เช้าวันต่อมา
แสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างตรงโซนตู้ล็อคเกอร์เข้ามาบ่งบอกว่าอีกไม่นานก็ใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นอาเรียก็ยังยืนอยู่ตรงหน้าล็อคเกอร์ของใครบางคนอยู่ไม่ห่าง ใช่แล้ว...เธอตั้งใจจะนำเข็มกลัดที่ใช้การไปเรียบร้อยแล้วมาส่งคืนให้เจ้าของ หญิงสาวยืนอยู่ตรงหน้าล็อคเกอร์พลางมือก็กอบกุมกล่องใส่เข็มกลัดเอาไว้แน่น ระหว่างที่เขายังไม่โผล่มาก็ดูเหมือนจะซื้อเวลาให้เธอได้รวบรวมความกล้าที่จะไปสู้หน้าเขาต่ออีกสักเล็กน้อยล่ะ ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องมาคืนด้วยตัวเอง ทั้งที่ขอร้องให้คนอื่นมาส่งคืนแทนให้ก็ได้ แต่รู้ตัวอีกทีเธอก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าตู้ล็อคเกอร์ของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้วเนี่ยสิ แต่ก็เอาเถอะ การมาส่งคืนตัวเองก็นับว่าเป็นมารยาทรูปแบบหนึ่งที่พึงกระทำ อย่างน้อยเขาจะได้ไม่เสียน้ำใจที่หวังดีช่วยเธออย่างไรล่ะ อาเรียคิดให้เหตุผลกับตัวเองทั้งที่ในใจตอนนี้ยังสั่นไหวอยู่ตลอดเวลา เวลาผ่านไปหลายสิบนาที แต่ล็อคเกอร์ตรงหน้าก็ยังไร้วี่แววเจ้าของ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรอคอยอย่างอดทน เป็นเวลาเดียวกับจำนวนคนเริ่มบางตาลง ‘เขาคงไม่มาแล้วล่ะ…’ เธอคิดในใจก่อนจะถอนหายด้วยความรู้สึกผิดหวังอย่างช่วยไม่ได้ และเมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว มือเรียวจึงตัดสินใจเก็บเข็มกลัดใส่ลงในกระเป๋าพร้อมทั้งเดินกลับเข้าห้องเรียนไป แอบผิดหวังอย่างไรก็ไม่รู้ ด้วยคิดว่าจะคืนให้เสร็จสรรพ แต่กลับต้องผลัดวันไปเสียได้ แต่หารู้ไม่ว่าทุกการเคลื่อนไหวของเธอนั้นอยู่ในสายตาเจ้าของล็อคเกอร์ที่เธอมายืนพิงแทบทุกระเบียดนิ้ว เพราะสำหรับแวมไพร์อย่างเจย์เนส ถึงแม้ว่าระยะทางระหว่างเขาและเธอจะอยู่ห่างไกลกันมาก แต่เขาก็ยังสามารถมองเห็นเธอได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เธอยืนพิงตัวเข้ากับตู้ล็อคเกอร์ของเขาเหมือนกำลังเฝ้ารอ หรือเดินไปเดินมาอยู่ข้างหน้าก็ตาม เขายืนมองเธออย่างเงียบงันพร้อมแววตาเย็นชาอย่างที่เคยเป็น แต่ไม่รู้ว่าทำไมการกระทำของเธอจึงทำให้ใจของเขาวูบไหวไปเสียอย่างนั้น เฮ้อ ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดจึงไม่ยอมเดินเข้าไปหาเธอให้รู้แล้วรู้รอด บอกตามตรง แค่ไปรับเข็มกลัดคืนมามันง่ายราวกับปลอกกล้วยเข้าปากเลยล่ะ แต่เขากลับไม่ทำเสียอย่างนั้น หรือเป็นเพราะยังรู้สึกหงุดหงิดไม่หายนะ ใช่แล้ว ยังร็สึกหงุดหงิดไม่หาย หากเผชิญหน้าตอนนี้คงต้องเผลอไผลจนเกิดเป็นเรือ่งเป็นราวแน่เลย เจย์เนสพูดกับตัวเองในใจ ก่อนจะยืนกอดอกเฝ้ามองการกระทำของเธอต่อไป ‘จะยืนรออะไรหนักหนา’ ไม่รู้ว่าทำไม ยิ่งมองก็เหมือนจะยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียอย่างนั้น และเมื่อเห็นว่าเธอเดินออกจากโซนตู้ล็อคเกอร์เพื่อไปเข้าเรียนแล้ว เขาจึงเริ่มขยับขาก้าวเดินต่อเพื่อไปเข้าห้องเรียนเช่นกัน ระหว่างที่กำลังนั่งเรียน ภาพเหล่านั้นก็พรั่งพรูเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย และแล้วสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับเขาก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่ออยู่ ๆ ระหว่างคาบเรียน เขากลับหลุดโฟกัสไป ‘ออกไปจากหัวฉันสักทีแม่สาวฟลอเรนซ์’ แต่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของแม่สาวฟลอเรนซ์เท่านั้นที่ทำให้เขาประหม่า แต่ยังมีอีกสิ่งที่ทำให้น่าอึดอัดใจเพิ่มเข้ามาด้วย นั่นก็คือ...สายตาของหญิงสาวผู้คลั่งไคล้เขาจนแทบบ้าอย่างโซเฟีย กำลังจับจ้องมาชนิดที่ว่าตาไม่กระพริบ ‘น่ารำคาญจริง…’ เขาคิดในใจพลางพยายามเบือนหน้าหลบเลี่ยงความสนใจของเธอ จนกระทั่งเสียงระฆังบอกเวลาเลิกเรียน โซเฟียก็รีบลุกขึ้นพรวด และก้าวเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะเรียนของเขาแทบจะทันที “ยัยนั่นขโมยเข็มกลัดของนายไปใช่ไหม” เธอถามเสียงดัง สายตาดูคาดหวังยิ่งนัก แต่กลับไร้ซึ่งความสนใจตอบกลับจากคนตรงหน้า เจย์เนสไม่ตอบอะไรแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ก้มหน้าก้มตาเก็บของบนโต๊ะ จนเส้นความอดทนของโซเฟียขาดสะบั้น “ฉันถามว่ายัยนั่นขโมยเข็มกลัดของนายหรือเปล่า!” ความฉุนเฉียวทำให้เธอวางกระแทกหนังสือลงบนโต๊ะของเจย์เนสดังปัง! เสียงนั้นทำให้ทุกคนในห้องหันมามองทันที รวมถึง เรย์เน่ น้องสาวฝาแฝดของเขา ที่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” เรย์เน่รีบหันไปหาต้นเสียง ก่อนจะเห็นว่าโซเฟียกำลังตะล่อมพี่ชายฝาแฝดของตัวเองอยู่ คิ้วสวยก็พลันขมวดมุ่นด้วยความไม่พอใจ หล่อนกล้าดียังไงมาแสดงพฤตกรรมก้าวร้าวใส่พี่ชายของเธอเช่นนั้น เจย์เนสยังคงนิ่ง เขาเงยหน้าขึ้นมองโซเฟียด้วยสายตาเย็นชา ราวกับคำตอบของเขาชัดเจนอยู่แล้ว “เรื่องส่วนตัว” เขาตอบเรียบ ๆ ก่อนจะสะพายกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้โซเฟียร็สึกขัดใจกับคำถามที่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็คงไม่ได้คำตอบ แต่คำว่า ‘เรื่องส่วนตัว’ นั่นมันก็ชัดเจนพออยู่แล้วล่ะ เมื่อคิดได้เช่นนั้น โซเฟียก็เริ่มฉุนเฉียวขึ้นมาอีกครั้ง ยัยฟลอเรนซ์นั่น กลายเป็นเรื่องส่วนตัวของเจย์เนสไปได้ยังไงกัน ไม่มีทาง เธอไม่วันยอมหรอก ก็เธอชอบของเธอมาตั้งนาน อยู่ ๆ ยัยฟลอเรนซ์นั่นจะมาแย่งไปหน้าตาเฉยได้อย่างไรกัน! เจย์เนสเดินล้วงกระเป๋าออกจากอาคารเรียน มุ่งหน้าไปยังโรงอาหารด้วยท่าทีสงบนิ่งเหมือนทุกครั้ง ทว่าภายในใจกลับไม่ได้สงบเช่นนั้น สถานการณ์เมื่อครู่ในห้องเรียนที่โซเฟียตั้งคำถามอย่างไม่ลดละยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เสียงฝีเท้าเบา ๆ และกระโปรงที่พลิ้วสะบัดไปมา ทำให้เขาไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าใครกำลังเดินตามเขา “พี่เจย์เนส! เดี๋ยวก่อนสิ” เรย์เน่ วิ่งตามเขามาพร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็น เจย์เนสถอนหายใจเบา ๆ แต่ไม่ได้หยุดเดิน น้องสาวฝาแฝดของเขามักจะซักไซ้เรื่องที่อยากรู้จนกว่าจะได้คำตอบเสมอ และเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่หยุดง่าย ๆ “ว่าไง?” เขาถามเสียงเรียบ “เรื่องเข็มกลัดนั่นน่ะ” เรย์เน่พูดพลางวิ่งไปเดินขนาบข้างเขา ดวงตากลมโตฉายแววความสงสัย ท่าทีเช่นนี้เหมือนแม่ของเธอไม่มีผิด “พี่ให้เข็มกลัดใครไปเหรอ?” คำถามจากน้องสาวทำให้เจย์เนสชะงักไป แต่เขาก็ยังคงดึงสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนไม่ใส่ใจนัก “ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปสนใจเลย” “โหย พี่อ่ะ” เรย์เน่ทำเสียงงอนก่อนจะกระโดดเหยง ๆ ตามขนาบข้างเขาไปตลอดทาง “บอกหน่อยสิ พี่ให้เข็มกลัดใครไปอ่ะ หรือว่า... พี่มีแฟนแล้ว!?” เจย์เนสเลิกคิ้วพลางถอนหายใจยาว “พูดอะไรไร้สาระ ไปกินข้าวได้แล้ว” เขาพยายามเปลี่ยนเรื่อง แต่เรย์เน่ไม่ยอมลดละ “โธ่ พี่เจย์เนสบอกหน่อยสิ ก็น้องอยากรู้อ่ะ” เธอเดินไปขวางหน้าเขา มือสองข้างกางออกเหมือนจะหยุดเขาให้ได้ เจย์เนสมองมองท่าทางของน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูก่อนจะส่ายศีรษะไปมา “มันก็แค่ของทั่วไป ไม่ได้สำคัญอะไรสักหน่อย เธออย่าไปใส่ใจมันเลย” ว่าจบก็เดินหลบเลี่ยงไปอีกทางเพื่อให้พ้นจากเรย์เน่ที่ยืนขวางทางอยู่ แต่สาวน้อยก็ยังคงตามตื๊อเหมือนแมวที่เดินวนไปวนมารอบเจ้าของ “ไม่จริงอ่ะ ถ้าไม่สำคัญทำไมโซเฟียถึงโวยวายขนาดนั้น เราต่างก็รู้ดีว่าโซเฟียชอบพี่มาก บอกมาเถอะ ฉันสัญญาว่าจะไม่บอกใคร” “อย่าหวังเลย เธอรู้ก็โลกรู้นั่นแหละ” “นั่นไง แสดงว่ามีซัมติงจริง ๆ ใช่ไหมล่ะ” ยังคงเดินตามตื๊อต่อไป ร่างสูงเดินทิ้งห่างออกจากน้องสาวไปไกลเรื่อย ๆ พร้อมทั้งคิดว่า โชคยังเข้าข้างที่เคย์ลิสกับไลเอนน์ สองแฝดชายตัวป่วนประจำบ้านยังไม่มาเข้าเรียนที่นี่ด้วยกัน ไม่อย่างนั้นมีหวังได้เจอพวกนั้นรุมถามทั้งวันทั้งคืนแน่ หลังจากแยกย้ายกับเรย์เน่แล้ว ขายาวก็สาวเร็วขึ้นเพื่อไปนั่งรวมกับกลุ่มเพื่อนสนิทที่ห้องนั่งเล่นรวมในหอพักชายระหว่างทาง ร่างสูงก็ได้ยินนักเรียนยืนพูดคุยกันอยู่ไม่ไกลจากนอกอาคารด้วยความบังเอิญ แต่แล้วเนื้อความในนั้นกลับทำให้เขาหูผึ่งเสียอย่างช่วยไม่ได้“นี่ ได้ยินข่าวลือเรื่องที่ตระกูลฟลอเรนซ์ใกล้จะล้มละลายหรือเปล่า”“ได้ยินมาบ้างเหมือนกัน ข่าวลือดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก”ระหว่างที่เงี่ยหูฟังไปด้วย ช่วงก้าวของขาก็สั้นลงจนเรียกว่าแทบจะหยุดนิ่ง และเมื่อรู้ตัวก็ต้องรีบส่ายศีรษะขึ้นอย่างทันควันมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาสักหน่อย เหตุใดต้องสนใจ!แต่ในขณะที่กำลังเดินผ่านโซนตู้ล็อคเกอร์ อยู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาหาเขาจากทางด้านหลังด้วยสัญชาตญาณ ใบหน้าหล่อจึงรีบหันกลับไปมองด้วยสายตาคมกริบ ก่อนจะพบกับหญิงสาวที่กำลังวิ่งเข้ามาอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอทำราวกับว่าหากช้าไปกว่านี้อีกเพียงนิดเดียว เขาจะหายไปตลอดกาลอย่างนั้นแหละ“เจย์เนส!” เธอหยุดยืนหอบอยู่ตรงหน้าเขา เหมือนวิ่งมาไกลพอสมควรเชียวล่ะ มิหนำซ้ำ ดวงตากลมโตของเธอยังฉายแววหลากหลายอารมณ์อีกต่างหากทั้งดูกังวลใจ รู้สึกผิดจนอยากจะเอ่ยปากขอโทษ หรือแม้แต่ความประหม่าขณะเดียวกันนั้นมือเรียวก็หยิบกล่องเข็มกลัดออกมาถือไว้ในมืออย่างระมัด
บรรยากาศบริเวณเขตสังสรรค์ในยามเย็นเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ร้านค้าเรียงรายสองข้างทาง มีทั้งนักเรียนและผู้คนจากในเมืองใกล้เคียงเดินทางมาจับจ่ายใช้สอยของกินและของใช้มากมายทุกคนต่างเร่งรีบเพื่อให้ทันเวลากลับเข้าไปในหอพัก ต่างจากพวกเขาซึ่งเป็นนักเรียนคลาสเอส สิ่งหนึ่งที่ได้รับการอภิสิทธิ์เหนือนักเรียจากคลาสอื่นก็คือ พวกเขาสามารถกลับเข้าหอพักในยามวิกาลแค่ไหนก็ย่อมได้ ต่างจากนักเรียนคนอื่นที่เมื่อนาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มก็ต้องรีบกลับเข้าหอพักแล้วระหว่างที่กลุ่มของเจย์เนสกำลังเดินผ่านร้านอาหารและร้านขนมมากมาย เสียงหัวเราะและบทสนทนาของกลุ่มเพื่อนก็ดังไปตลอดทาง มิหนำซ้ำยังมีสายตาจากบรรดาสาว ๆ คอยจับจ้องมาตลอดทางอีกต่างหาก‘อึดอัดดีแท้...’ เจย์เนสคิดในใจขณะเดินไปพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของตัวเองแต่ทันใดนั้น สองขายาวก็ต้องหยุดชะงักราวกับเสียอาการไปชั่วครู่เมื่อพบเจอร่างบางที่ดูคุ้นตา กำลังยืนหันหลังมองป้ายประกาศอะไรบางอย่างอยู่ตรงหน้าร้านหนังสือเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งดวงตาคมจับจ้องเธอเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเบือนหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้พวกเพื่อน ๆ ทันสังเกตเห็นและเกิดเป็นประเด็นสนทนาได้แล
อาเรียที่เดินผ่านร้านอาหารร้านหนึ่งเข้า ดวงตาคู่สวยก็กวาดไปเจอประกาศรับสมัครพนักงานเข้าพอดี เธอจึงไม่รอช้า รีบเดินตรงเข้ามาในร้านเพื่อสอบถามเกี่ยวกับงานที่ว่าตอนแรกเธอคิดจะทำงานในห้องสมุดโรงเรียนนั่นแหละ แต่ก็กลัวว่ารายได้จะน้อยเกินไป นอกจากนี้ยังไม่มั่นใจด้วยว่าจะต้องแย่งชิงกับคนอื่นหรือเปล่า จึงอยากหางานสำรองเอาไว้ด้วย“ขอโทษนะคะ” เธอเอ่ยกับพนักงานอย่างสุภาพ ถึงแม้จะเป็นลูกคุณหนูแต่ก็ใช่ว่าเธอจะวางตัวสูงส่งใส่คนอื่นเขาไปทั่ว“ค่ะ มีอะไรให้ช่วยคะ”“คือ...ไม่ทราบว่ายังรับสมัครนักร้องอยู่ไหมคะ” เธอว่าพลางชี้ไปยังป้ายประกาศที่แปะอยู่ตรงหน้าร้านได้ยินแบบนั้นพนักงานก็ยิ้มรับ“ยังรับอยู่ค่ะ” ว่าจบเธอก็เดินไปหาผู้จัดการร้านเขาเป็นชายหนุ่มวัยกลางคน ซึ่งพอมองสำรวจรูปร่างหน้าตาของอาเรียแล้วก็มีความสนอกสนใจเธออยู่ไม่น้อย หากได้เธอมาเป็นนักร้องประจำร้าน คนจะต้องหลั่งไหลเข้ามาเพราะสเน่ห์ของเธอแน่ ๆ“สนใจเริ่มงานเลยไหมล่ะสาวน้อย” เขาถามาอาเรียเรียกได้ว่าแทบจะทันที“ค่ะ”“อ๋อ แต่ว่า บางครั้งถ้าหากลูกค้าเต็มร้าน อาจจะต้องมาช่วยเสริ์ฟด้วยนะเธอสะดวกหรือเปล่า”อาเรียได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าโดยไม่เกี่ย
วันรุ่งขึ้นช่วงหลังเลิกเรียน อาเรียก็รีบไปยื่นใบสมัครขอทำงานที่ห้องสมุดโรงเรียนงานส่วนใหญ่ที่นี่จะเป็นการจัดเรียงหนังสือที่นักเรียนคนอื่น ๆ นำมาคืนใส่เข้าชั้นให้เรียบร้อย หรือในบางครั้งก็อาจต้องช่วยอาจารย์บรรณารักษ์ในการอำนวยความสะดวกการหยิบยืมหนังสือเล่มต่าง ๆ และงานทั้งหมดนี้ จะได้ทำเพียงช่วงพักกลางวันและช่วงบ่ายหลังเลิกเรียนไม่เกินหกโมงเย็นเท่านั้นแหละก็ถือว่าเป็นงานที่สบายใช้ได้เลยทีเดียว นอกจากนี้เธอยังชอบใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับหนังสือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วแต่อย่างไรวันนี้เธอก็ยังต้องไปร้องเพลงที่ร้านอาหารตามที่รับปากกับผู้จัดการร้านอยู่ดี อย่างน้อยก็จะได้เก็บเงินบางส่วน และหากชวดงานนี้ก็จะไม่เสียโอกาสไปโดยสูญเปล่าด้วยเพียงแต่...‘เชื่อฉัน งานห้องสมุดดีกว่าเยอะ’ อยู่ ๆ เธอก็หวนนึกถึงคำพูดของเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น แล้วก็ลำบากเธอมานั่งชั่งใจอีก...แต่ตอนนี้ที่บ้านเธอก็ยังไม่ถือว่าไม่ได้มีปัญหาขนาดที่จะต้องไปลำบากทำงานขนาดนั้นหรอก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อยากจะทำอะไรที่พอจะช่วยเหลือได้บ้างระหว่างที่กำลังนั่งคิดอย่างถี่ถ้วนเวลาก็ค่อย ๆ ผ่านไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็ไม่ได้ไปร้องเพลงที่ร้า
เทศกาลคริสต์มาสเริ่มใกล้เข้ามา บรรยากาศภายในโรงเรียนก็ครึกครื้นมากขึ้น ต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่ถูกนำมาจัดเตรียมเพื่อวางกลางโถงหอประชุมนอกจากนี้ ตามธรรมเนียมในทุกปี โรงเรียนจะจัดงานเลี้ยงในคืนวันที่ยี่สิบสามธันวาคม โดยให้นักเรียนหาคู่ควงไปร่วมงานกัน ทั้งนี้ก็เพื่อการสานสัมพันธ์ไมตรีระหว่างนักเรียนนั่นเอง ไม่เพียงแค่นักเรียนในโรงเรียนนี้เท่านั้น แต่ยังมีโรงเรียนราชนิกุลจากที่อื่นมาร่วมฉลองด้วยอีกต่างหากแต่สำหรับเจย์เนสแล้ว มันเป็นงานเลี้ยงที่เขามองว่าน่าเบื่อที่สุดเลยก็ว่าได้ ก็เขาไม่ชอบความวุ่นวาย นอกจากนี้ยังเกลียดการตกเป็นเป้าของผู้หญิงเกือบแทบทุกคนในโรงเรียนอีก เพราะไม่ว่าใครก็ต่างอยากควงคู่กับเขาออกงานใหญ่ทั้งนั้นแต่ธรรมเนียมก็คือธรรมเนียม เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อยู่แล้ว นอกจากนี้เขาก็มีวิธีจัดการกับความชุลมุนที่จะโถมเข้ามาเชิญชวนเขาไปงานด้วยอย่างยุติธรรมอยู่แล้ว โดยถือคติว่า “ใครเร็วใครได้” ซึ่งมันก็ช่วยให้เขาไม่ต้องเสียเวลาต้องเลือกมากด้วยทันทีที่เสียงระฆังดังบอกเลิกเรียน สาว ๆ ในห้องของเจย์เนสรวมถึงจากห้องอื่นก็ต่างกรูกันเข้ามาในคลาสเอส ความชุลมุนนั้นแออัดจนแทบจะไม่มีช่องทางให
อาเรียมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทีชั่งใจก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วบอกกล่าวไปตามตรง “ขอบคุณนะ... แต่ฉันคิดว่าฉันคงไม่ไปร่วมงานนั้นหรอก”คำพูดนั้นทำให้มาร์คัสชะงัก ใบหน้าของเขาดูผิดหวังเล็กน้อย “ทำไมล่ะ งานออกจะสนุก”“ฉันไม่คิดว่ามันเหมาะกับฉันหรอก” เธอตอบพลางหลบสายตา แต่ทุกคนก็เข้าใจได้ว่าเป็นเพราะเรื่องอะไรเธอจึงเลี่ยงออกงานสังคมขนาดนี้ลิเลียนเหลือบมองอาเรียด้วยสายตาเศร้าสร้อย หากอาเรียยืนกรานปฏิเสธคนที่มาชวนถึงขนาดนี้ เธอก็คงไม่ไปจริง ๆ แล้วล่ะในขณะที่มาร์คัสเองก็ถอนหายใจอย่างนึกเสียดายเช่นกัน “ถ้าอย่างนั้น เป็นว่าถ้าเธอเปลี่ยนใจก็บอกฉันได้ทุกเมื่อเลยนะ”“ขอบคุณ” อาเรียตอบกลับอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้มเพื่อแสดงมารยาทเมื่อเห็นว่ามาร์คัสและเพื่อน ๆ เดินจากไปแล้ว เจย์เนสถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแล้วจะโล่งบ้าโล่งบออะไร! แต่ความรู้สึกว้าวุ่นเดือดเนื้อร้อนใจในตอนแรกมันหายไปเป็นปลิดทิ้งอย่างน่าเหลือเชื่อเลยล่ะแต่ก่อนที่เขาจะเดินกลับออกไป หญิงสาวทั้งสองคนก็เดินผ่านบริเวณที่ตัวเขายืนอยู่พอดี นั่นทำให้เจย์เนสรีบดึงสีหน้าเมินเฉยราวกับว่าไม่ได้เห็นการมาถึงของพวกเธอ แล้วเดินลอยหน้าลอยตาออกไป
“ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมพ่อรูปหล่อ” เอเดรียนกระซิบแซวกับเซบาสเตียน แต่ถึงจะกระซิบด้วยเสียงที่เบาแค่ไหน เจย์เนสก็ได้ยินอยู่ดีสายตาคมปรายมองเพื่อนของตน ทำให้พวกเขาต้องรีบหลบสายตาแล้วแอบไปหัวเราะอย่างชอบใจกันยกใหญ่“มีธุระอะไร” เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่ลึก ๆ แล้วก็ให้ความสนใจอยู่ไม่น้อยว่าเธอจะพูดเรื่องอะไรกันแน่อาเรียเม้มปากเล็กน้อย ขณะที่มองสายตาของเขา เธอชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะพูดออกไปเลยดีไหม แต่เมื่อเห็นว่าเพื่อน ๆ ของเจย์เนสต่างจ้องมองเธอด้วยความอยากรู้ เธอก็เปลี่ยนใจ“ไปคุยตรงนู้นได้ไหม?” เธอเอ่ยพร้อมชี้ไปยังมุมที่ไกลออกไปจากกลุ่มเพื่อนของเขาเล็กน้อยเจย์เนสถอนหายใจ อนแรกอาเรียคิดว่าเขาจะไม่ยอมเดินไปตามคำขอ แต่แล้วไม่นานเขาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เตรียมพร้อมจะเดินไปกับเธอเสียอย่างนั้น“หวังว่าจะเป็นเรื่องสำคัญ” ว่าจบก็เดินนำไปตรงจุดที่เธอชี้มาเมื่อสักครู่ในขณะเดียวกันกลุ่มเพื่อนของเขาก็ยังนั่งหัวเราะคิกคักส่งสายตาแซวตามหลังทั้งสองคนไป“แหม องค์ชาย มีสาวเรียกไปคุยส่วนตัวด้วยแฮะ” เอเดรียนเอ่ยแซวไล่หลังไป“อยากใส่ใจจังเลยว่าเรื่องอะไร” ลูคัสเองก็ไม่น้อยหน้า เอ่ยแซวไปพร้อมกัน ในขณ
งานเลี้ยงฉลองวันคริสต์มาสยามค่ำคืนเต็มไปด้วยแสงสี เสียง ถึงแม้บรรยากาศภายในงานจะดูเรียบหรู แต่ด้วยความที่ปีนี้มีนักเรียนจากโรงเรียนราชนิกุลอื่น ๆ มาเข้าร่วมงานด้วย จึงทำให้บรรยากาศคึกคักและดูจะชุลมุนมากกว่าปีไหน ๆ“นั่นใครน่ะ หล่อจัง” นักเรียนหญิงจากโรงเรียนอื่นกระซิบกระซาบขณะที่เหลือบไปเห็นเจย์เนสซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าห้องโถงประชุม“แบรดฟอร์ดไงล่ะ ส่วนนั่นน้องสาวฝาแฝดของเขา” พูดถึงเจย์เนสไม่พอ ยังชี้ไปทางเรย์เน่ที่เดินเคียงคู่มากับเซบาสเตียนพอดีอันที่จริงสองคนนี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแต่อย่างใด เพียงแค่ตกลงเอาไว้ตั้งแต่งานคริสต์มาสช่วงปีแรก ๆ ที่เข้ามาเรียนแล้วว่าทุกปีจะไปด้วยกัน เพราะหากต้องหาคู่เองแทบทุกปีคงเป็นอะไรที่วุ่นวายมากแน่ เห็นร่าเริงแบบนี้เรย์เน่ก็ไม่ชอบให้อะไรยุ่งยากเหมือนกัน“เคยได้ยินมาว่าตระกูลแบรดฟอร์ดเบ้าหน้าดีกันทั้งบ้าน แต่ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้”ดูเหมือนว่าความหล่อเหลาของเจย์เนสและความงดงามของเรย์เน่จะเป็นที่ถูกตาต้องใจของนักเรียนโรงเรียนอื่นไปทั่วเสียแล้ว แต่ด้วยความที่ส่วนใหญ่ ประชากรนักเรียนหญิงมีเยอะกว่านักเรียนชายมากนัก สายตาจึงไปรวมกันอยู่ที่ร่างสูงอย่างเจย์เนส
ถึงแม้สถานการณ์จะล่อแหลมถึงขนาดนี้ แต่เจ้าแวมไพร์ก็ยังเอาแต่นั่งนิ่ง มีหรือเขาจะพลาดโอกาสที่จะได้เห็นของดี จึงปล่อยให้เธอทำอะไรต่อมิอะไรไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้กระทั่งสายตาของอาเรียเหลือบไปส่องกระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้งเขา“เจย์เนส!?” เสียงหวานร้องหลงเมื่อเห็นว่าเขานั่งอยู่ในห้องด้วย ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย แล้วนี่...เห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย! แถมยังนั่งเงียบไม่ให้ซุ่มให้เสียงอย่างกับพวกจงใจถ้ำมองอีก!เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะเปลือยเปล่าต่อหน้าเขา อาเรียก็รีบคว้าจับเสื้อตัวเองมาห่อตัวอีกครั้ง อีกแค่นิดเดียวมีหวังเธอได้ล่อนจ้อนต่อหน้าเขาแน่ ๆ“กว่าจะรู้ตัวนะ กำลังคิดอยู่เลยว่าจะได้เห็นเธอถอดเสื้อผ้าจดหมดตัวหรือเปล่า” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องปกติอย่างนั้นแหละได้ยินแบบนั้นดวงหน้าสวยก็ยิ่งขึ้นสีแดงแจ๋ อยากจะมุดหน้าแทรกแผ่นดินหนีให้เสียรู้แล้วรู้รอด แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ “นายมาทำอะไรที่นี่…แล้วเข้ามาได้ยังไง!?”เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของเธอแท้ ๆ แล้วทำไมเธอจะต้องเป็นฝ่ายเขินอายกันด้วยล่ะ“ก็ทางที่เคยออกไป...” ว่าพลางชี้ไปทางระเบียงห้องอาเ
และแล้ววันเปิดเรียนก็มาพร้อมกับช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ที่มาถึงพอดี เสียงพูดคุยในโรงเรียนดังเซ็งแซ่ไปทั่วนอกจากนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสีสันของวันวาเลนไทน์นั้น ดูเหมือนจะหนีไม่พ้นสติ๊กเกอร์รูปหัวใจและช็อกโกแลตที่ต่างคนต่างมีครอบครองกันเอาไว้ในมืออย่างน้อยคนละหนึ่งอัน เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพื่อจะนำไปมอบให้คู่หมายหรือคนที่แอบชอบอย่างไรล่ะอีกด้านหนึ่งในหอพักชายดูเหมือนว่าความครื้นเครงของเทศกาลจะขัดกับนิสัยของแวมไพร์หนุ่มเสียเหลือเกิน บอกตามตรงว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยให้ความสนใจเทศกาลอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ค่อนข้างจะมองว่าไร้สาระด้วยซ้ำแล้วใครจะไปคิดว่าเขาที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนอนกลับมีถุงใส่ช็อกโกแลตขนาดมหึมาตั้งวางอยู่ข้างกาย‘เฮ้อ เลือกว่ายากแล้ว เอาไปให้ยังยากกว่าอีก’ เจย์เนสถอนหายใจยาว ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการจะนำช็อกโกแลตไปให้ใครสักคนจะต้องนั่งทำใจนานถึงเพียงนี้แล้วไอ้ความประหม่าที่ไม่เคยเป็นนี่มันหมายความว่ายังไงกันเนี่ย...นั่งอยู่นานจนกระทั่งเห็นว่าสายแล้ว เขาจึงตัดสินใจลุกออกไปเพื่อเตรียมเข้าคลาสเรียน จึงปล่อยกองช็อกโกแลตพวกนั้นเอาไว้ในห้องเสียก่อนระหว่างทาง สายตาคมก็แอบสอดส่องสำร
ในขณะที่เจย์เนสกับไอวี่เดินกลับออกไปจากโซนล็อคเกอร์ อาเรียที่ตอนแรกได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนชื่อเจย์เนสก็รีบหันควับกลับไปมองทันที ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวกับตอนที่ชายหนุ่มหันกลับไปเผชิญหน้ากับเพื่อนสาวคนนั้นภาพตรงหน้าทำให้ใจบางกระตุกวูบ เธอไม่รู้ว่าทั้งคู่อยู่ใกล้ตนขนาดนี้ รู้ตัวอีกทีก็หันไปเห็นผู้หญิงคนนั้นสวมกอดเขาอยู่แล้ว ถึงจะดูเหมือนเล่นกัน แต่ท่วงท่าการกอดนั้นก็แนบแน่นใช้ได้คิ้วคู่สวยเริ่มขมวดพันกันยุ่ง แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อนึกได้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธด้วยซ้ำ เธอก็พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็วที่สุด‘เขามีสิทธิ์เป็นร้อยที่จะกอดกับใครก็ได้...ทำไมฉันจะต้องสนใจด้วย’ คิดแบบนั้นก็รีบเดินออกไปจากตรงบริเวณล็อคเกอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงให้ภาพตรงหน้าพ้นตาเมื่อกลับมาถึงห้อง อาเรียก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ดวงตาคู่สวยจ้องมองเพดานนิ่ง ต่างจากในใจที่กำลังครุ่นคิดถึงภาพที่เพิ่งเห็นมาไม่นานนัก มอเรียวก้คว้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทำสิ่งที่หญิงสาวทุกคนถนัด นั่นก็คือ...พิมพ์ชื่อของผู้หญิงคนนั้นลงในช่องค้นหาของแอพโซเชียลมีเดีย จากนั้นไม่นาน บนหน้าจอโทรศัพท์ก็ฉายภาพใบหน้าของหญิงสาวเจ้าของ
หลังจากวันนั้น เจย์เนสก็เริ่มรู้สึกได้ว่าอาเรียต้องการหลบหน้าเขา เพราะอะไรกันนะ อยู่ๆเผะอก็เปลี่ยนไป จากก่อนหน้าที่ไม่ว่าเจอกันเมื่อไหร่ก็จะส่งยิ้มหวานกลับมาให้ตลอด แต่ตอนนี้กลับรีบก้มหน้าก้มตาแล้วเดินหลบเลี่ยงออกไปให้พ้นสายตาเสียอย่างนั้นยิ่งคิดก็ดูเหมือนว่าในใจจะว้าวุ่นอย่างไรก็ไม่รู้เอ๊ะ แล้วนี่เขากำลังว้าวุ่นเรื่องยัยฟลอเรนซ์อย่างนั้นเหรอ ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้… คนอย่างเขาไม่เคยหวั่นไหวกับใครทั้งนั้นแหละดูเหมือนว่าเจ้าแวมไพร์หนุ่มจะยอมรับความรู้สึกตัวเองได้ค่อนข้างยากเอาการ ไม่เพียงเท่านัั้น เขายังทำเป็นเมินเฉยใส่กลับไปด้วยต่างหาก เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะมีใครสักคนพยายามเข้าหาแล้วพูดคุยกันให้เข้าใจไม่ใช่หรือไงหลายวันผ่านไป เขาก็ยังทำตัวเมินเฉยใส่อาเรียอย่างออกนอกหน้า แต่แล้วก็ต้องตกใจกับเรื่องราวที่ได้ยินในวันนี้“เฮ้อ ถ้าจะออกก็บอกกันก่อนสิ ครูจะได้หาคนมาแทนตั้งแต่เนิ่น ๆ” เสียงอาจารย์บรรณารักษ์เอ่ยต่อว่าอาเรียเบา ๆ เนื่องด้วยเป็นบริเวณห้องสมุดจึงสงวนการใช้เสียงดัง แต่นี่ก็คงถือเป็นเรื่องดีแหละนะเพราะน้ำเสียงที่อาจารย์ใช้นั้น ทำให้เธอไม่ค่อยรู้สึกเหมือนโดนต่อว่ามากนักส่
วันดีคืนดี จู่ ๆ ช่วงนี้อาเรียก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็จะบังเอิญเจอเขาไปเสียทุกที่ หรืออาจเป็นเพราะว่าความสนใจของเธอไปอยู่กับเขาหมดแล้วเป็นความบังเอิญแบบไหนน่ะเหรอ...“ยืมหนังสือ” ว่าจบเขาก็วางหนังสือที่ต้องการยืมสองเล่มลงตรงหน้าอาเรียที่อยู่ในฐานะผู้ช่วยอาจารย์บรรณารักษ์เมื่อวานก็ยืมไปแล้วตั้งสองเล่ม อ่านจบแล้วหรือไงกัน อาเรียคิด แต่เอาเข้าจริง หากจะคิดว่าเขาตั้งใจมาหยิบยืมหนังสือเพื่อที่จะได้พบหน้าเธอ มันก็ดูจะเป็นการเข้าข้างตัวเองเกินไปหน่อยมือหนาคว้าหยิบหนังสือบนเคาน์เตอร์ ก่อนจะเดินไปดึงเก้าอี้ของโต๊ะตัวที่อยู่ไม่ห่างจากเคาน์เตอร์ยืมหนังสือมากนัก‘ไม่ใช่หรอก เขาไม่ได้ตั้งใจจะนั่งตรงนั้นเพื่อที่จะอยู่ใกล้ ๆ เราหรอกมั้ง’ อาเรียยังคิดไม่ตก แล้วอีกอย่าง...เรื่องของพวกเขาดูไม่มีหวังเลยสักนิด เขามาจากตระกูลแวมไพร์ผู้สูงศักดิ์ ส่วนเธอเป็นเพียงบุตรสาวของตระกูลที่ใกล้จะล้มละลายเต็มที ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่เหมาะสมเลยสักนิด หากเดินเคียงข้างกันคงตกเป็นที่ติฉินนินทาแน่แต่อย่าเพิ่งคิดไปไกลถึงขั้นนั้นเลย แค่คิดว่าหากเข้าใกล้เขาแล้วจะโดนกลุ่มสาว ๆ พวกนั้นเล่นงานอีกก็ไม่ค่อยกล้าหวั
วันรุ่งขึ้น ทางโรงเรียนก็จัดงานฉลองเทศกาลปีใหม่ได้ทันเวลา ถึงแม้ว่าอาเรียจะพักผ่อนได้ไม่ค่อยเต็มที่นัก เพราะกว่างานจะเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบจะตีสองแต่ระหว่างที่อาเรียกำลังเดินอยุ่ในงาน อยู่ ๆ เธอก็ถูกอาจารย์ฝ่ายกิจกรรมเรียกตัวไปพบ“อาเรีย อุปกรณ์ของโรงเรียนที่ใช้จัดงาน ลองนับดูแล้วมูลค่าการเสียหายหลายหมื่นอยู่นะ” อาจารย์กล่าวด้วยความกระอักกระอ่วนใจ เขาทราบดีว่าเธออาจไม่ได้ตั้งใจที่จะทำข้าวของเสียหาย แต่อย่างไรกฎก็ยังเป็นกฎ“แต่ว่า...หนูไม่ได้เป็นคนทำพังนะคะ” อาเรียคัดค้าน“เพื่อนในคลาสบีของเธอบอกว่าเธอเป็นผู้ดูแลของทั้งหมด ยังไง ทางคลาสบีของพวกเธอก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้ให้กับทางโรงเรียนนะ”อาเรียถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถ้าหากบอกว่าคลาสบี ก็คงโยนภาระหน้าที่มาให้แค่เธอกับลิเลียนเพียงสองคนนั่นแหละ“เข้าใจแล้วค่ะ หนูจะรีบหาเงินมาชดใช้ให้...” ว่าจบเธอก็เดินคอตกกลับเข้าไปในงาน โดยไม่รู้เลยว่า ขณะที่ตัวเองกำลังยืนถูกอาจารย์ตำหนิอยู่นั้น เจ้าแวมไพร์หนุ่มได้แอบมายืนฟังด้วยเช่นกัน และเขาก็พอจะรู้สถานการณ์คร่าว ๆ แล้วด้วย‘เธอจะจ่ายคนเดียวอย่างนั้นเหรอ’ เจย์เนสคิดในใจ คิ้วหนาขมวดงุ่น ดวงตาสีแ
อีกด้านหนึ่งเจย์เนสเดินกลับออกมาจากห้องสมุดหลังเวลาปิดทำการ ขายาวก้าวตรงมุ่งสู่หอพักชาย ไม่คิดเลยว่าจะอ่านหนังสือเพลินไปหน่อย พอเงยหน้าขึ้นอีกทีท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีเป็นมืดครึ้มไปเสียแล้วแต่ก็ต้องโทษฤดูหนาวซะมากกว่า ที่ทำให้ฟ้าดูเหมือนจะครึ้มอยู่ตลอด จนเขาลืมเวลาไปเชียวว่าแต่ ยัยแมวขโมยหายไปไหนเนี่ย เขาคิดว่าจะได้เจอเธอตอนเวลาห้องสมุดปิดทำการเสียอีก เขาไม่รู้เลยว่าวันนี้เธอขออาจารย์บรรณารักษ์ไปจัดการงานที่ห้องโถงแทนเดินไปได้ไม่นานบรรยากาศที่เงียบสงบกลับถูกทำลายด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่ดังมาจากทางเดินด้านหน้า ทำให้เขาต้องหยุดฝีเท้าลงกะทันหันสัญชาตญาณหูแวมไพร์ที่ไวต่อเสียงทำให้เขาจับทิศทางได้ทันทีว่าเสียงนั้นดังมาจากห้องเก็บของเล็ก ๆ ที่ไม่ไกลนัก‘เสียงใครเนี่ย’ ขายาวก้าวเข้าไปใกล้ประตูห้องนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียงสะอื้นยังคงดังออกมาจากข้างในอยู่เรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า ยิ่งเข้าใกล้เสียงก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น แล้วก็เริ่มคิดว่าเสียงนี้ช่างฟังดูคุ้นหูเสียเหลือเกินและเมื่อก้มมองที่ประตูก็เห็นว่ามันถูกลงกลอนจากด้านนอก นี่มัน...จงใจขังกันหรือยังไงเนี่ยแต่ก่อนที่จะคิดอะไรไปมา
เมื่อเจย์เนสกลับมาถึงคฤหาสน์แบรดฟอร์ด เขาก็รู้สึกแปลก ๆ เหมือนว่ามีสายตาคู่หนึ่งคอยจับจ้องอยู่ตลอดแล้วมันก็เป็นตามที่สัญชาตญาณของเขาบอก เพราะระหว่างที่กำลังถอดเสื้อโค้ทออกและเงยหน้าขึ้นก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก เมื่อพบว่าลินินกำลังยืนจับจ้องมา แววตาฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างเปิดเผย“อะไรของท่านแม่เนี่ย ผมเกือบหัวใจวายแหนะ”“ใจเต้นด้วยเหรอเราน่ะ”ที่ลินินพูดนั้นไม่ผิด เพราะแวมไพร์อย่างพวกเขาไม่ได้มีหัวใจเพื่อเอาไว้คอยสูบฉีดเลือดเหมือนมนุษย์หรอก“หรือไปเจออะไรที่ทำให้ใจเต้นมา?”“จะไปเจอิอะไรมาได้ล่ะ แค่เอาของไปส่งเอง” ว่าจบก็พยายามเดินเบี่ยงไปทางอื่น เพื่อให้เดินหนีออกมาได้แต่ลินินไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก ยังไงวันนี้เธอต้องล้วงความจริงจากลูกชายจอมปากแข็งนี่ให้ได้เลย“ตอบคำถามมาก่อนเลยเจ้าตัวดี” เธอเดินตามลูกชายอย่างไม่ลดละ ส่วนเจย์เนสก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วหันกลับมามองแม่อย่างยอมจำนน“เรื่องอะไร”“ไม่รู้จริงเหรอเนี่ย” ลินินยักคิ้วพร้อมยกยิ้มขึ้น ทำท่าราวกับราชินีที่กำลังให้โอกาสในระหว่างการพิจารณาคดีนักโทษ“ไม่รู้ ท่านแม่กำลังพูดเรื่องอะไรล่ะ”“อ๋อเหรอ เพราะแม่จำได้ว่าผ้าพันคอที่แม่ถักน่ะ มันผืนนี้ไม่ใช
จนกระทั่งเดินมาถึงคฤหาสน์ตระกูลฟลอเรนซ์ สายตาของเจย์เนสก็เริ่มมองสำรวจไปทั่ว ก่อนจะพบว่าสภาพคฤหาสน์นั้นดูโทรมมาก เหมือนขาดการซ่อมบำรุงมานานพอสมควรแล้ว มันจึงทำให้เขานึกถึงข่าวลือที่ว่าตระกูลฟลอเรนซ์ใกล้จะล้มละลายเต็มที“กลับมาแล้วค่ะ” อาเรียพูดพร้อมผลักประตูรั้วที่กั้นระหว่างตัวคฤหาสน์กับเส้นถนนข้างหน้า ก่อนจะหันไปบอกกับเจย์เนส “นายก็เข้ามาหลบหนาวข้างในก่อนสิ”และทันทีที่เสียงของเธอดังขึ้น มาร์ลอน ฟลอเรนซ์ ผู้เป็นพ่อก็รีบเดินตรงมายังหน้าประตูด้วยท่าทางเร่งรีบ“ไปไหนมาอาเรีย พ่อหาลูกซะทั่วเลย”อาเรียกำลังจะตอบ แต่สายตาของมาร์ลอนก็เหลือบไปเห็นว่าลูกสาวไม่ได้กลับมาพร้อมแมรีเท่านั้น แต่ยังมีร่างสูงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังด้วยและหลังจากไล่มองสำรวจใบหน้าของชายหนุ่มอย่างถี่ถ้วน มาร์ลอนก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ “คะ...คุณเจย์เดน แบรดฟอร์ด!?”ท่าทางของเขาดูตระหนกจนเจย์เนสที่ยืนนิ่งอยู่ก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกเช่นกัน ก่อนจะก้มศีรษะให้ชายวัยกลางคนตรงหน้าอย่างนอบน้อมแล้วเอ่ยแนะนำตัวขึ้น“สวัสดีครับคุณฟลอเรนซ์ ผมเจย์เนส แบรดฟอร์ด ไม่ใช่พ่อของผมหรอกครับ”มาร์ลอนชะงักไปเล็กน้อย ความประหม่ายังคงอยู่ในน้ำเส