดที่ถูกกดไว้ในใจให้ระบายออกมาจนหมด เพราะนางเคยถูกทำร้ายอย่างน่าอนาถยิ่งกว่าการถลกหนังเลาะเอ็น อนาถจนไม่เหลือแม้แต่ซากศพ !

นางก้าวเท้าออกไปหาเซี่ยจืออั๋งทีละก้าว มองดูเขาจากเบื้องสูง

"ถลกหนังเลาะเอ็นหรือ เซี่ยซือจื่อ ข้าทำผิดอันใดหรือไรกัน ท่านถึงได้คิดจะถลกหนังเลาะเอ็นข้า คนที่ขวางข้าไว้คือท่านแท้ ๆ"

ดวงตาของฉินเจินเย็นชาราวน้ำแข็งอันเย็นยะเยือก ความแค้นในสายตาแทบจะล้นเอ่อออกมา

นางทำผิดอันใดกัน ทำไมทุกคนถึงต้องทำกับนางเช่นนี้ด้วย

เซี่ยจืออั๋งเห็นท่าทีของฉินเจินในยามนี้ก็ถึงกับตะลึงงันไป จวินเฟยเซ่อที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาสวมชุดสีแดงสด ดวงตาก็แดงก่ำดุดันไร้ซึ่งความอ่อนโยน เหลือเพียงความแค้นที่อัดแน่นอยู่ในสายตา ราวกับว่าความแค้นเหล่านั้นกำลังจะเอ่อล้นออกมาในไม่ช้า

"เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร"

ในใจเซี่ยจืออั๋งนึกตกใจอยู่ไม่น้อย เขาผงะไปกับท่าทีในตอนนี้ของฉินเจินจนแม้แต่คำพูดคำจาก็ตะกุกตะกักไปด้วย

ดวงตาของฉินเจินจับจ้องไปยังเซี่ยจืออั๋งไม่วางตา รู้สึกได้เพียงว่าทั่วทั้งร่างของนางราวกับมีพลังที่ไร้รูปลักษณ์บางอย่างแผ่ออกมาจากฝ่ามือ เคลื่อนไปตามกระดูกแขนและขา พุ่งสู่จุดตานเถียน ความรู้สึกมืดดำอันหนาวเหน็บพุ่งขึ้นยังห้วงความคิดนาง มือของนางยกขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ แววตาเย็นชามืดมิด แผ่ไปด้วยไอพิฆาตอันเย็นชา

ฉินเจินนั่งยอง ๆ แล้วดึงตัวเซี่ยจืออั๋งขึ้น

ชายหนุ่มถูกท่าทีอันดุร้ายเย็นชาของฉินเจินทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ กระทั่งร้องตะโกนออกมา "ช่วยด้วย ท่านพี่... ช่วยข้าด้วย จวินเฟยเซ่อบ้าไปแล้ว นางจะฆ่าข้า..."

เสียงเรียกของชายหนุ่มนั้นราวกับใจจะขาดก็มิปาน

ในเวลานี้เอง ฉินเจินกลับรู้สึกว่ามีพลังบางอย่างพุ่งมาจากด้านหลังนาง จนนางต้องเบี่ยงตัวหลบด้านข้างตามสัญชาตญาณ ครั้นเมื่อหันกลับมาก็สบตาเข้ากับแววตาที่เย็นชาคู่หนึ่งเข้า

นี่คือ...

เสวียนอ๋อง เซียวเฟิ่งชี

เขาสวมอาภรณ์สีเชียวนั่งอยู่บนรถเข็นทองคำ ท่าทีเย่อหยิ่งเย็นชา เพราะใส่หน้ากากไว้จึงมองไม่เห็นรูปลักษณ์ เห็นได้เพียงริมฝีปากบางที่เม้มให้เห็นร่องรอยของผู้ที่ไร้ซึ่งความปรานี ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบ ๆ แววตาลึกล้ำนิ่งสงบ ราวกับม่านน้ำอันหนาวเหน็บ เปี่ยมไปด้วยความนิ่งลึกและความสูงศักดิ์ที่ไม่อาจเอื้อมถึงได้

"เสวียนอ๋องนี่นา"

"เสวียนอ๋องมากินข้าวที่นี่อย่างนั้นหรือ"

ในที่สุดก็มีคนตั้งสติขึ้นมาได้ ผู้คนทั้งชั้นหนึ่งและชั้นสองของหอจึงพากันคุกเข่าลงทันที "กระหม่อมถวายบังคมเสวียนอ๋อง" "หม่อมฉันถวายบังคมเสวียนอ๋อง"

ผู้คนในละแวกนั้นต่างพากันคุกเข่าจนสิ้น

มีเพียงฉินเจินที่มิได้ขยับตัว นางยังคงยืนอยู่ที่เดิม ยืดตัวหลังตรง ในมือยังคงยกตัวเซี่ยจืออั๋งเอาไว้

แววตาของเซียวเฟิ่งชีหนาวเหน็บดุจจันทรา เขาจับจ้องไปยังฉินเจินจากนั้นก็เอ่ยขึ้น "ลุกขึ้นได้"

เสียงของเขาเย็นชา ดุจเศษหยกบนเขาคุนหลุนที่เยือกเย็น

ฉับพลัน เหล่าชาวบ้านที่กำลังทำความเคารพก็พากันลุกขึ้นตามคำสั่ง ทุกคนต่างพากันอยู่นิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจหอบแรง พวกเขาไม่รู้เลยว่าเสวียนอ๋องจะมากินข้าวอยู่ที่ห้องส่วนตัวชั้นสองของหอ ต่างก็ไม่กล้าเข้าใกล้อ๋องผู้นี้

"ท่านพี่ ฮือ... ช่วยข้าด้วย จวินเฟยเซ่อนางบ้าไปแล้ว นางทำร้ายข้าจนบาดเจ็บแล้วยังจะฆ่าข้าอีก ท่านพี่ช่วยข้าด้วย !"

Related chapters

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0007

    เมื่อเซี่ยจืออั๋งเห็นว่าเซียวเฟิ่งชีปรากฏตัวขึ้น ก็ร้องไห้โวยวายออกมาทันทีด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในยามนี้เอง ความแค้นในใจของฉินเจินค่อย ๆ สงบลง หญิงสาวปล่อยมือที่คว้าตัวเซี่ยจืออั๋งเอาไว้ สายตาละออกจากเซียวเฟิ่งชีก่อนจะกวาดตามองทั้งชั้นหนึ่งและชั้นสอง ก็ไม่พบคนสวมชุดฟ้านั่นเซียวหงอวี่มิได้อยู่ที่นี่นางหลุบตาลงต่ำ ไม่เอ่ยซึ่งคำใด แต่กลับเผยให้เห็นได้ว่านางกำลังเหนื่อยล้ายิ่งนักเซี่ยจืออั๋งถูกโยนตัวลงสู่พื้นจนตาของเขากลอกไปมา ชายหนุ่มเจ็บปวดไปทั้งร่างจนพูดอะไรไม่ออก"ออกไป"เสียงอันเย็นชานั้นดังขึ้นเซียวเฟิ่งชีหมุนล้อรถเข็นจากชั้นสองลงมายังชั้นหนึ่งของหอรถเข็นของเสวียนอ๋องค่อย ๆ เคลื่อนมาทางหญิงสาว เกิดเสียงยามล้อทองคำกระทบกับพื้นกระดาน ทุกครั้งที่เกิดเสียงดังนั้นราวกับชนเข้าในใจของนาง ทำให้นางยิ่งวิตกกังวลมากยิ่งขึ้นห้วงความคิดที่เคยเปี่ยมด้วยความโกรธแค้นก็สงบลงขึ้นในทันใด นางไม่ลืมว่าจวินเฟยเซ่อตายด้วยน้ำมือของเสวียนอ๋องเซียวเฟิ่งชีกระทั่งรถเข็นมาหยุดอยู่ตรงหน้านางความกดดันอันน่าหวาดกลัวก็พุ่งตรงเข้ามาเช่นกัน"นี่ฟื้นขึ้นมาได้แล้วหรือ"จู่ ๆ เซียวเฟิ่งชีก็เอ่ยขึ้นด

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0008

    นางเอ่ยประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ทว่าเซียวเฟิ่งชีก็ได้ยินมัน ลูกน้องที่เป็นชายชุดดำทั้งสองคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังก็ได้ยินแล้วเช่นกัน สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปในทันที กระบี่ที่อยู่ในมือพร้อมเข้าฟาดฟันร่างของฉินเจินจนเกือบควบคุมไม่อยู่แต่ใบหน้างดงามอันเย็นชาของฉินเจินในบัดนี้กลับมิได้แสดงซึ่งสีหน้าใด ๆ ดวงตาทั้งสองข้างก็จับจ้องไปยังเซียวเฟิ่งชี"ชีพจรอยู่ไม่นิ่ง พิษเข้าสู่ปอด อยู่ได้นานสุดอีกสามเดือน"นางเอ่ยปากขึ้นอีกครั้งแม้จะเป็นการพูดอย่างไม่รีบร้อน แต่กลับทำให้คนฟังวิตกกังวลยิ่งเซียวเฟิ่งชีเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาที่เย็นชาภายใต้หน้ากากของเขาประสานเข้ากับดวงตาของหญิงสาวเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครส่งเสียงอันใดออกมา...ชาติภพก่อน ฉินเจินมีความลับอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่มีใครเคยได้รู้ กระทั่งอดีตคู่หมั้นของนางอย่างเซียวหงอวี่ก็ไม่รู้เช่นกันยามที่นางอายุยังน้อย เคยได้ติดตามท่านยายในตระกูลไปไว้พระขอพรให้แก่ตระกูลฉินที่วัดเชียนอวิ๋น ต้องจำศีลกินเจอยู่ในวัดถึงเจ็ดวัน แต่เพราะนางติดเล่นสนุกจึงแอบหนีไปเล่นหลังเขาและได้ช่วยชายชราคนหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัสเอาไว้ชายชราผู้นั้นนอนหายใจรวยริน

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0009

    เสียงของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง เปี่ยมไปด้วยความเสียใจสุดคณานับฉินเจินเม้มริมฝีปาก นางพยายามจะเอ่ยปากแต่ไม่ว่าอย่างไรก็เรียกว่าท่านพ่อไม่ได้เสียทีเมื่อครู่นางเพิ่งถูกขับไล่ออกจากตระกูลฉิน ความรู้สึกในใจนั้นยังมิทันได้ปรับตัวได้ แล้วจะเรียกได้อย่างไรกัน จะไม่เป็นการผิดต่อความรู้สึกหรือจวินเหลยถิงมองดูลูกสาวที่เย็นชาห่างเหินแล้วก็ยิ่งปวดใจจนไม่อาจรับได้อีก แต่ในยามนี้เอง จู่ ๆ เสียงของเซี่ยจืออั๋งก็ดังโวยวายขึ้น "แม่ทัพจวิน ท่านมาพอดีเลย ท่านดูลูกสาวตัวดีที่ท่านเลี้ยงมาสิ นี่เพิ่งฟื้นมาก็จะมาดักรอพี่ชายข้าที่หอฮุ่ยอิงแล้ว นอกจากจะทำร้ายข้าจนสาหัสแล้วยังกล้าหยอกล้อ ลวนลามพี่ชายข้าอีก ท่านว่าเรื่องนี้ควรทำอย่างไรดีเล่า"เซี่ยจืออันตวาดขึ้นมา เขานอนแผ่อยู่บนพื้นอยู่นานสองนาน ความเจ็บปวดทั่วร่างทำให้เขาโกรธยิ่งกว่าอะไร เลยถือโอกาสนี้หาใครสักคนระบายอารมณ์ ร้องโอดโอยขึ้นมาทันทีจวินเหลยถิงที่กำลังปวดใจดุจมีดกรีดแทงอยู่นั้น เมื่อได้ยินเสียงของเซี่ยจืออั๋งก็หันขวับไปมอง จึงได้พบว่าที่แท้ยังมีคนนอนอยู่บนพื้นอีกคน อ้อ... ที่แท้ก็คือเซี่ยซือจื่อที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงไม่ย

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0010

    ของในมือเขาเป็นกล่องไม้เคลือบสีดำ บนกล่องสลักเป็นลวดลายดอกไม้อันวิจิตรบริวารของเซียวเฟิ่งชีก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อรับกล่องนั้นไป แล้วส่งให้แก่เซียวเฟิ่งชีฉินเจินเองก็เงยหน้าขึ้นไปมองเช่นกัน นางต้องการรู้ว่าจวินเหลยถิงมอบอะไรให้แก่เซียวเฟิ่งชีครั้นเมื่อกล่องนั้นถูกเปิดออก ก็เห็นป้ายเหล็กรูปทรงคล้ายกระเบื้องหลังคาปรากฏอยู่ตรงหน้า บนป้ายเหล็กนั้นหลักตัวอักษรไว้มาก แต่ตัวอักษรใหญ่ด้านบนสุดนั้นปรากฏอยู่ในสายตาของฉินเจินแจ่มชัดที่สุด ป้ายเหล็กอักษรชาดฉินเจินสูดลมหายใจเข้าไปเบา ๆ ด้วยความตกใจ แม้แต่ดวงตาที่แดงก่ำก็ค่อย ๆ เบิกกว้างบนป้ายเหล็กนั้น สลักไว้ซึ่งคุณงามความดีที่ตระกูลจวินทั้งสี่รุ่นได้ทำเพื่อราชวงศ์ต้าเซี่ย มีระบุเวลาที่พระราชทาน ชื่อสกุล ยศศักดิ์ ที่ดินของผู้ที่ได้รับพระราชทาน เป็นเกียรติยศพิเศษและรางวัลที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมอบให้ต่อตระกูลจวินป้ายเหล็กอักษรชาด คือป้ายละเว้นโทษตาย !ฉินเจินตื่นตะลึงในสิ่งที่เห็น นางคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่จวินเหลยถิงมอบให้เสวียนอ๋องจะเป็นป้ายละเว้นโทษตายที่มีความสำคัญมากเช่นนี้ นี่เป็นเกียรติยศอันหาที่สุดมิได้ของตระกูล เป็นของที่สำคัญที่สุดใน

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0011

    เซียวเฟิ่งชีมองดูหญิงสาวด้วยแววตาเยือกเย็นดวงตาของทั้งคู่สบประสานกันต่างฝ่ายต่างจ้องกันราวกับมีไอสังหารที่มองไม่เห็นแผ่อยู่โดยรอบ คนหนึ่งเรียบเฉย อีกคนเย็นชา แต่ก็เหมือนกับซ่อนอะไรบางอย่างไว้ลึกยิ่งกว่านั้น"คุณหนูจวินไม่ยินดีทำ แม่ทัพใหญ่ก็ไม่ต้องฝืนนางไปหรอก ในเมื่อข้าบอกแล้วว่าจะไม่เอาความอีก เช่นนั้นข้าก็ย่อมไม่สนใจคำขอโทษจากคุณหนูจวิน"เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้นดวงตาที่งดงามภายใต้หน้ากากนั้น จับจ้องไปยังฉินเจินด้วยความนิ่งสงบและล้ำลึก เม้มมุมปากอยู่เล็กน้อยด้วยความเย็นชาจวินเหลยถิงได้ยินเซียวเฟิ่งชีเอ่ยเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้น ใจก็พลางนึกว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร ทั้งที่เสวียนอ๋องปากก็บอกว่าไม่สนใจ แต่สายตาที่จับจ้องมายังใบหน้าของลูกสาวเขานั้นดูจะเย็นชาเสียยิ่งกว่าไม่ดีแน่เมื่อคิดได้เช่นนั้น แม่ทัพใหญ่ก็โค้งตัวแล้วเอ่ยขึ้นทันที "ท่านอ๋องอย่าได้ทรงเข้าใจผิดไป ลูกสาวกระหม่อมย่อมมิได้ไม่ยินยอมขอโทษท่านอ๋องอย่างแน่นอน ลูกสาวกระหม่อมรู้ว่าตัวเองผิดอย่างไม่น่าให้อภัย ในใจรู้สึกหวั่นกลัว จึงมิกล้ามองท่านอ๋องก็เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ"จวินเหลยถิงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีที่เปี่ยมด้วยความยุติ

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0012

    เซียวเฟิ่งชีกำลังพูดถึงฉินเจินเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถในการสังเกตได้อย่างน่าทึ่ง ตอนท้ายที่จวินเหลยถิงให้จวินเฟยเซ่อขอโทษเขา เห็นได้ชัดว่าจวินเฟยเซ่อปฏิเสธที่จะทำ แต่เพราะฐานันดรจึงจำเป็นต้องทำ ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากก็เป็นลมไปเสียแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญเกินไป ตอนนั้นเขาสังเกตได้ว่า มือของจวินเฟยเซ่อวางอยู่ตรงตำแหน่งนี้โดยตลอดพอคิดถึงก่อนหน้าที่หญิงสาวคนนี้เพียงจับชีพจรก็รู้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เขาเลยลอบสังเกตนางอยู่ตลอดวันนี้ตอนที่ได้พบกันเขาก็รู้สึกว่าแปลก ที่แปลกก็คือจวินเฟยเซ่อ ไม่ว่าจะเป็นท่าที คำพูด กริยาท่าทางก็ต่างกับก่อนหน้านี้ลิบลับ ทำให้เขานึกสงสัยขึ้นมา"อะไรนะ"เฝิงเฉินฟังแล้วก็ฉงนนักจนพลั้งปากเอ่ยถามกลับแต่กลับพบว่าแววตาของเซียวเฟิ่งชีดูเคร่งขรึมลง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงถามขึ้น "อาเฉิน มีคนที่เพียงจับชีพจรของข้าก็รู้ว่าข้ามีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน นางบอกว่า นางช่วยข้าได้""อะไรนะ !"ครั้งนี้เฝิงเฉินตกตะลึงขึ้นจริง ๆ เขาลุกขึ้นพรวดจนไล่ความง่วงออกไปได้หมด เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่าจิ่งสิงไม่ใช่คนที่พูดจาซี้ซั้ว"ใครกัน เป็นใครก

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0013

    เฝิงเฉินกับเหลิ่งมู่มองหน้ากัน ทั้งสองต่างไม่พูดไม่จาไม่ว่าอย่างไร เจ้านายก็ยังเป็นเจ้านายคนเดิมของเขาอยู่ดี...อีกด้านหนึ่งการที่ฉินเจินสลบไสลไปทำให้จวินเหล่ยถิงถึงกับตกใจจนแทบแย่ ลี่ว์จู๋ที่เดินตามหลังก็เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ ครั้นพอกลับถึงจวนแม่ทัพฉินเจินก็ตื่นขึ้นพอดี ก่อนนี้นางได้กดจุดของตัวเองจนทำให้หน้ามืดไป ก็เพื่อที่จะหลีกหนีการขอโทษเซียวเฟิ่งชีอีกอย่าง รอยรัดที่คอรวมถึงแผลบนฝ่ามือของนางก็ล้วนเกิดจากเซียวเฟิ่งชี ต่อให้บัดนี้นางอาศัยร่างของจวินเฟยเซ่ออยู่ แต่ต้องรู้ไว้ว่าจวินเฟ่ยเซ่อตายด้วยน้ำมือของเขา แล้วนี่จะให้นางขอโทษแทนจวินเฟยเซ่ออย่างนั้นหรือ อย่าเลยดีกว่า...คนก็ตายไปแล้ว ยังจะต้องขอโทษอะไรกันอีกเล่า"ลูกพ่อ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง"เมื่อจวินเหลยถิงเห็นว่าลูกสาวฟื้น เขาก็รีบถามด้วยความระมัดระวัง ในสายตาของจวินเหลยถิงตอนนี้ จวินเฟยเซ่อเป็นเหมือนวัตถุบอบบางที่แตกหักได้ง่าย"ข้าไม่เป็นไร"ฉินเจินส่ายหน้าปฏิเสธเมื่อมองดูจวินเหลยถิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ภายในใจทั้งสับสนและอิ่มเอมลี่ว์จู๋เดินไปเคาะประตู แจ้งว่าแม่ทัพกลับมาแล้ว ประตูของแม่ทัพใหญ่จึงเปิดขึ้น พกวเขาสา

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0014

    หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง ขณะที่จวินเหลยถิงฟังแล้วรู้สึกเหมือนใจสลาย น้ำตาของบุรุษอกสามศอกเอ่อล้นขอบตา "ดูเจ้าสินางหนู ไม่ว่าเจ้าเปลี่ยนไปอย่างไร เจ้าก็เป็นลูกของพ่ออยู่ดี แล้วพ่อจะไม่รักเจ้าได้อย่างไรเล่า"จวินเหลยถิงเอามือลูบหน้า ทอดถอนใจพลางเอ่ยขึ้น "นางหนู ที่จริงพ่อรู้มาตลอดว่าเจ้าเกลียดพ่อ"ครั้นพ่อแม่ทัพใหญ่พูดจบ ฉินเจินก็ถึงกับตกตะลึงไป ด้วยคิดไม่ถึงว่าจวินเหลยถิงจะเอ่ยเช่นนี้ จึงรีบส่ายหัวแล้วเอ่ยขึ้น "จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า..."แต่ยังไม่ทันพูดจบ นางก็เห็นว่าจวินเหลยถิงส่ายหัว ใบหน้าของเขาปรากฏสีหน้าที่ยากจะเอื้อนเอ่ย "นางหนู ในใจพ่อรู้ดีทุกอย่างว่า ลึก ๆ ในใจเจ้าแล้วแค้นพ่อขนาดไหน เจ้าไม่มีแม่มาตั้งแต่เด็ก พ่อเองก็อยู่ในสนามรบตลอด ทิ้งเจ้าไว้ในจวนแม่ทัพแห่งเมืองหลวงตัวคนเดียว ใช้ชีวิตอยู่กับท่านย่า พ่อได้รับจดหมายจากย่าเจ้าเสมอ บอกว่าเจ้าไปสร้างเรื่องอะไรมาบ้าง วันนี้ไปเตะต่อยกับใคร วันก่อนด่ากับใครมา แล้วยังไปทำอะไรกับใครบ้านไหนอีก ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงวุ่นวายไปหมด...พอเห็นจดหมายพวกนี้ พ่อก็นึกถึงภาพที่ย่าเจ้าโมโหจนตัวสั่นได้เลย แต่พ่อกังวลเจ้ามากกว่า กังวลว่าเ

Latest chapter

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0040

    เดิมทีเซียวเฟิ่งชีเป็นคนที่โดดเด่นมากอยู่แล้ว ในยามที่เขาจ้องมองคน ความกดดันจึงมากยิ่งกว่าเดิม"มีอะไรหรือเพคะ บนหน้าหม่อมฉันมีอะไรติดอยู่หรือ"ฉินเจินเห็นว่าเซียวเฟิ่งชีจ้องมองตนเองอยู่จึงเอ่ยถามออกไป"เจ้าไม่รู้เชียวหรือว่าคราวก่อนที่ข้าพิษกำเริบคือเมื่อใด"จู่ ๆ เซียวเฟิ่งชีก็เอ่ยถามขึ้นฉินเจินกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความแปลกใจ จึงถามขึ้นทันที "หม่อมฉันจะทราบได้อย่างไรเพคะ"เซียวเฟิ่งชีนิ่งขรึมไปโดยไม่เอ่ยคำใดอีกเหลิ่งมู่เองก็เงยหน้ามองฉินเจินคล้ายอยากพูดอะไร แต่ก็มิได้พูดออกมาแม้แต่เฝิงเฉินเองก็เหมือนว่าอยากพูดอะไรขึ้นมาเช่นกันฉินเจินรู้สึกแปลกกับท่าทีของทุกคนอยู่บ้าง แต่นางยังคงเอ่ยกับเฝิงเฉินด้วยความสุภาพ "คุณชายเฝิง แม้วิชาแพทย์ของข้าจะพอใช้ได้ แต่ลำพังแค่การจับชีพจรนั้นไม่อาจรู้ได้จริง ๆ ว่าท่านอ๋องมีอาการพิษกำเริบครั้งล่าสุดเมื่อใดกัน""เหอะ..."แต่แล้วเซียวเฟิ่งชีกลับยิ้มเยาะออกมารัศมีที่เซียวเฟิ่งชีแผ่ออกมานั้นเปลี่ยนไปในฉับพลัน เพียงเขายกมือขึ้น ด้ายสีทองก็สว่างวาบจากนิ้วของเขาดุจสายฟ้า พุ่งตรงไปยังฉินเจิน เพียงครู่เดียวก็รัดลำคอของหญิงสาวไว้อีกครา"เสวียนอ๋อง

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0039

    เฝิงเฉินเอ่ยถามออกมาสายตาของเขาแฝงด้วยความหวัง การรอคอย รวมถึงความสับสนและความเจ็บปวดจิ่งสิงเป็นสหายที่ดีที่สุดของเขา เป็นกระทั่งผู้ที่นำทางให้เขาสนใจเรียนวิชาแพทย์ แต่สิ่งที่เขาเรียนรู้มาทั้งชีวิตกลับไม่อาจช่วยชีวิตสหายรักของเขาได้ ใครเลยจะรู้ว่าเขาสิ้นหวังมากเพียงใดครั้นพอฉินเจินได้ยินคำถามของเฝิงเฉิน สีหน้าของนางก็พลอยเคร่งเครียดไปด้วย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยออกมา "เช่นนั้นพิษที่เสวียนอ๋องได้รับก็มิใช่พิษอัคคีเหมันต์""จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ดูจากปฏิกิริยาเมื่อพิษกำเริบ อาการป่วย ดูอย่างไรก็เป็นพิษอัคคีเหมันต์ เรื่องนี้สามารถยืนยันได้แน่นอน ข้ากำลังคิดว่า บางทีในตัวของจิ่งสิงอาจมีพิษอื่นที่ยังตรวจไม่พบ พอพิษทั้งสองผสานเข้าด้วยกัน ยาแก้พิษก็เลยใช้ไม่ได้ผลก็เป็นได้"หากแต่ฉินเจินกลับส่ายหน้า "ถึงแม้อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่สุด แต่จากประสบการณ์ที่ข้าเรียนวิชาแพทย์มาหลายปี ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ พิษอัคคีเหมันต์เป็นพิษที่ร้ายแรงมากแล้ว จะยังมีพิษอะไรที่อยู่ร่วมกับมันแล้วพวกเราจะไม่อาจรู้ได้เล่า"คำตอบของฉินเจินได้ปัดข้อสันนิษฐานของเฝิงเฉินทิ้ง"เว้นเสียแ

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0038

    แต่นางคิดไม่ถึงว่าเซียวเฟิ่งชีจะเจอเรื่องที่น่าอนาถยิ่งกว่านาง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงโอรสสวรรค์พิษอัคคีเหมันต์ เป็นหนึ่งในสิบพิษที่ร้ายแรงที่สุด เป็นพิษที่ทำให้ผู้คนต้องทนทุกข์ทรมานยิ่งกว่าความตาย ไม่เพียงแต่ทำลายร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำลายจิตใจและสติสัมปชัญญะอีกด้วยมีคนจำนวนไม่น้อยที่เมื่อถูกพิษนี้แล้วไม่สามารถทนได้ตั้งแต่ระยะแรก และเลือกที่จะปลิดชีพหรือจบชีวิตตัวเองด้วยการฆ่าตัวตายใครกันแน่ที่เกลียดชังเซียวเฟิ่งชีถึงขนาดวางยาพิษอัคคีเหมันต์ให้แก่เขาได้"ใช่ พิษอัคคีเหมันต์นี่ละ !"เฝิงเฉินพยักหน้ายืนยันดวงตาของชายหนุ่มเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น และเพราะความเศร้าใจที่เกิดเมื่อพูดถึงอาการป่วยของเซียวเฟิ่งชี"พิษอัคคีเหมันต์ เป็นหนึ่งในสิบพิษที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดในใต้หล้าก็จริง แต่ถ้าจัดยาแก้พิษมาก็จะสามารถแก้ไขพิษนี้ได้ ยาแก้พิษอัคคีเหมันต์ ต้องใช้หญ้าตี้จิ่นธาตุร้อน บัวปิงเสวี่ยธาตุเย็น เพิ่มด้วยแมลงจิ่วเซียงที่อาศัยอยู่ชั้นใต้ผิวดิน แล้วหลอมออกมาเป็นยา ก็จะสามารถแก้พิษอัคคีเหมันต์ได้"ฉินเจินเอ่ยตำรับยาแก้พิษออกมาได้ทันทีทันทีที่หญิงสาวเอ่ยจบ เฝิงเฉ

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0037

    ขณะที่ฉินเจินเอ่ยอธิบาย ท่าทีของเซียวเฟิ่งชีก็ดูเย็นลงไม่น้อยขณะที่เฝิงเฉินและเหลิ่งมู่กลับมองฉินเจินด้วยแววตาตกตะลึงเมื่อได้ยินในสิ่งที่นางเอ่ย โดยเฉพาะเฝิงเฉินที่มองหญิงสาวด้วยแววตาตื่นเต้นยิ่งกว่าอะไร"ร่างกายของพระองค์ทรุดโทรมมากแล้ว ถ้ายังหาวิธีแก้พิษไม่ได้อีก เกรงว่าพระองค์คงอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี"เสียงของฉินเจินดูเครียดขึ้นเล็กน้อย เพราะนางค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ของเซียวเฟิ่งชีเข้าเสียแล้ว หญิงสาวเริ่มเกิดความรู้สึกสงสารอีกฝ่ายขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ นางคิดว่าเซียวเฟิ่งชีนับได้ว่าน่าสงสารอยู่บ้าง"ครั้งที่แล้วเจ้าบอกว่าข้าจะอยู่ได้อีกไม่นาน อย่างมากที่สุดก็เพียงสามเดือนมิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้ถึงบอกว่าหนึ่งปีเล่า"อารมณ์ของเซียวเฟิ่งชีนั้นเรียบเฉย ไร้ซึ่งความกลัวหรือความเศร้าโศก ราวกับว่าเขายอมรับความจริงข้อนี้ได้นานแล้ว เพียงแต่เอ่ยถามด้วยความสงสัยเท่านั้น"ตอนนี้มีหม่อมฉันอยู่มิใช่หรือเพคะ หากหาวิธีแก้พิษไม่ได้ หม่อมฉันสามารถฝังเข็มเพื่อยื้อเวลาให้พระองค์ต่อไป แต่นี่จะเป็นวิธีสุดท้ายที่ใช้แก้ไข ดังนั้นจึงยื้อได้นานที่สุดถึงหนึ่งปี"  ฉินเจินกล่าวขึ้นน้ำเสียงที่นางพูดถึง

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0036

    ฉินเจินพยักหน้ารับแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองเซียวเฟิ่งชี "ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะช่วยจับชีพจรให้พระองค์ก่อนแล้วกันนะเพคะ""ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อคืนเจ้าได้ช่วยเซี่ยจืออั๋งไว้ ข้าคงไม่อาจเชื่อใจเจ้าได้ เพราะเจ้าเป็นหมอที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองโดนวางยาพิษ"เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเย็นชาเย่อหยิ่ง แลน้ำเสียงที่ทำให้คนหมั่นไส้ฝ่ายฉินเจินเมื่อถูกเซียวเฟิ่งชีขัดขาอีกคราก็เกิดความโกรธขึ้นในใจ จึงอดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่อีกฝ่าย "เสวียนอ๋องทรงคิดจะหาเรื่องหม่อมฉันเช่นนี้ตลอดให้ได้เลยใช่หรือไม่เพคะ""ข้าก็แค่พูดความจริง"หากแต่เซียวเฟิ่งชีกลับตอบหน้าตาเฉยเล่นเอาเฟิงเฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับเอามือลูบจมูกไปมาแล้วหลุดหัวเราะเสียงเบา ๆเซียวเฟิ่งชีกับฉินเจินได้ยินเสียงจึงพากันหันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน เฝิงเฉินจึงทำได้เพียงกระแอมไอเบา ๆ "ไม่มีอะไร ข้าสำลักน่ะ"เมื่อได้ยินคำตอบ ทั้งคู่จึงเบนหน้าหนีพร้อมกัน"รบกวนท่านอ๋องยื่นข้อมือออกมาด้วยเพคะ"ฉินเจินเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเซียวเฟิ่งชีแล้วเอ่ยขึ้นคราวนี้เซียวเฟิ่งชีให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขายื่นมือออกมา ฉินเจินถึงได้รู้ว่าข้อมือของเซียวเฟิ่

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0035

    เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้นฉินเจินเผยอปากด้วยคิดจะเถียงกลับตามสัญชาตญาณ แต่ก็รั้งสติตัวเองไว้ได้ทันเวลา หญิงสาวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น "อันหุนเล่อเดิมทีเป็นยาพิษที่ทำให้คนตายไปในห้วงนิทรา ไร้สีไร้รส เว้นเสียแต่จะตรวจเลือดจึงจะรู้ได้แต่หม่อมฉันมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ ในร่างกายของหม่อมฉัน นั่นแปลว่าพิษอันหุนเล่อนี้เพิ่งอยู่ในร่างกายของหม่อมฉันได้ไม่นาน หลายวันก่อนหม่อมฉันถูกท่านอ๋องทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นี่ก็เพิ่งฟื้นมาได้เพียงสองวัน ช่วงระหว่างนี้คงมีใครคิดจะฆ่าหม่อมฉัน เพียงแต่หม่อมฉันดวงแข็ง ฟื้นกลับมาได้ พิษอันหุนเล่อที่ตกตะกอนอยู่ในร่างกายจนกระอักเลือดออกมาในวันนี้ได้"เซียวเฟิ่งชีหาได้ตอบโต้เรื่องที่ฉินเจินเอ่ยถึงการถูกท่านอ๋องทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ฝ่ายหญิงสาวเองก็มีสีหน้าเย็นชาไม่ต่างกัน จนเฝิงเฉินที่ยืนฟังอยู่คิดไปว่าทั้งสองคนกำลังจะลงไม้ลงมือกันขึ้นมาเสียแล้ว"แม่นางจวินวิเคราะห์ได้ถูกต้องยิ่งนัก"เฝิงเฉินเอ่ยขึ้นมา ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นไม่น้อยฉินเจินจึงหันไปส่งยิ้มให้เฝิงเฉินเซียวเฟิ่งชีเหลือบมองภาพตรงหน้า ก่อนจะขยับริมฝีปากบางแล้วเอ่ยขึ้น "ขนาดตอนหมดสติยังม

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0034

    ปีนี้คุณชายเฝิงอายุราวยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปีแล้ว บัดนี้เขาก็ยังอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยได้ยินว่าเขาหมั้นหมายกับหญิงสาวจากตระกูลขุนนางบ้านไหนมาก่อน เพียงแต่นางเองก็นึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะปรากฏตัวที่จวนเสวียนอ๋องเสียได้"แม่นางจวิน ยาชามนี้ข้าต้มไว้ให้เจ้าเพื่อปรับสมดุลของร่างกายและชำระล้างพิษที่ยังตกค้าง รีบดื่มตอนร้อน ๆ เถอะ"เฝิงเฉินยื่นถ้วยยาในมือของตนเองให้แก่ฉินเจินหากแต่ฉินเจินที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ความสงสัยฉายแววผ่านดวงตากลมโตของนาง "พิษตกค้างหรือ นี่ข้าถูกพิษอย่างนั้นหรือ""แม่นางจวินไม่ทราบหรือ"  เฝิงเฉินเองก็เอ่ยถามด้วยความตกใจเช่นกันหญิงสาวอึ้งไปชั่วขณะแล้วจึงส่ายหัว "ข้าไม่รู้หรอก"ใช่ว่าก่อนหน้านี้นางไม่เคยตรวจชีพจรของตัวเองมาก่อน เพียงแต่ชีพจรที่ตรวจพบนั้นผันผวนไม่มั่นคง อาการเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่นัก นางจึงคิดว่าอาจเป็นผลที่เกิดจากการกลับมาเกิดใหม่ โดยมิได้นึกไปถึงว่าตนเองจะถูกพิษเลยแม้แต่น้อยนางถูกพิษได้อย่างไรกันใครเป็นคนวางยานางกันแน่ฝ่ายเฝิงเฉินเองพอได้ยินฉินเจินตอบเช่นนั้นก็พลอยขมวดคิ้วไปด้วย คล้ายว่าชายหนุ่มเองก็คิดไม่ถึงเช่นว

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0033

    ก่อนที่นางจะหมดสติไป คล้ายว่ามือคู่หนึ่งได้คว้าคอเสื้อของหญิงสาวไว้ เพื่อมิให้ร่างของนางต้องลงไปกองกับพื้นอย่างน่าอนาถสายลมอ่อนโยนน่าสดชื่น แสงแดดอันอบอุ่นสาดส่องกระทบผ่านริมหน้าต่างมายังเตียง ขนตาแพยาวของฉินเจินเคลื่อนไหวอยู่เล็กน้อยก่อนที่หญิงสาวจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นสิ่งที่หญิงสาวเห็นคือกระโจมสีเข้มที่ดูเคร่งขรึม ไม่เหมือนห้องส่วนตัวของเด็กสาว แต่ตอนนี้นางนอนอยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้าไหมชั้นดี นี่ตอนนี้นางอยู่ที่ใดกันแน่... เมื่อคิดได้ดังนี้ หญิงสาวก็นึกย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตรอกฉินเจินพบกับฉินหงซวงและลงมือทำร้ายนาง แล้วหลังจากนั้นเล่าเซียวเฟิ่งชี !ใช่แล้ว เซียวเฟิ่งชี !ฉินเจินคิดได้เช่นนั้นก็ลุกพรวดขึ้นทันที แต่เพราะออกแรงมากเกินไปทำให้นางเริ่มรู้สึกเวียนหัวจนเกือบจะล้มตัวลงบนเตียงภาพเหตุการณ์ก่อนที่จะสลบไปฉายเข้ามาในหัวของหญิงสาว ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะต่อยตัวเองสักหมัดสองหมัด ตอนนั้นนางรู้สึกเจ็บหัวใจขึ้นมา จากนั้นก็กระอักเลือด ภาพจำที่ชัดเจนที่สุดก็คือชุดสีมรกตของเซียวเฟิ่งชีเปื้อนไปด้วยคราบเลือด แล้วยังมีใต้คางของเขาอีก..."คุณพระคุณเจ้า !"ฉินเจินเอามือกุมหัว

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0032

    ฉินเจินสูดลมหายใจเข้าจนลึกพลางมองไปยังเซียวเฟิ่งชีด้วยแววตาที่เป็นประกาย "เสวียนอ๋อง เรามาทำข้อแลกเปลี่ยนกันเถอะเพคะ""หืม"เซียวเฟิ่งชีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองไปทางหญิงสาวการกระทำของชายหนุ่มนั้นเป็นไปโดยธรรมชาติ หากแต่ยังแฝงไปด้วยกิริยาท่าทีที่แสดงว่าตนเองมีความสูงศักดิ์และเย่อหยิ่ง อยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายไว้"หม่อมฉันรู้ว่าพระวรกายของพระองค์ไม่สู้ดีนัก หม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาให้พระองค์ แต่พระองค์ช่วยทำเมินเฉยต่อทุกอย่างที่หม่อมฉันทำได้หรือไม่เพคะ"นี่คือแผนที่ฉินเจินพยายามคิดออกมาอย่างรอบคอบภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆหญิงสาวมีความแค้นครั้งใหญ่ที่ต้องสะสาง ไร้ซึ่งเวลาที่จะไปรับมือกับเสวียนอ๋องได้แม้แต่วันนั้นที่จวินเหลยถิงหยิบป้ายเหล็กอักษรชาดออกมาจนเซียวเฟิ่งชีเอ่ยว่าจะไม่เอาเรื่องอีก นางก็หาได้เชื่อคำพูดนั้นไม่ เพราะนางรู้ความลับของเซียวเฟิ่งชีเข้าแล้ว จะถอนตัวออกไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกันเล่า"เจ้าคิดว่าข้าจะรับปากเจ้าหรือ"เซียวเฟิ่งชีถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่ยี่หระนักฉินเจินนึกไปถึงก่อนหน้านี้ที่นางใช้การช่วยชีวิตมาต่อรองกับเซียวเฟิ่งชี ชายหนุ่มถามนางก

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status