“นะ...นายเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่” สองนิ้วเรียวพันวนกันไปมาแสดงความประหม่าอย่างชัดเจน
“นี่ห้องฉัน...” เขากดเสียงต่ำพลางเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ “แล้วอีกอย่าง ฉันอยู่ในนี้มาตลอด” ว่าจบก็มาหยุดยืนประชันหน้ากับเธอเข้าพอดี เขาจ้องมองหญิงสาวที่กำลังกก้มหน้างุดมองปลายเท้าอยู่เพียงครู่หนึ่ง “บางที นายควรจะเปิดไฟสักหน่อย...” ได้ยินแบบนั้น แวมไพร์หนุ่มก็แสยะยิ้มขึ้นมุมปาก ก่อนจะค่อย ๆ โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ราวกับอยากจะพินิจแววตาของเธอให้ชัดเจนยิ่งขึ้น อาเรียที่เห็นว่ามันใกล้เกินไปก็ค่อย ๆ เบี่ยงตัวหลบไปด้านหลังจนเกือบหงายลงไปทั้งร่าง แต่ทันทีที่เธอเกือบจะล้มลงไปนั้น มือหนาของเขาประคองร่างเอาไว้ได้ทันเสียก่อน “เธอผิดประเด็นไปหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าเธอมาอยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่เอง ทำไมถึงได้มาตั้งคำถามใส่ฉัน” ไม่เพียงแค่พูดเท่านั้น หลังจากประคองร่างเธอให้ทรงตัวได้แล้ว เขาก็ยังยังคว้าจับข้อมือข้างหนึ่งของเธอ ซึ่งดูหมือนกำลังแอบซ่อนสิ่งของบางอย่างเอาไว้ในกำปั้นเล็กนั่น "ขโมยของเหรอ" น้ำเสียงนิ่งสงบแต่เฉียบขาด “เข็มกลัดนี่ขายไม่ได้ราคาหรอกคุณฟลอเรนซ์” ไม่ว่าเปล่ายังส่งสายตาเย็นชาใส่อย่างต่อเนื่อง “ฉันไม่ได้จะเอาไปขาย!” อาเรียตวาดดังลั่นเมื่อเห็นว่าเขาคิดว่าเธอต้องการเงิน โชคยังดีที่ห้องนี้เก็บเสียงพอสมควร ไม่อย่างนั้นทั้งชั้นคงรู้แล้วมีนักเรียนหญิงแอบเข้ามาในหอพักนักเรียนชายในยามวิกาล เหอะ คงจะได้ยินเข้าตอนที่กลุ่มผู้หญิงพวกนั้นพูดว่าบ้านเธอกำลังจะล้มละลาย จึงคิดว่าเธอต้องการเงินอย่างนั้นสิ!? “แล้วจะเข้ามาขโมยมันไปเพื่ออะไรล่ะ” “ฉัน...ฉันมีเหตุผล แต่ถ้านายอยากรู้รายละเอียดมากนัก ก็ลองไปขอให้สาว ๆ พวกนั้นเล่าให้ฟังสิ” เธอกำลังพูดถึงแก๊งของโซเฟียอยู่สินะ “ฉันไม่ได้รู้จักหรือคุ้นเคยกับพวกนั้นเป็นการส่วนตัว ทำไมฉันจะต้องไปลองถามด้วยล่ะ ฉันว่าเธอกำลังเบี่ยงประเด็นมากกว่า” “ถ้าอย่างนั้น คราวหน้าคราวหลัง นายจะใจดีกับใครก็ช่วยใส่ใจคนที่ชื่นชอบนายหน่อยก็แล้วกัน” เป็นเพราะความโกรธที่เขาหาว่าเธอขโมยของเพราะเห็นแก่เงิน อาเรียจึงเอ่ยออกมาเช่นนี้ แต่อันที่จริงแล้วเธอชื่นชมในความใจดีที่เขามีให้อยู่ไม่น้อย เรียกได้ว่าอยากจะเข้าร่วมเป็นแฟนคลับของเขาเลยล่ะ แถมยังรู้สึกผิดและอับอายขายหน้าที่ต้องมายืนต่อล้อต่อเถียงใส่เขาอยู่แบบนี้ด้วย “กลับออกไปซะ ก่อนที่ฉันจะเรียกอาจารย์” เจย์เนสเอ่ยเสียงนิ่งพร้อมทั้งดึงเข็มกลัดออกมาจากมือเรียวอาเรียที่ได้ยินแบบนั้นก็หน้าซีดเผือด ทำเอาเจย์เนสแสยะยิ้มอย่างได้ใจเมื่อเห็นท่าทางของเธอเป็นเช่นนี้ เพราะเมื่อสักครู่หญิงสาวตรงหน้ายังทำเป็นต่อล้อต่อเถียงปากเก่งใส่เขาอยู่เลย ทำยังไงดีอาเรีย แบบนี้เสียหายเป็นสองเท่าเลยนะ เข็มกลัดก็ไม่ได้แถมยังเสียหน้าอีกต่างหาก นอกจากนี้ยังต้องกลับไปรับมือการก่อกวนจากกลุ่มผู้หญิงพวกนั้นอีก “ฉัน...ฉันจะกลับออกไป แต่ว่า...” อาเรียเอ่ยเสียงสั่นระคนว่ากำลังอ้อนวอนไปในตัว “ขอยืมเข็มกลัดของนายไปด้วยได้ไหม” เจย์เนสทิ้งตัวนั่งพิงหัวเตียงพร้อมยกแขนขึ้นกอดอกขณะเดียวกันสายตาของเขาก็จับจ้องไปยังอาเรียด้วยแววตาเรียบเฉย บ่งบอกว่าเขาไม่สนใจข้อเสนอนี้เลยสักนิด “ทำไมฉันจะต้องให้เธอยืมไปด้วยล่ะ” ขณะเอ่ยถาม คิ้วหนาก็เลิกขึ้นพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยัน มือหนาจับเข็มกลัดของตัวเองใส่ลงในกล่องซึ่งอยู่ข้างหัวเตียง ท่าทีประหนึ่งหมาป่าเดินมาเจอเหยื่อที่เดินมาติดกับดักของตน และกำลังข้อร้องอ้อนวอนอย่างไรอย่างนั้น ได้ยินแบบนั้น ความรู้สึกสิ้นหวังก็โถมใส่อาเรียอย่างจัง ดวงหน้าสวยก้มงุดลงมองปลายเท้าพร้อมดวงตาที่เริ่มพร่าเลือนไปด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ “ฉันไม่ได้อยากทำแบบนี้…แต่พวกนั้น…พวกนั้นบังคับ…” ท่าทางของคนตรงหน้าทำเอาเจย์เนสชะงักอยู่ไม่น้อย จากที่ตอนแรกเขาแอบหัวเราะอย่างได้ใจ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นจ้องมองเธออย่างพินิจพิเคราะห์แทน ความเงียบงันทำให้บรรยากาศรอบตัวของทั้งคู่เริ่มอึดอัดขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุด เจย์เนสก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย พร้อมเอื้อมมือไปหยิบกล่องเข็มกลัดของตัวเองขึ้นมาจากข้างหัวเตียง “เธอไม่มีเหตุผลที่จะต้องฟังคำพูดของยัยพวกนั้น” เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะก้าวตรงไปหาอาเรียที่ยืนอยู่ตรงโต๊ะเครื่องเขียนของเขาอีกครั้ง “ครั้งหน้า...หวังว่าเธอจะคิดให้รอบคอบกว่านี้” ถึงจะพูดเชิงตำหนิ แต่ก็ยังอดช่วยเสียไม่ได้แหละนะ มือหนาเอื้อมไปจับมือเรียวของเธออย่างถือวิสาสะก่อนจะยัดกล่องเหล็กที่ใส่เข็มกลัดของตนลงไป อาเรียเห็นแบบนั้นจากแววตาสิ้นหวังก็เปล่งประกายขึ้นมาแทบจะทันที ทำเอาร่างสูงที่ยืนมองถึงกับต้องรีบหันหลบท่าทางร่าเริงแสนอันตรายนั้น ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ อันที่จริงก็สามารถทำเมินต่อคำร้องขอนั้นแล้วไล่เธอกลับออกไปก็ใช้ได้แล้ว แต่ก็ยังเลือกที่จะช่วย มันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะเนี่ย “กลับไปซะก่อนที่ใครจะมาเห็น แล้วหวังว่าเธอจะไม่ทำอะไรโง่ ๆ แบบนี้อีกนะ” ว่าจบก็เดินไปเปิดประตูออก ทว่าในจังหวะที่อาเรียกำลังจะก้าวออกไปนั้น เสียงฝีเท้าบริเวณโถงทางเดินในหอพักชายก็ดังขึ้น อาเรียไม่ทันได้ยินอะไร เป็นเพราะประสาทสัมผัสไม่ได้ไวเท่าแวมไพร์ เธอจึงไม่ทราบถึงเสียงที่กำลังมุ่งตรงมายังพวกเขาทั้งคู่ แต่เจย์เนสที่สัญชาตญาณไกว่ากลับคว้าข้อมือแล้วดึงเธอกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง ก่อนจะลากเธอไปที่เตียงของตัวเอง “นี่! นายจะทำอะไร…” อาเรียพยายามจะพูดพร้อมทำท่าตื่นตกใจ นี่เขาคงไม่คิดจะทำอะไรแบบนั้นหรอกนะ! “เงียบ” เจย์เนสเอ่ยปากสั่งพลางดึงเธอลงมานอนบนเตียงด้วยกัน ก่อนจะใช้มือหนาดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวพวกเขาทั้งคู่ ไม่เพียงเท่านั้นยังใช้ขายาวกอดก่ายร่างบางทำราวกับว่าเธอเป็นหมอนข้างภายใต้ผ้าห่มอย่างไรอย่างนั้น อาเรียที่ถูกกระทำเช่นนั้นก็เริ่มหน้าร้อนผ่าว ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนจะพยายามขยับหนี แต่ก็ยังไม่วายถูกเจย์เนสรวบตัวเอาไว้แน่น “อยู่นิ่ง ๆ ถ้าไม่อยากโดนจับได้” ไม่ทันขาดคำ เสียงเปิดประตูห้องพักก็ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงของชายวัยกลางคน พร้อมกับเงาของเขาที่ขยับเข้ามาใกล้เตียงมากขึ้นเรื่อย ๆ“เป็นอะไรไปน่ะแบรดฟอร์ด ทำไมนอนคุดคู้แบบนั้น”เมื่อได้ยินเสียงอาจารย์ใกล้มาก แขนเรียวเล็กก็คว้ากอดร่างของคนตัวสูงเข้าเต็มปังเหมือนคอยลุ้นตามว่าจะโดนจับได้หรือเปล่า ทำเอาเจย์เนสชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยังพยายามดึงน้ำเสียงให้มั่นคงแล้วตอบกลับอาจารย์ไป“ปวดท้องครับ แต่...เดี๋ยวก็หายแล้ว”“งั้นเหรอ อืม ดูแลตัวเองแล้วกันนะ” ที่พูดเช่นนั้นเป็นเพราะอาจารย์ก็ไม่นึกฝันว่าแวมไพร์จะป่วยได้ เขาจึงไม่มีชุดความรู้ทางด้านนี้มาให้คำแนะนำว่าจะต้องทำเช่นไร จึงเลี่ยงหลบออกไปเสียดีกว่าเสียงประตูปิดลงพร้อมกับความเงียบที่หวนคืนสู่ห้อง แต่ทั้งคู่ก็ยังนอนนิ่งต่อไปอีกสักพักเพื่อให้แน่ใจว่าอาจารย์จะไม่ย้อนกลับมาเปิดประตูห้องอีกอาเรียนอนนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่ม ความเงียบนั้นทำให้เสียงหัวใจของเธอที่เต้นโครมครามเด่นชัดขึ้นอย่างน่าอาย“ปลอดภัยแล้ว” เขาพูดพลางมองไปที่ประตู แล้วหลังจากนั้นอาเรียก็รีบผุดใบหน้าแดงก่ำออกมาจากผ้าห่มเหมือนแอบสังเกตการณ์ก่อนจะตัดสินใจว่าจะลุกหรือไม่ลุกดี “ปล่อยได้แล้วมั้ง”เจย์เนสนอนนิ่งเมื่อยังมีแขนเรียวของอาเรียพาดกอดตัวเองอยู่ หญิงสาวที่เพิ่งรู้ตัวว่าทำเรื่อถือวิสาสะก็รีบปล่อยกอดพร้อมลุกพรวดอ
เช้าวันต่อมาแสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างตรงโซนตู้ล็อคเกอร์เข้ามาบ่งบอกว่าอีกไม่นานก็ใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นอาเรียก็ยังยืนอยู่ตรงหน้าล็อคเกอร์ของใครบางคนอยู่ไม่ห่างใช่แล้ว...เธอตั้งใจจะนำเข็มกลัดที่ใช้การไปเรียบร้อยแล้วมาส่งคืนให้เจ้าของหญิงสาวยืนอยู่ตรงหน้าล็อคเกอร์พลางมือก็กอบกุมกล่องใส่เข็มกลัดเอาไว้แน่น ระหว่างที่เขายังไม่โผล่มาก็ดูเหมือนจะซื้อเวลาให้เธอได้รวบรวมความกล้าที่จะไปสู้หน้าเขาต่ออีกสักเล็กน้อยล่ะ ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องมาคืนด้วยตัวเอง ทั้งที่ขอร้องให้คนอื่นมาส่งคืนแทนให้ก็ได้ แต่รู้ตัวอีกทีเธอก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าตู้ล็อคเกอร์ของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้วเนี่ยสิแต่ก็เอาเถอะ การมาส่งคืนตัวเองก็นับว่าเป็นมารยาทรูปแบบหนึ่งที่พึงกระทำ อย่างน้อยเขาจะได้ไม่เสียน้ำใจที่หวังดีช่วยเธออย่างไรล่ะอาเรียคิดให้เหตุผลกับตัวเองทั้งที่ในใจตอนนี้ยังสั่นไหวอยู่ตลอดเวลาเวลาผ่านไปหลายสิบนาที แต่ล็อคเกอร์ตรงหน้าก็ยังไร้วี่แววเจ้าของ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรอคอยอย่างอดทน เป็นเวลาเดียวกับจำนวนคนเริ่มบางตาลง‘เขาคงไม่มาแล้วล่ะ…’ เธอคิดในใจก่อนจะถอนหายด้วยความรู้สึกผิดหวังอย่างช่ว
ระหว่างทาง ร่างสูงก็ได้ยินนักเรียนยืนพูดคุยกันอยู่ไม่ไกลจากนอกอาคารด้วยความบังเอิญ แต่แล้วเนื้อความในนั้นกลับทำให้เขาหูผึ่งเสียอย่างช่วยไม่ได้“นี่ ได้ยินข่าวลือเรื่องที่ตระกูลฟลอเรนซ์ใกล้จะล้มละลายหรือเปล่า”“ได้ยินมาบ้างเหมือนกัน ข่าวลือดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก”ระหว่างที่เงี่ยหูฟังไปด้วย ช่วงก้าวของขาก็สั้นลงจนเรียกว่าแทบจะหยุดนิ่ง และเมื่อรู้ตัวก็ต้องรีบส่ายศีรษะขึ้นอย่างทันควันมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาสักหน่อย เหตุใดต้องสนใจ!แต่ในขณะที่กำลังเดินผ่านโซนตู้ล็อคเกอร์ อยู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาหาเขาจากทางด้านหลังด้วยสัญชาตญาณ ใบหน้าหล่อจึงรีบหันกลับไปมองด้วยสายตาคมกริบ ก่อนจะพบกับหญิงสาวที่กำลังวิ่งเข้ามาอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอทำราวกับว่าหากช้าไปกว่านี้อีกเพียงนิดเดียว เขาจะหายไปตลอดกาลอย่างนั้นแหละ“เจย์เนส!” เธอหยุดยืนหอบอยู่ตรงหน้าเขา เหมือนวิ่งมาไกลพอสมควรเชียวล่ะ มิหนำซ้ำ ดวงตากลมโตของเธอยังฉายแววหลากหลายอารมณ์อีกต่างหากทั้งดูกังวลใจ รู้สึกผิดจนอยากจะเอ่ยปากขอโทษ หรือแม้แต่ความประหม่าขณะเดียวกันนั้นมือเรียวก็หยิบกล่องเข็มกลัดออกมาถือไว้ในมืออย่างระมัด
บรรยากาศบริเวณเขตสังสรรค์ในยามเย็นเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ร้านค้าเรียงรายสองข้างทาง มีทั้งนักเรียนและผู้คนจากในเมืองใกล้เคียงเดินทางมาจับจ่ายใช้สอยของกินและของใช้มากมายทุกคนต่างเร่งรีบเพื่อให้ทันเวลากลับเข้าไปในหอพัก ต่างจากพวกเขาซึ่งเป็นนักเรียนคลาสเอส สิ่งหนึ่งที่ได้รับการอภิสิทธิ์เหนือนักเรียจากคลาสอื่นก็คือ พวกเขาสามารถกลับเข้าหอพักในยามวิกาลแค่ไหนก็ย่อมได้ ต่างจากนักเรียนคนอื่นที่เมื่อนาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มก็ต้องรีบกลับเข้าหอพักแล้วระหว่างที่กลุ่มของเจย์เนสกำลังเดินผ่านร้านอาหารและร้านขนมมากมาย เสียงหัวเราะและบทสนทนาของกลุ่มเพื่อนก็ดังไปตลอดทาง มิหนำซ้ำยังมีสายตาจากบรรดาสาว ๆ คอยจับจ้องมาตลอดทางอีกต่างหาก‘อึดอัดดีแท้...’ เจย์เนสคิดในใจขณะเดินไปพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของตัวเองแต่ทันใดนั้น สองขายาวก็ต้องหยุดชะงักราวกับเสียอาการไปชั่วครู่เมื่อพบเจอร่างบางที่ดูคุ้นตา กำลังยืนหันหลังมองป้ายประกาศอะไรบางอย่างอยู่ตรงหน้าร้านหนังสือเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งดวงตาคมจับจ้องเธอเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเบือนหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้พวกเพื่อน ๆ ทันสังเกตเห็นและเกิดเป็นประเด็นสนทนาได้แล
อาเรียที่เดินผ่านร้านอาหารร้านหนึ่งเข้า ดวงตาคู่สวยก็กวาดไปเจอประกาศรับสมัครพนักงานเข้าพอดี เธอจึงไม่รอช้า รีบเดินตรงเข้ามาในร้านเพื่อสอบถามเกี่ยวกับงานที่ว่าตอนแรกเธอคิดจะทำงานในห้องสมุดโรงเรียนนั่นแหละ แต่ก็กลัวว่ารายได้จะน้อยเกินไป นอกจากนี้ยังไม่มั่นใจด้วยว่าจะต้องแย่งชิงกับคนอื่นหรือเปล่า จึงอยากหางานสำรองเอาไว้ด้วย“ขอโทษนะคะ” เธอเอ่ยกับพนักงานอย่างสุภาพ ถึงแม้จะเป็นลูกคุณหนูแต่ก็ใช่ว่าเธอจะวางตัวสูงส่งใส่คนอื่นเขาไปทั่ว“ค่ะ มีอะไรให้ช่วยคะ”“คือ...ไม่ทราบว่ายังรับสมัครนักร้องอยู่ไหมคะ” เธอว่าพลางชี้ไปยังป้ายประกาศที่แปะอยู่ตรงหน้าร้านได้ยินแบบนั้นพนักงานก็ยิ้มรับ“ยังรับอยู่ค่ะ” ว่าจบเธอก็เดินไปหาผู้จัดการร้านเขาเป็นชายหนุ่มวัยกลางคน ซึ่งพอมองสำรวจรูปร่างหน้าตาของอาเรียแล้วก็มีความสนอกสนใจเธออยู่ไม่น้อย หากได้เธอมาเป็นนักร้องประจำร้าน คนจะต้องหลั่งไหลเข้ามาเพราะสเน่ห์ของเธอแน่ ๆ“สนใจเริ่มงานเลยไหมล่ะสาวน้อย” เขาถามาอาเรียเรียกได้ว่าแทบจะทันที“ค่ะ”“อ๋อ แต่ว่า บางครั้งถ้าหากลูกค้าเต็มร้าน อาจจะต้องมาช่วยเสริ์ฟด้วยนะเธอสะดวกหรือเปล่า”อาเรียได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าโดยไม่เกี่ย
วันรุ่งขึ้นช่วงหลังเลิกเรียน อาเรียก็รีบไปยื่นใบสมัครขอทำงานที่ห้องสมุดโรงเรียนงานส่วนใหญ่ที่นี่จะเป็นการจัดเรียงหนังสือที่นักเรียนคนอื่น ๆ นำมาคืนใส่เข้าชั้นให้เรียบร้อย หรือในบางครั้งก็อาจต้องช่วยอาจารย์บรรณารักษ์ในการอำนวยความสะดวกการหยิบยืมหนังสือเล่มต่าง ๆ และงานทั้งหมดนี้ จะได้ทำเพียงช่วงพักกลางวันและช่วงบ่ายหลังเลิกเรียนไม่เกินหกโมงเย็นเท่านั้นแหละก็ถือว่าเป็นงานที่สบายใช้ได้เลยทีเดียว นอกจากนี้เธอยังชอบใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับหนังสือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วแต่อย่างไรวันนี้เธอก็ยังต้องไปร้องเพลงที่ร้านอาหารตามที่รับปากกับผู้จัดการร้านอยู่ดี อย่างน้อยก็จะได้เก็บเงินบางส่วน และหากชวดงานนี้ก็จะไม่เสียโอกาสไปโดยสูญเปล่าด้วยเพียงแต่...‘เชื่อฉัน งานห้องสมุดดีกว่าเยอะ’ อยู่ ๆ เธอก็หวนนึกถึงคำพูดของเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น แล้วก็ลำบากเธอมานั่งชั่งใจอีก...แต่ตอนนี้ที่บ้านเธอก็ยังไม่ถือว่าไม่ได้มีปัญหาขนาดที่จะต้องไปลำบากทำงานขนาดนั้นหรอก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อยากจะทำอะไรที่พอจะช่วยเหลือได้บ้างระหว่างที่กำลังนั่งคิดอย่างถี่ถ้วนเวลาก็ค่อย ๆ ผ่านไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็ไม่ได้ไปร้องเพลงที่ร้า
เทศกาลคริสต์มาสเริ่มใกล้เข้ามา บรรยากาศภายในโรงเรียนก็ครึกครื้นมากขึ้น ต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่ถูกนำมาจัดเตรียมเพื่อวางกลางโถงหอประชุมนอกจากนี้ ตามธรรมเนียมในทุกปี โรงเรียนจะจัดงานเลี้ยงในคืนวันที่ยี่สิบสามธันวาคม โดยให้นักเรียนหาคู่ควงไปร่วมงานกัน ทั้งนี้ก็เพื่อการสานสัมพันธ์ไมตรีระหว่างนักเรียนนั่นเอง ไม่เพียงแค่นักเรียนในโรงเรียนนี้เท่านั้น แต่ยังมีโรงเรียนราชนิกุลจากที่อื่นมาร่วมฉลองด้วยอีกต่างหากแต่สำหรับเจย์เนสแล้ว มันเป็นงานเลี้ยงที่เขามองว่าน่าเบื่อที่สุดเลยก็ว่าได้ ก็เขาไม่ชอบความวุ่นวาย นอกจากนี้ยังเกลียดการตกเป็นเป้าของผู้หญิงเกือบแทบทุกคนในโรงเรียนอีก เพราะไม่ว่าใครก็ต่างอยากควงคู่กับเขาออกงานใหญ่ทั้งนั้นแต่ธรรมเนียมก็คือธรรมเนียม เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อยู่แล้ว นอกจากนี้เขาก็มีวิธีจัดการกับความชุลมุนที่จะโถมเข้ามาเชิญชวนเขาไปงานด้วยอย่างยุติธรรมอยู่แล้ว โดยถือคติว่า “ใครเร็วใครได้” ซึ่งมันก็ช่วยให้เขาไม่ต้องเสียเวลาต้องเลือกมากด้วยทันทีที่เสียงระฆังดังบอกเลิกเรียน สาว ๆ ในห้องของเจย์เนสรวมถึงจากห้องอื่นก็ต่างกรูกันเข้ามาในคลาสเอส ความชุลมุนนั้นแออัดจนแทบจะไม่มีช่องทางให
อาเรียมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทีชั่งใจก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วบอกกล่าวไปตามตรง “ขอบคุณนะ... แต่ฉันคิดว่าฉันคงไม่ไปร่วมงานนั้นหรอก”คำพูดนั้นทำให้มาร์คัสชะงัก ใบหน้าของเขาดูผิดหวังเล็กน้อย “ทำไมล่ะ งานออกจะสนุก”“ฉันไม่คิดว่ามันเหมาะกับฉันหรอก” เธอตอบพลางหลบสายตา แต่ทุกคนก็เข้าใจได้ว่าเป็นเพราะเรื่องอะไรเธอจึงเลี่ยงออกงานสังคมขนาดนี้ลิเลียนเหลือบมองอาเรียด้วยสายตาเศร้าสร้อย หากอาเรียยืนกรานปฏิเสธคนที่มาชวนถึงขนาดนี้ เธอก็คงไม่ไปจริง ๆ แล้วล่ะในขณะที่มาร์คัสเองก็ถอนหายใจอย่างนึกเสียดายเช่นกัน “ถ้าอย่างนั้น เป็นว่าถ้าเธอเปลี่ยนใจก็บอกฉันได้ทุกเมื่อเลยนะ”“ขอบคุณ” อาเรียตอบกลับอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้มเพื่อแสดงมารยาทเมื่อเห็นว่ามาร์คัสและเพื่อน ๆ เดินจากไปแล้ว เจย์เนสถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแล้วจะโล่งบ้าโล่งบออะไร! แต่ความรู้สึกว้าวุ่นเดือดเนื้อร้อนใจในตอนแรกมันหายไปเป็นปลิดทิ้งอย่างน่าเหลือเชื่อเลยล่ะแต่ก่อนที่เขาจะเดินกลับออกไป หญิงสาวทั้งสองคนก็เดินผ่านบริเวณที่ตัวเขายืนอยู่พอดี นั่นทำให้เจย์เนสรีบดึงสีหน้าเมินเฉยราวกับว่าไม่ได้เห็นการมาถึงของพวกเธอ แล้วเดินลอยหน้าลอยตาออกไป
ถึงแม้สถานการณ์จะล่อแหลมถึงขนาดนี้ แต่เจ้าแวมไพร์ก็ยังเอาแต่นั่งนิ่ง มีหรือเขาจะพลาดโอกาสที่จะได้เห็นของดี จึงปล่อยให้เธอทำอะไรต่อมิอะไรไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้กระทั่งสายตาของอาเรียเหลือบไปส่องกระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้งเขา“เจย์เนส!?” เสียงหวานร้องหลงเมื่อเห็นว่าเขานั่งอยู่ในห้องด้วย ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย แล้วนี่...เห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย! แถมยังนั่งเงียบไม่ให้ซุ่มให้เสียงอย่างกับพวกจงใจถ้ำมองอีก!เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะเปลือยเปล่าต่อหน้าเขา อาเรียก็รีบคว้าจับเสื้อตัวเองมาห่อตัวอีกครั้ง อีกแค่นิดเดียวมีหวังเธอได้ล่อนจ้อนต่อหน้าเขาแน่ ๆ“กว่าจะรู้ตัวนะ กำลังคิดอยู่เลยว่าจะได้เห็นเธอถอดเสื้อผ้าจดหมดตัวหรือเปล่า” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องปกติอย่างนั้นแหละได้ยินแบบนั้นดวงหน้าสวยก็ยิ่งขึ้นสีแดงแจ๋ อยากจะมุดหน้าแทรกแผ่นดินหนีให้เสียรู้แล้วรู้รอด แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ “นายมาทำอะไรที่นี่…แล้วเข้ามาได้ยังไง!?”เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของเธอแท้ ๆ แล้วทำไมเธอจะต้องเป็นฝ่ายเขินอายกันด้วยล่ะ“ก็ทางที่เคยออกไป...” ว่าพลางชี้ไปทางระเบียงห้องอาเ
และแล้ววันเปิดเรียนก็มาพร้อมกับช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ที่มาถึงพอดี เสียงพูดคุยในโรงเรียนดังเซ็งแซ่ไปทั่วนอกจากนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสีสันของวันวาเลนไทน์นั้น ดูเหมือนจะหนีไม่พ้นสติ๊กเกอร์รูปหัวใจและช็อกโกแลตที่ต่างคนต่างมีครอบครองกันเอาไว้ในมืออย่างน้อยคนละหนึ่งอัน เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพื่อจะนำไปมอบให้คู่หมายหรือคนที่แอบชอบอย่างไรล่ะอีกด้านหนึ่งในหอพักชายดูเหมือนว่าความครื้นเครงของเทศกาลจะขัดกับนิสัยของแวมไพร์หนุ่มเสียเหลือเกิน บอกตามตรงว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยให้ความสนใจเทศกาลอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ค่อนข้างจะมองว่าไร้สาระด้วยซ้ำแล้วใครจะไปคิดว่าเขาที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนอนกลับมีถุงใส่ช็อกโกแลตขนาดมหึมาตั้งวางอยู่ข้างกาย‘เฮ้อ เลือกว่ายากแล้ว เอาไปให้ยังยากกว่าอีก’ เจย์เนสถอนหายใจยาว ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการจะนำช็อกโกแลตไปให้ใครสักคนจะต้องนั่งทำใจนานถึงเพียงนี้แล้วไอ้ความประหม่าที่ไม่เคยเป็นนี่มันหมายความว่ายังไงกันเนี่ย...นั่งอยู่นานจนกระทั่งเห็นว่าสายแล้ว เขาจึงตัดสินใจลุกออกไปเพื่อเตรียมเข้าคลาสเรียน จึงปล่อยกองช็อกโกแลตพวกนั้นเอาไว้ในห้องเสียก่อนระหว่างทาง สายตาคมก็แอบสอดส่องสำร
ในขณะที่เจย์เนสกับไอวี่เดินกลับออกไปจากโซนล็อคเกอร์ อาเรียที่ตอนแรกได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนชื่อเจย์เนสก็รีบหันควับกลับไปมองทันที ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวกับตอนที่ชายหนุ่มหันกลับไปเผชิญหน้ากับเพื่อนสาวคนนั้นภาพตรงหน้าทำให้ใจบางกระตุกวูบ เธอไม่รู้ว่าทั้งคู่อยู่ใกล้ตนขนาดนี้ รู้ตัวอีกทีก็หันไปเห็นผู้หญิงคนนั้นสวมกอดเขาอยู่แล้ว ถึงจะดูเหมือนเล่นกัน แต่ท่วงท่าการกอดนั้นก็แนบแน่นใช้ได้คิ้วคู่สวยเริ่มขมวดพันกันยุ่ง แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อนึกได้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธด้วยซ้ำ เธอก็พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็วที่สุด‘เขามีสิทธิ์เป็นร้อยที่จะกอดกับใครก็ได้...ทำไมฉันจะต้องสนใจด้วย’ คิดแบบนั้นก็รีบเดินออกไปจากตรงบริเวณล็อคเกอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงให้ภาพตรงหน้าพ้นตาเมื่อกลับมาถึงห้อง อาเรียก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ดวงตาคู่สวยจ้องมองเพดานนิ่ง ต่างจากในใจที่กำลังครุ่นคิดถึงภาพที่เพิ่งเห็นมาไม่นานนัก มอเรียวก้คว้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทำสิ่งที่หญิงสาวทุกคนถนัด นั่นก็คือ...พิมพ์ชื่อของผู้หญิงคนนั้นลงในช่องค้นหาของแอพโซเชียลมีเดีย จากนั้นไม่นาน บนหน้าจอโทรศัพท์ก็ฉายภาพใบหน้าของหญิงสาวเจ้าของ
หลังจากวันนั้น เจย์เนสก็เริ่มรู้สึกได้ว่าอาเรียต้องการหลบหน้าเขา เพราะอะไรกันนะ อยู่ๆเผะอก็เปลี่ยนไป จากก่อนหน้าที่ไม่ว่าเจอกันเมื่อไหร่ก็จะส่งยิ้มหวานกลับมาให้ตลอด แต่ตอนนี้กลับรีบก้มหน้าก้มตาแล้วเดินหลบเลี่ยงออกไปให้พ้นสายตาเสียอย่างนั้นยิ่งคิดก็ดูเหมือนว่าในใจจะว้าวุ่นอย่างไรก็ไม่รู้เอ๊ะ แล้วนี่เขากำลังว้าวุ่นเรื่องยัยฟลอเรนซ์อย่างนั้นเหรอ ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้… คนอย่างเขาไม่เคยหวั่นไหวกับใครทั้งนั้นแหละดูเหมือนว่าเจ้าแวมไพร์หนุ่มจะยอมรับความรู้สึกตัวเองได้ค่อนข้างยากเอาการ ไม่เพียงเท่านัั้น เขายังทำเป็นเมินเฉยใส่กลับไปด้วยต่างหาก เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะมีใครสักคนพยายามเข้าหาแล้วพูดคุยกันให้เข้าใจไม่ใช่หรือไงหลายวันผ่านไป เขาก็ยังทำตัวเมินเฉยใส่อาเรียอย่างออกนอกหน้า แต่แล้วก็ต้องตกใจกับเรื่องราวที่ได้ยินในวันนี้“เฮ้อ ถ้าจะออกก็บอกกันก่อนสิ ครูจะได้หาคนมาแทนตั้งแต่เนิ่น ๆ” เสียงอาจารย์บรรณารักษ์เอ่ยต่อว่าอาเรียเบา ๆ เนื่องด้วยเป็นบริเวณห้องสมุดจึงสงวนการใช้เสียงดัง แต่นี่ก็คงถือเป็นเรื่องดีแหละนะเพราะน้ำเสียงที่อาจารย์ใช้นั้น ทำให้เธอไม่ค่อยรู้สึกเหมือนโดนต่อว่ามากนักส่
วันดีคืนดี จู่ ๆ ช่วงนี้อาเรียก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็จะบังเอิญเจอเขาไปเสียทุกที่ หรืออาจเป็นเพราะว่าความสนใจของเธอไปอยู่กับเขาหมดแล้วเป็นความบังเอิญแบบไหนน่ะเหรอ...“ยืมหนังสือ” ว่าจบเขาก็วางหนังสือที่ต้องการยืมสองเล่มลงตรงหน้าอาเรียที่อยู่ในฐานะผู้ช่วยอาจารย์บรรณารักษ์เมื่อวานก็ยืมไปแล้วตั้งสองเล่ม อ่านจบแล้วหรือไงกัน อาเรียคิด แต่เอาเข้าจริง หากจะคิดว่าเขาตั้งใจมาหยิบยืมหนังสือเพื่อที่จะได้พบหน้าเธอ มันก็ดูจะเป็นการเข้าข้างตัวเองเกินไปหน่อยมือหนาคว้าหยิบหนังสือบนเคาน์เตอร์ ก่อนจะเดินไปดึงเก้าอี้ของโต๊ะตัวที่อยู่ไม่ห่างจากเคาน์เตอร์ยืมหนังสือมากนัก‘ไม่ใช่หรอก เขาไม่ได้ตั้งใจจะนั่งตรงนั้นเพื่อที่จะอยู่ใกล้ ๆ เราหรอกมั้ง’ อาเรียยังคิดไม่ตก แล้วอีกอย่าง...เรื่องของพวกเขาดูไม่มีหวังเลยสักนิด เขามาจากตระกูลแวมไพร์ผู้สูงศักดิ์ ส่วนเธอเป็นเพียงบุตรสาวของตระกูลที่ใกล้จะล้มละลายเต็มที ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่เหมาะสมเลยสักนิด หากเดินเคียงข้างกันคงตกเป็นที่ติฉินนินทาแน่แต่อย่าเพิ่งคิดไปไกลถึงขั้นนั้นเลย แค่คิดว่าหากเข้าใกล้เขาแล้วจะโดนกลุ่มสาว ๆ พวกนั้นเล่นงานอีกก็ไม่ค่อยกล้าหวั
วันรุ่งขึ้น ทางโรงเรียนก็จัดงานฉลองเทศกาลปีใหม่ได้ทันเวลา ถึงแม้ว่าอาเรียจะพักผ่อนได้ไม่ค่อยเต็มที่นัก เพราะกว่างานจะเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบจะตีสองแต่ระหว่างที่อาเรียกำลังเดินอยุ่ในงาน อยู่ ๆ เธอก็ถูกอาจารย์ฝ่ายกิจกรรมเรียกตัวไปพบ“อาเรีย อุปกรณ์ของโรงเรียนที่ใช้จัดงาน ลองนับดูแล้วมูลค่าการเสียหายหลายหมื่นอยู่นะ” อาจารย์กล่าวด้วยความกระอักกระอ่วนใจ เขาทราบดีว่าเธออาจไม่ได้ตั้งใจที่จะทำข้าวของเสียหาย แต่อย่างไรกฎก็ยังเป็นกฎ“แต่ว่า...หนูไม่ได้เป็นคนทำพังนะคะ” อาเรียคัดค้าน“เพื่อนในคลาสบีของเธอบอกว่าเธอเป็นผู้ดูแลของทั้งหมด ยังไง ทางคลาสบีของพวกเธอก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้ให้กับทางโรงเรียนนะ”อาเรียถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถ้าหากบอกว่าคลาสบี ก็คงโยนภาระหน้าที่มาให้แค่เธอกับลิเลียนเพียงสองคนนั่นแหละ“เข้าใจแล้วค่ะ หนูจะรีบหาเงินมาชดใช้ให้...” ว่าจบเธอก็เดินคอตกกลับเข้าไปในงาน โดยไม่รู้เลยว่า ขณะที่ตัวเองกำลังยืนถูกอาจารย์ตำหนิอยู่นั้น เจ้าแวมไพร์หนุ่มได้แอบมายืนฟังด้วยเช่นกัน และเขาก็พอจะรู้สถานการณ์คร่าว ๆ แล้วด้วย‘เธอจะจ่ายคนเดียวอย่างนั้นเหรอ’ เจย์เนสคิดในใจ คิ้วหนาขมวดงุ่น ดวงตาสีแ
อีกด้านหนึ่งเจย์เนสเดินกลับออกมาจากห้องสมุดหลังเวลาปิดทำการ ขายาวก้าวตรงมุ่งสู่หอพักชาย ไม่คิดเลยว่าจะอ่านหนังสือเพลินไปหน่อย พอเงยหน้าขึ้นอีกทีท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีเป็นมืดครึ้มไปเสียแล้วแต่ก็ต้องโทษฤดูหนาวซะมากกว่า ที่ทำให้ฟ้าดูเหมือนจะครึ้มอยู่ตลอด จนเขาลืมเวลาไปเชียวว่าแต่ ยัยแมวขโมยหายไปไหนเนี่ย เขาคิดว่าจะได้เจอเธอตอนเวลาห้องสมุดปิดทำการเสียอีก เขาไม่รู้เลยว่าวันนี้เธอขออาจารย์บรรณารักษ์ไปจัดการงานที่ห้องโถงแทนเดินไปได้ไม่นานบรรยากาศที่เงียบสงบกลับถูกทำลายด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่ดังมาจากทางเดินด้านหน้า ทำให้เขาต้องหยุดฝีเท้าลงกะทันหันสัญชาตญาณหูแวมไพร์ที่ไวต่อเสียงทำให้เขาจับทิศทางได้ทันทีว่าเสียงนั้นดังมาจากห้องเก็บของเล็ก ๆ ที่ไม่ไกลนัก‘เสียงใครเนี่ย’ ขายาวก้าวเข้าไปใกล้ประตูห้องนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียงสะอื้นยังคงดังออกมาจากข้างในอยู่เรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า ยิ่งเข้าใกล้เสียงก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น แล้วก็เริ่มคิดว่าเสียงนี้ช่างฟังดูคุ้นหูเสียเหลือเกินและเมื่อก้มมองที่ประตูก็เห็นว่ามันถูกลงกลอนจากด้านนอก นี่มัน...จงใจขังกันหรือยังไงเนี่ยแต่ก่อนที่จะคิดอะไรไปมา
เมื่อเจย์เนสกลับมาถึงคฤหาสน์แบรดฟอร์ด เขาก็รู้สึกแปลก ๆ เหมือนว่ามีสายตาคู่หนึ่งคอยจับจ้องอยู่ตลอดแล้วมันก็เป็นตามที่สัญชาตญาณของเขาบอก เพราะระหว่างที่กำลังถอดเสื้อโค้ทออกและเงยหน้าขึ้นก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก เมื่อพบว่าลินินกำลังยืนจับจ้องมา แววตาฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างเปิดเผย“อะไรของท่านแม่เนี่ย ผมเกือบหัวใจวายแหนะ”“ใจเต้นด้วยเหรอเราน่ะ”ที่ลินินพูดนั้นไม่ผิด เพราะแวมไพร์อย่างพวกเขาไม่ได้มีหัวใจเพื่อเอาไว้คอยสูบฉีดเลือดเหมือนมนุษย์หรอก“หรือไปเจออะไรที่ทำให้ใจเต้นมา?”“จะไปเจอิอะไรมาได้ล่ะ แค่เอาของไปส่งเอง” ว่าจบก็พยายามเดินเบี่ยงไปทางอื่น เพื่อให้เดินหนีออกมาได้แต่ลินินไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก ยังไงวันนี้เธอต้องล้วงความจริงจากลูกชายจอมปากแข็งนี่ให้ได้เลย“ตอบคำถามมาก่อนเลยเจ้าตัวดี” เธอเดินตามลูกชายอย่างไม่ลดละ ส่วนเจย์เนสก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วหันกลับมามองแม่อย่างยอมจำนน“เรื่องอะไร”“ไม่รู้จริงเหรอเนี่ย” ลินินยักคิ้วพร้อมยกยิ้มขึ้น ทำท่าราวกับราชินีที่กำลังให้โอกาสในระหว่างการพิจารณาคดีนักโทษ“ไม่รู้ ท่านแม่กำลังพูดเรื่องอะไรล่ะ”“อ๋อเหรอ เพราะแม่จำได้ว่าผ้าพันคอที่แม่ถักน่ะ มันผืนนี้ไม่ใช
จนกระทั่งเดินมาถึงคฤหาสน์ตระกูลฟลอเรนซ์ สายตาของเจย์เนสก็เริ่มมองสำรวจไปทั่ว ก่อนจะพบว่าสภาพคฤหาสน์นั้นดูโทรมมาก เหมือนขาดการซ่อมบำรุงมานานพอสมควรแล้ว มันจึงทำให้เขานึกถึงข่าวลือที่ว่าตระกูลฟลอเรนซ์ใกล้จะล้มละลายเต็มที“กลับมาแล้วค่ะ” อาเรียพูดพร้อมผลักประตูรั้วที่กั้นระหว่างตัวคฤหาสน์กับเส้นถนนข้างหน้า ก่อนจะหันไปบอกกับเจย์เนส “นายก็เข้ามาหลบหนาวข้างในก่อนสิ”และทันทีที่เสียงของเธอดังขึ้น มาร์ลอน ฟลอเรนซ์ ผู้เป็นพ่อก็รีบเดินตรงมายังหน้าประตูด้วยท่าทางเร่งรีบ“ไปไหนมาอาเรีย พ่อหาลูกซะทั่วเลย”อาเรียกำลังจะตอบ แต่สายตาของมาร์ลอนก็เหลือบไปเห็นว่าลูกสาวไม่ได้กลับมาพร้อมแมรีเท่านั้น แต่ยังมีร่างสูงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังด้วยและหลังจากไล่มองสำรวจใบหน้าของชายหนุ่มอย่างถี่ถ้วน มาร์ลอนก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ “คะ...คุณเจย์เดน แบรดฟอร์ด!?”ท่าทางของเขาดูตระหนกจนเจย์เนสที่ยืนนิ่งอยู่ก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกเช่นกัน ก่อนจะก้มศีรษะให้ชายวัยกลางคนตรงหน้าอย่างนอบน้อมแล้วเอ่ยแนะนำตัวขึ้น“สวัสดีครับคุณฟลอเรนซ์ ผมเจย์เนส แบรดฟอร์ด ไม่ใช่พ่อของผมหรอกครับ”มาร์ลอนชะงักไปเล็กน้อย ความประหม่ายังคงอยู่ในน้ำเส