อีกด้านหนึ่ง เฉียวเนี่ยนประคองฮูหยินชราเพิ่งกลับห้อง ฮูหยินชราก็ป่วยแล้วก็เหมือนกับที่ฮูหยินหลินกล่าวไว้ สุขภาพของฮูหยินชราไม่ดีเท่าเมื่อก่อนแล้วจริงๆแม้ว่าวันนี้จะตั้งใจควบคุมอารมณ์ของตัวเองแล้ว แต่ก็ยังตื่นเต้นเกินไป หลังจากนอนลงก็หอบหายใจอย่างหนักดีที่ซูมามาที่ปรนนิบัติฮูหยินชราคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว จึงเรียกหมอมาเฝ้าอยู่นอกห้องของฮูหยินชรา รอจนฮูหยินชราล้มตัวลงนอนจึงฝังเข็มและนวดให้ ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ฮูหยินชราถึงค่อยรู้สึกดีขึ้นกระบวนการนี้ไม่ถือว่าน่าหวาดเสียวมากนัก แต่เฉียวเนี่ยนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยังตกใจจนทําอะไรไม่ถูกอยู่ดีเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของเฉียวเนี่ยน ฮูหยินชรานั่งพิงหัวเตียงและกวักมือเรียกนางจมูกของเฉียวเนี่ยนแดงเล็กน้อย แต่ก็กลัวว่าหากตัวเองมีอารมณ์รุนแรงจะทําให้ฮูหยินชราล้มป่วยอีก จึงฝืนกลั้นน้ำตาแล้วเดินไปที่ข้างเตียงของฮูหยินชรา“ตกใจหมดเลย?” ฮูหยินชรายิ้มอย่างอบอุ่นเฉียวเนี่ยนสูดจมูกฟุดฟิด จับมือของฮูหยินชราไว้แน่น “ท่านย่ารับปากว่าเนี่ยนเนี่ยนจะมีอายุยืนยาวเป็นร้อยปี”นางเหลือแต่ท่านย่าแล้วฮูหยินชรามองเฉียวเนี่ยนอย่างอ่อนโยน “ท่านย่าก็อยากมีชีวิ
เมื่อได้ยินคําถามนี้ น้ำตาในดวงตาของหลินยวนก็ไหลออกมาในที่สุด นางส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า"ไม่ใช่ ข้าไม่เคยทําร้ายพี่หญิงเลย ตอนนั้นเป็นข้าที่ทําถ้วยแตก เป็นความผิดของข้าเอง แต่คนที่ใส่ร้ายพี่หญิงคือเสี่ยวชุ่ย...”นางพยายามอย่างยิ่งที่จะบอกเฉียวเนี่ยนว่าตัวเองไม่เคยทําร้ายนางแต่ไม่คิดเลยว่า เฉียวเนี่ยนจะพิงอยู่ข้างประตู ถามนางอย่างอ่อนโยนว่า “แล้วทําไมเจ้าไม่บอกเมื่อสามปีก่อนล่ะ?”หลินยวนอึ้งไปชั่วขณะ ไม่ทันได้เข้าใจว่าคําพูดของเฉียวเนี่ยนหมายความว่าอย่างไร?มุมปากของเฉียวเนี่ยนโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันอย่างรุนแรง “เจ้าเป็นคนทําถ้วยแตกเอง แปดคํานี้ เมื่อสามปีก่อนต่อหน้าฮองเฮากับองค์หญิง ทําไมเจ้าถึงไม่พูด?”หลินยวนถอยหลังไปก้าวหนึ่งราวกับยืนไม่มั่น “ข้า ข้าไม่กล้า... นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าเข้าวัง เป็นครั้งแรกที่เจอคนสูงศักดิ์มากมายขนาดนี้ ข้า ตอนนั้นข้ากลัวมาก ข้า...”“แล้วตอนนี้เจ้าจะมาพูดอะไรกับข้าอีกล่ะ?” เฉียวเนี่ยนขัดจังหวะคําพูดของหลินยวนอีกครั้งต้องพูดอะไรกันแน่ถึงจะให้นางทําเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นตลอดสามปีที่ผ่านมาหลินยวนร้องไห้สะอึกสะอื้น ก้มหน้าลง ไม่กล้ามองเฉียวเนี่
เฉียวเนี่ยนไม่ทันแม้แต่จะคลุมเสื้อนอกที่เพิ่งถอดออกแล้วก็วิ่งออกไป"เกิดอะไรขึ้น? ใครตะโกนอยู่?”หนิงซวงเองก็เดินตามหลังเฉียวเนี่ยนอย่างร้อนใจพลางส่ายหน้า “บ่าวก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ เพิ่งได้ยินเสียงเรียก คุณหนูสวมเสื้อผ้าสักชุด ข้างนอกหนาวมาก”แต่เฉียวเนี่ยนไหนเลยจะมีกะจิตกะใจใส่เสื้อผ้าหลินยวนตกน้ำ จะตกที่ไหนได้อีกก็คือสระบัวของเรือนฟางเหอไม่ใช่หรือ?ตอนนั้นหลินยวนทําถ้วยแตกใบเดียวนางก็ถูกทรมานอยู่ถึงสามปี ถ้าหลินยวนเกิดเรื่องขึ้นกับนาง ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แค่หลินเย่ว์คนเดียวคงตีนางจนตายแน่เมื่อเฉียวเนี่ยนมาถึง หลินยวนยังคงกระโผลกกระเผลกอยู่ในน้ำผิวน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งได้แตกเป็นรูใหญ่รูหนึ่งแล้วบนสะพานหินมีสาวใช้และเด็กรับใช้จํานวนไม่น้อยกําลังเฝ้าดูอยู่เฉียวเนี่ยนก้าวเท้ายาวๆ วิ่งเข้าไป"พวกเจ้าทุกคนว่ายน้ำไม่เป็นหรือ? ทําไมไม่ช่วยคน?!”กลับเห็นเด็กรับใช้หลายคนทําหน้าลําบากใจ “พวกบ่าวช่วยได้ก็จริง แต่ถ้าทําลายความบริสุทธิ์ของคุณหนูรองจะทําอย่างไรขอรับ?”“ความบริสุทธิ์ยังสําคัญกว่าชีวิตอีกหรือ?” เฉียวเนี่ยนถลึงตาใส่เด็กรับใช้ที่กําลังพูดอยู่อย่างดุร้าย แล้วกระโดดลงไปในน้ำโ
คำพูดของเฉียวเนี่ยน เหมือนดั่งฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ จนทำให้หลินเย่ว์เกิดอาการมึนงงไปชั่วขณะในมโนภาพเห็นแต่เฉียวเนี่ยนดิ้นรนอยู่ในน้ำ ส่วนนางกำนัลอื่นก็อยู่ข้างบ่อซักล้าง ต่างพากันหัวเราะเป็นการใหญ่พลันรู้สึกเจ็บในหัวอกมากขึ้น เขาคิดจะพูดอะไรต่ออีก แต่คล้ายมีบางอย่างจุกอยู่ในลำคอ จวบจนแผ่นหลังของเฉียวเนี่ยนถูกบานประตูขวางกั้นจนมองไม่เห็นอีก จึงค่อยมีสติกลับคืนมาบ้าง“คุณหนู ฮือๆๆ...” เสียงร่ำไห้ของเสี่ยวชุ่ยดังขึ้นที่ข้างหู ทำให้รู้สึกรำคาญยิ่งหลินยวนถลึงตาใส่เสี่ยวชุ่ย “เอาแต่ร้องไห้อยู่ได้ ไม่รีบไปตามหมอมาอีก?”เสี่ยวชุ่ยเพิ่งจะนึกได้ จึงรีบออกไปทันทีหลินเย่ว์ส่งหลินยวนกลับไปยังเรือนลั่วเหมย ส่วนหมอประจำจวนก็มาพร้อมกับฮูหยินหลินขณะที่หมอกำลังตรวจชีพจรดูอาการให้หลินยวนอยู่นั้น ฮูหยินหลินก็พาหลินเย่ว์ออกไปข้างนอก “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? น้องเจ้าอยู่ดีๆ ตกน้ำได้อย่างไร หรือเป็นเพราะว่าเนี่ยนเนี่ยน...”“ท่านแม่” หลินเย่ว์ขมวดคิ้ว ขัดจังหวะการพูดของฮูหยินหลินทันที “เพราะเนี่ยนเนี่ยนช่วยยวนเอ๋อร์ไว้ต่างหาก”กล่าวพลาง เขาคล้ายกับนึกอะไรได้ จึงหันไปมองเสี่ยวชุ่ย “เจ้ามานี่”ใบหน้าซีก
ผู้มาใหม่คือเพื่อนสนิทของฮูหยินหลิน พระสนมเต๋อกุ้ยเฟยนั่นเองเมื่อเห็นว่าในที่สุดก็มีคนมาห้ามปรามหลินเย่ว์ เหล่านางกำนัลที่อยู่ในบ่อจึงต่างพากันร่ำไห้ระงมอออกมา “พระสนม...”“ฮือๆๆ พระสนมโปรดช่วยพวกเราด้วยเพคะ”นางกำนัลสิบกว่าคนร้องไห้ขึ้นมาพร้อมกัน ฟังแล้วเป็นที่หนวกหูยิ่งพระสนมเต๋อกุ้ยเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย ปรายตามองดูนางกำนัลใหญ่ที่อยู่ด้านข้างนางกำนัลใหญ่เข้าใจดี จึงกล่าวเสียงตวาด “ยังไม่รีบไปเปลี่ยนชุดอีก หากล้มป่วยขึ้นมา ทำให้เหล่าพระสนมเสียงานเสียการ พวกเจ้าจะมีกี่หัวพอให้ตัด?”เมื่อได้ยินดังนี้ เหล่านางกำนัลจึงหยุดร้องไห้ พร้อมคลานขึ้นจากบ่อน้ำแล้วแยกย้ายไปยังเรือนของตนทันทีรอจนทุกคนไปหมดแล้ว พระสนมเต๋อกุ้ยเฟยค่อยหันมามองราวตากผ้าในมือหลินเย่ว์ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวเสียงดุ “อะไรกัน ท่านโหวน้อยจะตีข้าด้วยหรืออย่างไร?”หลินเย่ว์ตกใจจนทิ้งราวตากผ้าลงจากมือ พร้อมประสานมือกล่าวตอบ “กระหม่อมมิบังอาจ”“ขนาดบุกเข้าวังมาเช่นนี้ ยังมีสิ่งใดไม่กล้าทำอีก?” เห็นชัดว่าพระสนมเต๋อกุ้ยเฟยเริ่มกริ้วบ้างแล้วนางมองว่าหลินเย่ว์ทำการวู่วามเกินไปในกรมซักล้างแห่งนี้ แม้เป็นที่ๆ นับว
แม้แต่ท่านโหวหลินก็อดมองหน้าเฉียวเนี่ยนไม่ได้ แต่ยังคงพูดคุยกับหลินเย่ว์ต่อ “เคราะห์ดีที่วันนี้มีพระสนมเต๋อกุ้ยเฟยมาออกหน้าให้ มิฉะนั้นอย่าว่าแต่เจ้า แม้แต่ข้าเองก็อาจไม่ได้ออกจากวังมาอีก!”เฉียวเนี่ยนมองดูพื้นที่อยู่เบื้องหน้าตน ในใจแอบรู้สึกถึงความเย้ยหยันคำพูดนี้ น่าจะพูดให้นางฟังมากกว่าขณะกำลังคิดอยู่ ด้านนอกก็มีเสียงหลินยวนแว่วมา “ท่านพ่อ...”น้ำเสียงอ่อนหวานนั้น แฝงด้วยความอ่อนแรง ระคนความร้อนใจ คล้ายพร้อมจะขาดใจได้ทุกเมื่อกระนั้นเฉียวเนี่ยนคิ้วขมวดเล็กน้อย พลันเห็นหลินยวนเดินอย่างอ่อนระโหยเข้ามาโดยมีสาวใช้เสี่ยวชุ่ยคอยประคอง ทันทีที่เห็นใบหน้าหลินเย่ว์มีเลือดไหลซึม น้ำตานางก็ร่วงหล่นลงพลัน พร้อมคุกเข่าลงข้างกายหลินเย่ว์ “ท่านพ่อ ขอท่านอย่าได้โกรธมาก แค่กๆๆ แค่กๆๆ...”กล่าวยังไม่ทันจบประโยค หลินหยวนก็เกิดอาการไอรุนแรงขึ้นมาท่านโหวหลินเป็นห่วงเสียจนแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ พลางตวาดไปทางเสี่ยวชุ่ย “ยังไม่รีบพยุงคุณหนูขึ้นมาอีก!”จนแม้แต่ฮูหยินหลินซึ่งแต่เดิมปกป้องหลินเย่ว์อยู่ ยังรีบไปพยุงให้นางยืนขึ้น “เจ้ายังป่วยอยู่ ออกมาทำไมกัน”“ข้า...ได้ยินว่าท่านพ่อจะลงโทษพี่ชาย” น้
เฉียวเนี่ยนรู้สึกหวาดหวั่นในใจ ขณะยืนอยู่กลางลานในตำหนักของพระสนมเต๋อกุ้ยเฟย จิตใจยังคงหวั่นวิตกไม่หายนับแต่ทำงานในกรมซักล้างมาสามปี นางยังไม่เคยมาตำหนักนี้ แต่พอรู้สึกได้ว่าบรรยากาศที่นี่แตกต่างจากกรมซักล้างโดยสิ้นเชิง ทำให้เกิดความอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกนางกลัวว่าตนจะเหมือนเมื่อสามปีที่แล้ว เข้ามาแล้วไม่ได้กลับออกไปอีกไม่รู้ว่ายืนอยู่นานเพียงไหน รู้เพียงนิ้วเท้าหนาวเย็นจนเกือบไร้ความรู้สึก กว่าจะมีคนมาเรียกนางเข้าไปพบพระสนมเต๋อกุ้ยเฟยทันทีที่ผลักประตูเข้าไป ก็มีไออุ่นมาปะทะใบหน้า จนเฉียวเนี่ยนรู้สึกแสบถึงปลายจมูกนางสูดจมูกเล็กน้อย ไม่ทันเดินเข้าด้านในก็ได้ยินเสียงพระสนมเต๋อกุ้ยเฟยดังลอดออกมา “ข้าเห็นชุดที่ส่งซักแล้ว ซักได้ดีมากจริงๆ”เฉียวเนี่ยนเพิ่งจะเห็นหน้านาง พลางรีบคุกเข่าลง “บ่าวถวายบังคมพระสนมกุ้ยเฟยเพคะ”เพราะนางทำงานเป็นบ่าวไพร่ในกรมซักล้างจนเคยชิน แม้ตอนนี้จะกลับไปอยู่จวนโหวตามเดิม แต่เวลาพบผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ยังมักจะกล่าวแทนตัวเองว่า ‘บ่าว’ อยู่เสมอพระสนมเต๋อกุ้ยเฟยชะงักเล็กน้อย คล้ายกับนึกสิ่งใดขึ้นมาได้ จึงส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มเบาๆ “เจ้าช่างเหมือนกับที่แม่เจ
เฉียวเนี่ยนแอบรู้สึกตกใจ จนแม้แต่นางกำนัลผู้นั้นก็กวาดสายตามองดูเฉียวเนี่ยนและเซียวเหิงด้วยความฉงน ก่อนตอบรับสั้นๆ ว่า “เจ้าค่ะ”หลังจากนั้น นางกำนัลก็จากไปทันทีเซียวเหิงกลับเดินมาผายมือต่อเฉียวเนี่ยนอย่างเปิดเผย “แม่นางเฉียว เชิญ”เมื่อหมดหนทาง เฉียวเนี่ยนจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินตามเซียวเหิงออกจากวังไปเพียงแต่วันนี้รู้สึกทางเดินออกจากวังยาวไกลกว่าปกติ เฉียวเนี่ยนพยายามมองไปข้างหน้าเป็นระยะ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นประตูบานใหญ่ของวังหลวงเสียทีทั้งคู่ต่างไม่พูดไม่จาเงียบงันเสียจนได้ยินเสียงพื้นรองเท้าเสียดสีกับพื้นทรายด้านล่างซึ่งสภาพการณ์เช่นนี้ หากเป็นแต่ก่อนจะไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักเพราะเท่าที่เซียวเหิงจำได้ นางเป็นหญิงที่ช่างพูดช่างจา วันๆ มักจะบ่นโน่นบ่นนี่ไม่หยุดหย่อนและความเงียบในเวลานี้ ทำให้เขาไม่คุ้นชินในที่สุดจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน “เรื่องพี่ชายเจ้า ข้าได้ยินมาแล้ว ฝ่าบาทอาจจะทรงกริ้วบ้าง แต่มิใช่เรื่องใหญ่อันใด เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”เฉียวเนี่ยนไม่เคยคิดว่าเซียวเหิงจะพูดกับนางเช่นนี้ นี่หมายความว่ากระไร?ปลอบใจกระนั้นรึ?แต่ว่า นางมิได้กังวลอะไรเลยนางยังคง
โจมตี!ชั่วขณะหนึ่ง เงาคนในที่มืดโหมกระหน่ํา แสงเย็นวาบปรากฏขึ้น พากันโจมตีโจรภูเขาเหล่านั้นพวกโจรภูเขาไหนเลยจะคาดคิดว่าเหล้าที่ดื่มดีๆ นี้จะถูกฆ่าถึงหน้าบ้าน ชั่วขณะนั้นพวกเขาตื่นตระหนกจนทําอะไรไม่ถูกยังไงก็ตาม พวกเขาเคยชินกับความเป็นความตาย พอได้ยินเสียงตะโกนของหัวหน้าโจรภูเขา พวกโจรภูเขาที่ตื่นตระหนกก็สงบลง และหยิบอาวุธออกมาทีละคนสถานการณ์การต่อสู้นั้นรุนแรงมากเซียวเหิงเดินอ้อมมาถึงหน้ากรงอย่างรวดเร็ว กระบี่ยาวในมือฟันโซ่บนกรงจนขาดหัวหน้าโจรภูเขาทางนั้นสังเกตเห็นสถานการณ์ทางนี้ จึงหยิบมีดพร้าที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาฟันใส่เซียวเหิงทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงไอสังหารจากด้านหลัง เซียวเหิงก็รีบเบี่ยงตัวหลบ กระบี่ยาวโบกสะบัด โจมตีไปยังหัวหน้าโจรภูเขาคนนั้นสิ่งที่ทําให้เซียวเหิงคาดไม่ถึงก็คือ วรยุทธของหัวหน้าโจรภูเขาคนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลยชั่วขณะหนึ่ง เขาและหัวหน้าโจรภูเขาต่อสู้กันอย่างแยกไม่ออกหางตาเหลือบเห็นจิ่งเหยียนเพิ่งออกจากกรง ก็มีโจรภูเขาบุกโจมตีเขาโชคดีที่จิ่งเหยียนมีดาบอยู่ในมือและสามารถป้องกันมันได้แต่จิ่งเหยียนถูกขังอยู่ในกรงเจ็ดวัน ยังไม่รู้ว่าได้รับความทรมาน
ภูเขาหกชีพจรตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองหยงเป่ยเหอโจวเจิ้น เทือกเขาสูงชัน มองจากที่ไกลๆ ดูเหมือนจะมีภูเขาหกลูก จึงได้ชื่อมาดังนี้ภูมิประเทศในภูเขานั้นยากลําบาก ป้องกันง่ายแต่โจมตีไม่ง่าย บวกกับเทือกเขาที่เชื่อมต่อกัน โจรภูเขาเหล่านั้นจึงหลบหนีไปยังภูเขาอื่นได้ง่ายมาก ดังนั้นจึงทําให้โจรภูเขากลุ่มนี้หยิ่งผยองมาหลายปีแน่นอนว่านี่เป็นเพราะการสมรู้ร่วมคิดระหว่างเจ้าหน้าที่และโจรท้องฟ้ายามค่ำคืนค่อยๆ มืดลงภายในค่ายกลับคึกคักเป็นพิเศษพวกโจรภูเขาก่อกองไฟ ดื่มเหล้าและกินเนื้อ มีความสุขมากจู่ๆ ก็ได้ยินโจรภูเขาคนหนึ่งพูดขึ้นมาทันทีว่า "พี่ใหญ่ ท่านว่าครั้งนี้ใต้เท้าหยูสามารถเอาทองคําหมื่นตําลึงมาได้จริงหรือ?"ตอนนี้หัวหน้าโจรภูเขา มือซ้ายจับขาแกะข้างหนึ่ง มือขวาถือไหเหล้า ดวงตาที่ถูกย้อมด้วยสีเหล้ามีสีขุ่นมัวเล็กน้อย มองชายที่ถูกขังอยู่ในกรงที่อยู่ไม่ไกลแล้วหัวเราะเยาะ"หยูว่านอันบอกว่า คนที่มาครั้งนี้ล้วนเป็นคนของเซียวเหิง คนที่ถูกข้าแทงทะลุหัวใจโดยตรง และคนที่ถูกเจ้ารองตัดแขน รวมกับคนที่อยู่ในกรง สามคนล้วนเป็นรองท่านแม่ทัพของเซียวเหิง"ได้ยินคําพูดนี้ โจรภูเขาพลันตกใจ "เซียวเหิง?
พูดไป หยูว่านอันก็นำทางเซียวเหิงเข้าห้องหนึ่งในห้อง กลิ่นควาเลือดคละคลุ้งรุนแรงบนเตียงมีใครคนหนึ่งนอนอยู่ เป็นหลัวซ่างนั่นเองตอนนี้เขามิได้นอนหลับแต่อย่างใด ได้ยินวามเคลื่อนไหวดังขึ้นพลันหันขวับ ครั้นเห็นเป็นเซียวเหิง หลัวซ่างเบิกตาโพลงทันใด ดวงตาหม่นหมองแต่เดิมเหมือนได้แสงส่องสว่างเขาพยายามลุกจากเตียงโดยไม่สนความบาดเจ็บบนร่าง แทบจะกลิ้นคลานไปคารวะเบื้องหน้าเซียวเหิงแล้ว “ข้าน้อยคารวะท่านแม่ทัพ!”เสียงสั่นเครือนั้น อัดแน่นไปด้วยความเศร้าโศกสุดพรรณนาสายตาของเซียวเหิง มองไปยังแขนเสื้อฝั่งซ้ายของหลัวซ่างคล้อยหลังการเคลื่อนไหวอันรุนแรงของหลัวซ่าง แขนเสื้อกลับยังคงนิ่งเหมือนว่างเปล่าไหล่ซ้ายของเขา ถูกฟันขาดเกือบถึงสะบักเซียวเหิงสีหน้าคร่ำเคร่ง แรงกดดันรอบกายหนักหน่วงลงอีกหลายส่วน ขยับประคองกายหลัวซ่าง ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นเยือก “บอกมา”หลัวซ่างตามติดเซียวเหิงมานาน ย่อมรู้ดีว่าเซียวเหิงหมายถึงอะไร จึงเอ่ยตอบทันที “ข้าและคนอื่นเดินทางถึงเหอโจวเมื่อสิบวันก่อน หลังจากทำความเข้าใจภูมิศาสตร์ของหุบเขาลิ่วม่ายแล้ว จึงนำทัพขึ้นเขา แต่ไม่เป็นอย่างที่คิด เหมือนโจรภูเขาพวกนั้นเตรียมก
เมื่อได้ยิน เฉียวเนี่ยนกับจิ่งโหรวต่างตะลึงงันทันใด“เจ้าพูดบ้าอะไร!” จิ่งโหรวแทบทนเตะเขาอีกไม่ไหว ทว่าสติที่เหลือบอกนางว่า ทำแบบนี้ไม่ได้สวีหวาชิงต้องรู้อะไรบางอย่างแน่ ถึงได้พูดเช่นนี้!เฉียวเนี่ยนขมวดคิ้วแน่น สะกดความกระวนกระวายในใจไว้ ก่อนเอ่ยถามเสียงเข้ม “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”“แน่นอนว่าพ่อข้าบอกมา!” เมื่อเห็นท่าทีของสตรีทั้งสองเริ่มร้อนรน สวีหวาชิงจึงเผยสีหน้าย่ามใจขึ้น “เมื่อคืนฮ่องเต้ทราบข่าวแล้ว จิ่งเหยียนนำทัพขึ้นโจมตีบนเขา พ่ายแพ้ครั้งใหญ่ สิ้นทั้งกองทัพ!”สี่คำท้ายประโยคนั้น สวีหวาชิงพูดหนักแน่น ซึ่งสี่คำนี้เสมือนเป็นหินก้อนใหญ่ กดทับหัวใจเฉียวเนี่ยนไว้ชั่วขณะหนึ่ง นางถูกสี่คำท้ายประโยคนั้นสะกดไว้จนหายใจแทบไม่ได้ในที่สุดจิ่งโหรวไม่ทนอีกต่อไป พุ่งใส่สวีหวาชิงไม่สนสิ่งอื่นใด “ใครใช้ให้แกพูดจาเหลวไหล! ใครใช้ให้เจ้าแช่งพี่ชายข้า!”หมัดเล็กๆ ของนางนั้นพละกำลังเหลือล้น สวีหวาชิงถูกชกไปสองหมัดต่อกัน รู้สึกหน้ามืดตาลาย ก่อนร่วงผล็อยลงพื้นอีกครั้งเมื่อเห็นจิ่งโหรวคิดจะเข้าไปซ้ำ เฉียวเนี่ยนก็รีบเรียกหนิงซวงเข้าไปรั้งไว้“หนิงซวง พาแม่นางจิ่งกลับจวน!”พูดจบ นางหันมองจิ่งโ
เฉียวเนี่ยนขมวดคิ้วเคร่ง สังหรณ์ใจถึงความผิดปกติ “เช่นนั้นนางอยู่ที่ใด?”ไม่คาดคิดว่า ยังพูดไม่ทันจบ เสียงเบาะแว้งพลันดังขึ้นจากห้องพักเล็กชั้นสองวินาทีต่อมา ชายคนหนึ่งถูกคนผลักออกจากห้องพัก ล้มลงบนระเบียงทางเดินเต็มแรงนั่นคือสวีหวาชิง!แต่เสียงจิ่งโหรวกลับเต็มไปด้วยความความเกรี้ยวกราด ดังออกจากห้องพัก “อันธพาลอะไรกัน ถึงกล้าหาเรื่องข้า! กินข้าวแล้วไม่มีปัญญาจ่ายก็บอกว่าในอาหารมีหนอน ไม่คู่ควรกับพี่สะใภ้ฉันก็บอกว่านางเป็นหญิงมั่วโลกีย์ ข้าว่าเจ้าต่างหากที่มั่วโลกีย์ ทั้งตระกูลเจ้าล้วนแต่มั่วโลกีย์ทั้งสิ้น!”สิ้นประโยคที่เหลือ เก้าอี้ตัวหนึ่งปลิวออกจากห้องพัก กระแทกใส่ร่างสวีหวาชิงอย่างแม่นยำหน้าอกสวีหวาชิงหลั่งเลือดทันใดทว่าจิ่งโหรวสองแขนเท้าสะเอว เดินออกจากห้องพัก ดวงตาคมกริบเขม็งจ้องสวีหวาชิง “ข้าขอเตือนเจ้า ถ้ากล้าทำให้ข้าได้ยินว่าเจ้าพูดจาถึงพี่สะใภ้ข้าอีกละก็ ข้าจะตีเจ้าทุกครั้งที่เจอ!”หลายวันก่อนสวีหวาชิงได้ยินว่าน้องสาวของจิ่งเหยียนอยู่หลังครัว นึกถึงความอับอายที่ได้รับมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงตัดสินใจมาเอาคืนจากจิ่งโหรวแทนดังนั้น เขาจึงโกหกว่ามีหนอนในอาหาร ต้องการให้
เฉียวเนี่ยนโดนจิ่งโหรวถามกลับแบบเช่นนี้จนชะงักค้างไปความรู้สึกไม่เป็นสุขจากการถูกนางเมินเฉยที่คาใจมาโดยตลอดนั้น พรั่งพรูออกออกมาในชั่วพริบตา ก่อนขยายตัวอย่างไร้ที่สิ้นสุดในที่สุดนางก็มิอาจคงสีหน้าราบเรียบดังเดิมได้อีกต่อไป คิ้วขมวดเคร่ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล “เจ้ารู้เรื่องอะไรมา?”หากจิ่งโหรวไม่รู้อะไรเหมือนพ่อแม่ของจิ่งเหยียน ยามนี้คงไม่ถามนางเช่นนี้เมื่อเห็นท่าทางเป็นกังวลของเฉียวเนี่ยน จิ่งโหรวขบฟันกรามกรอด เอ่ยคำพูดในใจลอดไรฟัน “สิ่งเดียวที่่ข้ารู้คือ ที่พี่ชายข้าไปครานี้ เป็นเพราะเจ้า!”เมื่อได้ยิน เฉียวเนี่ยนใจสะท้านค้างทันใด ยังไม่ทันได้ถามไถ่ดี ก็ได้ยินจิ่งโหรวเอ่ยต่อ “พี่ชายข้าบอกว่า เขาต้องให้อนาคตอันมั่นคงกับเจ้า เขาไม่อยากให้เจ้าโดนรังแก ดังนั้นเขาต้องต้องสร้างผลงานทางกองทัพ ต้องปกป้องเจ้า! หากไม่มีเจ้า ครานี้พี่ชายข้า คงไม่ต้องไปปราบโจร”คำพูดนี้ ทำเอาเฉียวเนี่ยนหน้าซีดไร้สีเลือดเป็นอย่างที่นางคิดไว้จริงๆที่จิ่งเหยียนไปปราบโจรกะทันหัน เกี่ยวข้องกับนางอย่างที่คิดไว้จริง!สองแขนที่ซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อสั่นระริกไม่เป็นสุข เฉียวเนี่ยนตื่นตระหนกสติหลุดอย่างหมดส
ที่จริงเฉียวเนี่ยนรู้ดีว่าตนไม่ได้เจอจิ่งเหยียนมานานแล้วแรกเริ่มคือท่านย่าป่วยหนัก จากนั้นนางคอยเฝ้าทั้งคืน ไม่มีเวลาไปเจอจิ่งเหยียนจริงๆแค่คิดดู ต่อให้จิ่งเหยียนมา ก็ต้องถูกจวนโหวปฏิเสธอยู่ข้างนอกแน่นอนดังนั้น สำหรับที่อยู่ของจิ่งเหยียน นางไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อยแต่ใครเล่าจะรู้ว่าเมื่อได้ยินนางถามเช่นนี้ สีหน้าจิ่งโหรวจะคร่ำเคร่งขึ้นทันตา แม้แต่พ่อแม่ของจิ่งเหยียนยังค่อยๆขมวดคิ้ว ไม่ปริปากพูดจาเมื่อเห็นสถานการณ์ ในใจเฉียวเนี่ยนพลันรู้สึกไม่สงบขึ้นมาหลายส่วน “เป็นอะไรไป? จิ่งเหยียนไปไหนแล้วล่ะ?”แม่ของจิ่งเหยียนสีหน้าฉายแววเศร้าโศกพ่อของจิ่งเหยียนเป็นฝ่ายโบกมือ “เห้อ เขาเป็นรองแม่ทัพราชสำนัก ราชสำนักจะให้เขาไปที่ใด เขาย่อมต้องไปที่นั่น! ได้ยินว่าไปปราบโจร ไปได้หลายวันแล้ว! ”ปราบโจร?เมื่อได้ยินสองคำนี้ เฉียวเนี่ยนตื่นตระหนกทันใด ในหัวฉายภาพท่าทางของโจรภูเขาเหี้ยมโหดพวกนั้น นางถามออกไปอย่างอดไม่ได้ “คงมิใช่ โจรภูเขาแห่งหยงเป่ยเหอโจวเจิ้นใช่ไหม?”“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” พ่อของจิ่งเหยียนตกตะลึงไม่แพ้กัน “ได้ยินมาแบบนั้นเช่นกัน ว่าเป็นเหอโจวเจิ้นอะไรสักอย่าง เหมือนเพราะโจรภูเขา
ในที่สุดก็เดินออกจากจวนโหวเฉียวเนี่ยนยืนอยู่หน้าประตูบานสูงบานนั้น เงยหน้ามองแผ่นป้ายที่แขวนด้วยผ้าไหมสีขาวแผ่นนั้น ในใจรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งในที่สุดนางก็สามารถจากไปได้ ในที่สุดก็หลุดพ้นจากคนของตระกูลหลินได้ ท่านย่าต้องมีความสุขมากแน่ๆหนิงซวงเห็นเฉียวเนี่ยนหยุดเดินแล้วมองย้อนกลับไป ยังนึกว่าเฉียวเนี่ยนตัดใจไม่ได้ จึงพูดเสียงเบาว่า "คุณหนู หรือว่าพวกเราจะอยู่ต่ออีกสองวันดีไหมเจ้าคะ?"ฮูหยินหลินพูดถูก อีกสองวันก็จะถึงการตายครบเจ็ดวันของฮูหยินเฒ่าแล้ว รอให้ผ่านไปก่อนแล้วค่อยไปก็ได้แต่ไม่คิด เฉียวเนี่ยนกลับส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ จากนั้นดึงหนิงซวงแล้วก้าวยาวๆ จากไปในบ้านหลังเล็กที่ไม่ไกลจากจวนโหวนั้น ผู้เฒ่าทั้งสองของตระกูลจิ่งมองดูกองอัญมณีที่นํามาส่งอย่างทําอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นเฉียวเนี่ยนมาถึง ทั้งสองก็รีบเข้าไปทําความเคารพ แล้วถึงพูดว่า "คุณหนู ท่านจะทําอะไรหรือขอรับ?"เฉียวเนี่ยนยิ้มบางๆ "ข้าตัดสายสัมพันธ์กับจวนโหวแล้ว วันหลังท่านลุงกับท่านป้าไม่ต้องเรียกข้าเป็นคุณหนูใหญ่แล้ว เรียกข้าว่าเนี่ยนเนี่ยนก็พอเจ้าค่ะ""ตัดสายสัมพันธ์หรือ" จิ่งโหรวยืนอยู่ไม่ไกล ขมวดคิ้วมองเฉียวเน
ใบหน้าของหนิงซวงเต็มไปด้วยความสุข "บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!"เฉียวเนี่ยนยิ้มด้วยความพึงพอใจ กลับได้ยินหนิงซวงถามขึ้นอย่างกะทันหันว่า "แต่ว่า คุณหนูเตรียมจะไปไหนหรือเจ้าคะ?""ไปอยู่กับจิ่งเหยียนสองวันก่อน แล้วค่อยๆ คิดว่าจะไปที่ไหนละกัน!" เฉียวเนี่ยนกล่าวเช่นนั้นวันข้างหน้า นางจะอยู่เมืองหลวงต่อหรือจากไป นางยังไม่ได้คิดให้ดี เพียงแค่คิดว่าในเมื่อนางตัดสินใจจะอยู่กับจิ่งเหยียนแล้ว ไม่ว่าจะอยู่หรือจากไปก็ต้องปรึกษากับจิ่งเหยียนก่อนแต่ตอนนี้ นางไม่อยากอยู่ในจวนโหวอีกต่อไปแล้ว!เมื่อได้ยินคําพูดของเฉียวเนี่ยน หนิงซวงก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น "เช่นนั้นบ่าวจะไปเตรียมเดี๋ยวนี้ ของรางวัลในห้องเก็บของเหล่านั้น จะให้หวังเอ้อไปส่งที่จวนรองแม่ทัพจิ่งก่อนหรือไม่เจ้าคะ?""อืม ส่งไป" เฉียวเนี่ยนพยักหน้าตอบรับ นั่นเป็นรางวัลที่ฮ่องเต้กับกุ้ยเฟยประทานให้นาง เพราะการแต่งงานครั้งนั้น ทําให้นางเกือบเอาชีวิตไม่รอด รางวัลนี้ย่อมต้องรับไปหนิงซวงรับคําแล้วรีบไปทําอย่างรีบร้อนอาจเป็นเพราะนางทํางานอย่างเร่งรีบเกินไป โกดังเก็บของเพิ่งย้ายหมด ฮูหยินหลินก็มาแล้วเมื่อเห็นเฉียวเนี่ยนกําลังแบกห่อผ้าและกํา