“เอ่อ.. อะแฮ่ม.. คือว่า..เรา..มานั่งคุยกันดีกว่าไหมคะ ถ้าคุณยังไม่ได้หายไปไหน” เธอพยายามทำเสียงให้ปกติ แต่ก็ยังดูอึดอัดขัดเขิน
อินทุภาหันตัวเดินไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ไผ่ยาวแบบมีพนักพิงใต้ต้นอวี้หลัน โดยเลือกนั่งชิดติดมุมด้านหนึ่ง สักพักเขาเดินมานั่งข้างๆ ห่างกันแค่ฝ่ามือเดียว เห็นเขายังนั่งนิ่งเธอก็เลยชวยคุย เพื่อทำลายบรรยากาศที่ชวนอึดอัด
“ฉันเป็นคนไทย มีญาติอยู่ที่นี่ แล้วคุณล่ะ? ชื่ออะไร? มาจากที่ไหน? เล่าเรื่องของคุณให้ฉันฟังบ้างสิคะ” อินทุภาเริ่มประเด็นที่อยากรู้
ชายหนุ่มมองหน้าอินทุภานิดหนึ่งแล้วเอนตัวพิงพนัก ไถลตัวลงเล็กน้อย ขายาวทอดไปข้างหน้า เพื่อให้อยู่ในท่าที่สบายขึ้น ต้นขาของเขาแข็งแรง แต่ละข้างใหญ่กว่าเอวของเธออีก
นัยน์ตาของเขายาวรีและดำสนิท เครื่องหน้าแต่ละชิ้นคมสันเหมือนรูปสลัก มือของเขาได้รูปสวย เรียวและแข็งแรง เสื้อผ้าที่สวมใส่ตัดเย็บอย่างประณีตทีเดียว สังเกตจากเนื้อผ้าค่อนข้างจะโบราณไปหน่อย แต่ก็หรูหราเกินฐานะคนธรรมดาทั่วไปจะสวมใส่ได้
เธอลอบสำรวจเขาเงียบๆ ระหว่างที่อยู่ในสภาวะเดดแอร์ด้วยกันอย่างนี้ อะไรอย่างหนึ่งบอกอินทุภาว่า ผู้ชายคนนี้เป็นคนจริง เมื่อเขาต้องการอะไร เขาก็จะเอาให้ได้ เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะกลัวอุปสรรคขวางหน้า คนที่กล้าเข้าขวางก็คงถูกเหยียบจมดินไปเลย เหมือนกับถูกบดด้วยพลังตีนตะขาบของรถถังสงคราม
“เมื่อหลายปีก่อน..เจ้าเคยบอกข้าว่า บ้านเมืองของเจ้านั้นไกลจากข้ามาก ถึงขั้นคนละประเทศ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นคนละมิติเลยทีเดียว ใช่หรือไม่?”
หืม..!?!
อินทุภากะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงงกับศัพท์แสงยุคปัจจุบัน ที่ชายหนุ่มที่ดูเหมือนมาจากยุคโบราณใช้พูดกับเธอ แต่ที่น่าคิดยิ่งกว่าคือ…เขาเข้าใจความหมายของมันจริงๆ หรือเปล่า
“ฉันบอกคุณ? เราเคยเจอกันมาก่อนหรือคะ?”
“เคยสิ! ก็เกือบจะได้แต่งงานกันอยู่แล้ว ก็มีเหตุให้..” เขาชะงัก ปล่อยคำพูดขาดหายไป เม้มปากเป็นเส้นตรง ก่อนจะเริ่มพูดใหม่
“ก่อนที่ข้าจะพบเจ้าเป็นครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ข้าฝันเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเหตุการณ์เดิมๆ แม้มองเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่ข้าจำได้ว่า…นางตัวเล็ก บอบบาง รูปร่างกลมกลึงไปทั้งตัว นางจับมือข้า พาวิ่งไปข้างหน้า เสียงหัวเราะและคำพูดของนางดังก้องอยู่ในหูชัดเจน”
เขาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง คล้ายพยายามรำลึกถึงภาพเหล่านั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“เมื่อข้าเจอเจ้าที่นี่ครั้งแรก..ในตอนนั้น..” เขาพูดต่อ สายตาหันไปมองต้นอวี้หลันเบื้องหน้า “เจ้ากำลังนั่งหลับตา รับลมอยู่ใต้ต้นไม้นี้ และในเสี้ยววินาทีนั้น…สัญชาตญาณบอกข้าว่า เจ้าเป็นคนเดียวกันกับหญิงสาวในฝันของข้า”
เขาหันกลับมาสบตาอินทุภา นัยน์ตาคู่นั้นจ้องลึกลงไป ราวกับพยายามจดจำเธอให้ขึ้นใจ
“ละ…เล่าต่อสิคะ” อินทุภาเอ่ยเร่ง ทั้งที่หัวใจเต้นแรง ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าการถูกจ้องเช่นนี้ ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหว
เขาหันกลับไปมองมือตัวเอง แล้วเล่าต่อ
“ฮ่องเต้ทรงมีราชโองการ แต่งตั้งให้ข้ามาประจำการที่เมืองหวางจี เขตปกครองทางเหนือ จากตรงนี้ไปถึงค่ายทหารไม่ไกลนัก ส่วนที่พักของข้าอยู่ด้านหลังเนินอวี้หลัน เดิมทีเป็นเรือนของซุนจ่งซานคนสนิทของข้า แต่ข้ามาซื้อต่อ แล้วรื้อสร้างใหม่ให้กว้างขวางขึ้น ดูเหมือนจะเป็นที่นั่น”
เขาพยักพเยิดไปทางบ้านพักของซุนจ่งซาน ลูกพี่ลูกน้องของอินทุภา บ้านทั้งสามหลังตั้งอยู่ไม่ห่างกันนัก เชื่อมถึงกันด้วยทางเดินในลักษณะทรงกลม โดยมีสวนอยู่ตรงกลาง บริเวณโดยรอบกว้างขวางจนน่าแปลกใจ
อินทุภาเริ่มนึกออกว่าคุณทวดเคยเล่าว่า ที่นี่เคยเป็นจวนเก่าของขุนนางผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่ง น่าเสียดายที่เธอจำชื่อไม่ได้ เพราะตอนนั้นไม่ได้ใส่ใจฟังมากนัก
ส่วนเนินอวี้หลัน ตั้งอยู่ค่อนไปทางด้านหลังของบ้านพัก พื้นที่บริเวณนี้ เต็มไปด้วยต้นอวี้หลัน หลากหลายสายพันธุ์ ครอบคลุมพื้นที่กว้างกว่าหนึ่งกิโลเมตร และใจกลางของเนิน คือต้นอวี้หลันสีขาวต้นใหญ่ที่สุด งดงามสง่ากว่าต้นใดในบริเวณนี้
แสดงว่าบ้านตระกูลซุนในปัจจุบันนี้ เป็นจวนเก่าของเขามาก่อนสินะ
“ซุนจ่งซานหรือคะ?” อินทุภาขัดจังหวะถาม
เขาไม่ตอบ แต่พยักหน้ารับ
“พี่ซาน เป็นญาติผู้พี่ของฉัน ชื่อเดียวกันกับคนสนิทของคุณเลย!” อินทุภาอุทานตาโตนิดๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ข้าก็เพิ่งจะรู้ว่า เด็กคนที่ข้าเคยเจอเมื่อหลายปีก่อนนั้นมีชื่อเดียวกัน แล้วรู้ไหม ทำไมเด็กคนนั้นถึงมองเห็นข้า”
อินทุภาส่ายหน้าดิก เขาชี้มือไปที่คอที่มีแหวนห้อยอยู่ อินทุภาเผลอยกมือขึ้น กำแหวนที่อยู่ใต้เสื้อโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ตายังจ้องเป๋งอยู่ที่เขา
“ข้ามาเข้าใจเอาเองเรื่องเงื่อนไขของมิติอะไรนั่น เพราะเห็นแหวนที่เด็กคนนั้นใส่อยู่ตอนเจอกันครั้งสอง ซึ่งก็หมายถึงต้องมีหยกสองชิ้นนี้อยู่ใกล้กัน”
เขาพูดพลางดึงป้ายหยกสีขาวแกะสลัก ที่ห้อยอยู่ที่เอวขึ้นมาให้ดู ที่มุมหนึ่งของป้ายหยกมีสีเหลืองทอง แซมด้วยสีส้มทองแดง ทำให้ดูคล้ายเปลวไฟ ส่วนแหวนหยกก็มีสีสันในลักษณะเดียวกัน
เฉดสีเหลืองทองและสีส้มที่ปรากฏเป็นจุดๆ นี้ เกิดจากการสะสมตัวของแร่ธาตุต่างๆ ในหยกระหว่างกระบวนการก่อตัวตามธรรมชาติ ส่งผลให้เกิดสีที่ไม่สม่ำเสมอ แต่กลับกลายเป็นเอกลักษณ์ที่มีคุณค่าในเชิงศิลปะและความเป็นสิริมงคล
"หยกดาวตกนี้ ทูตจากแดนไกลนำมาถวายเป็นของขวัญบรรณาการแด่ฮ่องเต้ เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างแว่นแคว้น ว่ากันว่าหยกนี้ถูกค้นพบจากหลุมดาวตกขนาดใหญ่ และน่าจะถูกฝังอยู่ใต้ดินมานานหลายร้อยปี จนกลายเป็นหยกสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ ต่อมาฮ่องเต้จึงทรงแบ่งส่วนหนึ่งพระราชทานให้ เอ้อ.."
อินทุภาเห็นเขากระแอม แล้วขยับตัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยความขัดเขิน
“...ทรงแบ่งให้กับโอรสและธิดาในขนาดเท่าๆ กัน เพื่อนำไปทำเครื่องประดับ ส่วนหยกที่ข้าได้รับมานั้น มีสีเหลืองทองและสีคล้ายทองแดงแทรกอยู่ภายใน ซึ่งพี่หญิงและน้องหญิงไม่มี”
“คุณ...เอ่อ...พระองค์...” เธอพูดติดขัดไปชั่วครู่ ไม่แน่ใจว่าจะใช้คำพูดอย่างไรให้เหมาะสม
“ไม่ต้องกังวลเรื่องราชาศัพท์ พูดธรรมดาๆ ก็ได้”
“ฝ่าบาท...เป็นองค์ชายจริงๆ หรือคะ?”
เขาไม่ตอบ แต่พยักหน้ารับ
"เป็นลูกชายคนที่สี่จากพี่น้องทั้งหมดสิบคน ถ้านับเฉพาะแม่เดียวกัน ก็ยังมีพี่สาวและน้องสาวอีก” เขาพูดอย่างเรียบง่ายเมื่อเห็นว่าอินทุภาไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้าน หรือสนใจในสถานะของเขามากนัก
อินทุภานั่งนิ่งไปชั่วขณะ กำลังคิดถึงคำพูดของซุนจ่งซานที่เคยบอกไว้ ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นความจริง
“แล้วเรามาเจอกันได้ยังไงคะ?” หญิงสาวถามต่อ
“ข้าชอบมานั่งเล่นตรงนี้ แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ก็มีม่านแสงสีขาวจางๆ กระจายไปทั่ว หลังม่านแสงนั้น ข้าเห็นสาวน้อยคนหนึ่งนั่งอมยิ้มหลับตาบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเดียวกันนี้” เขาอมยิ้มเล็กน้อย นัยน์ตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
หัวคิ้วอินทุภาค่อยๆ ขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด นึกถึงตอนที่เธอเห็นเขาเป็นครั้งแรก ก็มีม่านแสงสีขาวอย่างที่เขาเล่ามานี้เช่นเดียวกัน เธอกำลังสงสัยว่าในม่านแสงนั้น อาจจะเป็นมิติที่กำลังเหลื่อมกันอยู่หรือเปล่า และคงต้องมีเงื่อนไขอะไรบางอย่าง ที่ก่อให้เกิดปาฏิหาริย์เหล่านี้ขึ้นมา
อย่างแรกก็คือต้องมีหยกดาวตกสองชิ้น แล้วเงื่อนไขต่อไปคืออะไรนะ?
อินทุภายังจมอยู่กับความคิด ที่กำลังประมวลผลอย่างต่อเนื่อง จนต้องสะดุ้งเมื่อมีนิ้วมือเรียวแข็งแรง ลูบเบาๆ ที่คิ้วของเธอให้เรียบตรง
สายตาของทั้งคู่ประสานกันอยู่นานราวกับถูกมนต์สะกด ไม่สามารถละสายตาออกจากกันได้ มือของเขาที่ยกค้างไว้ค่อยๆ เลื่อนลงมาช้าๆ สัมผัสผ่านใบหู แล้วกุมไว้ที่ท้ายทอย ใช้นิ้วโป้งลูบไล้เบาๆ ราวกับเป็นการชวนเชิญ ก่อนจะค่อยๆ รั้งศีรษะด้านหลัง ดันริมฝีปากอวบอิ่มของเธอเข้าหาริมฝีปากนุ่มของเขา
อินทุภาเอนตัวตามไปโดยไม่ขัดขืน ราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ อาจเป็นเพราะร่องรอยของความวาบหวามจากครั้งก่อน ยังคงหลงเหลืออยู่ แต่จุมพิตครั้งนี้แตกต่างไปจากครั้งแรก มันอบอุ่นและอ่อนหวาน ราวกับเขากำลังจะสอนให้เธอได้รู้จัก รสชาติของความนุ่มนวลที่แฝงไว้ด้วยความเสน่หา ไม่เหมือนกับความเย้ายวนที่เรียกร้องให้ตอบสนองอย่างเร่าร้อนในคราวก่อน
เขาค่อยๆ ถอนริมฝีปากออก จ้องมองตากลมสวยของเธออยู่นาน ก่อนจะกดศีรษะของเธอให้เอนซบลงที่ซอกไหล่ของเขา เธอทำตามโดยไม่ขัดขืน ดุจดังว่าร่างกายและจิตใต้สำนึกของเธอ เคยชินกับความอบอุ่นและอ่อนโยนเช่นนี้มาแล้ว
“เยว่อิง ชื่อของเจ้าแปลว่าจันทร์กระจ่าง ส่วนชื่อของข้า หยางหมิงอวี้ แปลว่ากำเนิดแสงตะวันอันสดใส ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือพรหมลิขิตกันแน่?” เขาเอียงคอมอง มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย
“เยว่อิงเป็นชื่อที่คุณย่าตั้งให้ ส่วนชื่อไทยที่คุณยายตั้งให้ก็แปลว่า แสงจันทร์ เหมือนกันค่ะ” อินทุภาได้ยินเสียงเขาหัวเราะหึหึเบาๆ ในลำคอ
“เจ้าก็เคยบอกข้าแบบนี้เหมือนกัน” อินทุภาสะดุ้งด้วยความแปลกใจ จึงขยับตัวออกจากอกของเขา มองหน้าคนพูดด้วยสายตาฉงนสนเท่ห์
“แสดงว่าเรื่องราวเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วกับฝ่าบาท แต่ทำไมถึงเป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันเพิ่งเคยเจอ?”
อินทุภาหันไปพิงพนัก แก้มพองออก ปากยื่นน้อยๆ โดยไม่รู้ว่าอากัปกิริยาของเธอดูน่าเอ็นดูสำหรับคนที่นั่งข้างๆ เป็นอย่างยิ่ง
“แล้วหม่อมฉันก็ถูกฝ่าบาทเอาเปรียบ ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด”
แล้วแก้มก็พองอีก สีหน้ากระเง้ากระงอดไม่พอใจ จนคนข้างๆ อดไม่ได้ จับหันมาจุ๊บปากเสียหลายที โดยที่เธอไม่ทันได้ขัดขืน
“ก็ดีไม่ใช่หรือ? ไม่ต้องเสียเวลาทำความรู้จักกันมากมาย เจ้าก็อยู่เฉยๆ ของเจ้าไป นอกนั้นก็ปล่อยให้เป็นธุระของข้า”
“เดี๋ยวจูบเดี๋ยวกอด แบบนี้คือธุระของฝ่าบาทหรือเพคะ!”
หน้าต้องหนาเป็นหินเชียวล่ะ ถึงพูดออกมาได้หน้าตาเฉย!!
เขาหงายหน้าหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ ใบหน้าที่คมเข้มดุจรูปสลักนั้นดูหล่อเหลายิ่งขึ้นเมื่อเขายิ้ม
“การง้อเจ้า เป็นงานที่ข้าหนักใจที่สุด แต่ก็ชอบที่สุดด้วยเหมือนกัน ถ้าได้ลงเอยแบบนี้”
เขาลูบไล้นิ้วโป้งที่ริมฝีปากล่างของอินทุภาเบาๆ เพื่อเน้นย้ำความหมายของคำที่เขาพูด
“งั้นหยุดธุระของฝ่าบาทไว้ก่อนดีไหมเพคะ มาช่วยหม่อมฉันคิดทีว่าเงื่อนไขของมิติที่เหลื่อมกันนี้คืออะไร แล้วทำไมหม่อมฉันถึงเข้าไปอยู่ในมิติของฝ่าบาทได้”
“เหตุผลที่พอจะฟังได้มากที่สุด สิ่งแรกก็เกี่ยวข้องกับหยกแน่ๆ แล้วก็...พระจันทร์เต็มดวง”
“พระจันทร์เต็มดวง!” หญิงสาวพูดโพล่งออกมาเพราะเพิ่งจะนึกออก
ทั้งคู่พูดพร้อมกันในจังหวะเดียวกัน ทำให้หยางหมิงอวี้อมยิ้มเล็กน้อย ประกายตาเป็นประกายวาบวับ ส่วนอินทุภาหัวเราะคิกออกเพราะภูมิใจในความฉลาดของตัวเอง หน้าแดงระเรื่อ เพิ่มความน่ารักน่าเอ็นดูให้เธอมากขึ้นไปอีก
“จะเห็นแก่ตัวไปไหม ถ้าจะขอให้เจ้าไปด้วยกัน?” จู่ๆ หยางหมิงอวี้ก็ถามขึ้นมาแบบหยั่งเชิง ดวงตาหรี่ลงอย่างระวังในคำตอบของหญิงสาว
“แล้วหม่อมฉันจะกลับมาได้อีกไหมคะ? หม่อมฉันกังวลว่าพ่อกับแม่จะเป็นห่วง”
จริงๆ แล้วเธอรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย ที่จะได้ไปสัมผัสกับโลกอีกใบ ซึ่งเธอมองว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเพียงหนึ่งในล้าน เลือดนักผจญภัยในตัวเธอกำลังพลุ่งพล่าน เพราะโอกาสแบบนี้ในชีวิตหนึ่ง..อาจมีเพียงครั้งเดียว แต่อีกใจหนึ่งกลับลังเล กลัวว่าจะเป็นการจากโลกปัจจุบันไปตลอดกาล เพราะในโลกใบนี้..เธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ยังมีพ่อ แม่ และยายที่ยังคอยเป็นห่วง
“ครั้งนั้นเหมือนว่าเจ้าจะรู้วิธีข้ามมิติ” หยางหมิงอวี้พูดด้วยน้ำเสียงที่หม่นหมอง “แต่...เจ้าก็หายไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย...” เขาก้มหน้าลง ท้ายเสียงดูสั่นพร่าเล็กน้อย น้ำเสียงที่เศร้าสร้อยและสายตาที่หม่นลงของเขา ทำให้อินทุภาใจอ่อน รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัดตามไปด้วย แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองสบตา
“ก่อนที่เจ้าจะหายไป ได้ทิ้งแหวนเอาไว้ แล้วข้าก็รอด้วยความหวังมาตลอดสิบปีเต็ม ว่าสักวันเจ้าอาจจะกลับมา”
“แล้วทำไมหม่อมฉันต้องทิ้งแหวนไว้ด้วยเพคะ? ทำไมไม่นำติดตัวไปด้วย? แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมหม่อมฉันถึงหายไปแล้วไม่กลับไปอีก?” อินทุภายิงคำถามออกมารัวๆ
“การที่เจ้าทิ้งแหวนไว้นั้น อาจเพราะเจ้าหวังว่า ข้าคงจะหาวิธีให้เราได้พบกันอีก ต่อมาข้าได้นำแหวนฝากไว้กับเด็กคนหนึ่ง ซึ่งเป็นญาติห่างๆ ของหมอซุน ถึงแม้ว่าเขาจะยังเป็นเด็ก แต่ก็มีหน้าตาละม้ายคล้ายเจ้าเป็นอย่างมาก ข้าคาดหวังว่า บางทีเขาอาจจะเป็นเจ้าในมิตินั้น หรืออาจจะเป็นต้นตระกูล หรืออะไรสักอย่าง ที่จะนำทางให้เราได้มาพบกันอีกครั้ง”
อินทุภามองชายที่อยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงฝากของสองสิ่งนั้นไว้กับท่านทวดเยว่ฮวา
“หม่อมฉันหลงโกรธฝ่าบาทมากมายเลยเพคะ นึกเอาเองว่าฝ่าบาททำร้ายจิตใจท่านทวดเยว่ฮวา”
“ทำร้ายจิตใจอย่างไร?” หยางหมิงอวี้ถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ก็ท่านทวดเยว่ฮวาน่ะ หน้าเหมือนหม่อมฉันราวกับฝาแฝด แล้วท่านทวดยังบอกกับคุณทวดเหม่ยหลิงอีกว่าหลงรักฝ่าบาทสุดหัวใจ แต่ฝ่าบาทกลับรักผู้หญิงอีกคนที่หน้าเหมือนท่าน” อินทุภาอธิบาย
“อ้อ!..อย่างนี้นี่เอง แต่เด็กคนนั้นเพิ่งจะอายุแค่สิบสองเองนะ”
“งั้น! ถ้าท่านทวดอายุสักสิบแปดหรือยี่สิบ ฝ่าบาทก็คงไม่ต้องรอมาเป็นเวลานานแสนนานแบบนี้หรอกใช่ไหมเพคะ?” อินทุภาถามกึ่งประชด
“เอ...น่าคิดแฮะ ไม่ทันคิดมุมนี้มาก่อนเหมือนกัน” เขาตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย จนอินทุภาตวัดสายตาค้อนขวับ เพราะหมดคำพูดจะเอ่ยกับคนประเภทนี้ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้ง เมื่อเขาดึงเธอเข้าไปกอด ถึงเธอพยายามฝืนตัวไว้ แต่เขาก็ดึงเธอเข้าไปชิดจนได้
“เป่าเป้ย์! ไม่รู้หรือว่า..ข้าต้องการเพียงตัวเจ้า หัวใจของเจ้า และต้องเป็นเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่เงาของใครก็ได้!”
เขากระซิบข้างหู แล้วไถลมาจูบที่แก้มนวล สูดหายใจชิดแก้มเต็มแรงก่อนจะวนมาจูบที่ปากนุ่มนิ่ม อินทุภาตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก อีกใจสั่งให้ขัดขืน แต่อีกใจกลับชอบสัมผัสของเขา
ชายหนุ่มถอนริมฝีปาก เอนตัวออกเล็กน้อย เพื่อให้มองหน้าหวานได้ชัดๆ
“จนป่านนี้แล้ว ยังไม่รู้อีก ว่าข้ารู้สึกยังไง คงต้องสาธิตให้ชัดเจนมากกว่านี้อีก” เขาพูดแล้วทำท่าจะโน้มเข้าหา
“ฝ่าบาท!” อินทุภาเอามือยันคางเขาไว้ แล้วหันหน้าหนีเมื่อเขาก้มมาประชิด
“ท่านพี่!” หยางหมิงอวี้พูดชิดแก้มนวล
“อะไรเพคะ?”
“เรียกท่านพี่!” เขาสั่งแกมบังคับ
“อื๋อ..ใครจะกล้า!” อินทุภาพ้อ แล้วหลบหนีริมฝีปากร้ายที่ไล่ตามอย่างไม่ลดละ
“ไม่เรียกจะปล้ำ!” เขาขู่อีก
“บ้า! องค์ชายบ้าๆ ชอบรังแกชาวบ้านตาดำๆ ไม่มีทางสู้!”
หยางหมิงอวี้หงายหน้าหัวเราะ กับการเรียกร้องหาความยุติธรรมของหญิงสาว
“ก็น่ารักอย่างนี้นี่เล่าเป่าเปาน้อย! แล้วข้าจะไปมองใครได้อีกล่ะ ฮึ!”
“อย่าตรัสเลย! เห็นองค์ชายในซีรีส์แต่ละเรื่อง มีเมียเล็กเมียน้อยเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด!”
อินทุภารู้ว่าเป็นการกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง แต่อยากจะพาลใส่เจ้านายพระองค์นี้เต็มทน
“ถ้าจะมี ก็คงเต็มบ้านอย่างที่กล่าวหามาจริงๆ แต่นี่ก็รอคนเพียงคนเดียวมาเป็นสิบๆ ปี”
อินทุภาเงยหน้าขึ้น ส่งสายตาลึกล้ำมองไปที่ตาคมเข้มอย่างค้นคว้า เพราะทั้งหมดนี้เป็นคำพูดของเขาฝ่ายเดียว เธอไม่มีความทรงจำร่วมกันกับเขาเลยสักนิด
“ทีนี้จะให้จูบดีๆ ได้หรือยัง? รางวัลข้าหน่อยสิ เจ้าทำให้ข้าใจเสียมาหลายปีแล้วนะ!”
อินทุภาเม้มปาก รู้สึกหมั่นไส้กับการทวงรางวัลอย่างหน้าไม่อายแบบนี้เหลือเกินนัก กำลังอ้าปากจะต่อว่า พลันต้องตกใจจนชะงักค้าง เพราะใบหน้าของเขากำลังเลือนราง แล้วหายไปเป็นช่วงๆ
“ฝ่าบาทเพคะ! ทรงเห็นเหมือนกับหม่อมฉันไหม?” อินทุภารู้สึกตระหนกเล็กน้อย พร้อมๆ กับได้คำตอบของปริศนาอีกอย่าง
“ก็ที่รั้งไว้ทั้งคืน ก็เพราะอยากให้ชัดเจนในคำตอบนี้เหมือนกัน” หยางหมิงอวี้พยักหน้า เข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดออกมา
“เป็นเพราะกำลังจะเข้าใกล้รุ่งของอีกวันหรือเพคะ แล้ววันนั้นที่ในเมือง หม่อมฉันก็เห็นฝ่าบาทเลือนรางแบบนี้เหมือนกัน ไม่ได้ชัดเจนเหมือนครั้งล่าสุดนี้”
“แสดงว่าเงื่อนไขหลักคือหยกสองชิ้น จะต้องอยู่ในบริเวณเดียวกัน” เขาพูดพลาง เอามือลูบคางไปด้วย
“งั้นพรุ่งนี้คือข้อพิสูจน์สุดท้าย แต่บางทีอาจจะไม่ท้ายสุด ต้องคอยสังเกตกันไปเรื่อยๆ”
“พี่ซาน!” อินทุภาเคาะประตูเรียก“เข้ามาเลย ไม่ได้ล็อก” ยังไม่ทันจะแตะลูกบิด ซุนจ่งซานก็เปิดประตูออกมาเสียเอง“โอ้โฮ ทำไรคะนี่!?!” อินทุภาชะโงกหน้ามาดูในห้องจากช่องประตู ซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือที่กางเอาไว้บนโต๊ะ ส่วนข้างๆ ก็มีกระจาดสมุนไพรวางเรียงไว้เป็นแถว“กำลังทดลองสูตรปรุงยาสมุนไพร ตามตำราโบราณน่ะ คิดค้นโดยท่านหมอซุนผู้นั้น มีทั้งยารักษา และยาพิษ” จงซานดึงแว่นขึ้นไปไว้บนศีรษะ มือก็เลือกหยิบสมุนไพรบางชนิดใส่กล่องเล็ก“พี่ซานสอนหนูบ้างสิคะ อยากรู้ทั้งหมดเลยพวกยารักษา ยาพิษอะไรพวกนั้นน่ะ” อินทุภายิ้มประจบ“ทำไมถึงอยากรู้ล่ะ?” จงซานถามยิ้มๆ โดยไม่มองหน้า“ก็หนูอยากเก่งแบบพี่บ้าง อีกอย่างศึกษาเอาไว้เป็นความรู้ดูแลตัวเองและคนรอบข้างได้ โดยไม่ต้องพึ่งหมอ แล้วก็อยากรู้ว่ามีวิธีการรักษาพิษยังไง? อะไรประมาณนี้ค่ะ” จงซานเหลือบตาขึ้นมอง แล้วอมยิ้ม ก่อนจะหลุบตาทำงานต่อ“เยอะ! จะจำหมดไหมล่ะ”“สบายมาก ถึงหนูจะไม่ฉลาดทำอะไรก็ซุ่มซ่าม แต่ความจำหนูเริ่ด! ” อินทุภาตอบแบบหน้าเชิด ยืดอกตบเบาๆ ภูมิใจในนิสัยถาวรของตัวเองสุดๆ ทำให้ซุนจ่งซานหัวเราะเสียงดัง ตาหยีเป็นเส้นเดียว“มันใช่เรื่องเดียวกันไหมยัยตัวเล็
“ท่านเยว่! .. ท่านเยว่!” อินทุภาเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียก เห็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดปี โยนตะกร้าสานในมือทิ้ง ฉีกยิ้มกว้างวิ่งตรงมาหาเธอด้วยความดีใจ “ท่านเยว่! .. ท่านเยว่! จริงๆ ด้วย จำข้าได้ไหมขอรับ? ข้าเอง..เสี่ยวเถา!” อินทุภายิ้มแหยๆ หันไปมองหยางหมิงอวี้เพื่อขอความช่วยเหลือ “เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย ทำให้ความทรงจำหายไป คงอีกสักพักกว่าจะกลับมา” หยางหมิงอวี้กล่าวแทนด้วยน้ำเสียงขบขัน “อย่างนี้นี่เอง! อยู่ๆ ท่านเยว่ก็หายตัวไป พวกเราทุกคนคิดถึงท่านมาก โดยเฉพาะฝ่าบาท ตั้งแต่ท่านไม่อยู่ ฝ่าบาทดูหน้าไม่เป็นหน้าเลยขอรับ” “อ้อ! งั้นที่เจ้าเรียกฝ่าบาท! ฝ่าบาท! เพราะเห็นว่าหน้าข้ามันคล้ายกันใช่หรือไม่?” หยางหมิงอวี้แกล้งถาม อินทุภาปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง แล้วกลั้นขำเอาไว้“ธ่อ! กระหม่อมไม่ได้หมายความอย่างนั้นเสียหน่อย!” เสี่ยวเถาทำหน้าเสีย ยิ้มแหยๆ “เสี่ยวเถาเป็นนักเรียนคนแรกของโรงเรียน ที่เจ้าก่อตั้งขึ้นเมื่อสิบปีก่อน” หยางหมิงอวี้อธิบาย “อ้าวเหรอ..งั้นเรามาทำความรู้จักกันใหม่แล้วกันนะ สวัสดีอย่างเป็นทางการนะจ๊ะ..เสี่ยวเถา ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ” อินทุภายิ้ม แล้วยื่นมือ
เสียงหัวเราะดังก้องในห้อง หยางหมิงอวี้ยืนอยู่หน้าประตู มุมปากเขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อย เมื่อนึกถึงภาพสาวน้อยที่ตัวสั่นเทาเมื่อคืน แตกต่างจากตอนนี้ ที่สามารถหัวเราะเสียงใสราวกับไร้ความกังวล เขาชอบที่เธอมีความเป็นตัวของตัวเอง รู้ว่าต้องการอะไรและไม่ต้องการอะไร กล้าพูดกล้าทำ ไม่มีการปิดบังเสแสร้ง ซึ่งแตกต่างจากคนในยุคของเขาเป็นอย่างมาก “อรุณสวัสดิ์เพคะ” อินทุภาทักทายเมื่อเห็นหยางหมิงอวี้ยืนอยู่หน้าประตูห้อง จับกระโปรงถอนสายบัวอย่างนุ่มนวล สาวใช้ยิ้มแล้วรีบถอยออกไป หยางหมิงอวี้เดินเข้าใกล้ พลางยิ้มกับท่าทางขี้เล่นของเธอ “ชุดนี้พอดีไหม? ดูเหมือนจะคับไปหน่อยตรงนี้หรือเปล่า?” เขาใช้ข้อนิ้วไล้เบาๆ ไปตามแนวโค้งละมุนของอกสาว จากเนินเนื้อช่วงบน พาดผ่านยอดอกลงไปฐานล่าง“ฝ่าบาท!!”อินทุภาอุทาน หน้าแดงก่ำ จับมือซุกซนดึงออกไม่ให้เลื่อนต่อตายล่ะ! ทำไมแค่สัมผัสเบาๆ ถึงกับทำให้ขนลุกไปทั้งตัว!!หยางหมิงอวี้ถอนใจ พลิกข้อมือตัวเองจับมือบางจูงออกจากห้อง เขาเกือบลืมตัวอีกแล้วพับผ่าสิ! เวลาอยู่ใกล้กันทีไร นึกอะไรอื่นไม่ออกเลย จะอดทนได้นานแค่ไหนก็ยังไม่รู้!!“เราจะไปไหนกันเพคะ?” เธอถามหลังจากปล่อยให้เขา
อินทุภาลืมตาตื่น ไม่แน่ใจว่าตื่นเพราะอะไร ฟ้าก็ยังไม่สว่าง เธอลืมตาแบบสะลึมสะลือ พยายามโฟกัสให้ชัดขึ้น พลันเห็นคนที่หลับอยู่ข้างๆ ก็หน้าร้อนวาบ เพราะนอนหันหน้าเข้าหากันกระชั้นชิดมากเธอตกใจขยับตัวถอยออกห่าง แล้วหันไปมองคนที่ยังหลับอยู่อีกครั้ง ขนตาของเขาตกลงมาทาบผิวแก้ม สั้นแต่ดกหนา เวลาหลับอย่างนี้เครื่องหน้าเขาดูละมุน หน้าอ่อนคล้ายๆ เด็กน้อยหยางหมิงอวี้ขยับนอนหงาย ตัวเลยออกไปนอกผ้าห่ม เพราะตอนที่อินทุภาถอยหลังออกห่าง ผ้าห่มเลยรั้งตามมาด้วย เธอเห็นเขายังหลับอยู่ เลยมองลงไปเรื่อยๆ ตามประสาคนอยากรู้ ซึ่งไม่เคยคุ้นกับสรีระของผู้ชายเสื้อตัวในของเขารัดกระชับตัว ทำให้เห็นลอนกล้ามของอกกว้างและช่วงแขนที่มีกล้ามนูนสวย ถ้าแต่งตัวปกติจะดูสูงเพรียว ไม่เห็นชัดเหมือนตอนนี้อินทุภาคิดว่า เขามีมาดพระเอกอยู่ในตัว ถ้าเขาไปอยู่ในโลกปัจจุบันของเธอ คงเป็นพระเอกซีรี่ย์ได้สบายๆหุ่นพระเอกแท้ๆ ไม่มีผู้ร้ายปนสักนิดเธอมองระเรื่อยไปตามแผงอก เอว และหน้าท้องตึงเรียบ ไหนๆ มองลงมาถึงเพียงนี้แล้ว เธอก็มองเลยลงไปอีกหน่อย จับตานิ่งอยู่เป็นครู่ บอกตัวเองว่า ตอนนี้ดูไม่น่าตกใจเหมือนตอนที่กอดรัดกระชับชิดตอนนั้น ซึ่งน
“มากันแล้วๆ ขอต้อนรับท่านอ๋องด้วยความยินดีพ่ะย่ะค่ะ”ชายวัยประมาณหกสิบปี มีหนวดเรียวเล็กบนริมฝีปาก ไว้เคราเล็กแหลมที่ปลายคาง แต่งกายภูมิฐาน ยืนรอต้อนรับ มีชายฉกรรจ์ประมาณเจ็ดถึงแปดคน พกดาบไว้ที่เอว ยืนเรียงสองแถวอยู่ด้านหลัง“อิงอิงนี่คือท่านหงส์จิ่ว หัวหน้าหมู่บ้าน เคยเป็นครูสอนหนังสือมาก่อนจะมาอยู่ที่นี่ .. ท่านหงส์ นี่เยว่อิง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องประดับและอัญมณี”“คารวะท่านหงส์” อินทุภากำมือคำนับ น้อมศีรษะให้ความเคารพผู้สูงวัยกว่า“ไม่ต้องเกรงใจๆ .. เชิญเสด็จท่านอ๋อง พวกเราเตรียมงานเลี้ยงเล็กๆ รอต้อนรับด้วยกระหม่อม”หยางหมิงอวี้และอินทุภาเดินตามหัวหน้าหมู่บ้าน ไปยังศาลาทรงกลมขนาดใหญ่ ซึ่งจัดเตรียมไว้อย่างอลังการณ์เพื่อต้อนรับโดยเฉพาะอินทุภากวาดตามองสถานที่ไปโดยรอบ มีโต๊ะเตี้ยและเบาะนั่งกับพื้น เป็นแนวสามชั้นวางเรียงตามระยะของพื้นที่ทรงกลม แต่ละโต๊ะมีสาวงามผิวขาวผ่อง อยู่ในชุดเกาะอกปาดครึ่งเต้า คลุมไหล่ด้วยผ้าซีทรูเนื้อบาง ตัวกระโปรงผ่าข้างจนถึงขาอ่อน บางคนเดินเห็นเรียวขาขาวรำไรอย่างน่าดู บางคนนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะคอยบริการรินเหล้าและตักอาหารอื้อหือ..อลังการงานสร้าง!! “เชิญเสด
เสียงกุกกักหน้าประตู ทำให้หยางหมิงอวี้ตัวแข็งเกร็ง หมุนตัวลงจากเตียง คว้าผ้าห่มมาคลุมร่างหญิงสาวไว้อินทุภาซึ่งนอนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก็รีบก้มลงหยิบมีดสั้นที่ซ่อนไว้เตรียมพร้อมในทันที หยางหมิงอวี้ยกนิ้วชี้แนบที่ปากของเขา ทำสัญญาณให้เธออยู่นิ่งๆ ห้ามส่งเสียงใดๆ“ใครอยู่ข้างนอก!?” เขาถามด้วยเสียงแข็งกร้าว พร้อมตั้งท่าตั้งรับสถานการณ์“เอ่อ... หม่อมฉันเองเพคะ เสียว... เสียวหมี่” เสียงจากด้านนอกสั่นเครือเล็กน้อย ราวกับทั้งกลัวและเกรงใจหยางหมิงอวี้เหลือบมองอินทุภาแล้วเลิกคิ้ว เธอพยักหน้าให้เขาเปิดประตู เขารอให้อินทุภาใส่เสื้อให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงเดินไปเปิด“เอ่อ... หม่อมฉันเห็นว่าท่านอ๋องไม่ได้เสด็จไปที่ห้อง ก็เลย... ลองมาดูที่นี่ เผื่อว่าท่านเยว่จะเป็นอะไรไหม” เสียงของเสียวมี่ตะกุกตะกัก ราวกับไม่ใช่ความตั้งใจที่อยากทำเช่นนี้“เข้ามาก่อนเถอะ” หยางหมิงอวี้ถอยห่างจากประตู พร้อมเปิดทางให้เธอเข้ามาเสียวมี่ทำตาโตเมื่อก้าวเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นคนเมาเมื่อตอนหัวค่ำ กำลังนั่งพิงพนักหัวเตียงอย่างสงบ ไม่มีอาการเมามาย เหมือนตอนที่เธอมาส่งก่อนหน้านี้เลยสักนิด“ไฮ! เบบี้เกิร์ล เจอกันอีกแล้วนะ!” อินทุภา
ขณะนี้ดึกมากแล้ว อินทุภากำลังรอฟังข่าวจากเสียวมี่ จึงยังไม่ได้เข้านอน สักพักเธอก็ได้ยินเสียงนกฮูกร้องแว่วๆ สามครั้ง เธอรีบเดินไปเคาะหน้าต่าง เพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับรู้ ตามที่เคยเห็นท่านอ๋องทำ ไม่นานคนด้านนอกก็ค่อยๆ แง้มบานหน้าต่างและสอดตัวลอดเข้ามา“ข้าน้อยเองขอรับ” หยางติงเข้ามายืนเต็มตัว ทำความเคารพอินทุภาแล้วดึงผ้าปิดปากออก“มีข่าวของท่านอ๋องไหม?” อินทุภารีบถามด้วยความกังวล“ท่านอ๋องถูกลอบทำร้าย ระหว่างทางที่จะไปเหมืองขอรับ พวกมันวางระเบิดหน้าผาทำให้หินถล่มลงมา หินพลาดจากท่านอ๋องไปถูกม้าทรงทรุดทั้งยืน เลยทำให้ฝ่าบาทพระเศียรกระแทกพื้นสลบ ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลยขอรับ!”“ตายจริง! แล้วตอนนี้พระองค์อยู่ที่ไหน?”“ซ่อนอยู่ในถ้ำขอรับ มีทหารรักษาการณ์คอยดูแลความปลอดภัยเอาไว้”“น้ำ อาหารและยาล่ะ? มีพอสำหรับทุกคนหรือเปล่า?”“ข้าน้อยเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วขอรับ ก่อนจะมาส่งข่าวที่นี่”“ฉันจะไปกับนายด้วย คืนนี้พวกมันคงออกตามล่าแน่ ในขณะที่พวกนายคอยระวังป้องกัน ฉันจะดูแลท่านอ๋องเอง!” อินทุภาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด หยางติงพยักหน้ารับอินทุภารีบเก็บของ โกยขนมอบแห้งลงห่อกระดาษ แล้วยัดใส่กระเป๋าผ้าใบเ
หยางติงหอบหญ้าแห้งกอใหญ่เข้ามาพอดี ตามด้วยทหารที่หอบหญ้ามาอีกกอหนึ่ง“ช่วยกันจับหญ้าพันให้เป็นรูปคนเร็วเข้า!” อินทุภาสั่ง แล้วลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่นานก็ได้รูปโครงคล้ายหุ่นไล่กาเธอจัดแจงสวมเสื้อผ้าให้หุ่น ตามด้วยผ้าคลุมที่คลุมตั้งแต่ศีรษะ แล้วผูกตรงคอให้ดูเหมือนศีรษะคนหญิงสาวสั่งการให้ทหารแปดคนรออยู่ที่นี่ โดยให้เอาหุ่นปลอมของท่านอ๋องขึ้นม้าและผูกไว้ด้านหลัง เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้ ให้ทหารลาดตระเวนทำเสียงโวยวาย แล้ววิ่งออกไปล่อให้พวกมันไล่ตามส่วนกลุ่มของอินทุภาจะมีทหารสองนายที่เหลือ หยางติง เสียวมี่ และท่านอ๋อง ซึ่งจะออกเดินทางทันทีที่ท่านอ๋องพอจะทรงตัวได้“ไปเถอะ! ข้าพอไหว” หยางหมิงอวี้พูด พร้อมพยุงตัวพยายามลุกขึ้นอินทุภาพยักหน้าให้หยางติงช่วยพยุง แล้วพาท่านอ๋องเดินออกไปด้านนอก เพื่อเตรียมออกเดินทาง""ฝ่าบาท... ไปกับหม่อมฉัน!" อินทุภากระซิบเสียงหนัก รีบพยักหน้าให้หยางติงและนายทหารช่วยกันพยุงท่านอ๋องขึ้นหลังม้า เธอกระโดดขึ้นตามไปนั่งซ้อนหน้า ดึงชายผ้าคลุมมาผูกรัดตัวเองกับหยางหมิงอวี้ไว้แน่น ตอนนี้ไม่มีที่ว่างให้ความลังเล มีแต่ทางรอดเท่านั้น! "เราต้องรีบพาท่านอ๋องกลับค่าย ที่นั่นปล
“ท่านอ๋อง! ท่านเยว่! มีสาส์นด่วนจากวังหลวงขอรับ!” อินทุภาหยิบมาให้หยางหมิงอวี้ แล้วพยักหน้าให้ทหารส่งสาส์นออกไปได้“ฝ่าบาทมีคำสั่ง ให้นำทัพฉิวซีหนึ่งแสน ไปช่วยแคว้นฉินต้านกองทัพเชี่ย!” หยางหมิงอวี้อ่านสาร์นให้ฟัง“โอ้ว มาย!! อุบายตีใกล้แสร้งไกลสินะ!” มุมปากอินทุภาเชิดเล็กน้อย‘กลยุทธ์ตีใกล้แสร้งไกล’ คือ การทำให้ศัตรูเข้าใจผิดว่าเป้าหมายของเราคือที่ไกล แต่แท้จริงแล้วเป้าหมายที่แท้จริงคือมุ่งโจมตีจุดที่อยู่ใกล้ โดยใช้กลลวงหรือเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อให้ศัตรูตัดสินใจผิดพลาด และเปิดช่องโหว่ให้เราจู่โจมได้สำเร็จ“ใช่! ทำลวงประชิดแคว้นซ่ง แต่ตั้งใจโจมตีแคว้นฉิน! ด้วยทหารหนึ่งแสนห้าหมื่น แต่ดูจากข้อมูลล่าสุด แคว้นเชี่ยมีทหารประมาณสี่แสนกว่า แต่แบ่งกำลังไปเพียงแสนห้า เกรงว่าจะมีแผนซ้อนแผนแน่แล้ว!”"เหมือนกับกลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าวใช่ไหมเพคะ?"“คิดเหมือนกัน! เขาวางแผนยิงธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวสองตัว ลวงว่าจะตีแคว้นฉินแต่จริงๆ แล้วจะอ้อมหลังบุกต้าฉิวซี และเพื่อให้ฉิวซีส่งกำลังไปช่วย ซึ่งแน่นอนว่าข้าต้องเป็นผู้บัญชาการทัพ หยางซื่อก็จะร้างผู้นำ พอเหมาะพอดีสำหรับทัพอีกสองแสนที่เหลือจะบุกโจมตี!”‘ล้อมเ
ท่ามกลางม่านอวกาศอันมืดมิด ดวงดาวสุกสกาวแข่งกันส่องแสง สลับกับความว่างเปล่าของจักรวาล เบื้องหลังเสียงสะท้อนของกาลเวลา แสงสีดำหม่นค่อยๆ คืบคลานกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ราชาดาวนิลได้ลงมือแล้วตูมมมมมม!!!เสียงระเบิดดังสนั่นจากท้ายยาน คลื่นพลังมหาศาลซัดกระแทกยาน จนสะเทือนรุนแรง แทบจะฉีกทุกสิ่งออกเป็นเสี่ยงๆ ควันและเปลวเพลิงพวยพุ่งผ่านกระจกห้องควบคุม ภายในห้อง ทุกอย่างอยู่ในสภาพเละเทะ ไฟลุกไหม้ตามแผงควบคุม ตัวเลขสีแดงกะพริบแจ้งเตือนระดับพลังงานที่ลดฮวบ “เรากำลังจะตกแล้ว!” เอกิลตะโกนลั่น พยายามกดแป้นควบคุม เพื่อรักษาสมดุลของยาน แต่มันไม่ตอบสนอง “ถ้ายานชนพื้นโลกในสภาพนี้ พวกเราคงไม่มีใครรอดแน่ๆ!” มูลาหันไปมองลูน่า ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ลูน่ากัดฟันแน่น ขณะเอื้อมมือที่สั่นระริก กดปุ่มปลดล็อกกลไกฉุกเฉิน กริ๊ก!แคปซูลหลบหนีสี่ลูกค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาจากพื้น ม่านพลังสีทองเริ่มก่อตัวรอบแคปซูล เรกิที่แม้จะบาดเจ็บ แต่ก็ยังพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นมา“ลูน่า! อย่าคิดจะทำแบบนี้นะ!” เรกิรู้ดีว่า ลูน่ากำลังตัดสินใจจะทำอะไร “มีคนหนึ่งต้องอยู่คุมยาน” ลูน่ากล่าวเสียงแข็ง “ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกเราต้องตายไปพร้อม
จือซาลืมตาตื่นก็เห็นร่างของบุรุษนอนอยู่เคียงกัน เธอขยับตัวไม่ได้เพราะถูกแขนของเขาพาดทับตัวไว้ หญิงสาวรีบสำรวจตนเอง แล้วก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกที่ยังอยู่ในสภาพเสื้อผ้าปกปิดมิดชิด จึงค่อยๆ ยกแขนเขาขึ้นแล้วขยับตัวออก พยายามดึงชายกระโปรงออกจากร่างของเขา ที่นอนทับอยู่แต่ไม่สำเร็จ เขายังนอนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับอดหลับอดนอนมาหลายวันเอ.. หรือที่หนิวกงกงเล่าจะเป็นเรื่องจริง!หนิวกงกงบอกว่าตั้งแต่ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ ฝ่าบาทก็เป็นโรคนอนไม่หลับ เคยบรรทมนานสุดแค่สองชั่วยามต่อวันเท่านั้นแต่ดูตอนนี้สิ!..นัยน์ตาแววหวานอ่อนโยนลง เธอขยับตัวเล็กน้อย เพื่อให้นอนมองหน้าอีกคนได้ชัดเจนขึ้น พร้อมอมยิ้มบางๆ กับท่าทางการนอนหลับปุ๋ยเหมือนเด็กน้อยของเขา มือเรียวบางลูบกลุ่มผมเด็กน้อยตรงหน้าเบาๆ พลางสงสัยว่าเขานอนคว่ำแบบนี้จะหลับสบายหรือเปล่า"ฝ่าบาท!" หนิวกงกงเรียกตรงหน้าประตูด้านในจือซารีบหันไปมองที่ประตูห้อง ส่งสายตาดุไปให้หนิวกงกง พร้อมทำท่านิ้วชี้ปิดปากเป็นสัญญาณว่าห้ามส่งเสียงดัง หนิวกงกงพยักหน้าว่าเข้าใจ ค่อยๆ ละจากหน้าประตูมาหยุดอยู่ใกล้ที่บรรทม "แม่นางจือซา! ได้เวลาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้ว ไม่ทราบว่าจะปล
อินทุภาก้าวเข้าสู่ห้องคุมขังอย่างสง่างาม ใบหน้าเรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยอำนาจ ชุดสีเงินปักลายนกหลวนเฟิ่งสีน้ำเงินสะท้อนแสงไฟอ่อนๆ คล้ายหงส์ฟีนิกซ์ที่แผ่รัศมีเหนือผู้อื่น สนมเซียวที่นั่งอยู่ภายในมุมมืดเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและแววอริที่ไม่คิดปิดบังอีกต่อไป "มาทำไม? จะมาเยาะเย้ยข้ารึ?" นางแค่นเสียงถามด้วยความชิงชัง อินทุภาเพียงแค่ยิ้มบางเบา "ได้ข่าวว่าท่านตั้งครรภ์" สนมเซียวแค่นหัวเราะ มุมปากยกขึ้นในลักษณะเยาะเย้ย "เรื่องของข้าไม่เกี่ยวกับเจ้า!!" เสียงของนางแหลมขึ้น พยายามใช้ตำแหน่งเหนือกว่ากดอีกฝ่ายให้ต่ำลง แต่ท่วงท่ายืนของอินทุภายังคงสง่างาม มือแตะกันไว้ที่ระดับเอว แผ่นหลังตรงราวกับไม่มีสิ่งใดมากดทับ ดวงตาเรียบนิ่ง รัศมีนางพญาแผ่ซ่านโดยธรรมชาติ "แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับท่านนัก แต่ข้ารับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้มาพูดกับท่าน จึงเห็นว่าลองเจรจากันดีๆ สักครั้งก็คงจะดีกว่า" สนมเซียวกำหมัดแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยความเคียดแค้น "ผู้ชนะย่อมได้ทุกสิ่ง! ตอนนี้เจ้าคงสุขใจมากสินะ? ไม่ต้องมาทำเสแสร้งต่อหน้าข้า! ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะซ้ำเติมให้สาสม!" "นั่นเป็นสิ่ง
"เยว่อิง!..มาแล้วรึ หมิงอวี้เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟัง ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ!” ฮ่องเต้ถอนพระทัย"ความลำบากนี้ เทียบกันไม่ได้เลย กับสิ่งที่ฝ่าบาทออกหน้าเพื่อปกป้องหม่อมฉัน มิหนำซ้ำยังเสียสละองค์เอง เป็นเหยื่อล่อคนที่คิดร้ายต่อบ้านเมือง ทำให้ชาวประชาพ้นภัย พวกเราซึ้งในพระมหากรุณายิ่งนัก ต่อให้ต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องฝ่าบาท หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ""ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา!" หยางหมิงอวี้ประสานมือคำนับ ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนโยน“ข้าอาจไม่ใช่ฮ่องเต้ที่แข็งแกร่ง แต่จะพยายามเป็นฮ่องเต้ที่ดี! เอาล่ะ!..หยางหมิงอ๋อง..หยางเยว่อิงรับราชโองการ!” ฮ่องเต้หยางอี้ยิ้มนิดหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวต่อ "แม่ทัพหยางอารักขาข้า รบอย่างกล้าหาญ ทำให้กองทัพแคว้นฉิวซียิ่งใหญ่ วันนี้เรามีราชโองการแต่งตั้งให้หยางหมิงอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทน พระราชทานป้ายทองเว้นโทษตาย!”ฮ่องเต้หันมองมาทางอินทุภา“หยางเยว่อิง! ปราชเปรื่องกล้าหาญ เป็นนักวางกลยุทธ์ที่เยี่ยมยอด เปี่ยมด้วยเมตตา สนับสนุนหยางหมิงอ๋องให้ได้ชัยชนะ บัดนี้ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นพระชายา และรั้งตำแหน่งเป็นไท่เว่ย (ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดดูแลราชการฝ่ายทหาร เทียบเท่าส
"ก่อนอื่นเราต้องหาอุปกรณ์ทำมาหากินเสียก่อน!" หญิงสาวเชิดยิ้มมุมปากข้างหนึ่งเล็กน้อย ยืนกอดอกเก็กท่าเป็นกูรู อยู่หน้าร้านขายเครื่องดนตรี"กะลา?" ขอทานน้อยสงสัย"เฮ่ย! นั่นมันอุปกรณ์เก็บเงินตะหากเล่า! วันนี้เราจะเป็นขอทานเปิดหมวกกัน ตามข้ามา!!" หญิงสาวกอดคอขอทานน้อย พาเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องดนตรีอย่างมั่นใจ แต่ยังไม่ทันที่เท้าจะเหยียบผ่านธรณีประตู ก็ถูกเถ้าแก่ไล่เสียแล้ว"ไป! ไป! ออกไป! ไปขอทานที่อื่น! ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาเดินเข้าออกได้อย่างสบายใจได้นะ!!""เถ้าแก่! ข้าไม่ได้มาเดินเล่น ข้ามาซื้อของ!""น้ำหน้าอย่างพวกเจ้า! จะมีปัญญาเอาเงินที่ไหนมาซื้อ เก็บไม่กี่อีแปะเอาไว้กินข้าวเถอะ!! ไปๆ! ออกไป!" หน้าตาท่าทางเกรี้ยวกราด ดุดัน แบบไม่มีทีท่าว่าจะประนีประนอมเฮอะ!! ขอทานก็มีต่อมดนตรีนะลุง!!อินทุภาหันหลังเดินออก แต่พอก้าวออกมาได้เพียงสามก้าว สายตาก็ปะทะเข้ากับร้านขลุ่ยแผงลอยฟากตรงข้าม หญิงสาวดีใจวิ่งตรงดิ่งไปทันที แล้วหยิบขลุ่ยขึ้นมาเลือกรูปแบบ เลือกความถนัดมือ และกำลังจะยกขลุ่ยขึ้นแตะขอบปาก เพื่อจะทดสอบเสียง พลันนึกขึ้นได้ จึงหันไปมองลุงพ่อค้าที่มองมายิ้มๆ อย่างใจดี"ท่านลุง!
เสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูดังขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวหันไปมอง แล้วก็เบิกตาโตกว้างอย่างประหลาดใจ เพราะคนที่เดินเข้ามาคือองค์หญิงหยางหราน "หึ! ใครๆ เขาก็ว่าเจ้าฉลาดนักฉลาดหนา แล้วทำไมถึงได้โง่ให้เขาจับมาได้ซะล่ะ!" นางเปิดฉากถากถาง"แคว้นฉินเกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ! ราชเลขาก่อกบฏ ฝ่าบาทเกิดประชวรกะทันหัน ประชาชนถูกสังหาร หม่อมฉันกำลังต่อสู้กับกองโจรที่ดักซุ่มโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส! แล้วก็ถูกเขาพาตัวมาที่นี่!" องค์หญิงหยางหรานชะงัก"แล้วฮ่องเต้เป็นอย่างไรบ้าง?" องค์หญิงถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก เบื้องหลังความหยิ่งพยองเย็นชา คือสายใยของความเป็นพี่น้อง และรักในเกียรติภูมิของชาวแคว้นฉิน"หม่อมฉันไม่ทราบ! จำได้แต่เพียงว่า พอสังหารศัตรูสิ้นหม่อมฉันก็หมดแรง คงเพราะสลบไป จึงได้มาอยู่ที่นี่ แล้วฝ่าบาทมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเพคะ?" "เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องรู้!" เธอถอนใจ นั่งลงปลายเตียง "อีกสามวันเขาจะแต่งงานกับเจ้า ประกาศงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ไปทั่วทั้งแคว้น เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป?""เขาวางยาในอาหารให้หม่อมฉันอ่อนแรง แต่ถึงจะมีแรง หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าจะหนีไปได้อย่างไร ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างแน
"ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง?" หยางหมิงอวี้เอ่ยถามเสียงเครียด ขณะก้าวเข้ามาในห้องบรรทม จือซาเงยหน้าขึ้นจากตำรับยา ก่อนประสานมือคารวะแล้วตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง "พระวรกายของฝ่าบาทอ่อนแออยู่แล้ว เมื่อธาตุเย็นแทรกซึม จึงทำให้ปอดติดเชื้อ ยังนับว่าโชคดีที่สามารถรักษาได้ทันท่วงที ตอนนี้หม่อมฉันกำลังฝังเข็มล้างเลือดในอวัยวะตันทั้งห้า และขจัดพิษออกจากอวัยวะกลวงทั้งหก เพื่อถอนพิษของยาหยินหยางออกมา" "แต่เจ้าก็เคยบอกมิใช่หรือว่า... หากจะถอนพิษของยานี้ ร่างกายฝ่าบาทต้องทนทรมานอย่างแสนสาหัส?" หยางหมิงอวี้ขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งขึ้น จือซาพยักหน้า"เพคะ แต่ขณะนี้ฝ่าบาททรงพระประชวร ไม่ค่อยได้สติ นับเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการรักษา หากไร้สิ่งรบกวน หม่อมฉันน่าจะสามารถล้างพิษได้ถึงเจ็ดหรือแปดส่วน เมื่อพระอาการทุเลา เสวยยาตามตำรับที่หม่อมฉันจัดเตรียมไว้ให้เป็นประจำ พระองค์ก็จะทรงฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ มิหนำซ้ำยังแข็งแรงขึ้นกว่าที่เคยเป็นเสียอีก!" ถ้อยคำของนางมั่นคงฉะฉาน สมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญศาสตร์แห่งการแพทย์โดยแท้"ขอบใจเจ้ามาก""ไม่เป็นไรเพคะ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของหม่อมฉันอยู่แล้ว!""รายงาน!! ท
ขณะที่หยางหมิงอวี้ กำลังปรึกษาแผนการกับแม่ทัพอยู่นั้น ทหารก็เข้ามารายงานว่า มีกลุ่มทหารของฉิวซีมุ่งหน้ามาที่ค่าย เขาจึงรีบออกไปนอกกระโจมทันที เห็นเหลียงอินชงกำลังกระโดดลงจากหลังม้า"เหลียงอินชง! คารวะท่านแม่ทัพ!"หยางหมิงอี้มองอย่างไม่เชื่อตา จับแขนให้เหลียงอินชงที่คุกเข่าทำความเคารพให้ลุกขึ้น แล้วมองอีกคน"หยางเยว่อิง! คารวะท่านแม่ทัพ!" หญิงสาวคุกเข่าคำนับแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มหวาน เขาเข้ามากอดไว้หลวมๆ"พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่! เกิดอะไรขึ้น?" เขาถามอย่างสงสัย"พอพระองค์ออกเดินทาง..เรือนป่าสนก็โดนลอบโจมตี พวกเราได้ข่าวว่าพระองค์ได้รับบาดเจ็บและสูญหาย เลยรวบรวมกำลังพลจะมาช่วย แต่เจอองครักษ์เงาเสียก่อน จึงได้รู้ว่าทั้งหมดเป็นอุบายลวงของฝ่าบาทกับฮ่องเต้มาตั้งแต่ต้น พวกเราจึงตามมาที่นี่พ่ะย่ะค่ะ!" หยางหมิงอวี้พยักหน้าเข้าใจ อินทุภารีบสั่งการเหลียงอินชงทันที"อินชง! ทนเหนื่อยอีกหน่อยเถอะ! ท่านรีบเร่งกลับไปคุ้มครองบ้านตระกูลหวาง ไปรับจือซาด้วย ข้าเชื่อว่าเร็วๆ นี้ เมืองหลวงต้องวุ่นวายแน่ๆ!" อินทุภาวิเคราะห์สถานการณ์"ขอรับ!" เหลียงอินชงรับคำสั่ง แล้วขึ้นม้าควบออกไป"หมอซุนมาเปิดเผยตัวตนกับข้าแล้