อาเรียที่เดินผ่านร้านอาหารร้านหนึ่งเข้า ดวงตาคู่สวยก็กวาดไปเจอประกาศรับสมัครพนักงานเข้าพอดี เธอจึงไม่รอช้า รีบเดินตรงเข้ามาในร้านเพื่อสอบถามเกี่ยวกับงานที่ว่า
ตอนแรกเธอคิดจะทำงานในห้องสมุดโรงเรียนนั่นแหละ แต่ก็กลัวว่ารายได้จะน้อยเกินไป นอกจากนี้ยังไม่มั่นใจด้วยว่าจะต้องแย่งชิงกับคนอื่นหรือเปล่า จึงอยากหางานสำรองเอาไว้ด้วย “ขอโทษนะคะ” เธอเอ่ยกับพนักงานอย่างสุภาพ ถึงแม้จะเป็นลูกคุณหนูแต่ก็ใช่ว่าเธอจะวางตัวสูงส่งใส่คนอื่นเขาไปทั่ว “ค่ะ มีอะไรให้ช่วยคะ” “คือ...ไม่ทราบว่ายังรับสมัครนักร้องอยู่ไหมคะ” เธอว่าพลางชี้ไปยังป้ายประกาศที่แปะอยู่ตรงหน้าร้าน ได้ยินแบบนั้นพนักงานก็ยิ้มรับ“ยังรับอยู่ค่ะ” ว่าจบเธอก็เดินไปหาผู้จัดการร้าน เขาเป็นชายหนุ่มวัยกลางคน ซึ่งพอมองสำรวจรูปร่างหน้าตาของอาเรียแล้วก็มีความสนอกสนใจเธออยู่ไม่น้อย หากได้เธอมาเป็นนักร้องประจำร้าน คนจะต้องหลั่งไหลเข้ามาเพราะสเน่ห์ของเธอแน่ ๆ “สนใจเริ่มงานเลยไหมล่ะสาวน้อย” เขาถามาอาเรียเรียกได้ว่าแทบจะทันที “ค่ะ” “อ๋อ แต่ว่า บางครั้งถ้าหากลูกค้าเต็มร้าน อาจจะต้องมาช่วยเสริ์ฟด้วยนะเธอสะดวกหรือเปล่า” อาเรียได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าโดยไม่เกี่ยง “สะดวกค่ะ” หลังจากตกลงกันเสร็จเรียบร้อย ผู้จัดการก็สั่งให้พนักงานหญฺงพาอาเรียไปเดินชมสำรวจงานรอบร้าน เพื่อจะได้คุ้นเคยกับสถานที่และทำงานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ในระหว่างที่พนักงานสาวกำลังอธิบายรายละเอียดงาน ดวงตาคู่สวยของอาเรียก็เหลือบมองไปยังโต๊ะหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยบรรดาหนุ่ม ๆ ดูแล้วอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างสูงที่คุ้นหน้าคุ้นตานั่งอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย แต่ภาพที่เห็นทำให้เธอต้องเม้มริมฝีปากแน่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ หญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนตักของเขา ใช้แขนคล้องคอของเขาไว้ พลางหัวเราะอย่างกระหงิ่มไปด้วย แต่ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าหล่อนยังโอบคอของเจย์เนสจนใบหน้าหล่อเกือบจะฝังเข้าไปในหน้าอกของเธออยู่แล้ว! ไม่ใช่เรื่องของเราอาเรีย ไม่ใช่เรื่องของเราเลย ไม่ต้องไปสนใจ! เธอพยายามกล่อมความคิดตัวเอง ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นราวกับไม่อยากเห็นภาพนั้นต่อแล้ว ขณะเดียวกันก็พยายามสนใจคำพูดของพนักงาน แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนไม่ค่อยมีสมาธิอยู่ดี ‘ฉันจะมองเขาทำไมกัน’ เธอคิดกับตัวเองพลางสูดลมหายใจลึก ‘มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย…’ “เอาล่ะ พร้อมหรือยัง” พนักงานที่อธิบายรายละเอียดเรียบร้อยแล้วก็หันมาถามอาเรียอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ “ค่ะ” ว่าจบ เธอก็เดินขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ที่จัดแสดงอยู่บนเวที ในจังหวะเดียวกัน เจย์เนสที่กำลังนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้นน้ำแข็งก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีแดงของเขาสังเกตเห็นร่างของอาเรียที่ก้าวขึ้นไปบนเวที ถึงแม้ว่าโต๊ะของพวกเจย์เนสจะหลบมุมอยู่ก็ตาม แต่สายตาเฉียบคมของแวมไพร์อย่างเขาไม่มีทางที่จะมองไม่เห็นเธออยู่แล้ว และทันทีที่เสียงหวานขับร้องบทเพลง สายตาแข็งกร้าวของเขาก็ดูโอนอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดราวกับกำลังล่องลอย ‘สดใสจัง’ ความคิดนี้เกิดขึ้นระหว่างที่เจย์เนสมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มหันมองสายตาของผู้คนในร้านที่ก็จับจ้องไปหาอาเรียกันถ้วนหน้า “นั่นฟลอเรนซ์หนิ เสียงเธอเพราะจัง” ลูคัสเหม่อมองจับจ้องไปยังเวทีด้วยสายตาเคลิบเคลิ้ม เจย์เนสที่เห็นแบบนั้นก็แอบหรี่ตามองเพื่อนของตัวเองนิ่ง ๆ แต่แล้วก็ถอนสายตานั้นแล้วหันกลับไปมองบนเวทีอีกครั้ง ขับร้องบทเพลงไปได้เกือบสองชั่วโมง อาเรียก็มองดูนาฬิกาที่บอกว่าเป็นเวลาหนึ่งทุ่มห้าสิบนาทีแล้ว เธอจึงรีบกล่าวลาทุกคนแล้วลงจากเวทีไปอย่างรีบร้อน พร้อมท้ะงมีเสียงโห่จากบรรดาชายหนุ่มในร้านอาหารอย่างนึกเสียดายกันยกใหญ่ ก็มีสาวสวยมาให้เชยชมพร้อมทั้งได้ฟังเสียงเพราะ ๆ ของเธอ จะไม่ให้นึกเสียดายอย่างไรไหว “อ้าว จะกลับแล้วเหรอ” “ค่ะ พอดีถึงเวลาเคอร์ฟิวแล้ว” “โอเค ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้มาอีกนะ” ว่าจบก็หยิบเงินจำนวนหนึ่งให้กับอาเรีย มือเรียวรีบคว้าก่อนจะก้าวขากึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากร้านไป อีกด้านหนึ่ง “พอแล้ว” เสียงเข้มเอ่ยกังวานลั่นโต๊ะ ทำเหมือนว่าตัวเองหงุดหงิดกับการยุ่มย่ามของหญิงสาวบนตัก ก่อนจะผลักให้หญิงสาวที่นั่งอยู่บนตักลงไปจากตัวเอง เธอชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ และลุกออกไปจากตักเขา แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ที่จะยั่วยวนเขาต่อ “อะไรกัน... ยังไม่ถึงไหนเลยนะ” “ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง” ว่าจบเขาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ทำทีว่าไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งยวด จนเพื่อน ๆ หลงเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริง “องค์ชายของเราอารมณ์ไม่ดีซะแล้ว” เอเดรียนพูดขึ้นพร้อมน้ำเสียงขำขัน “ฉันจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักพัก อาจจะไม่กลับมาแล้วด้วย” เขากล่าวสีหน้านิ่งเรียบ “อ้าว ไหนว่าจะกลับดึกไง” “เปลี่ยนใจ” ว่าจบก็รีบก้าวออกจากร้านไปทันที ขณะเดียวกัน สองขาเรียวก็รีบจ้ำอ้าวมุ่งตรงไปยังรั้วโรงเรียน ตอนนี้เวลาหนึ่งทุ่มห้าสิบแปดนาทีเข้าให้แล้ว ทำไมขาเธอไม่ยาวกว่านี้อีกสักหน่อยนะ! แต่แล้ว...นาฬิกาก็บอกเวลาสองทุ่มก่อนที่เธอจะทันได้ก้าวผ่านรั้วโรงเรียนไปเสียได้ อาเรียหยุดเดินชะงัก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี หากก้าวเข้าไปตอนนี้มีหวังโดนหักคะแนนจิตพิสัยอย่างแน่นอน “ถ้ารู้ตัวว่าจะกลับเข้าโรงเรียนทัน คราวหน้าคราวหลังก็อย่าไปทำงานที่นั่นอีก” เสียงเข้มดังขึ้นมาจากด้านหลัง ซึ่งไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นเสียงของใคร เพราะมันเคยทำให้ตัวเธอแข็งทื่อมาแล้ว เมื่อครั้งที่ลอบเข้าไปในหอพักชายในยามวิกาล เธอหันหลับไปมองด้วยสีหน้าหงอย ๆ พร้อมงุดมองปลายเท้า เรียกความขำขันจากเจย์เนสออกมาอย่างเสียอดไม่ได้ มือหนาของเขายกขึ้นแตะปลายจมูกเล็กน้อยก่อนจะลอบยิ้มออกมา แต่ผ่านไปเพียงครู่เดียว ดวงหน้าสวยของเธอก็เงยขึ้นมาพร้อมจับจ้องมายังร่างสูงตรงหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย ท่าทางนั้นทำเอาเจย์เนสถึงกับชะงักจนเผลอก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย “อะไรของเธอ มองฉันแบบนั้นทำไม” “นาย...ช่วยพาฉันเข้าไปด้วยสิ นายอยู่คลาสเอสไม่ใช่เหรอ” ไม่ว่าเปล่า ยังเงยหน้ามองเขาพร้อมแววตาเปล่งประกายความหวังมากขึ้นกว่าเดิม หรือจะเรียกว่าเป็นแววตาออดอ้อนเพื่อผลประโยชน์ก็ได้ “แล้วทำไมฉันจะต้องทำแบบนั้นด้วย” แขนแกร่งยกขึ้นกอดอกวางท่าอย่างมาดมั่น “เพราะว่าฉันมีเหตุผลที่ต้องกลับช้า ฉันต้องออกมาทำงานหาเงิน นายก็รู้ว่าช่วงนี้ที่บ้านฉันมีปัญหา” “เรื่องนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันสักหน่อย” อาเรียได้ยินแบบนั้นก็เริ่มขมวดคิ้วไม่พอใจ ก่อนจะเริ่มตัดพ้อต่อกฎบ้า ๆ นี่ของโรงเรียน ที่เหมือนจะไม่ยุติธรรม “โรงเรียนไม่ควรเคอร์ฟิวแค่นักเรียนคลาสอื่นแล้วยกเว้นคลาสเอสอย่างพวกนายเอาไว้เลย เห็นได้ชัดว่าพวกนายไม่ได้ออกไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์เลยสักนิด นอกจากไปนั่งมั่วสาว” “นี่...ฉันว่าทักษะการต่อรองของเธอต่ำมากเลยนะ เธอคิดว่าพูดแบบนี้แล้วฉันจะยอมพาเธอกลับเข้าโรงเรียนไปด้วยหรือไง” คำพูดของเขาทำให้อาเรียชะงักลงทันที ก่อนจะรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองแล้วดึงสีหน้าหงอยงอีกครั้ง เมื่อพบว่าตัวเองไม่มีทางเลือก เจย์เนสยืนมองเธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตรงไปยังประตูรั้วโรงเรียนโดยไม่รีรอเธอเลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นแบบนั้น อาเรียก็เข้าใจว่าเขาคงไม่ยินยอมที่จะพาเธอกลับเข้าไปด้วยแน่ ๆ จึงเดินหันหลังแล้วไปนั่งลงอยู่ตรงบริเวณม้านั่งที่อยู่ไม่ไกลนัก นั่งไปเพียงไม่นาน มือหนาของใครบางคนก็เข้ามาดึงฉุดแขนเธอจนแทบจะปลิวติดไปกับร่างของเขาเลยทีเดียว “อ๊ะ นี่ ทำอะไรน่ะ” “จะนอนอยู่ข้างนอกนี่หรือไงล่ะ ตามมา” ไม่ว่าเปล่า ยังกอบกุมข้อมือของเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อยอีกต่างหาก “เธอน่ะ อยู่คลาสบีหนิ ทำไมเพิ่งกลับมาตอนนี้” เสียงของอาจารย์ฝ่ายปกครองดังขึ้นแทบจะทันที เมื่อเห็นอาเรียเดินผ่านไปพร้อมกับเจย์เนส “เธออยู่กับผมครับ” ร่างสูงเอ่ยตอบสีหน้าเรียบเฉยไร้คามหวาดหวั่น ต่างจากหญิงสาวที่หน้าซีดคอยก้มหน้าก้มตาหลบเหมือนว่าตัวเองกำลังทำความผิด เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าคือเจย์เนส แบรดฟอร์ด สายตาของอาจารย์ก็อ่อนลงแทบจะทันที ก่อนจะโบกมือให้พวกเขาเดินผ่านเข้าไปพร้อมกันโดยไร้การตำหนิ “...ขอบคุณนะ” ได้ยินแบบนั้นสายตาคมกริบก็ตวัดมองเธอเล็กน้อย“เอาเป็นว่า ครั้งหน้าอย่าให้มีเรื่องอีกก็แล้วกัน...” กล่าวเสียงเรียบ ว่าจบก็ดึงสายตากลับมา ทำเหมือนว่าไม่ได้สนใจอะไรขนาดนั้น “เชื่อฉัน งานห้องสมุดดีกว่าเยอะ” ว่าจบขายาวก็รีบก้าวเข้าไปในปราสาทและเดินเลี้ยวไปทางหอพักชาย โดยมีอาเรียเดินตามมาอยู่ไม่ห่าง และดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ค่อยมีสติดเท่าไหร่ จนเกือบจะก้าวเข้ามาในเขตหอพักชาย หากไม่ได้ร่างสูงยกแขนขึ้นกั้นอาณาเขตเสียก่อน “จะตามฉันขึ้นไปบนห้องด้วยเลยไหม” เจย์เนสก้มมองดวงหน้าสวยจนใบหน้าของทั้งคู่อยู่ใกล้กันมาก แต่คนที่ดึงท่าทีนิ่งสงบได้อยู่ตลอดอย่างเจย์เนส ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้ตัวเองแสดงท่าทีประหม่าออกมาอยู่แล้ว มีเพียงอาเรียเท่านั้นที่หน้าขึ้นสีอย่างชัดเจน “อะ...เอ่อ...ฉัน...ลืมตัว โทษทีนะ” หลังจากกล่าวพร้อมสีหน้าแดงระเรื่อ เธอก็รีบหันหลังวิ่งกลับไปทางเขตหอพักหญิงวันรุ่งขึ้นช่วงหลังเลิกเรียน อาเรียก็รีบไปยื่นใบสมัครขอทำงานที่ห้องสมุดโรงเรียนงานส่วนใหญ่ที่นี่จะเป็นการจัดเรียงหนังสือที่นักเรียนคนอื่น ๆ นำมาคืนใส่เข้าชั้นให้เรียบร้อย หรือในบางครั้งก็อาจต้องช่วยอาจารย์บรรณารักษ์ในการอำนวยความสะดวกการหยิบยืมหนังสือเล่มต่าง ๆ และงานทั้งหมดนี้ จะได้ทำเพียงช่วงพักกลางวันและช่วงบ่ายหลังเลิกเรียนไม่เกินหกโมงเย็นเท่านั้นแหละก็ถือว่าเป็นงานที่สบายใช้ได้เลยทีเดียว นอกจากนี้เธอยังชอบใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับหนังสือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วแต่อย่างไรวันนี้เธอก็ยังต้องไปร้องเพลงที่ร้านอาหารตามที่รับปากกับผู้จัดการร้านอยู่ดี อย่างน้อยก็จะได้เก็บเงินบางส่วน และหากชวดงานนี้ก็จะไม่เสียโอกาสไปโดยสูญเปล่าด้วยเพียงแต่...‘เชื่อฉัน งานห้องสมุดดีกว่าเยอะ’ อยู่ ๆ เธอก็หวนนึกถึงคำพูดของเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น แล้วก็ลำบากเธอมานั่งชั่งใจอีก...แต่ตอนนี้ที่บ้านเธอก็ยังไม่ถือว่าไม่ได้มีปัญหาขนาดที่จะต้องไปลำบากทำงานขนาดนั้นหรอก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อยากจะทำอะไรที่พอจะช่วยเหลือได้บ้างระหว่างที่กำลังนั่งคิดอย่างถี่ถ้วนเวลาก็ค่อย ๆ ผ่านไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็ไม่ได้ไปร้องเพลงที่ร้า
เทศกาลคริสต์มาสเริ่มใกล้เข้ามา บรรยากาศภายในโรงเรียนก็ครึกครื้นมากขึ้น ต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่ถูกนำมาจัดเตรียมเพื่อวางกลางโถงหอประชุมนอกจากนี้ ตามธรรมเนียมในทุกปี โรงเรียนจะจัดงานเลี้ยงในคืนวันที่ยี่สิบสามธันวาคม โดยให้นักเรียนหาคู่ควงไปร่วมงานกัน ทั้งนี้ก็เพื่อการสานสัมพันธ์ไมตรีระหว่างนักเรียนนั่นเอง ไม่เพียงแค่นักเรียนในโรงเรียนนี้เท่านั้น แต่ยังมีโรงเรียนราชนิกุลจากที่อื่นมาร่วมฉลองด้วยอีกต่างหากแต่สำหรับเจย์เนสแล้ว มันเป็นงานเลี้ยงที่เขามองว่าน่าเบื่อที่สุดเลยก็ว่าได้ ก็เขาไม่ชอบความวุ่นวาย นอกจากนี้ยังเกลียดการตกเป็นเป้าของผู้หญิงเกือบแทบทุกคนในโรงเรียนอีก เพราะไม่ว่าใครก็ต่างอยากควงคู่กับเขาออกงานใหญ่ทั้งนั้นแต่ธรรมเนียมก็คือธรรมเนียม เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อยู่แล้ว นอกจากนี้เขาก็มีวิธีจัดการกับความชุลมุนที่จะโถมเข้ามาเชิญชวนเขาไปงานด้วยอย่างยุติธรรมอยู่แล้ว โดยถือคติว่า “ใครเร็วใครได้” ซึ่งมันก็ช่วยให้เขาไม่ต้องเสียเวลาต้องเลือกมากด้วยทันทีที่เสียงระฆังดังบอกเลิกเรียน สาว ๆ ในห้องของเจย์เนสรวมถึงจากห้องอื่นก็ต่างกรูกันเข้ามาในคลาสเอส ความชุลมุนนั้นแออัดจนแทบจะไม่มีช่องทางให
อาเรียมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทีชั่งใจก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วบอกกล่าวไปตามตรง “ขอบคุณนะ... แต่ฉันคิดว่าฉันคงไม่ไปร่วมงานนั้นหรอก”คำพูดนั้นทำให้มาร์คัสชะงัก ใบหน้าของเขาดูผิดหวังเล็กน้อย “ทำไมล่ะ งานออกจะสนุก”“ฉันไม่คิดว่ามันเหมาะกับฉันหรอก” เธอตอบพลางหลบสายตา แต่ทุกคนก็เข้าใจได้ว่าเป็นเพราะเรื่องอะไรเธอจึงเลี่ยงออกงานสังคมขนาดนี้ลิเลียนเหลือบมองอาเรียด้วยสายตาเศร้าสร้อย หากอาเรียยืนกรานปฏิเสธคนที่มาชวนถึงขนาดนี้ เธอก็คงไม่ไปจริง ๆ แล้วล่ะในขณะที่มาร์คัสเองก็ถอนหายใจอย่างนึกเสียดายเช่นกัน “ถ้าอย่างนั้น เป็นว่าถ้าเธอเปลี่ยนใจก็บอกฉันได้ทุกเมื่อเลยนะ”“ขอบคุณ” อาเรียตอบกลับอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้มเพื่อแสดงมารยาทเมื่อเห็นว่ามาร์คัสและเพื่อน ๆ เดินจากไปแล้ว เจย์เนสถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแล้วจะโล่งบ้าโล่งบออะไร! แต่ความรู้สึกว้าวุ่นเดือดเนื้อร้อนใจในตอนแรกมันหายไปเป็นปลิดทิ้งอย่างน่าเหลือเชื่อเลยล่ะแต่ก่อนที่เขาจะเดินกลับออกไป หญิงสาวทั้งสองคนก็เดินผ่านบริเวณที่ตัวเขายืนอยู่พอดี นั่นทำให้เจย์เนสรีบดึงสีหน้าเมินเฉยราวกับว่าไม่ได้เห็นการมาถึงของพวกเธอ แล้วเดินลอยหน้าลอยตาออกไป
“ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมพ่อรูปหล่อ” เอเดรียนกระซิบแซวกับเซบาสเตียน แต่ถึงจะกระซิบด้วยเสียงที่เบาแค่ไหน เจย์เนสก็ได้ยินอยู่ดีสายตาคมปรายมองเพื่อนของตน ทำให้พวกเขาต้องรีบหลบสายตาแล้วแอบไปหัวเราะอย่างชอบใจกันยกใหญ่“มีธุระอะไร” เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่ลึก ๆ แล้วก็ให้ความสนใจอยู่ไม่น้อยว่าเธอจะพูดเรื่องอะไรกันแน่อาเรียเม้มปากเล็กน้อย ขณะที่มองสายตาของเขา เธอชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะพูดออกไปเลยดีไหม แต่เมื่อเห็นว่าเพื่อน ๆ ของเจย์เนสต่างจ้องมองเธอด้วยความอยากรู้ เธอก็เปลี่ยนใจ“ไปคุยตรงนู้นได้ไหม?” เธอเอ่ยพร้อมชี้ไปยังมุมที่ไกลออกไปจากกลุ่มเพื่อนของเขาเล็กน้อยเจย์เนสถอนหายใจ อนแรกอาเรียคิดว่าเขาจะไม่ยอมเดินไปตามคำขอ แต่แล้วไม่นานเขาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เตรียมพร้อมจะเดินไปกับเธอเสียอย่างนั้น“หวังว่าจะเป็นเรื่องสำคัญ” ว่าจบก็เดินนำไปตรงจุดที่เธอชี้มาเมื่อสักครู่ในขณะเดียวกันกลุ่มเพื่อนของเขาก็ยังนั่งหัวเราะคิกคักส่งสายตาแซวตามหลังทั้งสองคนไป“แหม องค์ชาย มีสาวเรียกไปคุยส่วนตัวด้วยแฮะ” เอเดรียนเอ่ยแซวไล่หลังไป“อยากใส่ใจจังเลยว่าเรื่องอะไร” ลูคัสเองก็ไม่น้อยหน้า เอ่ยแซวไปพร้อมกัน ในขณ
งานเลี้ยงฉลองวันคริสต์มาสยามค่ำคืนเต็มไปด้วยแสงสี เสียง ถึงแม้บรรยากาศภายในงานจะดูเรียบหรู แต่ด้วยความที่ปีนี้มีนักเรียนจากโรงเรียนราชนิกุลอื่น ๆ มาเข้าร่วมงานด้วย จึงทำให้บรรยากาศคึกคักและดูจะชุลมุนมากกว่าปีไหน ๆ“นั่นใครน่ะ หล่อจัง” นักเรียนหญิงจากโรงเรียนอื่นกระซิบกระซาบขณะที่เหลือบไปเห็นเจย์เนสซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าห้องโถงประชุม“แบรดฟอร์ดไงล่ะ ส่วนนั่นน้องสาวฝาแฝดของเขา” พูดถึงเจย์เนสไม่พอ ยังชี้ไปทางเรย์เน่ที่เดินเคียงคู่มากับเซบาสเตียนพอดีอันที่จริงสองคนนี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแต่อย่างใด เพียงแค่ตกลงเอาไว้ตั้งแต่งานคริสต์มาสช่วงปีแรก ๆ ที่เข้ามาเรียนแล้วว่าทุกปีจะไปด้วยกัน เพราะหากต้องหาคู่เองแทบทุกปีคงเป็นอะไรที่วุ่นวายมากแน่ เห็นร่าเริงแบบนี้เรย์เน่ก็ไม่ชอบให้อะไรยุ่งยากเหมือนกัน“เคยได้ยินมาว่าตระกูลแบรดฟอร์ดเบ้าหน้าดีกันทั้งบ้าน แต่ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้”ดูเหมือนว่าความหล่อเหลาของเจย์เนสและความงดงามของเรย์เน่จะเป็นที่ถูกตาต้องใจของนักเรียนโรงเรียนอื่นไปทั่วเสียแล้ว แต่ด้วยความที่ส่วนใหญ่ ประชากรนักเรียนหญิงมีเยอะกว่านักเรียนชายมากนัก สายตาจึงไปรวมกันอยู่ที่ร่างสูงอย่างเจย์เนส
“เธอโอเคหรือเปล่า?” มาร์คัสถามคู่ควงของเขา เพราะดูเหมือนว่าเธอจะตัวสั่นอย่างมากขณะที่ทั้งคู่กำลังอยู่บนฟลอร์เต้นรำ“ฉัน...ฉันว่าจบเพลงนี้ต้องขอตัวก่อนแล้วล่ะ” อาเรียพูดพร้อมถอนมือออกจากเขา เธอยิ้มให้เขาเล็กน้อย “ว่าจะออกไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อย”“ได้สิ ให้ฉันไปเป็นเพื่อนไหมล่ะ" มาร์คัสถามพร้อมทำท่าผายมือเป็นการเชื้อเชิญให้เธอไปด้วยกัน“ไม่เป็นไรหรอก นายอยู่สนุกกับเพื่อน ๆ เถอะ""อย่างนั้นเหรอ?""อื้ม ไว้จะรีบกลับมา""ได้สิ ตามใจเลย คุณฟลอเรนซ์"อาเรียส่งยิ้มให้เขาอีกรอบก่อนจะรีบก้าวฉับ ๆ ออกมาจากห้องโถงอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักเธอก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องเก็บของเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในมุมเงียบของอาคาร เธอเปิดประตูเข้าไปก่อนจะปิดมันอย่างเบามือในห้องมืดสลัว มีเพียงแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างบานเล็ก เธอเอนหลังพิงผนังแล้วค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นแต่ไม่กี่นาทีต่อมา เสียงฝีเท้าของคนสองคนก็ดังขึ้นใกล้ ๆ ห้องเก็บของ อาเรียชะงักก่อนจะหันไปมองประตูอย่างระแวดระวังยังจะมีใครมาอีกเนี่ย อุตส่าห์มาหาที่สงบ ๆ อยู่แล้วแท้ ๆไม่นานประตูห้องก็ถูกผลักออก ร่างของคนสองคนที่เดินตามกันเข้ามาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าอา
ว่าจบก็ถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วนำไปพาดลงบนเก้าอี้ มือยกขึ้นปลดเน็คไทของตัวเองและกระดุมเม็ดบนออกประมาณสองเม็ด ก่อนจะเดินตรงปรี่เข้ามาหาอาเรีย“นี่ นายคิดจะทำอะไรเนี่ย” ด้วยความตกใจ อาเรียจึงก้าวถอยหลัง ทำให้ขาไปสะดุดเข้ากับขอบเตียงก่อนจะล้มพับลงไป เจย์เนสเห็นแบบนั้นก็ถือโอกาสตามขึ้นไปค่อมร่างของเธอเอาไว้“ฉันว่าเธอไม่ได้ใสซื่อขนาดนั้นหรอกฟลอเรนซ์”“อย่ามาคิดจะทำอะไรสกปรกในห้องฉันเชียว”“งั้น...ถ้าไม่ใช่ห้องเธอก็ทำได้สินะ ไปห้องฉันไหมล่ะ”“อย่ามาคิดอะไรสกปรกกับฉันนะ ถ้าอยากมากก็ไปหาคู่ของนายสิ!”ได้ยินแบบนั้น ร่างสุงก็ถึงกับตากระตุก โดนจับกดอยู่กับเตียงขนาดนี้แล้ว ยัยลูกแมวนี่ยังจะกล้าต่อปากต่อคำกับหมาป่าอย่างเขาอีกอย่างนั้นเหรอไม่ได้การ เห็นทีจะต้องปราบพยศเจ้าแมวซะหน่อยแล้ว...เจย์เนสจ้องมองคนใต้ร่างนิ่งก่อนจะเริ่มแสยะยิ้มมุมปากด้วยความเจ้าเล่ห์ เหมือนหมาป่าที่กำลังเล่นเหยื่ออันโอชะของตัวเอง ใบหน้าหล่อเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาหาเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ ดวงหน้าสวยก็เริ่มขึ้นสีแดงอย่างช่วยไม่ได้ไม่ใช่เพราะความใกล้ชิดเพียงอย่างเดียวที่ทำให้ใจของอาเรียเริ่มสั่นไหว แต่เป็นเพราะเสื้อเชิ้ตนั่นที่ถูกปลด
“อาเรียทำไมถึงขึ้นมาบนห้องล่ะ” ลิเลียนถามทันทีเมื่อเห็นหน้าเพื่อนสาวของตัวเอง “มาร์คัสเป็นห่วงเธอมาก เห็นบอกว่าเดินหาแล้วไม่เจอเธอ ก็เลยให้ฉันขึ้นมาหาที่หอพัก”“อะ...อ๋อ ขอโทษนะ พอดีฉันรู้สึกเพลียมากก็เลยกลับขึ้นมาก่อนน่ะ” อาเรียตอบพลางยิ้มจาง ๆ “ฝากขอโทษมาร์คัสให้ด้วย แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวฉันจะไปไถ่โทษให้ทีหลังแล้วกัน”คำพูดของเธอทำเอาเจ้าแวมไพร์ที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าถึงกับขมวดคิ้ว ‘ไถ่โทษงั้นเหรอ ไถ่โทษอิท่าไหนกัน’ อยากจะผลักตู้เสื้อผ้าออกไปถามให้รู้แล้วรู้รอดเสียหนิ!แต่ด้วยความไม่อยากให้เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต เขาจึงจะยอมอดทนเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน! “แล้วนี่ แน่ใจนะว่าเธอไม่เป็นอะไร อยากไปห้องพยาบาลสักหน่อยไหม” พูดดจบ ลิเลียนมองอาเรียด้วยความเป็นห่วง“ไม่เป็นไร แค่เพลียนิดหน่อยเท่านั้น” อาเรียตอบเสียงนุ่มลิเลียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะสังเกตเห็นว่าเพื่อนของเธอยังสวมชุดราตรีอยู่เลย “แล้วทำไมเธอยังไม่ถอดชุดอีกล่ะ ใส่ชุดแบบนี้จะพักสบายได้ยังไงกัน”พูดจบ ลิเลียนก็ทำท่าจะช่วยรูดซิปด้านหลังให้“อ๊ะ! ไม่เป็นไร” อาเรียรีบถอยหนีไปอีกทาง ใบหน้าของเธอเริ่มขึ้นสีแดง ด้วยความที่เธอรู้อยู่แก่ใจว่าใน
ถึงแม้สถานการณ์จะล่อแหลมถึงขนาดนี้ แต่เจ้าแวมไพร์ก็ยังเอาแต่นั่งนิ่ง มีหรือเขาจะพลาดโอกาสที่จะได้เห็นของดี จึงปล่อยให้เธอทำอะไรต่อมิอะไรไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้กระทั่งสายตาของอาเรียเหลือบไปส่องกระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้งเขา“เจย์เนส!?” เสียงหวานร้องหลงเมื่อเห็นว่าเขานั่งอยู่ในห้องด้วย ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย แล้วนี่...เห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย! แถมยังนั่งเงียบไม่ให้ซุ่มให้เสียงอย่างกับพวกจงใจถ้ำมองอีก!เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะเปลือยเปล่าต่อหน้าเขา อาเรียก็รีบคว้าจับเสื้อตัวเองมาห่อตัวอีกครั้ง อีกแค่นิดเดียวมีหวังเธอได้ล่อนจ้อนต่อหน้าเขาแน่ ๆ“กว่าจะรู้ตัวนะ กำลังคิดอยู่เลยว่าจะได้เห็นเธอถอดเสื้อผ้าจดหมดตัวหรือเปล่า” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องปกติอย่างนั้นแหละได้ยินแบบนั้นดวงหน้าสวยก็ยิ่งขึ้นสีแดงแจ๋ อยากจะมุดหน้าแทรกแผ่นดินหนีให้เสียรู้แล้วรู้รอด แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ “นายมาทำอะไรที่นี่…แล้วเข้ามาได้ยังไง!?”เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของเธอแท้ ๆ แล้วทำไมเธอจะต้องเป็นฝ่ายเขินอายกันด้วยล่ะ“ก็ทางที่เคยออกไป...” ว่าพลางชี้ไปทางระเบียงห้องอาเ
และแล้ววันเปิดเรียนก็มาพร้อมกับช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ที่มาถึงพอดี เสียงพูดคุยในโรงเรียนดังเซ็งแซ่ไปทั่วนอกจากนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสีสันของวันวาเลนไทน์นั้น ดูเหมือนจะหนีไม่พ้นสติ๊กเกอร์รูปหัวใจและช็อกโกแลตที่ต่างคนต่างมีครอบครองกันเอาไว้ในมืออย่างน้อยคนละหนึ่งอัน เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพื่อจะนำไปมอบให้คู่หมายหรือคนที่แอบชอบอย่างไรล่ะอีกด้านหนึ่งในหอพักชายดูเหมือนว่าความครื้นเครงของเทศกาลจะขัดกับนิสัยของแวมไพร์หนุ่มเสียเหลือเกิน บอกตามตรงว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยให้ความสนใจเทศกาลอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ค่อนข้างจะมองว่าไร้สาระด้วยซ้ำแล้วใครจะไปคิดว่าเขาที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนอนกลับมีถุงใส่ช็อกโกแลตขนาดมหึมาตั้งวางอยู่ข้างกาย‘เฮ้อ เลือกว่ายากแล้ว เอาไปให้ยังยากกว่าอีก’ เจย์เนสถอนหายใจยาว ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการจะนำช็อกโกแลตไปให้ใครสักคนจะต้องนั่งทำใจนานถึงเพียงนี้แล้วไอ้ความประหม่าที่ไม่เคยเป็นนี่มันหมายความว่ายังไงกันเนี่ย...นั่งอยู่นานจนกระทั่งเห็นว่าสายแล้ว เขาจึงตัดสินใจลุกออกไปเพื่อเตรียมเข้าคลาสเรียน จึงปล่อยกองช็อกโกแลตพวกนั้นเอาไว้ในห้องเสียก่อนระหว่างทาง สายตาคมก็แอบสอดส่องสำร
ในขณะที่เจย์เนสกับไอวี่เดินกลับออกไปจากโซนล็อคเกอร์ อาเรียที่ตอนแรกได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนชื่อเจย์เนสก็รีบหันควับกลับไปมองทันที ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวกับตอนที่ชายหนุ่มหันกลับไปเผชิญหน้ากับเพื่อนสาวคนนั้นภาพตรงหน้าทำให้ใจบางกระตุกวูบ เธอไม่รู้ว่าทั้งคู่อยู่ใกล้ตนขนาดนี้ รู้ตัวอีกทีก็หันไปเห็นผู้หญิงคนนั้นสวมกอดเขาอยู่แล้ว ถึงจะดูเหมือนเล่นกัน แต่ท่วงท่าการกอดนั้นก็แนบแน่นใช้ได้คิ้วคู่สวยเริ่มขมวดพันกันยุ่ง แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อนึกได้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธด้วยซ้ำ เธอก็พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็วที่สุด‘เขามีสิทธิ์เป็นร้อยที่จะกอดกับใครก็ได้...ทำไมฉันจะต้องสนใจด้วย’ คิดแบบนั้นก็รีบเดินออกไปจากตรงบริเวณล็อคเกอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงให้ภาพตรงหน้าพ้นตาเมื่อกลับมาถึงห้อง อาเรียก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ดวงตาคู่สวยจ้องมองเพดานนิ่ง ต่างจากในใจที่กำลังครุ่นคิดถึงภาพที่เพิ่งเห็นมาไม่นานนัก มอเรียวก้คว้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทำสิ่งที่หญิงสาวทุกคนถนัด นั่นก็คือ...พิมพ์ชื่อของผู้หญิงคนนั้นลงในช่องค้นหาของแอพโซเชียลมีเดีย จากนั้นไม่นาน บนหน้าจอโทรศัพท์ก็ฉายภาพใบหน้าของหญิงสาวเจ้าของ
หลังจากวันนั้น เจย์เนสก็เริ่มรู้สึกได้ว่าอาเรียต้องการหลบหน้าเขา เพราะอะไรกันนะ อยู่ๆเผะอก็เปลี่ยนไป จากก่อนหน้าที่ไม่ว่าเจอกันเมื่อไหร่ก็จะส่งยิ้มหวานกลับมาให้ตลอด แต่ตอนนี้กลับรีบก้มหน้าก้มตาแล้วเดินหลบเลี่ยงออกไปให้พ้นสายตาเสียอย่างนั้นยิ่งคิดก็ดูเหมือนว่าในใจจะว้าวุ่นอย่างไรก็ไม่รู้เอ๊ะ แล้วนี่เขากำลังว้าวุ่นเรื่องยัยฟลอเรนซ์อย่างนั้นเหรอ ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้… คนอย่างเขาไม่เคยหวั่นไหวกับใครทั้งนั้นแหละดูเหมือนว่าเจ้าแวมไพร์หนุ่มจะยอมรับความรู้สึกตัวเองได้ค่อนข้างยากเอาการ ไม่เพียงเท่านัั้น เขายังทำเป็นเมินเฉยใส่กลับไปด้วยต่างหาก เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะมีใครสักคนพยายามเข้าหาแล้วพูดคุยกันให้เข้าใจไม่ใช่หรือไงหลายวันผ่านไป เขาก็ยังทำตัวเมินเฉยใส่อาเรียอย่างออกนอกหน้า แต่แล้วก็ต้องตกใจกับเรื่องราวที่ได้ยินในวันนี้“เฮ้อ ถ้าจะออกก็บอกกันก่อนสิ ครูจะได้หาคนมาแทนตั้งแต่เนิ่น ๆ” เสียงอาจารย์บรรณารักษ์เอ่ยต่อว่าอาเรียเบา ๆ เนื่องด้วยเป็นบริเวณห้องสมุดจึงสงวนการใช้เสียงดัง แต่นี่ก็คงถือเป็นเรื่องดีแหละนะเพราะน้ำเสียงที่อาจารย์ใช้นั้น ทำให้เธอไม่ค่อยรู้สึกเหมือนโดนต่อว่ามากนักส่
วันดีคืนดี จู่ ๆ ช่วงนี้อาเรียก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็จะบังเอิญเจอเขาไปเสียทุกที่ หรืออาจเป็นเพราะว่าความสนใจของเธอไปอยู่กับเขาหมดแล้วเป็นความบังเอิญแบบไหนน่ะเหรอ...“ยืมหนังสือ” ว่าจบเขาก็วางหนังสือที่ต้องการยืมสองเล่มลงตรงหน้าอาเรียที่อยู่ในฐานะผู้ช่วยอาจารย์บรรณารักษ์เมื่อวานก็ยืมไปแล้วตั้งสองเล่ม อ่านจบแล้วหรือไงกัน อาเรียคิด แต่เอาเข้าจริง หากจะคิดว่าเขาตั้งใจมาหยิบยืมหนังสือเพื่อที่จะได้พบหน้าเธอ มันก็ดูจะเป็นการเข้าข้างตัวเองเกินไปหน่อยมือหนาคว้าหยิบหนังสือบนเคาน์เตอร์ ก่อนจะเดินไปดึงเก้าอี้ของโต๊ะตัวที่อยู่ไม่ห่างจากเคาน์เตอร์ยืมหนังสือมากนัก‘ไม่ใช่หรอก เขาไม่ได้ตั้งใจจะนั่งตรงนั้นเพื่อที่จะอยู่ใกล้ ๆ เราหรอกมั้ง’ อาเรียยังคิดไม่ตก แล้วอีกอย่าง...เรื่องของพวกเขาดูไม่มีหวังเลยสักนิด เขามาจากตระกูลแวมไพร์ผู้สูงศักดิ์ ส่วนเธอเป็นเพียงบุตรสาวของตระกูลที่ใกล้จะล้มละลายเต็มที ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่เหมาะสมเลยสักนิด หากเดินเคียงข้างกันคงตกเป็นที่ติฉินนินทาแน่แต่อย่าเพิ่งคิดไปไกลถึงขั้นนั้นเลย แค่คิดว่าหากเข้าใกล้เขาแล้วจะโดนกลุ่มสาว ๆ พวกนั้นเล่นงานอีกก็ไม่ค่อยกล้าหวั
วันรุ่งขึ้น ทางโรงเรียนก็จัดงานฉลองเทศกาลปีใหม่ได้ทันเวลา ถึงแม้ว่าอาเรียจะพักผ่อนได้ไม่ค่อยเต็มที่นัก เพราะกว่างานจะเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบจะตีสองแต่ระหว่างที่อาเรียกำลังเดินอยุ่ในงาน อยู่ ๆ เธอก็ถูกอาจารย์ฝ่ายกิจกรรมเรียกตัวไปพบ“อาเรีย อุปกรณ์ของโรงเรียนที่ใช้จัดงาน ลองนับดูแล้วมูลค่าการเสียหายหลายหมื่นอยู่นะ” อาจารย์กล่าวด้วยความกระอักกระอ่วนใจ เขาทราบดีว่าเธออาจไม่ได้ตั้งใจที่จะทำข้าวของเสียหาย แต่อย่างไรกฎก็ยังเป็นกฎ“แต่ว่า...หนูไม่ได้เป็นคนทำพังนะคะ” อาเรียคัดค้าน“เพื่อนในคลาสบีของเธอบอกว่าเธอเป็นผู้ดูแลของทั้งหมด ยังไง ทางคลาสบีของพวกเธอก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้ให้กับทางโรงเรียนนะ”อาเรียถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถ้าหากบอกว่าคลาสบี ก็คงโยนภาระหน้าที่มาให้แค่เธอกับลิเลียนเพียงสองคนนั่นแหละ“เข้าใจแล้วค่ะ หนูจะรีบหาเงินมาชดใช้ให้...” ว่าจบเธอก็เดินคอตกกลับเข้าไปในงาน โดยไม่รู้เลยว่า ขณะที่ตัวเองกำลังยืนถูกอาจารย์ตำหนิอยู่นั้น เจ้าแวมไพร์หนุ่มได้แอบมายืนฟังด้วยเช่นกัน และเขาก็พอจะรู้สถานการณ์คร่าว ๆ แล้วด้วย‘เธอจะจ่ายคนเดียวอย่างนั้นเหรอ’ เจย์เนสคิดในใจ คิ้วหนาขมวดงุ่น ดวงตาสีแ
อีกด้านหนึ่งเจย์เนสเดินกลับออกมาจากห้องสมุดหลังเวลาปิดทำการ ขายาวก้าวตรงมุ่งสู่หอพักชาย ไม่คิดเลยว่าจะอ่านหนังสือเพลินไปหน่อย พอเงยหน้าขึ้นอีกทีท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีเป็นมืดครึ้มไปเสียแล้วแต่ก็ต้องโทษฤดูหนาวซะมากกว่า ที่ทำให้ฟ้าดูเหมือนจะครึ้มอยู่ตลอด จนเขาลืมเวลาไปเชียวว่าแต่ ยัยแมวขโมยหายไปไหนเนี่ย เขาคิดว่าจะได้เจอเธอตอนเวลาห้องสมุดปิดทำการเสียอีก เขาไม่รู้เลยว่าวันนี้เธอขออาจารย์บรรณารักษ์ไปจัดการงานที่ห้องโถงแทนเดินไปได้ไม่นานบรรยากาศที่เงียบสงบกลับถูกทำลายด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่ดังมาจากทางเดินด้านหน้า ทำให้เขาต้องหยุดฝีเท้าลงกะทันหันสัญชาตญาณหูแวมไพร์ที่ไวต่อเสียงทำให้เขาจับทิศทางได้ทันทีว่าเสียงนั้นดังมาจากห้องเก็บของเล็ก ๆ ที่ไม่ไกลนัก‘เสียงใครเนี่ย’ ขายาวก้าวเข้าไปใกล้ประตูห้องนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียงสะอื้นยังคงดังออกมาจากข้างในอยู่เรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า ยิ่งเข้าใกล้เสียงก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น แล้วก็เริ่มคิดว่าเสียงนี้ช่างฟังดูคุ้นหูเสียเหลือเกินและเมื่อก้มมองที่ประตูก็เห็นว่ามันถูกลงกลอนจากด้านนอก นี่มัน...จงใจขังกันหรือยังไงเนี่ยแต่ก่อนที่จะคิดอะไรไปมา
เมื่อเจย์เนสกลับมาถึงคฤหาสน์แบรดฟอร์ด เขาก็รู้สึกแปลก ๆ เหมือนว่ามีสายตาคู่หนึ่งคอยจับจ้องอยู่ตลอดแล้วมันก็เป็นตามที่สัญชาตญาณของเขาบอก เพราะระหว่างที่กำลังถอดเสื้อโค้ทออกและเงยหน้าขึ้นก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก เมื่อพบว่าลินินกำลังยืนจับจ้องมา แววตาฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างเปิดเผย“อะไรของท่านแม่เนี่ย ผมเกือบหัวใจวายแหนะ”“ใจเต้นด้วยเหรอเราน่ะ”ที่ลินินพูดนั้นไม่ผิด เพราะแวมไพร์อย่างพวกเขาไม่ได้มีหัวใจเพื่อเอาไว้คอยสูบฉีดเลือดเหมือนมนุษย์หรอก“หรือไปเจออะไรที่ทำให้ใจเต้นมา?”“จะไปเจอิอะไรมาได้ล่ะ แค่เอาของไปส่งเอง” ว่าจบก็พยายามเดินเบี่ยงไปทางอื่น เพื่อให้เดินหนีออกมาได้แต่ลินินไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก ยังไงวันนี้เธอต้องล้วงความจริงจากลูกชายจอมปากแข็งนี่ให้ได้เลย“ตอบคำถามมาก่อนเลยเจ้าตัวดี” เธอเดินตามลูกชายอย่างไม่ลดละ ส่วนเจย์เนสก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วหันกลับมามองแม่อย่างยอมจำนน“เรื่องอะไร”“ไม่รู้จริงเหรอเนี่ย” ลินินยักคิ้วพร้อมยกยิ้มขึ้น ทำท่าราวกับราชินีที่กำลังให้โอกาสในระหว่างการพิจารณาคดีนักโทษ“ไม่รู้ ท่านแม่กำลังพูดเรื่องอะไรล่ะ”“อ๋อเหรอ เพราะแม่จำได้ว่าผ้าพันคอที่แม่ถักน่ะ มันผืนนี้ไม่ใช
จนกระทั่งเดินมาถึงคฤหาสน์ตระกูลฟลอเรนซ์ สายตาของเจย์เนสก็เริ่มมองสำรวจไปทั่ว ก่อนจะพบว่าสภาพคฤหาสน์นั้นดูโทรมมาก เหมือนขาดการซ่อมบำรุงมานานพอสมควรแล้ว มันจึงทำให้เขานึกถึงข่าวลือที่ว่าตระกูลฟลอเรนซ์ใกล้จะล้มละลายเต็มที“กลับมาแล้วค่ะ” อาเรียพูดพร้อมผลักประตูรั้วที่กั้นระหว่างตัวคฤหาสน์กับเส้นถนนข้างหน้า ก่อนจะหันไปบอกกับเจย์เนส “นายก็เข้ามาหลบหนาวข้างในก่อนสิ”และทันทีที่เสียงของเธอดังขึ้น มาร์ลอน ฟลอเรนซ์ ผู้เป็นพ่อก็รีบเดินตรงมายังหน้าประตูด้วยท่าทางเร่งรีบ“ไปไหนมาอาเรีย พ่อหาลูกซะทั่วเลย”อาเรียกำลังจะตอบ แต่สายตาของมาร์ลอนก็เหลือบไปเห็นว่าลูกสาวไม่ได้กลับมาพร้อมแมรีเท่านั้น แต่ยังมีร่างสูงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังด้วยและหลังจากไล่มองสำรวจใบหน้าของชายหนุ่มอย่างถี่ถ้วน มาร์ลอนก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ “คะ...คุณเจย์เดน แบรดฟอร์ด!?”ท่าทางของเขาดูตระหนกจนเจย์เนสที่ยืนนิ่งอยู่ก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกเช่นกัน ก่อนจะก้มศีรษะให้ชายวัยกลางคนตรงหน้าอย่างนอบน้อมแล้วเอ่ยแนะนำตัวขึ้น“สวัสดีครับคุณฟลอเรนซ์ ผมเจย์เนส แบรดฟอร์ด ไม่ใช่พ่อของผมหรอกครับ”มาร์ลอนชะงักไปเล็กน้อย ความประหม่ายังคงอยู่ในน้ำเส