เวลานี้ยังไม่ดึกมากนัก อินทุภาเดินหลีกญาติๆ ที่กำลังนั่งล้อมวงดื่มเหล้ากันอยู่ ออกมาทางสวนหลังบ้าน เธออดขำไม่ได้ เมื่อคิดว่าพวกเขาคุยกันรู้เรื่องได้อย่างไร ต่างคนต่างพูด ต่างคนต่างเล่าเรื่อง จนแทบจะจับใจความไม่ได้ คงเพราะไม่ได้เจอหน้ากันมานาน ทำให้เสียงตะโกนคุย ดังโหวกเหวกกระหึ่มไปทั่วทั้งห้องโถง
อินทุภามีปัญหาด้านการนอน ต้องอยู่ในที่เงียบสงบจริงๆ ถึงจะหลับได้ หากมีเสียงอื้ออึงแบบนี้ตลอดทั้งคืน คงหลับตาไม่ลงแน่ๆ เธอกินยาแก้ปวดหัวแล้วเดินลัดเลาะออกมา กะว่าจะนั่งพักสายตารับลมใต้ต้นอวี้หลันนี้สักครู่ รอให้ยาออกฤทธิ์ก่อน แล้วค่อยกลับไปลองพยายามนอนใหม่อีกครั้ง
แกร่บ! แกร่บ! แกร่บ!
เสียงฝีเท้าย่ำลงบนใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ ทำลายความเงียบสงบที่ปกคลุมอยู่ อินทุภาลืมตาขึ้นมอง ก่อนจะเห็นชายวัยกลางคนผู้เป็นญาติห่างๆ ซึ่งหากนับลำดับเครือญาติกันดีๆ แล้ว เขากลับมีศักดิ์เป็นรุ่นหลาน แต่ดันมีอายุมากกว่าเธอเกือบสองรอบ พอเดินเข้ามาใกล้ ก็นั่งลงข้างตัวเธออย่างเงียบเชียบ
“ทำไมมานั่งคนเดียวล่ะ?” ขณะที่เขาเปิดปากพูด กลิ่นเหล้าก็ลอยคละคลุ้งวนเวียนอยู่ในอากาศรอบๆ ตัว อินทุภาขยับจะลุก แต่เขากลับคว้าหมับเข้าที่ต้นขา อีกมือจับเอวรั้งไว้ไม่ให้ลุก
“ปล่อย!!” อินทุภาเกร็งตัวตวาดเสียงลั่น
"เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งเข้าใจผิด! เฮียแค่อยากมาคุยด้วย" เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แต่กลิ่นเหล้าที่ฟุ้งออกมารุนแรงจนเธอแทบทนไม่ไหว รู้สึกอยากจะอาเจียน จึงผลักอกเขาอย่างแรง พร้อมกับดันตัวถอยห่างออก
“บอกให้ปล่อย!! ถ้าไม่ปะ.....!?!” พูดยังไม่ทันจบ นายไหเหล้าก็ลอยคว้างไปกลางอากาศ ราวกับมีมือใครสักคนดึง และเหวี่ยงเขาออกไปอย่างแรง
สายตาตกตะลึงของอินทุภามองตามร่างของนายไหเหล้าที่ลอยคว้างไปกองกับพื้น ขณะที่หันกลับมามองชายร่างสูงสวมชุดฮั่นฝู เธอก็ยังปากอ้าตาค้างอยู่อย่างนั้นด้วยความตกใจ เขายืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า ดวงตาสีดำคมกริบของเขาเปล่งประกายเย็นชาและดุดัน จ้องเขม็งไปที่นายไหเหล้าด้วยแววตาที่ราวกับอยากจะสังหารให้ตายคาที่
อินทุภาได้สติจากอาการตื่นตะลึง เมื่อเห็นชายร่างใหญ่กำหมัดแน่น ก้าวสามขุมไปหานายไหเหล้าด้วยท่าทีมุ่งร้ายหมายกระทืบ จึงรีบคว้าแขนเขาเอาไว้แล้วดึงรั้งสุดแรง เขาพยายามงอแขนเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุม แต่หญิงสาวเขายังยึดแขนเขาไว้แน่นทั้งสองมือ จนเขาต้องลากร่างเธอไปด้วยอย่างงุ่มง่าม
นายไหเหล้าพยายามยันตัวลุกขึ้นจากพื้น พร้อมกับก่นด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย เขาหยุดชะงักไปชั่วครู่ เมื่อเห็นชายชุดโบราณหน้าตาดุดันยืนอยู่ตรงหน้า ราวกับไม่แน่ใจว่าเป็นมนุษย์หรือวิญญาณกันแน่
“เฮ้ย! มึงจะไปเล่นงิ้วที่ไหนวะ! จะไปไหนก็ไปให้พ้น ไอ้ขยะ! อย่ามาเสือก!!”
เจ้าที่! เอ๊ย...เจ้าชายโน้มตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ตวัดแขนขึ้นสูงโดยไม่ทันยั้งคิด ส่งผลให้อินทุภาถูกยกตัวลอยพ้นจากพื้นไปด้วย มือเล็กๆ ที่พยายามยึดเกาะแขนเขาไว้พลันหลุดออก จนร่างของเธอร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง!
"โอ๊ย!!"
เสียงร้องที่ดังลั่นของเธอทำให้เขาหยุดชะงัก หันกลับมามองด้วยสายตาที่สับสน แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงอ้อแอ้ท้าตีท้าต่อยของนายไหเหล้า แววตาของเขาก็ลุกโชนขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอีก เขาหันตัวแรง และพุ่งตรงไปหานายไหเหล้าอย่างรวดเร็ว
พลั่ก!
เสียงหมัดกระแทกอะไรแข็งๆ สักอย่าง บางทีอาจโดนแถวๆ กระดูกขากรรไกร
“ไอ้ชาติหมา!! มึงต่อยกู!!”
นายไหเหล้าร้องอุทาน พร้อมกับชี้หน้า ส่วนอีกมือประคองแถวคางที่มีเลือดกำลังไหลอาบอยู่ด้วยอาการสั่นเทา ขณะที่กำลังจ้องมองฟันที่หักหลายซี่กองอยู่บนมือ แต่แล้วก็ต้องตาเบิกโพลงด้วยความตกใจอีกครั้ง เมื่อหางตาเหลือบมาเห็นชายร่างสูงเตรียมยกเท้าหมายจะเตะที่กกหู เขาดีดตัวลุกขึ้นราวกับมีสปริงค้ำยันอยู่ที่ขา หลบปลายเท้าไปได้อย่างหวุดหวิด แล้วก็รีบกลับตัวหันหลังวิ่งหนีเตลิดไปอย่างไม่คิดชีวิต ทันทีที่เห็นชายคนนั้นย่างสามขุมตามมาอีกอย่างไม่ลดละ
“นี่!! หยุดเดี๋ยวนี้!! มาดูฉันก่อน! ฉันเจ็บนะ!!” อินทุภาตะโกนด้วยความกังวล เกรงว่าเขาจะทำร้ายคนจนบาดเจ็บสาหัส จึงพยายามดึงความสนใจของเขาไว้ก่อน
ชายร่างสูงหยุดชะงัก หันกลับมามองตามเสียง แล้วเห็นหญิงสาวนอนคว่ำแผ่หราบนพื้น ใบหน้าด้านข้างซบอยู่บนท่อนแขนเรียวอย่างอ่อนแรง
“ว๊าย!! เฮ้ย!!” อินทุภาร้องเสียงหลง เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อชายคนนั้นจู่ๆ ก็โน้มตัวมาจับเอวเธอ แล้วดึงตัวลอยขึ้นจนเท้าพ้นพื้น เขารัดเอวและสองแขนของเธอไว้แน่นด้วยแขนที่แข็งแรง ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ในระดับเดียวกัน ปากอยู่ใกล้กันแค่คืบ
“หาเรื่องใส่ตัวนักนะ! ไม่มีใครสอนให้รู้หรือไง ว่าตอนกลางคืนอย่าออกไปไหนมาไหนคนเดียว!” เขาดุเสียงแข็ง นัยน์ตาหม่นมืดลุกโชนด้วยความโกรธเกรี้ยว
อินทุภาชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะตะโกนตอบใส่หน้าเขาเสียงดัง
“ตาผีบ้า! นี่มันบ้านทวดฉันนะ! ใครจะไปคิดว่าจะมีอันตรายในบ้านตัวเอง! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”
เธอพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากพันธนาการของเขา แต่ยิ่งดิ้น เขากลับยิ่งรัดแน่นขึ้นไปอีก
“ปากจัดจริงนะ! ยังไม่รู้สำนึกอีก! งั้นฉันจะสอนให้รู้ซักครั้ง!”
เดี๋ยว..!?!
อินทุภาอ้าปากเตรียมจะโวยวายต่อ แต่ก็ต้องชะงักค้าง เพราะเขาบดขยี้ริมฝีปากมาอย่างรวดเร็วและอย่างดุดัน แรงจนใบหน้าเธอเงยแหงนไปด้านหลัง เขาเคี่ยวเข็ญเอาอย่างป่าเถื่อนคล้ายจะลงโทษมากกว่าพิสวาส
เธอมีความรู้สึกปวดไปทั้งปากและคาง ลำแขนแข็งแรงกอดรัดแน่นขึ้นไปอีกจนเจ็บ อินทุภานิ่งงันไปชั่วครู่ สรุปแล้วนี่คงเป็นคนแน่ล่ะ ถ้าเป็นผีคงทำแบบนี้กับเธอไม่ได้!
“อื้อ!! นี่!!” เธอพยายามประท้วง ขณะที่เขาถอนปากเพื่อหายใจ แล้วเขาก็กดจูบลงมาอีกรุนแรงกว่าเก่า อินทุภาเจ็บแต่ร้องไม่ออก เธอพยายามเหวี่ยงขาเตะเท่าที่จะขยับได้ แต่ก็ไม่มีผลอะไรสักนิด ยิ่งดิ้นเขายิ่งทำรุนแรง เธอไม่เคยถูกจูบมาก่อน ไม่เคยมีใครมีโอกาสลวนลามล่วงเกินเธอได้ถึงขนาดนี้
อินทุภาเริ่มหมดแรงที่จะดิ้นรนต่อสู้ เธอยอมหยุดนิ่ง เพราะรู้สึกอ่อนล้าทั้งกายและใจเต็มที แต่ทันใดนั้น จูบของเขาก็เปลี่ยนไป จากที่เคยแข็งกร้าว กลับกลายเป็นนุ่มนวล ริมฝีปากที่เคยบีบบังคับ ตอนนี้ชักนำให้เธอเผยอปากตอบรับจุมพิตอันเร่าร้อนของเขาอย่างเต็มใจ เขาค่อยๆ ลดตัวลงให้เท้าของเธอแตะพื้น ฝ่ามือเลื่อนขึ้นมาประคองหลังศีรษะ นิ้วมือสอดเข้าไปในเส้นผม ดันศีรษะให้เงยแหงนไปทางด้านหลัง เพื่อให้รับจุมพิตลึกซึ้งของเขาได้แนบแน่นยิ่งขึ้น
อินทุภารู้สึกร้อนวูบวาบไปตามผิว เนื้อตัวพลอยอ่อนปวกเปียกไปด้วย จุมพิตของเขาทำให้เธอสะท้อนสะท้านไปหมด เลือดในกายสาวสูบฉีดร้อนรุมด้วยความรู้สึกวาบหวาม แผ่ซ่านไปทั้งตัวเหมือนถูกลนด้วยไฟอย่างอ่อน ไม่ว่าจะเป็นการจูบด้วยสาเหตุอะไร สัมผัสระหว่างหญิงชายก็เหมือนไฟกับฟาง ใกล้ชิดกันเมื่อไหร่ ก็สามารถจุดติดเป็นเปลวไฟแรงร้อนได้เสมอ
เมื่อรู้สึกว่าคนในอ้อมแขนไม่มีปฏิกิริยาขัดขืน ลิ้นอุ่นๆ ของเขาจึงล่วงล้ำเข้ามาสำรวจเนื้อนุ่มชื้นในปากของเธอ ทวีความเร่าร้อนดูดดื่มให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
อินทุภาไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน เลยไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน ขาเปลี้ยแทบไม่มีแรงยืน ต้องเอามือเลื่อนขึ้นไปโอบรอบคอเขาไว้เป็นหลัก ก่อนที่จะจูบตอบเขาเหมือนคนละเมอ
เสียงเขาครางเบาๆ ในคอ แล้วเหนี่ยวเธอเข้ามาชิดอีก จนรู้สึกชัดเจนถึงรูปลักษณะแห่งบุรุษเพศ มือใหญ่ของเขาเคล้าคลึงช้าๆ ไปทั่วหลังไหล่ อกเต่งตูม และเอวคอด กอดจูบลูบไล้ไม่วางมือ กระพือไฟพิศวาสให้โหมแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเธอรู้สึกว่าเขาตั้งใจประทับทั้งรอยจูบ และรอยนิ้วมือทั้งหมดไว้ เพื่อไม่ให้เธอลบหรือขจัดออกไปได้
ชายหนุ่มถอนปากออกช้าๆ เหมือนไม่เต็มใจ เพราะกำลังมัวเมากับรสจูบเต็มอารมณ์หวาม เขาอยากจะเรียกร้อง ให้เธอตอบสนองเขาให้มากกว่านี้ ยิ่งได้กลิ่นหอมละมุนรวยรินจากกายสาว ได้สัมผัสเนื้อนุ่มตัวสั่นเทาเล็กน้อย ยิ่งทำให้เขาแทบจะอดใจไว้ไม่ไหว
ผู้หญิงคนนี้งดงามเหลือเกิน รูปร่างสมส่วน อกอวบตึง เอวคอดเล็ก สะโพกกลมมนได้รูป ผิวพรรณเนียนนุ่มหอมหวานไปทั้งตัว เขาอยากพาเธอไปสู่จุดสุดยอดแห่งความสุข อยากรักเธอให้เต็มที่ ให้สาสมกับที่พลัดพรากจากกันมาแสนนาน แต่เขาต้องฝืนใจหยุดตัวเองไว้ก่อน อดกลั้นความปรารถนาที่แทบจะทนไม่ไหว ยังไม่ใช่เวลานี้ เขาเตือนตัวเองให้ใจเย็น อย่าเพิ่งรีบร้อน
“ฮื้อ!” อินทุภาส่งเสียงขัดใจเบาๆ หลังจากที่เขาถอนริมฝีปาก ตายังปรือปรอยเคลิบเคลิ้มไปกับอารมณ์แปลกใหม่ที่เพิ่งจะได้ลิ้มลอง
ชายหนุ่มมองสีหน้าที่เหมือนเด็กน้อย ที่กำลังถูกขัดใจของเธออย่างเอ็นดู ดวงตาของเขาหรี่ลง แววตาเป็นประกายระยิบ เขาอดใจไม่ไหวที่จะจุมพิตเบาๆ บนริมฝีปากแดงก่ำของเธออีกครั้ง แต่คราวนี้ หญิงสาวรั้งคอเขาไว้ไม่ให้ถอยห่าง แล้วตอบรับจูบของเขาอย่างเต็มอารมณ์ อบอวลไปด้วยความอ่อนหวาน
เขารักผู้หญิงเนื้อตัวนุ่มนิ่มคนนี้เหลือเกิน รักเธอมานานแล้ว รอคอยวันเวลาที่จะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง รอจนเกือบจะทั้งชีวิต เธออาจไม่เคยรู้เลยว่าเขารักเธอมากเพียงใด
ชายหนุ่มค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกจากเธออย่างช้าๆ อีกครั้ง
“เป่าเปา” เสียงเขาสั่นนิดๆ ปลายนิ้วหัวแม่มือไล้แก้มนุ่มนิ่มเบาๆ
“พอก่อน ถ้าไปไกลกว่านี้ ข้าหยุดตัวเองไม่ได้แล้ว~..” หางเสียงของเขาดูแหบพร่าปานใจจะขาด
อินทุภาลืมตาจ้องมองเขาเต็มที่ ใบหน้าแดงระเรื่อ ตากลมโตแววหวานแฝงความขัดเขิน สบตาคมกริบของเขาที่เปล่งประกายวับวาว ด้วยเปลวไฟเร้นลับที่เธอยังไม่อาจเข้าใจ ก่อนจะหลุบเปลือกตาลงต่ำ กัดริมฝีปากล่างเบาๆ ทำให้ริมฝีปากที่อิ่มแดงอยู่แล้วยิ่งเด่นชัดขึ้น ชายหนุ่มหลุบตาลงมองอย่างไม่วางตา และนั่นเกือบทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่อยู่ จึงรีบปล่อยเธอออกจากอ้อมแขน หันหลังหนีจากภาพที่เย้ายวนใจจนเขาแทบทนไม่ไหว
หญิงสาวเซเล็กน้อย รู้สึกงุนงงกับการกระทำที่กะทันหันของเขา แต่เมื่อเห็นเขาก้มหน้าตัวสั่นแข็งเกร็งอยู่ ก็เหมือนจะพอเข้าใจบ้างนิดหน่อย เพราะเธอเองก็เคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสของเขาเหมือนกัน
อินทุภากระแอมเบาๆ เพื่อเรียกสติตัวเอง ก่อนจะพยายามชวนเขาคุย เพื่อให้พ้นจากบรรยากาศชวนอึดอัดที่กำลังก่อตัวขึ้น
“เอ่อ.. อะแฮ่ม.. คือว่า..เรา..มานั่งคุยกันดีกว่าไหมคะ ถ้าคุณยังไม่ได้หายไปไหน” เธอพยายามทำเสียงให้ปกติ แต่ก็ยังดูอึดอัดขัดเขินอินทุภาหันตัวเดินไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ไผ่ยาวแบบมีพนักพิงใต้ต้นอวี้หลัน โดยเลือกนั่งชิดติดมุมด้านหนึ่ง สักพักเขาเดินมานั่งข้างๆ ห่างกันแค่ฝ่ามือเดียว เห็นเขายังนั่งนิ่งเธอก็เลยชวยคุย เพื่อทำลายบรรยากาศที่ชวนอึดอัด“ฉันเป็นคนไทย มีญาติอยู่ที่นี่ แล้วคุณล่ะ? ชื่ออะไร? มาจากที่ไหน? เล่าเรื่องของคุณให้ฉันฟังบ้างสิคะ” อินทุภาเริ่มประเด็นที่อยากรู้ชายหนุ่มมองหน้าอินทุภานิดหนึ่งแล้วเอนตัวพิงพนัก ไถลตัวลงเล็กน้อย ขายาวทอดไปข้างหน้า เพื่อให้อยู่ในท่าที่สบายขึ้น ต้นขาของเขาแข็งแรง แต่ละข้างใหญ่กว่าเอวของเธออีกนัยน์ตาของเขายาวรีและดำสนิท เครื่องหน้าแต่ละชิ้นคมสันเหมือนรูปสลัก มือของเขาได้รูปสวย เรียวและแข็งแรง เสื้อผ้าที่สวมใส่ตัดเย็บอย่างประณีตทีเดียว สังเกตจากเนื้อผ้าค่อนข้างจะโบราณไปหน่อย แต่ก็หรูหราเกินฐานะคนธรรมดาทั่วไปจะสวมใส่ได้ เธอลอบสำรวจเขาเงียบๆ ระหว่างที่อยู่ในสภาวะเดดแอร์ด้วยกันอย่างนี้ อะไรอย่างหนึ่งบอกอินทุภาว่า ผู้ชายคนนี้เป็นคนจริง เมื่อเขาต้องการอะไร เขา
“พี่ซาน!” อินทุภาเคาะประตูเรียก“เข้ามาเลย ไม่ได้ล็อก” ยังไม่ทันจะแตะลูกบิด ซุนจ่งซานก็เปิดประตูออกมาเสียเอง“โอ้โฮ ทำไรคะนี่!?!” อินทุภาชะโงกหน้ามาดูในห้องจากช่องประตู ซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือที่กางเอาไว้บนโต๊ะ ส่วนข้างๆ ก็มีกระจาดสมุนไพรวางเรียงไว้เป็นแถว“กำลังทดลองสูตรปรุงยาสมุนไพร ตามตำราโบราณน่ะ คิดค้นโดยท่านหมอซุนผู้นั้น มีทั้งยารักษา และยาพิษ” จงซานดึงแว่นขึ้นไปไว้บนศีรษะ มือก็เลือกหยิบสมุนไพรบางชนิดใส่กล่องเล็ก“พี่ซานสอนหนูบ้างสิคะ อยากรู้ทั้งหมดเลยพวกยารักษา ยาพิษอะไรพวกนั้นน่ะ” อินทุภายิ้มประจบ“ทำไมถึงอยากรู้ล่ะ?” จงซานถามยิ้มๆ โดยไม่มองหน้า“ก็หนูอยากเก่งแบบพี่บ้าง อีกอย่างศึกษาเอาไว้เป็นความรู้ดูแลตัวเองและคนรอบข้างได้ โดยไม่ต้องพึ่งหมอ แล้วก็อยากรู้ว่ามีวิธีการรักษาพิษยังไง? อะไรประมาณนี้ค่ะ” จงซานเหลือบตาขึ้นมอง แล้วอมยิ้ม ก่อนจะหลุบตาทำงานต่อ“เยอะ! จะจำหมดไหมล่ะ”“สบายมาก ถึงหนูจะไม่ฉลาดทำอะไรก็ซุ่มซ่าม แต่ความจำหนูเริ่ด! ” อินทุภาตอบแบบหน้าเชิด ยืดอกตบเบาๆ ภูมิใจในนิสัยถาวรของตัวเองสุดๆ ทำให้ซุนจ่งซานหัวเราะเสียงดัง ตาหยีเป็นเส้นเดียว“มันใช่เรื่องเดียวกันไหมยัยตัวเล็ก
“ท่านเยว่! .. ท่านเยว่!” อินทุภาเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียก เห็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดปี โยนตะกร้าสานในมือทิ้ง ฉีกยิ้มกว้างวิ่งตรงมาหาเธอด้วยความดีใจ “ท่านเยว่! .. ท่านเยว่! จริงๆ ด้วย จำข้าได้ไหมขอรับ? ข้าเอง..เสี่ยวเถา!” อินทุภายิ้มแหยๆ หันไปมองหยางหมิงอวี้เพื่อขอความช่วยเหลือ “เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย ทำให้ความทรงจำหายไป คงอีกสักพักกว่าจะกลับมา” หยางหมิงอวี้กล่าวแทนด้วยน้ำเสียงขบขัน “อย่างนี้นี่เอง! อยู่ๆ ท่านเยว่ก็หายตัวไป พวกเราทุกคนคิดถึงท่านมาก โดยเฉพาะฝ่าบาท ตั้งแต่ท่านไม่อยู่ ฝ่าบาทดูหน้าไม่เป็นหน้าเลยขอรับ” “อ้อ! งั้นที่เจ้าเรียกฝ่าบาท! ฝ่าบาท! เพราะเห็นว่าหน้าข้ามันคล้ายกันใช่หรือไม่?” หยางหมิงอวี้แกล้งถาม อินทุภาปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง แล้วกลั้นขำเอาไว้“ธ่อ! กระหม่อมไม่ได้หมายความอย่างนั้นเสียหน่อย!” เสี่ยวเถาทำหน้าเสีย ยิ้มแหยๆ “เสี่ยวเถาเป็นนักเรียนคนแรกของโรงเรียน ที่เจ้าก่อตั้งขึ้นเมื่อสิบปีก่อน” หยางหมิงอวี้อธิบาย “อ้าวเหรอ..งั้นเรามาทำความรู้จักกันใหม่แล้วกันนะ สวัสดีอย่างเป็นทางการนะจ๊ะ..เสี่ยวเถา ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ” อินทุภายิ้ม แล้วยื่นมืออ
เสียงหัวเราะดังก้องในห้อง หยางหมิงอวี้ยืนอยู่หน้าประตู มุมปากเขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อย เมื่อนึกถึงภาพสาวน้อยที่ตัวสั่นเทาเมื่อคืน แตกต่างจากตอนนี้ ที่สามารถหัวเราะเสียงใสราวกับไร้ความกังวล เขาชอบที่เธอมีความเป็นตัวของตัวเอง รู้ว่าต้องการอะไรและไม่ต้องการอะไร กล้าพูดกล้าทำ ไม่มีการปิดบังเสแสร้ง ซึ่งแตกต่างจากคนในยุคของเขาเป็นอย่างมาก “อรุณสวัสดิ์เพคะ” อินทุภาทักทายเมื่อเห็นหยางหมิงอวี้ยืนอยู่หน้าประตูห้อง จับกระโปรงถอนสายบัวอย่างนุ่มนวล สาวใช้ยิ้มแล้วรีบถอยออกไป หยางหมิงอวี้เดินเข้าใกล้ พลางยิ้มกับท่าทางขี้เล่นของเธอ “ชุดนี้พอดีไหม? ดูเหมือนจะคับไปหน่อยตรงนี้หรือเปล่า?” เขาใช้ข้อนิ้วไล้เบาๆ ไปตามแนวโค้งละมุนของอกสาว จากเนินเนื้อช่วงบน พาดผ่านยอดอกลงไปฐานล่าง“ฝ่าบาท!!”อินทุภาอุทาน หน้าแดงก่ำ จับมือซุกซนดึงออกไม่ให้เลื่อนต่อตายล่ะ! ทำไมแค่สัมผัสเบาๆ ถึงกับทำให้ขนลุกไปทั้งตัว!!หยางหมิงอวี้ถอนใจ พลิกข้อมือตัวเองจับมือบางจูงออกจากห้อง เขาเกือบลืมตัวอีกแล้วพับผ่าสิ! เวลาอยู่ใกล้กันทีไร นึกอะไรอื่นไม่ออกเลย จะอดทนได้นานแค่ไหนก็ยังไม่รู้!!“เราจะไปไหนกันเพคะ?” เธอถามหลังจากปล่อยให้เขาจ
อินทุภาลืมตาตื่น ไม่แน่ใจว่าตื่นเพราะอะไร ฟ้าก็ยังไม่สว่าง เธอลืมตาแบบสะลึมสะลือ พยายามโฟกัสให้ชัดขึ้น พลันเห็นคนที่หลับอยู่ข้างๆ ก็หน้าร้อนวาบ เพราะนอนหันหน้าเข้าหากันกระชั้นชิดมากเธอตกใจขยับตัวถอยออกห่าง แล้วหันไปมองคนที่ยังหลับอยู่อีกครั้ง ขนตาของเขาตกลงมาทาบผิวแก้ม สั้นแต่ดกหนา เวลาหลับอย่างนี้เครื่องหน้าเขาดูละมุน หน้าอ่อนคล้ายๆ เด็กน้อยหยางหมิงอวี้ขยับนอนหงาย ตัวเลยออกไปนอกผ้าห่ม เพราะตอนที่อินทุภาถอยหลังออกห่าง ผ้าห่มเลยรั้งตามมาด้วย เธอเห็นเขายังหลับอยู่ เลยมองลงไปเรื่อยๆ ตามประสาคนอยากรู้ ซึ่งไม่เคยคุ้นกับสรีระของผู้ชายเสื้อตัวในของเขารัดกระชับตัว ทำให้เห็นลอนกล้ามของอกกว้างและช่วงแขนที่มีกล้ามนูนสวย ถ้าแต่งตัวปกติจะดูสูงเพรียว ไม่เห็นชัดเหมือนตอนนี้อินทุภาคิดว่า เขามีมาดพระเอกอยู่ในตัว ถ้าเขาไปอยู่ในโลกปัจจุบันของเธอ คงเป็นพระเอกซีรี่ย์ได้สบายๆหุ่นพระเอกแท้ๆ ไม่มีผู้ร้ายปนสักนิดเธอมองระเรื่อยไปตามแผงอก เอว และหน้าท้องตึงเรียบ ไหนๆ มองลงมาถึงเพียงนี้แล้ว เธอก็มองเลยลงไปอีกหน่อย จับตานิ่งอยู่เป็นครู่ บอกตัวเองว่า ตอนนี้ดูไม่น่าตกใจเหมือนตอนที่กอดรัดกระชับชิดตอนนั้น ซึ่งนู
“มากันแล้วๆ ขอต้อนรับท่านอ๋องด้วยความยินดีพ่ะย่ะค่ะ”ชายวัยประมาณหกสิบปี มีหนวดเรียวเล็กบนริมฝีปาก ไว้เคราเล็กแหลมที่ปลายคาง แต่งกายภูมิฐาน ยืนรอต้อนรับ มีชายฉกรรจ์ประมาณเจ็ดถึงแปดคน พกดาบไว้ที่เอว ยืนเรียงสองแถวอยู่ด้านหลัง“อิงอิงนี่คือท่านหงส์จิ่ว หัวหน้าหมู่บ้าน เคยเป็นครูสอนหนังสือมาก่อนจะมาอยู่ที่นี่ .. ท่านหงส์ นี่เยว่อิง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องประดับและอัญมณี”“คารวะท่านหงส์” อินทุภากำมือคำนับ น้อมศีรษะให้ความเคารพผู้สูงวัยกว่า“ไม่ต้องเกรงใจๆ .. เชิญเสด็จท่านอ๋อง พวกเราเตรียมงานเลี้ยงเล็กๆ รอต้อนรับด้วยกระหม่อม”หยางหมิงอวี้และอินทุภาเดินตามหัวหน้าหมู่บ้าน ไปยังศาลาทรงกลมขนาดใหญ่ ซึ่งจัดเตรียมไว้อย่างอลังการณ์เพื่อต้อนรับโดยเฉพาะอินทุภากวาดตามองสถานที่ไปโดยรอบ มีโต๊ะเตี้ยและเบาะนั่งกับพื้น เป็นแนวสามชั้นวางเรียงตามระยะของพื้นที่ทรงกลม แต่ละโต๊ะมีสาวงามผิวขาวผ่อง อยู่ในชุดเกาะอกปาดครึ่งเต้า คลุมไหล่ด้วยผ้าซีทรูเนื้อบาง ตัวกระโปรงผ่าข้างจนถึงขาอ่อน บางคนเดินเห็นเรียวขาขาวรำไรอย่างน่าดู บางคนนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะคอยบริการรินเหล้าและตักอาหารอื้อหือ..อลังการงานสร้าง!! “เชิญเสด็
เสียงกุกกักหน้าประตู ทำให้หยางหมิงอวี้ตัวแข็งเกร็ง หมุนตัวลงจากเตียง คว้าผ้าห่มมาคลุมร่างหญิงสาวไว้อินทุภาซึ่งนอนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก็รีบก้มลงหยิบมีดสั้นที่ซ่อนไว้เตรียมพร้อมในทันที หยางหมิงอวี้ยกนิ้วชี้แนบที่ปากของเขา ทำสัญญาณให้เธออยู่นิ่งๆ ห้ามส่งเสียงใดๆ“ใครอยู่ข้างนอก!?” เขาถามด้วยเสียงแข็งกร้าว พร้อมตั้งท่าตั้งรับสถานการณ์“เอ่อ... หม่อมฉันเองเพคะ เสียว... เสียวหมี่” เสียงจากด้านนอกสั่นเครือเล็กน้อย ราวกับทั้งกลัวและเกรงใจหยางหมิงอวี้เหลือบมองอินทุภาแล้วเลิกคิ้ว เธอพยักหน้าให้เขาเปิดประตู เขารอให้อินทุภาใส่เสื้อให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงเดินไปเปิด“เอ่อ... หม่อมฉันเห็นว่าท่านอ๋องไม่ได้เสด็จไปที่ห้อง ก็เลย... ลองมาดูที่นี่ เผื่อว่าท่านเยว่จะเป็นอะไรไหม” เสียงของเสียวมี่ตะกุกตะกัก ราวกับไม่ใช่ความตั้งใจที่อยากทำเช่นนี้“เข้ามาก่อนเถอะ” หยางหมิงอวี้ถอยห่างจากประตู พร้อมเปิดทางให้เธอเข้ามาเสียวมี่ทำตาโตเมื่อก้าวเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นคนเมาเมื่อตอนหัวค่ำ กำลังนั่งพิงพนักหัวเตียงอย่างสงบ ไม่มีอาการเมามาย เหมือนตอนที่เธอมาส่งก่อนหน้านี้เลยสักนิด“ไฮ! เบบี้เกิร์ล เจอกันอีกแล้วนะ!” อินทุภาย
ขณะนี้ดึกมากแล้ว อินทุภากำลังรอฟังข่าวจากเสียวมี่ จึงยังไม่ได้เข้านอน สักพักเธอก็ได้ยินเสียงนกฮูกร้องแว่วๆ สามครั้ง เธอรีบเดินไปเคาะหน้าต่าง เพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับรู้ ตามที่เคยเห็นท่านอ๋องทำ ไม่นานคนด้านนอกก็ค่อยๆ แง้มบานหน้าต่างและสอดตัวลอดเข้ามา“ข้าน้อยเองขอรับ” หยางติงเข้ามายืนเต็มตัว ทำความเคารพอินทุภาแล้วดึงผ้าปิดปากออก“มีข่าวของท่านอ๋องไหม?” อินทุภารีบถามด้วยความกังวล“ท่านอ๋องถูกลอบทำร้าย ระหว่างทางที่จะไปเหมืองขอรับ พวกมันวางระเบิดหน้าผาทำให้หินถล่มลงมา หินพลาดจากท่านอ๋องไปถูกม้าทรงทรุดทั้งยืน เลยทำให้ฝ่าบาทพระเศียรกระแทกพื้นสลบ ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลยขอรับ!”“ตายจริง! แล้วตอนนี้พระองค์อยู่ที่ไหน?”“ซ่อนอยู่ในถ้ำขอรับ มีทหารรักษาการณ์คอยดูแลความปลอดภัยเอาไว้”“น้ำ อาหารและยาล่ะ? มีพอสำหรับทุกคนหรือเปล่า?”“ข้าน้อยเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วขอรับ ก่อนจะมาส่งข่าวที่นี่”“ฉันจะไปกับนายด้วย คืนนี้พวกมันคงออกตามล่าแน่ ในขณะที่พวกนายคอยระวังป้องกัน ฉันจะดูแลท่านอ๋องเอง!” อินทุภาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด หยางติงพยักหน้ารับอินทุภารีบเก็บของ โกยขนมอบแห้งลงห่อกระดาษ แล้วยัดใส่กระเป๋าผ้าใบเล็
หยางหมิงอวี้นอนรอภรรยาที่พาลูกๆ ไปเข้านอนด้วยความอดทน ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมานอนที่ห้องหรือว่าเผลอหลับนะ? เขากำลังจะก้าวเท้าลงจากเตียง ก็พอดีเห็นร่างอวบอิ่มยั่วยวนใจเดินเข้าประตูมาพอดี เขายิ้มอย่างยินดี อ้าแขนออกกว้างรอให้ภรรยาโผเข้าหาอินทุภายิ้มหวานเดินเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรง แล้วกัดคางเขาเบาๆ เสียงฟ้าร้องครืนๆ มาแต่ไกลทำให้เธอชะงักเล็กน้อย"มีอะไรรึ?" หยางหมิงอวี้ถามเสียงอู้อี้ เพราะกำลังซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่น"ฟ้าร้องเพคะ เด็กๆ กลัวเสียงฟ้าผ่า""เอาน่า คงยังไม่ใช่ตอนนี้ เสียงยังอยู่อีกไกล มาให้ผัวชื่นใจก่อน รออยู่นานแล้ว" เสียงเขาแตกพร่าฝ่ามือแข็งแรงจับท้ายทอยรั้งริมฝีปากอวบอิ่มเข้าหา ล้วงลิ้นซอกซอนหาความอบอุ่นภายใน เขาอดอยากมาเป็นเดือนแล้ว เพราะต้องออกไปลาดตระเวน ลมปราณแทบจะแตกซ่านอยู่รอมร่อ ฝ่ามืออีกข้างลูบไล้เรือนร่างด้วยความรักใคร่หลงใหล แล้วช้อนบั้นท้ายกลมกลึงยกขึ้น กดแนบชิดกลางลำตัว ริมฝีปากซุกไซร้ซอกคอและไหล่บอบบาง ขบกัดเม้มเบาๆ จนเกิดรอยแดงจางๆ กระจายไปทั่ว"อาา..ฝ่าบาท" เสียงหวานครวญครางเบาๆเปรี้ยงงง!! ครืนนน!!แล้วอยู่ๆ ฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาดังสนั่น เ
ตอนพิเศษ (1) ::: Cut Scene 1 :::คุณอรรพีพาตัวเองมาถึงที่วัดป่าจนได้ เธอฝันมาสองสามคืนแล้วว่า แม่ชีอินทุกรให้เธอเดินทางมาหา ซึ่งเธอก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้ว เพื่อจะสอบถามเรื่องลูกสาวที่หายไป เธอมั่นใจว่า เธอต้องได้คำตอบจากคุณแม่อย่างแน่นอน "ไหว้พระเถอะลูก" แม่ชีอินทุกร ยกมือรับไหว้ระดับอก หลังจากคุณอรรพี ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ก้มลงกราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์"มาจนได้นะเรา เป็นอย่างไรบ้าง?""สบายแค่กายค่ะคุณแม่ แต่ในใจยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนนอนไม่ค่อยหลับ " เธอกล่าวเสียงเรียบแม่ชีอินทุกรถอนใจ แล้วยิ้มน้อยๆ"ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่เกิด ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่มี ทุกข์กับสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ในเมื่อคำว่า "ยัง" มีแต่ความว่างเปล่า แล้วจะเก็บไปทุกข์ทำไมล่ะ""ลูกฝันเห็นยัยอินของเราค่ะ ฝันซ้ำๆ เดิมๆ แล้วแกก็มาหายไปแบบนี้ ก็รู้สึกเป็นห่วงมาก ติดต่อก็ไม่ได้""ทางโน้นเขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ ที่เจ้าอินหายไป""เขาเล่าให้ฟัง..ถึงเหตุการณ์ก่อนที่หนูอินจะหายตัว พ่อเขาก็คิดว่าอาจจะเป็นไปตามนั้น ตระกูลเขาเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ ที่บรรพบุรุษเล่าต่อๆ กันมา เลยไม่อยากให้แจ้งความ ให้รอจนกว่าลูกจะกลับมาเอง""เรื
"มีข่าวคืบหน้าทางหยางซื่อหรือไม่?" หวางกุ้ยเฟยถามองค์หญิงหยางมี่ ขณะกำลังปอกสาลี่ใส่จาน"เอ๋อเหนียงรู้ไหมว่า ชาวเมืองหยางซื่อ เขาเล่าลือกันอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น!""เล่าลืออะไร?" หวางกุ้ยเฟยสงสัย"เขาพูดกันว่า พระชายาใช้พลังเวทย์ แสดงอิทธิฤทธิ์เรียกลมเรียกฝนได้ ทำให้กองทัพเชี่ยแตกกระเจิงเพราะถูกน้ำหลาก แถมยังเรียกสายฟ้า ให้ผ่าลงกลางสนามรบได้อีก! ทหารนับแสนแตกตื่นจนลืมโจมตี ส่วนผู้บัญชาการทัพเชี่ย ที่เข้ามาลอบสังหาร ก็ถูกฟ้าผ่าที่แขนจนไหม้เกรียม ต้องเสียชีวิตในสนามรบ เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว! แล้วอะไรอีกนะอินชง..""มีข่าวลือจากทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าต่อกันมาถึงชาวเมืองว่า พระชายาทรงสั่งให้ฝังระเบิดรอบสมรภูมิทั้งสามด้าน เพื่อสกัดกั้นทัพเชี่ย ไม่ให้บุกเข้ามาในเมือง ระเบิดเหล่านี้มีจำนวนมากพอที่จะสังหารทหารได้นับหมื่นนับแสนคน และยังไม่รวมถึงกระสุนปืนใหญ่อีกจำนวนมหาศาลที่เตรียมไว้ ก่อนหน้านั้นยังมีการปล่อยโคมลอยเพื่อลอบโจมตี เผาเสบียง และโรยผงหมามุ่ย เพื่อตัดกำลังทัพเชี่ยไปได้มาก" อินชงพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม "ยิ่งไปกว่านั้น พระชายายังทรงนำทัพหน้า บุกตะลุยฝ่าข้าศึก เพื่อเป
สมรภูมิรบด้านนอกเมืองเงียบสงบลงแล้ว เหลือเพียงทหารกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังค้นหาผู้รอดชีวิต มูลากำลังทำแผลที่หัวไหล่ให้อินทุภา ขณะที่เธอก็กำลังนั่งรอรับโทษทัณฑ์จากสามีอยู่ที่ห้องโถง "ไม่ต้องห่วงเรื่องแผลที่หัวไหล่ เป็นคนอื่นคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวัน แต่มีพวกเราอยู่อีกสามวันก็ดีขึ้นแล้ว!" มูลาพูดขณะพันแผลเสร็จเรียบร้อย"ตอนต่อสู้กับองค์ชายซุน ฉันน่ะลุ้นสุดตัว! ภาวนาขอให้นายท่านกลับมาเร็วๆ มีเพียงพลังธาตุข่มในตัวเขาเท่านั้น ที่จะสยบองค์ชายซุนได้!" ลูน่ากล่าว"แล้วพลังเวทย์ของพวกเธอช่วยฉันไม่ได้เลยหรือ?" อินทุภาสงสัย"ราชาดาวนิลมีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเรายังสู้ไม่ได้ แล้วท่านจะไหวได้อย่างไร!" เรกิพูดขึ้นมาบ้าง"นายท่านมาแล้ว!!" เอกิลเตือน ทุกคนหันไปมองประตู แล้วเลือนหายไปประตูถูกเปิดออกอย่างแรง คนที่กำลังเดินผ่านประตูเข้ามามีสีหน้าราวกับพยัพฝน คงทำความสะอาดเนื้อตัวมาแล้ว จึงเหลือแต่เสื้อตัวใน เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ แววตาที่เคยสุภาพอบอุ่น ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคมกล้า จ้องมองเขม็งอย่างเอาเรื่องเต็มที่ จนทำให้เธอไม่กล้าแม้จะสบตาตรงๆ ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คงต้องแก
ตอนนี้ยามซื่อแล้ว(09.00-10.59น.) ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึน ราวกับธรรมชาติ กำลังสำแดงอำนาจข่มขวัญโลกมนุษย์ ฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย สลับกับสายลมกระโชกแรง อินทุภายืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตาจับจ้องไปยังขอบฟ้า รอคอยสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างสงบ เธอไม่อยากปกป้องตนเอง ด้วยการทำลายชีวิตของผู้อื่น แม้ว่าวิวัฒนาการจากโลกอนาคต จะทำให้เธอโกงความตายได้ ทว่าหลังแนวกำแพงนี้ มีประชาชนหยางซื่อนับหมื่นชีวิต ฝากความหวังไว้กับเธอเพียงผู้เดียว พวกเขาเชื่อมั่นว่า เธอจะปกป้องครอบครัวของพวกเขา จากความโหดร้ายของศัตรูได้ สายตาทุกคู่ จับจ้องไปยังแผ่นหลัง ของหญิงสาวในชุดเกราะ เธอไม่มีปิ่นปักผมล้ำค่า หรืออัญมณีงดงาม เหมือนสตรีทั่วไป แต่กลับใช้เพียงเชือกสีดำ มัดรวบมวยผมไว้อย่างเรียบง่าย แม้ภายนอกจะดูบอบบาง แต่ภายในกลับแข็งแกร่ง ดุจนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาแล้วนับร้อยครั้ง"ทัพเชี่ยอยู่ห่างออกไปห้าหลี่แล้วขอรับ!" ทหารรายงานพลางยื่นกล้องส่องทางไกลให้ อินทุภารับมา และเพ่งมองออกไปเบื้องหน้า ความทะเยอทะยานอันเห็นแก่ตัวขององค์ชายซุนจ่งซาน ได้ลากกองทหารที่อ่อนล้า และตรากตรำจากภัยธรรมชาติ ให้มาหยุดยืนอยู
"เสี่ยวจื่อเด็กดี! เจ้าไม่กินไม่นอน ข้าทุกข์ใจยิ่ง!" ฮ่องเต้ดูจะชมชอบการเปลื่ยนชื่อเรียกหญิงสาว ถ้าไม่เสี่ยวจื่อ ก็เป็นเสี่ยวซา"ก็หม่อมฉันเป็นห่วงเสด็จพ่อกับท่านแม่นี่นา แล้วยังมีพี่ชายทั้งสามที่ต้องรบอยู่แนวหน้าอีก!" จือซาทำหน้าเศร้า"เจ้าอย่ากังวลไปเลย มีแม่ทัพหยางอยู่ทั้งคน เขาเก่งกล้าสามารถเพียงใดเจ้าก็รู้ ทุกคนจะปลอดภัยจากสงครามครั้งนี้! ข้ารับรอง!""อืม" หญิงสาวรับคำ พร้อมกับซุกหน้าลงไปที่อกกว้าง"ถ้างั้น! ดื่มซุปไก่นี่สักหน่อย ข้าลงครัวด้วยตัวเองเชียวนะ!" เขาพูดอย่างภาคภูมิใจฮ่องเต้ตักชิ้นไก่ตุ๋นเนื้อนุ่มพอดีคำใส่ไว้ในช้อน ส่งถ้วยให้เธอถือ แล้วเดินไปรินน้ำชา จือซามองถ้วยซุปด้วยความซึ้งใจ ในมุมอ่อนโยนของเขา ซึ่งมักจะทำให้เธอรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนพิเศษอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวยิ้มบางๆ พลางยกช้อนขึ้นใส่ปาก"อื๋ออ..เค็ม!!" เธอพูดแล้วชะงักกึก รีบเงยหน้ามองฮ่องเต้กลัวเขาจะน้อยใจ ซึ่งเขาก็หันมาทันที ที่ได้ยินเสียงเธออุทานออกมา"อื้อหือ!..ขะ..เข้ม!..เข้มข้นมาก! นับว่าเปิดหูเปิดตาหม่อมฉันแล้ว!" เสียงพูดจืดเจื่อนเพราะรู้สึกขมไปตลอดช่องคอ พยายามปรับสีหน้าให้อยู่ในระดับปกติ ฮ่องเต้หนุ่มยิ้ม น
ภายใต้การวางแผนยุทธศาสตร์ขององค์ชายซุน และการบัญชาการโดยตรงของฮ่องเต้ซุนตี้ชุน สงครามครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน บัดนี้ได้กลายเป็นการประหัตประหารอย่างโหดเหี้ยม กองทัพมหึมาของแคว้นซ่ง แคว้นคัง และแคว้นเป่ยเหลียง ต่างพ่ายแพ้ย่อยยับ ทหารนับไม่ถ้วนล้มตายเกลื่อนกลาด ผู้ที่รอดชีวิตมีไม่ถึงหนึ่งในสิบ อำนาจของแคว้นเชี่ยแผ่ขยายรวดเร็วจนน่าตระหนก เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เหล่าแม่ทัพและทหารแคว้นเชี่ยไม่เคยคิดเลยว่า การพิชิตแคว้นหนึ่งจะง่ายดายถึงเพียงนี้ กลิ่นคาวเลือดแห่งชัยชนะ ปลุกโหมกำลังใจให้ลุกโชนดั่งเปลวเพลิง ธงของแคว้นเชี่ยสะบัดพลิ้วอยู่เบื้องหน้ากองทัพเสมอ ดั่งสัญลักษณ์แห่งชัยชนะอันมิอาจต้านทาน ฮ่องเต้ซุนตี้ชุนและองค์ชายซุน ได้กลายเป็นวีรบุรุษสงครามในสายตาทหารหาญทุกผู้คน ท่ามกลางความตระหนกหวาดกลัวทั่วหล้า แผ่นดินถูกย้อมแดงด้วยโลหิตสุดลูกหูลูกตา เงาทมิฬแห่งสงครามแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีแคว้นเชี่ยเป็นศูนย์กลาง กองทัพเดินหน้าขยายอาณาเขตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า แผนยุทธการขององค์ชายซุน จะนำพาแคว้นเชี่ยสู่ชัยชนะได้ในเวลาอันสั้นเพียงนี้ สองฟากถนนเต็มไปด้วยซากศพและโครงกระดูก
ก่อนที่อินทุภาจะไปวังหลวงคราวก่อน ช่วงที่ซ่อมกำแพงเมือง ได้สั่งให้ช่างทำห้องใต้ดินใต้คลังเสบียงไว้ด้วย จึงได้ใช้ในช่วงเวลาที่มีศึกสงครามเช่นนี้ เธอทำเสบียงลวงไว้ชั้นบน แต่เก็บเสบียงทั้งหมดไว้ชั้นใต้ดิน เพื่อป้องกันศัตรูบุกเผาทำลาย และทำทีว่าป้องกันหละหลวมสร้างอุบายลวง แต่ทุกจุดสำคัญของเมือง มีทหารสอดแนมของกองทหารพิเศษคอยจับตาอยู่หยางติงเข้ามารายงานข่าวจากทหารสอดแนม ว่ากองทัพเชี่ยมีกำลังพลประมาณสองแสนสามหมื่น แต่ได้แบ่งออกเป็นสามทัพดังที่อินทุภาคาดไว้ แต่ทั้งสามทัพนี้ มิได้ยกมาพร้อมกัน และเดินทัพทิ้งระยะห่างกันมาก โดยที่ทัพหน้ามีกำลังพลประมาณสามหมื่น ซึ่งทัพหน้านี้คงจะเป็นการบุกแบบหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ อีกสองทัพแบ่งเป็นทัพละหนึ่งแสน ทัพสองแน่นอนว่าใช้ตัดกำลัง และทัพสามคงจะมุ่งหวังโจมตีเต็มที่อินทุภาเลยคิดแผน จากการที่ศัตรูเดินทัพ ทิ้งระยะห่างกันเกินไปนี้ มาใช้ประโยชน์ โดยจะใช้กลยุทธ์ในตำราพิชัยสงครามเจ็ดตำนานชื่อว่า..’ลับลวงพราง’โดยให้หยางติง นำทัพแรกกำลังพลหนึ่งหมื่นนาย ประกอบไปด้วยกองปืนคาบศิลา พลธนู กองทะลวงฟัน หรือกองทหารพิเศษเคลื่อนที่เร็ว ไปดักซุ่มโจมตีทัพหน้า โดยต้องรีบออกเดินทา
พอลับสายตาจากภายนอก เขาก็สอดมือรั้งท้ายทอยหญิงสาวเข้าชิด แล้วจู่โจมริมฝีปากอวบอิ่มแทบจะในเสี้ยววินาที อย่างเร่าร้อนหนักหน่วง ราวกับว่าเธอคือลมหายใจสุดท้าย ที่เขาโหยหามาตลอดชีวิต มือข้างหนึ่งกอดเอวบอบบางไว้แน่น อีกข้างจับท้ายทอยให้ขยับมุมตามริมฝีปากของเขา อินทุภาตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สุดท้ายก็หลับตาพริ้ม จูบตอบจุมพิตที่แสนรัญจวนใจนี้ด้วยความยินยอม มือไม้เผลอไผลเกาะลำคอเขาไว้แน่น ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไปจนหมด"ฝ่าบาท.." อินทุภาครางเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระชั่วครู่ ก่อนจะจุมพิตเขาด้วยความโหยหาไม่ต่างกัน ปลายลิ้นของเธอถูกเขาดึงดูดเข้าหาราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล เขาถอนริมฝีปากมาซุกไซ้ที่ซอกคอ เธอเลยกัดที่คอเขาเบาๆ แล้วเลื่อนมากัดที่ปลายคาง ขบเม้มดูดดุนไปทั่วซอกคอ ในขณะที่อีกมือค่อยๆ ดึงสายรัดเอวของเขา แหวกสาบเสื้อให้เปิดออกกว้าง"เมียรัก.." เขาพูดเสียงเบาเหมือนคนละเมออินทุภาแลบปลายลิ้นเลียลิ้มชิมรสยอดอกสีชมพูคล้ำ สองนิ้วเค้นเขี่ยเม็ดตุ่มสีสวยอีกข้าง เรียกเสียงครางครวญจากอีกฝ่ายให้หอบหนักขึ้น ตามอารมณ์ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่อีกมือก็ค่อยๆ คลายสายรัด จนทำให้ขอบกางเกงขยายออ