ระหว่างทาง ร่างสูงก็ได้ยินนักเรียนยืนพูดคุยกันอยู่ไม่ไกลจากนอกอาคารด้วยความบังเอิญ แต่แล้วเนื้อความในนั้นกลับทำให้เขาหูผึ่งเสียอย่างช่วยไม่ได้
“นี่ ได้ยินข่าวลือเรื่องที่ตระกูลฟลอเรนซ์ใกล้จะล้มละลายหรือเปล่า” “ได้ยินมาบ้างเหมือนกัน ข่าวลือดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก” ระหว่างที่เงี่ยหูฟังไปด้วย ช่วงก้าวของขาก็สั้นลงจนเรียกว่าแทบจะหยุดนิ่ง และเมื่อรู้ตัวก็ต้องรีบส่ายศีรษะขึ้นอย่างทันควัน มันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาสักหน่อย เหตุใดต้องสนใจ! แต่ในขณะที่กำลังเดินผ่านโซนตู้ล็อคเกอร์ อยู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาหาเขาจากทางด้านหลัง ด้วยสัญชาตญาณ ใบหน้าหล่อจึงรีบหันกลับไปมองด้วยสายตาคมกริบ ก่อนจะพบกับหญิงสาวที่กำลังวิ่งเข้ามาอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอทำราวกับว่าหากช้าไปกว่านี้อีกเพียงนิดเดียว เขาจะหายไปตลอดกาลอย่างนั้นแหละ “เจย์เนส!” เธอหยุดยืนหอบอยู่ตรงหน้าเขา เหมือนวิ่งมาไกลพอสมควรเชียวล่ะ มิหนำซ้ำ ดวงตากลมโตของเธอยังฉายแววหลากหลายอารมณ์อีกต่างหาก ทั้งดูกังวลใจ รู้สึกผิดจนอยากจะเอ่ยปากขอโทษ หรือแม้แต่ความประหม่า ขณะเดียวกันนั้นมือเรียวก็หยิบกล่องเข็มกลัดออกมาถือไว้ในมืออย่างระมัดระวัง “เอ่อ... นี่...ฉันเอามาคืนน่ะ” เธอพูดเสียงเบา แต่แววตาของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึก “เมื่อเช้าฉันยืนตั้งนาน แต่ว่าฉันคงมาช้าไปก็เลยคิดว่านายอาจจะเข้าห้องเรียนไปแล้ว” เจย์เนสมองเข็มกลัดในอุ้งมือเรียวเล็กนั้นอย่างเงียบงัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธออีกครั้ง “ขะ...ขอโทษนะ ต่อไปฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีก” อาเรียพูดเสียงสั่น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจ “แล้วก็...ขอบคุณที่ช่วยฉันเมื่อคืนด้วย” เขาไม่ได้ตอบอะไรทันที แต่สายตาคมกลับจับจ้องเธอไว้อย่างไม่ตั้งใจ ในขณะที่ดวงหน้าสวยก็รีบก้มหน้าก้มตาลงงุดมองปลายเท้าราวกับกลัวว่าจะต้องเจอสายตาตำหนิจากเขา เจย์เนสยืนมองเธอที่ทำท่าทีรุกลี้รุกลนก่อนจะแอบกระตุกมุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างได้ใจ แต่ก็ทำได้เพียงไม่นานต้องรีบหุบยิ้มลงเสียก่อน เพราะหลังจากก้มหน้าก้มตาอยู่ในความเงียบมาสักพัก อาเรียก็ตัดสินใจค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ พร้อมตาแป๋ว เธอทำท่าทีราวกับเป็นแมวน้อยที่ตั้งใจจะถามเจ้าของว่า ‘ยังโกรธอยู่ไหม’ อย่างไรอย่างนั้น เจย์เนสเห็นแบบนั้นก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด “ไม่ต้องขอโทษหรอก” ว่าพลางยื่นมือออกไปรับเข็มกลัดคืนมา “แค่จำไว้ว่าอย่าทำอะไรโง่ ๆ แบบนั้นอีกก็พอ” น้ำเสียงยังคงรักษาระดับความเย็นชาได้โดยไม่ขาดตบกพร่อง ได้ยินแบบนั้นหญิงสาวก็รีบพยักหน้าตอบรับ “อื้ม ไม่ต้องห่วง ฉํนจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วล่ะ” ได้ยินแบบนั้น ใบหน้าหล่อจากที่เข้มขรึมก็เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลงอย่างพออกพอใจ มือหนายกขึ้นกระชับสายกระเป๋าเป้ก่อนจะหมุนตัวหันหลังแล้วเดินจากไป แต่ในระหว่างทาง... ขณะที่ดวงตาสีแดงของเขาจับจ้องมองตรงทางข้างหน้า แต่แล้ว...ประสาทสัมผัสอันว่องไวของแวมไพร์ก็ทำให้เขารู้ว่ามีคนเดินตามอยู่ด้านหลัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ใกล้หรือไกลเกินไป นอกจากนี้กลิ่นของเธอยังชัดเจนมากอีกด้วย เสียงฝีเท้าแผ่วเบาในระยะไกล ราวกับตั้งใจให้เงียบที่สุด แต่สำหรับเจย์เนสแล้ว มันชัดเจนเสียจนไม่อาจทำใจให้นิ่งเฉยไดเลย ‘เหอะ ยัยแมวขโมยอีกแล้วสินะ…’ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจำกลิ่นเอกลักษณ์ของเธอได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะเป็นเมื่อสักครู่นี้ก็ได้ แต่เอาเป็นว่าหลังจากนี้ก็คงไม่ลืมแล้วล่ะ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้หันกลับไปมอง แต่ก็รู้ทุกช่วงการเคลื่อนไหวของเธอ ด้วยการแอบสังเกตผ่านเงาสะท้อนจากกระจกหน้าต่างไปตามทางเดินของโถงปราสาท จึงได้เห็นว่าเธอกำลังก้มหน้าก้มตาเดินตามรอยเท้าของเขาเหมือนเด็กน้อยกำลังเล่นเกมอย่างสนุกสนาน ทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเธอถูกจับจ้องอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าเธอจะทันสังเกตหรือเปล่า ว่าเขาแอบก้าวให้ช้าลงอีกนิด เพื่อให้เธอได้สังเกตและย่ำรอยเท้าของเขาได้อย่างไม่มีขาดช่วง ว่าแต่...ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ เมื่อคนตัวสูงที่เดินนำอยู่ข้างหน้าทราบถึงพฤติกรรมของตัวเองก็ได้แต่ส่ายศีรษะไปมาอย่างนึกสับสน และเมื่อมาถึงทางแยกใกล้ทางขึ้นหอพัก เขาก็เดินเลี้ยวเข้าไปโดยไม่หันกลับมามองเธออีก เฮ้อ หวังว่าจะไม่ต้องข้องเกี่ยวกันอีกนะ ฟลอเรนซ์... อาเรียที่เห็นว่าเขาเดินเข้าเขตแดนหอพักชายไปเป็นที่เรียบร้อย ขาเรียวก็หยุดก้าวลงแทบจะเรียกได้ว่าทันที แล้วเพียงแค่ยืนมองตามแผ่นหลังของเขาที่ค่อย ๆ เรลือนหายไปจนสุดสายตา ไม่มีอะไรหรอก เธอเพียงแค่ต้องการจะเดินมาส่งเพื่อเป็นการขอบคุณก็เท่านั้นเอง แต่อีกฝ่ายดูเข้าหายาก เธอจึงเลือกใช้วิธีเดินตามมาอย่างห่าง ๆ แต่เดินไปเดินมากลับกลายเป็นเล่นไปเสียลืมตัว ‘โชคดีที่เขาไม่เห็นนะเนี่ยอาเรีย ไม่อย่างนั้นคงน่าอายแย่’ ยืนอยู่สักพักเธอก็หันหลังกลับแล้วเดินเข้าไปทางเขตแดนหอพักหญิงเช่นกัน กลับมาถึงหอพักชาย มือหนาก็คว้าสายสะพายกระเป๋าแล้วเหวี่ยงมันลงบนโต๊ะอ่านหนังสือ ก่อนจะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองเพื่อลงไปนั่งพูดคุยกับพวกเพื่อน ๆ ของตัวเอง แต่ขณะที่กำลังทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย อยู่ ๆ สมองก็ฉายภายของอาเรียที่เดินตามหลังเขาเมื่อสักครู่ขึ้นมาให้หวนนึกถึง ‘ยัยลูกแมวจอมขโมย...’ คำว่าลูกแมวนี้เขาใช้แค่กับเรย์เน่น้องสาวฝาแฝดเพียงเท่านั้น ด้วยเหตุที่ว่าเธอเองก็ชอบทำตัว แมว ๆ เหมือนแม่ของพวกเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะมีแมวเพิ่มอีกตัวเข้าแล้วสิ แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เขาจะต้องพยายามสลัดความคิดเรือ่งแม่สาวฟลอเรนซ์ หลังจากนั้นก็เดินออกจากห้องนอเพื่อลงไปรวมกลุ่มกับพวกเพื่อน ๆ โซฟาตัวใหญ่กลางห้องนั่งเล่นรวมเป็นที่ประจำสำหรับกลุ่มเพื่อนสนิทของเจย์เนส ซึ่งพวกเขานั้น เรียกได้ว่าก็เป็นที่หมายปองของพวกสาว ๆ ในโรงเรียนอย่างไม่น้อยหน้ากันเลย และจุดร่วมอย่างหนึ่งที่พวกเขามีเหมือน ๆ กันอีกอย่างก็คือ ทุกคนล้วนเป็นลูกหลานจากตระกูลแวมไพร์เก่าแก่... เอเดรียน คาร์เตอร์ ชายหนุ่มผู้มีบุคลิกสดใส เขาเรียกได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ช่างจ้อกว่าทุกคนในกลุ่ม ส่วนใหญ่จะเป็นเขาเนี่ยแหละ ที่ชอบเปิดประเด็นสนทนาของกหลุ่มแทบทุกครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นกัน ระหว่างที่โยนขนมใส่ปาก ประเด็นร้อนมาแรงในช่วงนี้ก็ผุดขึ้นมา “เฮ้ พวกนายได้ยินเรื่องตระกูลฟลอเรนซ์กันหรือเปล่า” คำพูดนั้นทำเอาเซบาสเตียน เกรย์ ถึงกับละความสนใจออกจากการเพ่งสมาธิบังคับสิ่งของให้ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ “ตระกูลฟลอเรนซ์ที่ลือกันว่าบุตรสาวของท่านมาร์ลอนช่างงดงามนัก” เขาเป็นหนุ่มมาดเนี้ยบผู้มีใบหน้าหล่อเหลาที่จงใจหลบซ่อนมันอยู่ภายใต้แว่นตา แต่ดูเหมือนว่าพวกสาว ๆ ก็สายตาดีจนมองเห็นความหล่อเหลาที่พุ่งทะลุแว่นนั้นออกมาเสียจงได้ “เหมือนจะอยู่โรงเรียนเดียวกับพวกเราด้วยหนิ” “ใช่ งดงามมาก แต่ดูเหมือนข่าวลือว่าตระกูลนี้ใกล้จะล้มละลายแล้ว” เอเดรียนตอบกลับ “เอ๊ะ ตระกูลฟลอเรนซ์เป็นตระกูลเก่าแก่ ไม่มีทางจะล้มละลายง่าย ๆ หรอก หรือหากมีพลาดท่าให้คู่ค้าก็ไม่แน่...” ลูคัส สเตอร์ลิง สมาชิกอีกคนในกลุ่มก็เปิดปากเสวนาขึ้นมาบ้างหลังจากเงียบอยู่นาน “เพราะแบบนี้ไง ข่าวลือจึงบอกว่าท่านมาร์ลอนวางแผนจะให้บุตรสาวแต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์เพื่อจุนเจือตระกูลของตัวเอง” คำพูดนั้นทำให้สมาชิกในกลุ่มเริ่มให้ความสนใจและมาเข้าร่วมวงสนทนา เซบาสเตียนทำหน้าฉงนก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่คาใจ “แต่งกับใครล่ะ” เอเดรียนยักไหล่ “ไม่รู้สิ คงเป็นใครสักคนที่ชอบพอลูกสาวท่านมาร์ลอนนั่นแหละ หรือไม่แน่ก็อาจจับคลุมถุงชนไปเลย” “สมัยนี้แล้ว ยังมีใครกล้าทำแบบนั้นอยู่อีกหรือไง” “แต่ถ้าเป็นฉันก็คงไม่ปฏิเสธนะ ถ้าคลุมถุงชนแล้วจะได้อยู่กับสาวสวยแบบนี้ไปตลอดชีวิตน่ะ” “น่าสงสารนะ ฉันว่าเธอดูใสซื่อมาก คงไม่ทันเกมพ่อตัวเองหรอก” “ก็ใช่ แต่อย่างน้อยการลือแบบปากต่อปากจากพวกเราก็คงทำให้เธอไหวตัวทันบ้างแหละนะ” เอเดรียนเสริม “แต่ถ้าได้แต่งกับเธอก็ไม่แย่นะว่าไหมล่ะ สวยจะตายไป” ลูคัสที่ได้ยินแบบนั้นก็หรี่ตามองสหายของตนอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “เห็นสาวสวยก็เป็นต้องพูดแบบนี้ทุกทีเลยสิ” “ทำไมล่ะ อยากให้ฉันพูดแบบนั้นกับนายด้วยหรือไง” “พอเลย ขยะแขยง” ทุกคนได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะขึ้น ระหว่างที่นั่งฟังพวกเพื่อน ๆ เสวนากัน เจย์เนสที่ไม่ได้มีนิสัยช่างจ้ออยู่แล้วก็ได้แต่นั่งปิดปากทำตัวเงียบเป็นผู้ฟังอย่างเดียว ทุกคนจึงคิดว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจบทสนทนานี้ หารู้ไม่ว่าสิ่งที่คิดภายในใจนั้นสวนทางกับการกระทำอย่างยิ่งยวด ‘เฮ้อ ฟลอเรนซ์อีกแล้ว...’ เจย์เนสที่กำลังนั่งพิงพนักโซฟาด้วยท่าที่สบายก็ลอบถอนหายใจออกมา เขาพยายามจะไม่คิดเรื่องเธออยู่แท้ ๆ แต่รอบตัวก็ยังส่งเรื่องของยัยนี่เข้ามาวนเวียนอยู่นั่นแหละ ว่าแต่...แต่งงานแบบคลุมถุงชนอย่างนั้นเหรอ คนเป็นพ่อจะทำแบบนั้นกับลูกสาวได้ลงคอเชียวหรือไง แต่ดูแนวโน้มแล้ว คนอย่างยัยแมวขโมยคงไม่กล้าปฏิเสธพ่อของเธออย่างแน่นอน ก็ใสซื่อออกเสียขนาดนั้นน่ะ แล้วแบบนี้จะทำอย่างไรดีล่ะเนี่ยนยัยแมวขโมยเอ๊ย เขานั่งคิดเรื่องอขงเธอเสียนิ่งเฉยจนเหมือนสติกำลังหลุดลอย เซบาสเตียนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เห็นแบบนั้นก็ยกมือขึ้นดีดนิ้วเรียกสติเข้าให้ “เหม่ออะไรองค์ชาย” “เปล่าสักหน่อย แค่ใช้ความคิด” “อย่างนั้นเหรอ แล้วนายคิดยังไงเรื่องแม่สาวฟลอเรนซ์นี่ล่ะ” “ไม่คิด...” ว่าจบก็ยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง ทำหน้าเรียบเฉยตามเคย “ไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจเธอสักหน่อยเหรอ นายนี่สมกับเป็นเจ้าชายน้ำแข็งซะเหลือเกิน” เจย์เนสได้ยินแบบนั้นก็ยักไหล่ขึ้นอย่างไม่ยี่หระต่อสิ่งที่สหายของเขาเอ่ย สำหรับเขาแล้ว การแสดงออกว่าไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่นเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเป็นไปอย่างเรียบง่าย และนั่นก็เป็นความพึงพอใจส่วนตัวของเขา “เอาเถอะ เดี๋ยวเอาไว้มีสาวสักคนก็คงจะหายแหละ อาการแบบนี้” เอเดรียนพูดพึมพำ แต่ทุกคนต่างก็ได้ยินกันถ้วนหน้า จึงพากันหลุดหัวเราะพรืดออกมา นั่งไปสักพัก เจย์เนสก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงทำท่าเหมือนจะเดินออกไปนอกหอพักชาย “จะไปไหนน่ะองค์ชาย” “หิว” ช่างเป็นการโต้ตอบที่ประหยัดเสียงพูดได้ดีเสียเหลือเกิน!] เอเดรียนได้ยินแบบนั้นก็ลุกพรวดขึ้นตามพร้อมเสนอความคิดหนึ่งขึ้นมา “เฮ้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปหาอะไรกินที่เขตสังสรรค์นอกโรงเรียนดีกว่า ฉันอยากไปลองร้านที่เปิดใหม่ตรงข้างโรงน้ำชานั่น!” “เอาสิ” เซบาสเตียนตอบทันทีพร้อมหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาสะพายไว้ ส่วนลูคัสก็พยักหน้าน้อย ๆ เป็นการตอบรับ เจย์เนสได้ยินแบบนั้นก็ลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย อุตส่าห์อยากหลบเลี่ยงไปใช้ความคิดของตัวเองเพียงลำพังแท้ ๆ แต่ก็ยังไม่วายมีพวกชอบยุ่งตามมาด้วย แต่การปฏิเสธและไปอยู่ตัวคนเดียวมันจะยิ่งดูมีพิรุธเข้าไปใหญ่ ก็ในเมื่ออ้างว่าหิวไปแล้ว เขาจึงยอมไปกับพวกเขาแต่โดยดีบรรยากาศบริเวณเขตสังสรรค์ในยามเย็นเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ร้านค้าเรียงรายสองข้างทาง มีทั้งนักเรียนและผู้คนจากในเมืองใกล้เคียงเดินทางมาจับจ่ายใช้สอยของกินและของใช้มากมายทุกคนต่างเร่งรีบเพื่อให้ทันเวลากลับเข้าไปในหอพัก ต่างจากพวกเขาซึ่งเป็นนักเรียนคลาสเอส สิ่งหนึ่งที่ได้รับการอภิสิทธิ์เหนือนักเรียจากคลาสอื่นก็คือ พวกเขาสามารถกลับเข้าหอพักในยามวิกาลแค่ไหนก็ย่อมได้ ต่างจากนักเรียนคนอื่นที่เมื่อนาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มก็ต้องรีบกลับเข้าหอพักแล้วระหว่างที่กลุ่มของเจย์เนสกำลังเดินผ่านร้านอาหารและร้านขนมมากมาย เสียงหัวเราะและบทสนทนาของกลุ่มเพื่อนก็ดังไปตลอดทาง มิหนำซ้ำยังมีสายตาจากบรรดาสาว ๆ คอยจับจ้องมาตลอดทางอีกต่างหาก‘อึดอัดดีแท้...’ เจย์เนสคิดในใจขณะเดินไปพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของตัวเองแต่ทันใดนั้น สองขายาวก็ต้องหยุดชะงักราวกับเสียอาการไปชั่วครู่เมื่อพบเจอร่างบางที่ดูคุ้นตา กำลังยืนหันหลังมองป้ายประกาศอะไรบางอย่างอยู่ตรงหน้าร้านหนังสือเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งดวงตาคมจับจ้องเธอเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเบือนหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้พวกเพื่อน ๆ ทันสังเกตเห็นและเกิดเป็นประเด็นสนทนาได้แล
อาเรียที่เดินผ่านร้านอาหารร้านหนึ่งเข้า ดวงตาคู่สวยก็กวาดไปเจอประกาศรับสมัครพนักงานเข้าพอดี เธอจึงไม่รอช้า รีบเดินตรงเข้ามาในร้านเพื่อสอบถามเกี่ยวกับงานที่ว่าตอนแรกเธอคิดจะทำงานในห้องสมุดโรงเรียนนั่นแหละ แต่ก็กลัวว่ารายได้จะน้อยเกินไป นอกจากนี้ยังไม่มั่นใจด้วยว่าจะต้องแย่งชิงกับคนอื่นหรือเปล่า จึงอยากหางานสำรองเอาไว้ด้วย“ขอโทษนะคะ” เธอเอ่ยกับพนักงานอย่างสุภาพ ถึงแม้จะเป็นลูกคุณหนูแต่ก็ใช่ว่าเธอจะวางตัวสูงส่งใส่คนอื่นเขาไปทั่ว“ค่ะ มีอะไรให้ช่วยคะ”“คือ...ไม่ทราบว่ายังรับสมัครนักร้องอยู่ไหมคะ” เธอว่าพลางชี้ไปยังป้ายประกาศที่แปะอยู่ตรงหน้าร้านได้ยินแบบนั้นพนักงานก็ยิ้มรับ“ยังรับอยู่ค่ะ” ว่าจบเธอก็เดินไปหาผู้จัดการร้านเขาเป็นชายหนุ่มวัยกลางคน ซึ่งพอมองสำรวจรูปร่างหน้าตาของอาเรียแล้วก็มีความสนอกสนใจเธออยู่ไม่น้อย หากได้เธอมาเป็นนักร้องประจำร้าน คนจะต้องหลั่งไหลเข้ามาเพราะสเน่ห์ของเธอแน่ ๆ“สนใจเริ่มงานเลยไหมล่ะสาวน้อย” เขาถามาอาเรียเรียกได้ว่าแทบจะทันที“ค่ะ”“อ๋อ แต่ว่า บางครั้งถ้าหากลูกค้าเต็มร้าน อาจจะต้องมาช่วยเสริ์ฟด้วยนะเธอสะดวกหรือเปล่า”อาเรียได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าโดยไม่เกี่ย
วันรุ่งขึ้นช่วงหลังเลิกเรียน อาเรียก็รีบไปยื่นใบสมัครขอทำงานที่ห้องสมุดโรงเรียนงานส่วนใหญ่ที่นี่จะเป็นการจัดเรียงหนังสือที่นักเรียนคนอื่น ๆ นำมาคืนใส่เข้าชั้นให้เรียบร้อย หรือในบางครั้งก็อาจต้องช่วยอาจารย์บรรณารักษ์ในการอำนวยความสะดวกการหยิบยืมหนังสือเล่มต่าง ๆ และงานทั้งหมดนี้ จะได้ทำเพียงช่วงพักกลางวันและช่วงบ่ายหลังเลิกเรียนไม่เกินหกโมงเย็นเท่านั้นแหละก็ถือว่าเป็นงานที่สบายใช้ได้เลยทีเดียว นอกจากนี้เธอยังชอบใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับหนังสือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วแต่อย่างไรวันนี้เธอก็ยังต้องไปร้องเพลงที่ร้านอาหารตามที่รับปากกับผู้จัดการร้านอยู่ดี อย่างน้อยก็จะได้เก็บเงินบางส่วน และหากชวดงานนี้ก็จะไม่เสียโอกาสไปโดยสูญเปล่าด้วยเพียงแต่...‘เชื่อฉัน งานห้องสมุดดีกว่าเยอะ’ อยู่ ๆ เธอก็หวนนึกถึงคำพูดของเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น แล้วก็ลำบากเธอมานั่งชั่งใจอีก...แต่ตอนนี้ที่บ้านเธอก็ยังไม่ถือว่าไม่ได้มีปัญหาขนาดที่จะต้องไปลำบากทำงานขนาดนั้นหรอก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อยากจะทำอะไรที่พอจะช่วยเหลือได้บ้างระหว่างที่กำลังนั่งคิดอย่างถี่ถ้วนเวลาก็ค่อย ๆ ผ่านไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็ไม่ได้ไปร้องเพลงที่ร้า
เทศกาลคริสต์มาสเริ่มใกล้เข้ามา บรรยากาศภายในโรงเรียนก็ครึกครื้นมากขึ้น ต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่ถูกนำมาจัดเตรียมเพื่อวางกลางโถงหอประชุมนอกจากนี้ ตามธรรมเนียมในทุกปี โรงเรียนจะจัดงานเลี้ยงในคืนวันที่ยี่สิบสามธันวาคม โดยให้นักเรียนหาคู่ควงไปร่วมงานกัน ทั้งนี้ก็เพื่อการสานสัมพันธ์ไมตรีระหว่างนักเรียนนั่นเอง ไม่เพียงแค่นักเรียนในโรงเรียนนี้เท่านั้น แต่ยังมีโรงเรียนราชนิกุลจากที่อื่นมาร่วมฉลองด้วยอีกต่างหากแต่สำหรับเจย์เนสแล้ว มันเป็นงานเลี้ยงที่เขามองว่าน่าเบื่อที่สุดเลยก็ว่าได้ ก็เขาไม่ชอบความวุ่นวาย นอกจากนี้ยังเกลียดการตกเป็นเป้าของผู้หญิงเกือบแทบทุกคนในโรงเรียนอีก เพราะไม่ว่าใครก็ต่างอยากควงคู่กับเขาออกงานใหญ่ทั้งนั้นแต่ธรรมเนียมก็คือธรรมเนียม เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อยู่แล้ว นอกจากนี้เขาก็มีวิธีจัดการกับความชุลมุนที่จะโถมเข้ามาเชิญชวนเขาไปงานด้วยอย่างยุติธรรมอยู่แล้ว โดยถือคติว่า “ใครเร็วใครได้” ซึ่งมันก็ช่วยให้เขาไม่ต้องเสียเวลาต้องเลือกมากด้วยทันทีที่เสียงระฆังดังบอกเลิกเรียน สาว ๆ ในห้องของเจย์เนสรวมถึงจากห้องอื่นก็ต่างกรูกันเข้ามาในคลาสเอส ความชุลมุนนั้นแออัดจนแทบจะไม่มีช่องทางให
อาเรียมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทีชั่งใจก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วบอกกล่าวไปตามตรง “ขอบคุณนะ... แต่ฉันคิดว่าฉันคงไม่ไปร่วมงานนั้นหรอก”คำพูดนั้นทำให้มาร์คัสชะงัก ใบหน้าของเขาดูผิดหวังเล็กน้อย “ทำไมล่ะ งานออกจะสนุก”“ฉันไม่คิดว่ามันเหมาะกับฉันหรอก” เธอตอบพลางหลบสายตา แต่ทุกคนก็เข้าใจได้ว่าเป็นเพราะเรื่องอะไรเธอจึงเลี่ยงออกงานสังคมขนาดนี้ลิเลียนเหลือบมองอาเรียด้วยสายตาเศร้าสร้อย หากอาเรียยืนกรานปฏิเสธคนที่มาชวนถึงขนาดนี้ เธอก็คงไม่ไปจริง ๆ แล้วล่ะในขณะที่มาร์คัสเองก็ถอนหายใจอย่างนึกเสียดายเช่นกัน “ถ้าอย่างนั้น เป็นว่าถ้าเธอเปลี่ยนใจก็บอกฉันได้ทุกเมื่อเลยนะ”“ขอบคุณ” อาเรียตอบกลับอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้มเพื่อแสดงมารยาทเมื่อเห็นว่ามาร์คัสและเพื่อน ๆ เดินจากไปแล้ว เจย์เนสถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแล้วจะโล่งบ้าโล่งบออะไร! แต่ความรู้สึกว้าวุ่นเดือดเนื้อร้อนใจในตอนแรกมันหายไปเป็นปลิดทิ้งอย่างน่าเหลือเชื่อเลยล่ะแต่ก่อนที่เขาจะเดินกลับออกไป หญิงสาวทั้งสองคนก็เดินผ่านบริเวณที่ตัวเขายืนอยู่พอดี นั่นทำให้เจย์เนสรีบดึงสีหน้าเมินเฉยราวกับว่าไม่ได้เห็นการมาถึงของพวกเธอ แล้วเดินลอยหน้าลอยตาออกไป
“ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมพ่อรูปหล่อ” เอเดรียนกระซิบแซวกับเซบาสเตียน แต่ถึงจะกระซิบด้วยเสียงที่เบาแค่ไหน เจย์เนสก็ได้ยินอยู่ดีสายตาคมปรายมองเพื่อนของตน ทำให้พวกเขาต้องรีบหลบสายตาแล้วแอบไปหัวเราะอย่างชอบใจกันยกใหญ่“มีธุระอะไร” เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่ลึก ๆ แล้วก็ให้ความสนใจอยู่ไม่น้อยว่าเธอจะพูดเรื่องอะไรกันแน่อาเรียเม้มปากเล็กน้อย ขณะที่มองสายตาของเขา เธอชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะพูดออกไปเลยดีไหม แต่เมื่อเห็นว่าเพื่อน ๆ ของเจย์เนสต่างจ้องมองเธอด้วยความอยากรู้ เธอก็เปลี่ยนใจ“ไปคุยตรงนู้นได้ไหม?” เธอเอ่ยพร้อมชี้ไปยังมุมที่ไกลออกไปจากกลุ่มเพื่อนของเขาเล็กน้อยเจย์เนสถอนหายใจ อนแรกอาเรียคิดว่าเขาจะไม่ยอมเดินไปตามคำขอ แต่แล้วไม่นานเขาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เตรียมพร้อมจะเดินไปกับเธอเสียอย่างนั้น“หวังว่าจะเป็นเรื่องสำคัญ” ว่าจบก็เดินนำไปตรงจุดที่เธอชี้มาเมื่อสักครู่ในขณะเดียวกันกลุ่มเพื่อนของเขาก็ยังนั่งหัวเราะคิกคักส่งสายตาแซวตามหลังทั้งสองคนไป“แหม องค์ชาย มีสาวเรียกไปคุยส่วนตัวด้วยแฮะ” เอเดรียนเอ่ยแซวไล่หลังไป“อยากใส่ใจจังเลยว่าเรื่องอะไร” ลูคัสเองก็ไม่น้อยหน้า เอ่ยแซวไปพร้อมกัน ในขณ
งานเลี้ยงฉลองวันคริสต์มาสยามค่ำคืนเต็มไปด้วยแสงสี เสียง ถึงแม้บรรยากาศภายในงานจะดูเรียบหรู แต่ด้วยความที่ปีนี้มีนักเรียนจากโรงเรียนราชนิกุลอื่น ๆ มาเข้าร่วมงานด้วย จึงทำให้บรรยากาศคึกคักและดูจะชุลมุนมากกว่าปีไหน ๆ“นั่นใครน่ะ หล่อจัง” นักเรียนหญิงจากโรงเรียนอื่นกระซิบกระซาบขณะที่เหลือบไปเห็นเจย์เนสซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าห้องโถงประชุม“แบรดฟอร์ดไงล่ะ ส่วนนั่นน้องสาวฝาแฝดของเขา” พูดถึงเจย์เนสไม่พอ ยังชี้ไปทางเรย์เน่ที่เดินเคียงคู่มากับเซบาสเตียนพอดีอันที่จริงสองคนนี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแต่อย่างใด เพียงแค่ตกลงเอาไว้ตั้งแต่งานคริสต์มาสช่วงปีแรก ๆ ที่เข้ามาเรียนแล้วว่าทุกปีจะไปด้วยกัน เพราะหากต้องหาคู่เองแทบทุกปีคงเป็นอะไรที่วุ่นวายมากแน่ เห็นร่าเริงแบบนี้เรย์เน่ก็ไม่ชอบให้อะไรยุ่งยากเหมือนกัน“เคยได้ยินมาว่าตระกูลแบรดฟอร์ดเบ้าหน้าดีกันทั้งบ้าน แต่ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้”ดูเหมือนว่าความหล่อเหลาของเจย์เนสและความงดงามของเรย์เน่จะเป็นที่ถูกตาต้องใจของนักเรียนโรงเรียนอื่นไปทั่วเสียแล้ว แต่ด้วยความที่ส่วนใหญ่ ประชากรนักเรียนหญิงมีเยอะกว่านักเรียนชายมากนัก สายตาจึงไปรวมกันอยู่ที่ร่างสูงอย่างเจย์เนส
“เธอโอเคหรือเปล่า?” มาร์คัสถามคู่ควงของเขา เพราะดูเหมือนว่าเธอจะตัวสั่นอย่างมากขณะที่ทั้งคู่กำลังอยู่บนฟลอร์เต้นรำ“ฉัน...ฉันว่าจบเพลงนี้ต้องขอตัวก่อนแล้วล่ะ” อาเรียพูดพร้อมถอนมือออกจากเขา เธอยิ้มให้เขาเล็กน้อย “ว่าจะออกไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อย”“ได้สิ ให้ฉันไปเป็นเพื่อนไหมล่ะ" มาร์คัสถามพร้อมทำท่าผายมือเป็นการเชื้อเชิญให้เธอไปด้วยกัน“ไม่เป็นไรหรอก นายอยู่สนุกกับเพื่อน ๆ เถอะ""อย่างนั้นเหรอ?""อื้ม ไว้จะรีบกลับมา""ได้สิ ตามใจเลย คุณฟลอเรนซ์"อาเรียส่งยิ้มให้เขาอีกรอบก่อนจะรีบก้าวฉับ ๆ ออกมาจากห้องโถงอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักเธอก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องเก็บของเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในมุมเงียบของอาคาร เธอเปิดประตูเข้าไปก่อนจะปิดมันอย่างเบามือในห้องมืดสลัว มีเพียงแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างบานเล็ก เธอเอนหลังพิงผนังแล้วค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นแต่ไม่กี่นาทีต่อมา เสียงฝีเท้าของคนสองคนก็ดังขึ้นใกล้ ๆ ห้องเก็บของ อาเรียชะงักก่อนจะหันไปมองประตูอย่างระแวดระวังยังจะมีใครมาอีกเนี่ย อุตส่าห์มาหาที่สงบ ๆ อยู่แล้วแท้ ๆไม่นานประตูห้องก็ถูกผลักออก ร่างของคนสองคนที่เดินตามกันเข้ามาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าอา
ถึงแม้สถานการณ์จะล่อแหลมถึงขนาดนี้ แต่เจ้าแวมไพร์ก็ยังเอาแต่นั่งนิ่ง มีหรือเขาจะพลาดโอกาสที่จะได้เห็นของดี จึงปล่อยให้เธอทำอะไรต่อมิอะไรไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้กระทั่งสายตาของอาเรียเหลือบไปส่องกระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้งเขา“เจย์เนส!?” เสียงหวานร้องหลงเมื่อเห็นว่าเขานั่งอยู่ในห้องด้วย ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย แล้วนี่...เห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย! แถมยังนั่งเงียบไม่ให้ซุ่มให้เสียงอย่างกับพวกจงใจถ้ำมองอีก!เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะเปลือยเปล่าต่อหน้าเขา อาเรียก็รีบคว้าจับเสื้อตัวเองมาห่อตัวอีกครั้ง อีกแค่นิดเดียวมีหวังเธอได้ล่อนจ้อนต่อหน้าเขาแน่ ๆ“กว่าจะรู้ตัวนะ กำลังคิดอยู่เลยว่าจะได้เห็นเธอถอดเสื้อผ้าจดหมดตัวหรือเปล่า” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องปกติอย่างนั้นแหละได้ยินแบบนั้นดวงหน้าสวยก็ยิ่งขึ้นสีแดงแจ๋ อยากจะมุดหน้าแทรกแผ่นดินหนีให้เสียรู้แล้วรู้รอด แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ “นายมาทำอะไรที่นี่…แล้วเข้ามาได้ยังไง!?”เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของเธอแท้ ๆ แล้วทำไมเธอจะต้องเป็นฝ่ายเขินอายกันด้วยล่ะ“ก็ทางที่เคยออกไป...” ว่าพลางชี้ไปทางระเบียงห้องอาเ
และแล้ววันเปิดเรียนก็มาพร้อมกับช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ที่มาถึงพอดี เสียงพูดคุยในโรงเรียนดังเซ็งแซ่ไปทั่วนอกจากนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสีสันของวันวาเลนไทน์นั้น ดูเหมือนจะหนีไม่พ้นสติ๊กเกอร์รูปหัวใจและช็อกโกแลตที่ต่างคนต่างมีครอบครองกันเอาไว้ในมืออย่างน้อยคนละหนึ่งอัน เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพื่อจะนำไปมอบให้คู่หมายหรือคนที่แอบชอบอย่างไรล่ะอีกด้านหนึ่งในหอพักชายดูเหมือนว่าความครื้นเครงของเทศกาลจะขัดกับนิสัยของแวมไพร์หนุ่มเสียเหลือเกิน บอกตามตรงว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยให้ความสนใจเทศกาลอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ค่อนข้างจะมองว่าไร้สาระด้วยซ้ำแล้วใครจะไปคิดว่าเขาที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนอนกลับมีถุงใส่ช็อกโกแลตขนาดมหึมาตั้งวางอยู่ข้างกาย‘เฮ้อ เลือกว่ายากแล้ว เอาไปให้ยังยากกว่าอีก’ เจย์เนสถอนหายใจยาว ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการจะนำช็อกโกแลตไปให้ใครสักคนจะต้องนั่งทำใจนานถึงเพียงนี้แล้วไอ้ความประหม่าที่ไม่เคยเป็นนี่มันหมายความว่ายังไงกันเนี่ย...นั่งอยู่นานจนกระทั่งเห็นว่าสายแล้ว เขาจึงตัดสินใจลุกออกไปเพื่อเตรียมเข้าคลาสเรียน จึงปล่อยกองช็อกโกแลตพวกนั้นเอาไว้ในห้องเสียก่อนระหว่างทาง สายตาคมก็แอบสอดส่องสำร
ในขณะที่เจย์เนสกับไอวี่เดินกลับออกไปจากโซนล็อคเกอร์ อาเรียที่ตอนแรกได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนชื่อเจย์เนสก็รีบหันควับกลับไปมองทันที ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวกับตอนที่ชายหนุ่มหันกลับไปเผชิญหน้ากับเพื่อนสาวคนนั้นภาพตรงหน้าทำให้ใจบางกระตุกวูบ เธอไม่รู้ว่าทั้งคู่อยู่ใกล้ตนขนาดนี้ รู้ตัวอีกทีก็หันไปเห็นผู้หญิงคนนั้นสวมกอดเขาอยู่แล้ว ถึงจะดูเหมือนเล่นกัน แต่ท่วงท่าการกอดนั้นก็แนบแน่นใช้ได้คิ้วคู่สวยเริ่มขมวดพันกันยุ่ง แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อนึกได้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธด้วยซ้ำ เธอก็พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็วที่สุด‘เขามีสิทธิ์เป็นร้อยที่จะกอดกับใครก็ได้...ทำไมฉันจะต้องสนใจด้วย’ คิดแบบนั้นก็รีบเดินออกไปจากตรงบริเวณล็อคเกอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงให้ภาพตรงหน้าพ้นตาเมื่อกลับมาถึงห้อง อาเรียก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ดวงตาคู่สวยจ้องมองเพดานนิ่ง ต่างจากในใจที่กำลังครุ่นคิดถึงภาพที่เพิ่งเห็นมาไม่นานนัก มอเรียวก้คว้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทำสิ่งที่หญิงสาวทุกคนถนัด นั่นก็คือ...พิมพ์ชื่อของผู้หญิงคนนั้นลงในช่องค้นหาของแอพโซเชียลมีเดีย จากนั้นไม่นาน บนหน้าจอโทรศัพท์ก็ฉายภาพใบหน้าของหญิงสาวเจ้าของ
หลังจากวันนั้น เจย์เนสก็เริ่มรู้สึกได้ว่าอาเรียต้องการหลบหน้าเขา เพราะอะไรกันนะ อยู่ๆเผะอก็เปลี่ยนไป จากก่อนหน้าที่ไม่ว่าเจอกันเมื่อไหร่ก็จะส่งยิ้มหวานกลับมาให้ตลอด แต่ตอนนี้กลับรีบก้มหน้าก้มตาแล้วเดินหลบเลี่ยงออกไปให้พ้นสายตาเสียอย่างนั้นยิ่งคิดก็ดูเหมือนว่าในใจจะว้าวุ่นอย่างไรก็ไม่รู้เอ๊ะ แล้วนี่เขากำลังว้าวุ่นเรื่องยัยฟลอเรนซ์อย่างนั้นเหรอ ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้… คนอย่างเขาไม่เคยหวั่นไหวกับใครทั้งนั้นแหละดูเหมือนว่าเจ้าแวมไพร์หนุ่มจะยอมรับความรู้สึกตัวเองได้ค่อนข้างยากเอาการ ไม่เพียงเท่านัั้น เขายังทำเป็นเมินเฉยใส่กลับไปด้วยต่างหาก เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะมีใครสักคนพยายามเข้าหาแล้วพูดคุยกันให้เข้าใจไม่ใช่หรือไงหลายวันผ่านไป เขาก็ยังทำตัวเมินเฉยใส่อาเรียอย่างออกนอกหน้า แต่แล้วก็ต้องตกใจกับเรื่องราวที่ได้ยินในวันนี้“เฮ้อ ถ้าจะออกก็บอกกันก่อนสิ ครูจะได้หาคนมาแทนตั้งแต่เนิ่น ๆ” เสียงอาจารย์บรรณารักษ์เอ่ยต่อว่าอาเรียเบา ๆ เนื่องด้วยเป็นบริเวณห้องสมุดจึงสงวนการใช้เสียงดัง แต่นี่ก็คงถือเป็นเรื่องดีแหละนะเพราะน้ำเสียงที่อาจารย์ใช้นั้น ทำให้เธอไม่ค่อยรู้สึกเหมือนโดนต่อว่ามากนักส่
วันดีคืนดี จู่ ๆ ช่วงนี้อาเรียก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็จะบังเอิญเจอเขาไปเสียทุกที่ หรืออาจเป็นเพราะว่าความสนใจของเธอไปอยู่กับเขาหมดแล้วเป็นความบังเอิญแบบไหนน่ะเหรอ...“ยืมหนังสือ” ว่าจบเขาก็วางหนังสือที่ต้องการยืมสองเล่มลงตรงหน้าอาเรียที่อยู่ในฐานะผู้ช่วยอาจารย์บรรณารักษ์เมื่อวานก็ยืมไปแล้วตั้งสองเล่ม อ่านจบแล้วหรือไงกัน อาเรียคิด แต่เอาเข้าจริง หากจะคิดว่าเขาตั้งใจมาหยิบยืมหนังสือเพื่อที่จะได้พบหน้าเธอ มันก็ดูจะเป็นการเข้าข้างตัวเองเกินไปหน่อยมือหนาคว้าหยิบหนังสือบนเคาน์เตอร์ ก่อนจะเดินไปดึงเก้าอี้ของโต๊ะตัวที่อยู่ไม่ห่างจากเคาน์เตอร์ยืมหนังสือมากนัก‘ไม่ใช่หรอก เขาไม่ได้ตั้งใจจะนั่งตรงนั้นเพื่อที่จะอยู่ใกล้ ๆ เราหรอกมั้ง’ อาเรียยังคิดไม่ตก แล้วอีกอย่าง...เรื่องของพวกเขาดูไม่มีหวังเลยสักนิด เขามาจากตระกูลแวมไพร์ผู้สูงศักดิ์ ส่วนเธอเป็นเพียงบุตรสาวของตระกูลที่ใกล้จะล้มละลายเต็มที ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่เหมาะสมเลยสักนิด หากเดินเคียงข้างกันคงตกเป็นที่ติฉินนินทาแน่แต่อย่าเพิ่งคิดไปไกลถึงขั้นนั้นเลย แค่คิดว่าหากเข้าใกล้เขาแล้วจะโดนกลุ่มสาว ๆ พวกนั้นเล่นงานอีกก็ไม่ค่อยกล้าหวั
วันรุ่งขึ้น ทางโรงเรียนก็จัดงานฉลองเทศกาลปีใหม่ได้ทันเวลา ถึงแม้ว่าอาเรียจะพักผ่อนได้ไม่ค่อยเต็มที่นัก เพราะกว่างานจะเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบจะตีสองแต่ระหว่างที่อาเรียกำลังเดินอยุ่ในงาน อยู่ ๆ เธอก็ถูกอาจารย์ฝ่ายกิจกรรมเรียกตัวไปพบ“อาเรีย อุปกรณ์ของโรงเรียนที่ใช้จัดงาน ลองนับดูแล้วมูลค่าการเสียหายหลายหมื่นอยู่นะ” อาจารย์กล่าวด้วยความกระอักกระอ่วนใจ เขาทราบดีว่าเธออาจไม่ได้ตั้งใจที่จะทำข้าวของเสียหาย แต่อย่างไรกฎก็ยังเป็นกฎ“แต่ว่า...หนูไม่ได้เป็นคนทำพังนะคะ” อาเรียคัดค้าน“เพื่อนในคลาสบีของเธอบอกว่าเธอเป็นผู้ดูแลของทั้งหมด ยังไง ทางคลาสบีของพวกเธอก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้ให้กับทางโรงเรียนนะ”อาเรียถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถ้าหากบอกว่าคลาสบี ก็คงโยนภาระหน้าที่มาให้แค่เธอกับลิเลียนเพียงสองคนนั่นแหละ“เข้าใจแล้วค่ะ หนูจะรีบหาเงินมาชดใช้ให้...” ว่าจบเธอก็เดินคอตกกลับเข้าไปในงาน โดยไม่รู้เลยว่า ขณะที่ตัวเองกำลังยืนถูกอาจารย์ตำหนิอยู่นั้น เจ้าแวมไพร์หนุ่มได้แอบมายืนฟังด้วยเช่นกัน และเขาก็พอจะรู้สถานการณ์คร่าว ๆ แล้วด้วย‘เธอจะจ่ายคนเดียวอย่างนั้นเหรอ’ เจย์เนสคิดในใจ คิ้วหนาขมวดงุ่น ดวงตาสีแ
อีกด้านหนึ่งเจย์เนสเดินกลับออกมาจากห้องสมุดหลังเวลาปิดทำการ ขายาวก้าวตรงมุ่งสู่หอพักชาย ไม่คิดเลยว่าจะอ่านหนังสือเพลินไปหน่อย พอเงยหน้าขึ้นอีกทีท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีเป็นมืดครึ้มไปเสียแล้วแต่ก็ต้องโทษฤดูหนาวซะมากกว่า ที่ทำให้ฟ้าดูเหมือนจะครึ้มอยู่ตลอด จนเขาลืมเวลาไปเชียวว่าแต่ ยัยแมวขโมยหายไปไหนเนี่ย เขาคิดว่าจะได้เจอเธอตอนเวลาห้องสมุดปิดทำการเสียอีก เขาไม่รู้เลยว่าวันนี้เธอขออาจารย์บรรณารักษ์ไปจัดการงานที่ห้องโถงแทนเดินไปได้ไม่นานบรรยากาศที่เงียบสงบกลับถูกทำลายด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่ดังมาจากทางเดินด้านหน้า ทำให้เขาต้องหยุดฝีเท้าลงกะทันหันสัญชาตญาณหูแวมไพร์ที่ไวต่อเสียงทำให้เขาจับทิศทางได้ทันทีว่าเสียงนั้นดังมาจากห้องเก็บของเล็ก ๆ ที่ไม่ไกลนัก‘เสียงใครเนี่ย’ ขายาวก้าวเข้าไปใกล้ประตูห้องนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียงสะอื้นยังคงดังออกมาจากข้างในอยู่เรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า ยิ่งเข้าใกล้เสียงก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น แล้วก็เริ่มคิดว่าเสียงนี้ช่างฟังดูคุ้นหูเสียเหลือเกินและเมื่อก้มมองที่ประตูก็เห็นว่ามันถูกลงกลอนจากด้านนอก นี่มัน...จงใจขังกันหรือยังไงเนี่ยแต่ก่อนที่จะคิดอะไรไปมา
เมื่อเจย์เนสกลับมาถึงคฤหาสน์แบรดฟอร์ด เขาก็รู้สึกแปลก ๆ เหมือนว่ามีสายตาคู่หนึ่งคอยจับจ้องอยู่ตลอดแล้วมันก็เป็นตามที่สัญชาตญาณของเขาบอก เพราะระหว่างที่กำลังถอดเสื้อโค้ทออกและเงยหน้าขึ้นก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก เมื่อพบว่าลินินกำลังยืนจับจ้องมา แววตาฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างเปิดเผย“อะไรของท่านแม่เนี่ย ผมเกือบหัวใจวายแหนะ”“ใจเต้นด้วยเหรอเราน่ะ”ที่ลินินพูดนั้นไม่ผิด เพราะแวมไพร์อย่างพวกเขาไม่ได้มีหัวใจเพื่อเอาไว้คอยสูบฉีดเลือดเหมือนมนุษย์หรอก“หรือไปเจออะไรที่ทำให้ใจเต้นมา?”“จะไปเจอิอะไรมาได้ล่ะ แค่เอาของไปส่งเอง” ว่าจบก็พยายามเดินเบี่ยงไปทางอื่น เพื่อให้เดินหนีออกมาได้แต่ลินินไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก ยังไงวันนี้เธอต้องล้วงความจริงจากลูกชายจอมปากแข็งนี่ให้ได้เลย“ตอบคำถามมาก่อนเลยเจ้าตัวดี” เธอเดินตามลูกชายอย่างไม่ลดละ ส่วนเจย์เนสก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วหันกลับมามองแม่อย่างยอมจำนน“เรื่องอะไร”“ไม่รู้จริงเหรอเนี่ย” ลินินยักคิ้วพร้อมยกยิ้มขึ้น ทำท่าราวกับราชินีที่กำลังให้โอกาสในระหว่างการพิจารณาคดีนักโทษ“ไม่รู้ ท่านแม่กำลังพูดเรื่องอะไรล่ะ”“อ๋อเหรอ เพราะแม่จำได้ว่าผ้าพันคอที่แม่ถักน่ะ มันผืนนี้ไม่ใช
จนกระทั่งเดินมาถึงคฤหาสน์ตระกูลฟลอเรนซ์ สายตาของเจย์เนสก็เริ่มมองสำรวจไปทั่ว ก่อนจะพบว่าสภาพคฤหาสน์นั้นดูโทรมมาก เหมือนขาดการซ่อมบำรุงมานานพอสมควรแล้ว มันจึงทำให้เขานึกถึงข่าวลือที่ว่าตระกูลฟลอเรนซ์ใกล้จะล้มละลายเต็มที“กลับมาแล้วค่ะ” อาเรียพูดพร้อมผลักประตูรั้วที่กั้นระหว่างตัวคฤหาสน์กับเส้นถนนข้างหน้า ก่อนจะหันไปบอกกับเจย์เนส “นายก็เข้ามาหลบหนาวข้างในก่อนสิ”และทันทีที่เสียงของเธอดังขึ้น มาร์ลอน ฟลอเรนซ์ ผู้เป็นพ่อก็รีบเดินตรงมายังหน้าประตูด้วยท่าทางเร่งรีบ“ไปไหนมาอาเรีย พ่อหาลูกซะทั่วเลย”อาเรียกำลังจะตอบ แต่สายตาของมาร์ลอนก็เหลือบไปเห็นว่าลูกสาวไม่ได้กลับมาพร้อมแมรีเท่านั้น แต่ยังมีร่างสูงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังด้วยและหลังจากไล่มองสำรวจใบหน้าของชายหนุ่มอย่างถี่ถ้วน มาร์ลอนก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ “คะ...คุณเจย์เดน แบรดฟอร์ด!?”ท่าทางของเขาดูตระหนกจนเจย์เนสที่ยืนนิ่งอยู่ก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกเช่นกัน ก่อนจะก้มศีรษะให้ชายวัยกลางคนตรงหน้าอย่างนอบน้อมแล้วเอ่ยแนะนำตัวขึ้น“สวัสดีครับคุณฟลอเรนซ์ ผมเจย์เนส แบรดฟอร์ด ไม่ใช่พ่อของผมหรอกครับ”มาร์ลอนชะงักไปเล็กน้อย ความประหม่ายังคงอยู่ในน้ำเส