อินทุภาออกมานั่งสูดอากาศยามค่ำคืนใต้ต้นอวี้หลัน เธอเงยหน้ามองพระจันทร์ที่ใกล้จะเต็มดวง หลับตารับรู้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยมาตามลม
คนจีนส่วนใหญ่จะชอบดอกอวี้หลันมาก หากพอมีที่ดินหรือลานบ้าน มักจะต้องปลูกต้นอวี้หลันสักต้น และจะออกดอกเพียงปีละครั้ง มีข้อเสียอย่างเดียวตรงที่ จะเบ่งบานได้แค่เพียงสิบวัน แต่ดอกอวี้หลันของที่นี่ มีมากมายหลายสิบพันธุ์ และมีหลากสีสัน ช่วงเวลาที่ทยอยกันบานจึงนานนับเดือน อวี้หลันทนความหนาวเย็น ลบยี่สิบองศาได้ดี และสู้ความร้อนที่มากกว่าสี่สิบองศาได้อีกด้วย ไม่ต้องให้ปุ๋ยหรือให้การดูแลที่ดีก็โตได้
อินทุภาถอนใจ เพราะทุกครั้งที่ยืนอยู่ใต้ต้นอวี้หลันต้นนี้ ก็รู้สึกว่า..ถึงแม้จะผลิดอกขาวทั้งต้น และทั้งๆ ที่สวยงามแต่กลับให้ความรู้สึกว่าเหงามาก ใบร่วงหล่นโกร๋นไปทั้งต้น ก่อนดอกตูมจะผลิออกมา ซึ่งใบกับดอกไม่เคยพบกัน ทั้งที่พวกมันก็อยู่ใกล้กันเพียงแค่นี้ เหมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งการพลัดพราก และรอคอย
อินทุภาคิดไปพลาง คลำแหวนหยกที่คออย่างเผลอๆ เธอได้นำแหวนที่ได้จากคุณทวด มาร้อยใส่สร้อยห้อยคอไว้ เพราะของที่มีมูลค่าสูงแบบนี้ ใส่ไว้ในมืออาจเกิดแตกหักสูญหาย คงจะน่าเสียดายไม่น้อย
เธอหวนนึกถึงภาพวาดหญิงสาวที่คุณทวดให้ดู...
“เหมือนใช่ไหม? เห็นใช่ไหมว่าเหมือนใคร?” คุณทวดถาม พลางอมยิ้มเล็กน้อย
“อยากจะบอกว่า หนูมีส่วนคล้ายๆ หญิงสาวในภาพนี้ ก็ยังรู้สึกอายเกินกว่าจะเปรียบเทียบเลยค่ะ เพราะคนในภาพช่างงดงามดูมีชีวิตชีวาเหลือเกิน” เธอมองที่ภาพ ดวงตาเป็นประกายตื่นเต้น
อินทุภามองภาพในมือ เป็นภาพวาดแค่ช่วงอก ลำตัวหันข้างไปทางขวา ผมดำเป็นมันยาวสยายไพล่ไหล่ไว้ข้างหนึ่ง ใบหน้าเบี่ยงมาทางซ้ายเล็กน้อยตามองตรง ผมปลิวสยายไปตามแรงลม
อินทุภาลูบไล้เบาๆ ไปที่ภาพเหมือนมีชีวิตภาพนั้น ปลายนิ้วลากพาดผ่านปิ่นดอกอวี้หลันสีทอง เธอชะงักเล็กน้อย รู้สึกเหมือนจะเคยเห็นปิ่นลักษณะแบบนี้มาก่อนเมื่อนานมาแล้ว แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน เธอจำได้เลือนรางว่า ตอนเห็นปิ่นแบบนี้ครั้งแรก เธอรู้สึกรักและคุ้นเคยกับมันมาก
และสิ่งที่สะดุดตาอินทุภาที่สุดในภาพนี้ คือนัยน์ตากลมโตของหญิงสาวที่ฉายแววอบอุ่นอ่อนหวาน ริมฝีปากอิ่มเต็มแดงระเรื่อ มุมปากโค้งในอาการแย้มยิ้มน้อยๆ
ซึ่งลักษณะการแย้มยิ้มชองสาวน้อยในภาพเรียกได้ว่า ยิ้มทั้งปากและตา ทำให้นัยน์ตากลมโตดูอ่อนหวาน ส่องประกายที่น่าดึงดูดใจ ว่ากันว่า รอยยิ้มที่มาจากใจที่มีความสุข คือรอยยิ้มที่สวยที่สุด เพราะถ้าใจยิ้มได้ ปากจะยิ้มตาม แล้วดวงตาก็จะยิ้มไปด้วย ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่ใช่ว่าทุกคนจะมี เพราะการที่จะถ่ายทอด ออกมาทางดวงตาได้นั้น เราจะต้องมีความสุขมาจากข้างในเสียก่อน
ความสุขแบบไหนกันนะ ที่กำลังสะท้อนออกมาจากนัยน์ตาของสาวน้อยคนนี้?
อินทุภามองเลื่อนไปยังบทกลอนที่ใต้ภาพ แปลได้ความว่า…
เกลียวคลื่น .. กระทบฝั่ง .. แล้วเลือนหาย
จากกันไกล .. หัวใจ .. ยังห่วงหา
เขาเขียว .. ทอดแนว .. ร่วมสัญญา
รอเดือนเพ็ญ .. คืนฟ้า .. ทั้งสองดวง
อินทุภาตื่นจากภวังค์ เมื่อได้ยินเสียงคุณทวดพูดต่อ
“ท่านทวด ท่านชื่อเยว่ฮวา แปลว่าพระจันทร์ทรงกลด คำแปลเหมือนกับชื่อของหลาน รูปร่างหน้าตาตั้งแต่หัวจรดเท้าก็เหมือนกันราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน”
“ก่อนท่านทวดเยว่ฮวาจะสิ้นลม ได้ฝากแหวนหยกกับภาพนี้ไว้ให้ย่าเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี ท่านว่าเป็นของชายที่ท่านรักสุดหัวใจ ฝากไว้ให้กับเจ้าของภาพนี้”
เจ้าของภาพ?
"คนในภาพไม่ใช่ท่านทวดเย่วฮวาหรือคะ?"
เป็นฝาแฝดของท่านทวดหรือยังไงนะ? หมอนี่มันชักจะยังไงกันแน่?
“ท่านว่า ท่านรักชายคนนี้มาก รักมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาว แต่เขารักผู้หญิงอีกคนที่เหมือนกับท่านแต่ไม่ใช่ท่าน”
“แล้วเขาก็ยังฝากของแทนใจไว้ให้ท่านทวดเยว่ฮวาเก็บรักษา เพื่อส่งต่อให้ผู้หญิงคนนั้นหรือคะ?” อินทุภายกมือกุมที่คออย่างเผลอๆ รู้สึกสะเทือนใจ
“หัวจิตหัวใจทำด้วยอะไรกันนี่! ทำไมถึงได้เย็นชาอย่างนี้ คิดถึงผู้หญิงอีกคนแล้วยังทำร้ายจิตใจผู้หญิงอีกคนได้ลงคอ!!”
อินทุภารู้สงสารท่านทวดเยว่ฮวาจับใจ ถ้ามีผู้ชายคนไหนมาทำแบบนี้กับเธอ มีหวังต้องแหลกกันไปข้างหนึ่ง! เธอกำมือแน่น กระแทกหมัดไปที่พื้นเก้าอี้หวายที่นั่งอยู่เต็มแรง!
อย่าให้เจอนะ! คนเลวๆ แบบนี้!
“แต่เอ๊ะ! ทำไมคุณทวดถึงคิดว่าเราคือเจ้าของแหวนล่ะ?” เธอคิดเป็นคำพูดออกมา
อินทุภาอยากเขกตัวเองที่เพิ่งจะมาสะกิดใจเอาตอนนี้ คุณทวดคงจะเข้านอนแล้ว เลยต้องคาใจข้ามคืนกันไปอีก
ทันใดนั้นก็มีเสียงขลุ่ยแว่วลอยมาตามลมเบาๆ ทำให้อินทุภาตื่นจากภวังค์ความคิด ถึงแม้เสียงจะเบาแต่แฝงไปด้วยความเว้าวอนอ่อนหวาน ฟังดูเหงาๆ ปนเศร้าเล็กน้อย เหมือนกำลังโหยหาความรักที่อยู่ไกลแสนไกล หรืออาจจะเป็นความรักที่ไม่มีวันหวนกลับมา
เธอหลับตาลง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้หวายที่นั่งอยู่ ปล่อยใจให้ซึมซับเสียงขลุ่ย เพื่อสัมผัสให้ถึงแก่นแท้ของอารมณ์ที่ผู้บรรเลงต้องการถ่ายทอดออกมา
เสียงหายใจคล้ายเสียงสะอื้นของตัวเองทำให้อินทุภาได้สติ ลืมตาขึ้น ยกมือลูบที่แก้ม พลันเสียงขลุ่ยนั้นก็เงียบลงไปด้วย
น้ำตาเหรอ!?! เราอินไปด้วยขนาดนี้เชียว?
เธอตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นน้ำใสๆ ที่ปลายนิ้ว พร้อมกับรู้สึกว่ามีคนจ้องมอง จึงหันไปดู แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง ปากอ้าตาค้างตัวแข็งอยู่กับที่ เมื่อหันไปเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า
ผู้ชายร่างสูง ผิวขาวใบหน้าคมเข้มเหมือนรูปสลัก ดวงตาของเขายาวรีดำสนิท ผมปล่อยยาวสยายเต็มหลัง มีปอยผมลุ่ยสองข้างขมับ แต่งชุดฮั่นฝูเสื้อตัวในสีขาวมีลวดลายตรงคอเสื้อเล็กน้อย คลุมด้วยเสื้อตัวนอกสีเทา มัดเอวไว้ด้วยเข็มขัดผ้าสีเทาเข้มหัวเข็มขัดปักลวดลายเป็นสีทอง เนื้อผ้าส่วนที่เป็นเสื้อคลุมเป็นมันวับตรงลายสอดสานในเนื้อผ้า เมื่อกระทบกับแสงส่องประกายระยิบระยับ
เขายืนห่างจากที่เธอนั่งอยู่ไปเพียงเล็กน้อย มือที่กำลังถือขลุ่ยอยู่นั้น ตกค้างลงมาอยู่แค่อก ปากอ้านิดๆ นัยน์ตาตื่นตะลึงจ้องนิ่งมาที่เธอ เขาทำปากพะงาบ หลังจากที่นิ่งไปนาน เหมือนพูดอะไรออกมาสักอย่าง แต่ไม่มีเสียง
ผีเหรอ!?!
อินทุภาลุกพรวดขึ้นเมื่อได้สติ หลังจากที่ตัวแข็งนิ่งขึงอยู่นานหลายนาที แสงขาวๆ ที่ซ้อนตัวเขาวูบวาบไปมานั้น ตอกย้ำความคิดให้หนักแน่นขึ้น
นั่นมันเหมือนวิญญาณชัดๆ!!
เธอไม่หยุดคิดอะไรอีกแล้ว ใส่เกียร์หมาออกวิ่งสุดชีวิต ราวกับเป็นศิษย์เอกหลวงพ่อโกยวัดหน้าตั้งยังไงยังงั้น
อินทุภาหลับหูตารีบวิ่งเพื่อให้ถึงห้องให้เร็วที่สุด เลยชนเข้ากับซุนจ่งซาน ที่เดินเลี้ยวมุมทางเดินที่จะออกไปสวนกลางบ้าน แรงปะทะทำให้อินทุภากระเด็นจนเกือบจะไปกระแทกกับเสาศาลา โชคดีที่ซุนจ่งซานได้สติ กระชากแขนญาติผู้น้องดึงแรงเข้าหาตัว รับร่างโปร่งบางไว้ด้วยสองแขนแล้วหมุนตัวเธอออก หันตัวเองปะทะเสาแทน
“อาอิง! เยว่อิง! เกิดอะไรขึ้น? หนีใครมา?”
ซุนจ่งซานจับไหล่ร่างเล็กไว้ทั้งสองมือ ดันออกเพื่อมองหน้าชัดๆ ด้วยความเป็นห่วง
“พี่ซาน!!..บ้านเรา..บ้านเรามีผี!!..หนูเห็น..วิญญาณ..ที่สวนหลังบ้าน!!” เธอตาโตเบิกกว้าง ละล่ำละลักบอก เพราะกำลังสั่นเทาไปทั้งตัว
“ใจเย็นๆ! ผีอะไร เล่ามาซิ” อะดีนาลีนที่กำลังฉีดแรงของซุนจ่งซานค่อยๆ ลดระดับลง เพราะคิดว่ามีคนร้าย แต่กลับกลายเป็นผี!
“ผีผู้ชาย!!..สวมชุดโบราณ..ถึงจะหล่อแต่ก็เป็นผี!!”
ชายหนุ่มอดที่จะหัวเราะไม่ได้ ขำความคิดของญาติผู้น้อง ที่ขนาดว่ากลัวจนตัวสั่น ก็ยังเห็นความหล่อทะลุมิติ
“โธ่!! พี่ซาน!! เจอผีไม่ใช่เรื่องตลก หนูเห็นกับตาจริงๆ กลัวจนมือเย็นเลยนี่!”
เขาปล่อยมือจากไหล่มาจับมือเล็กเรียวบาง รับรู้ว่าเย็นจริง แต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นผีหรือวิญญาณตามที่บอก
“มานี่! มาคุยกับพี่ก่อน” เขาพูดพลางจูงมือ นำไปที่ห้องรับแขกในตัวบ้าน
“นั่ง! แล้วเล่ามาให้ละเอียด” เขาจับไหล่กดให้นั่ง แล้วเดินไปรินน้ำชามาวางไว้ตรงหน้า
ชายหนุ่มนั่งฟังหญิงสาวเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ก่อนได้ยินเสียงขลุ่ย จนกระทั่งเสียงนั้นหายไป บรรยายรูปลักษณะที่เห็นนั้นด้วย ซึ่งขณะที่เล่านี้อาการสั่นเพราะความตกใจกลัวของหญิงสาว ก็อยู่ในระดับปกติแล้ว
ซุนจ่งซานนั่งกอดอกด้วยแขนข้างเดียวรับน้ำหนักศอกของแขนอีกข้าง นิ้วชี้กับนิ้วโป้งลูบขอบปากไปมา สลับกับขมวดคิ้ว แล้วก็ทำหน้านิ่ง หันมองเธอตรงๆ
“อาอิง เจอเขาแล้วเหรอ?”
“ใครคะ? วิญญาณนั่นน่ะเหรอ เขาคือใคร?”
“หยางหมิงอ๋อง! แม่ทัพหยาง องค์ชายสี่”
“โอ้โฮ! หนูเจอผีเจ้าตัวจริงเสียงจริงหรือนี่!”
อินทุภาห่อปากตาโต ตื่นเต้นที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าเชื้อพระวงค์อย่างใกล้ชิด
หล่อทะลุมิติอีกด้วยสิ!!
“หรือท่านจะเป็นเจ้าที่ ที่ปกปักรักษาบ้านเราคะ?”
โก้ไปเลยแฮะ ที่มีท่านเจ้าที่มีอดีตเป็นถึงคนใหญ่คนโต
“แต่ว่า..จากเจ้าชาย กลายมาเป็นเจ้าที่ แบบนี้จะเรียกว่า ได้ตำแหน่งหรือถูกลดตำแหน่งดีล่ะคะ เป็นเทพเทวดาถือว่าได้ดิบได้ดี แต่ดันมาตกต่ำจากเจ้าชายกลายมาเป็นเจ้าที่นี่สิ!!”
ซุนจ่งซานอดขำไม่ได้ ดีดนิ้วไปที่หน้าผากอินทุภาไม่แรงนัก
“บ๊องไปแล้ว ความกลัวก่อนหน้านี้หายไปไหน?”
“ก็กลัวนะคะ ถ้าเขาเป็นผีร้อยเปอร์เซ็นต์น่ะ” เธอยกมือขึ้นลูบหน้าผากที่โดนดีด “แต่ว่า.. ทำไมเขาต้องตกใจ ตะลึงค้างมองหนูแบบนั้นล่ะ?” เธอยังจำหน้าขาวซีดนั้นได้ติดตา
“พี่ก็เคยเจอเขาสองครั้ง เมื่อตอนเด็กๆ”
“ฮ้าาาา!!” อินทุภาประหลาดใจ ที่ซุนจ่งซานไม่กลัว ทั้งๆ ที่เคยเห็นตั้งสองครั้ง
“เขาไม่ใช่เจ้าที่หรอก จะพูดยังไงดีล่ะ ท่านหมอท่านนั้นได้พูดอะไรบางอย่างช่วงที่พี่หลับๆ ตื่นๆ ตอนที่เจอกันครั้งสุดท้าย”
ซุนจ่งซานมองญาติผู้น้องที่นั่งตัวตรงตาโต ตั้งใจฟังเพราะความอยากรู้เต็มที่ เลยยิ้มออกมานิดหนึ่งแล้วเล่าต่อ
“จับใจความได้ประมาณว่า คนที่มากับท่านหมอในวันนั้น คือหยางหมิงอ๋อง ท่านกำลังตามหา และรอคอยคนรักของท่านที่จากไป และต้นอวี้หลันต้นนั้น คือสถานที่ที่ท่านกับคนรัก ได้เจอกันครั้งแรก และคนรักของท่านชื่อ…”
ซุนจ่งซานจงใจหยุดพูดทิ้งค้างเอาไว้ ตวัดสายตาจับจ้องหน้าญาติผู้น้องนิ่ง ก่อนจะพูดขึ้นช้าๆ ชัดๆ
“เยว่-อิง!”
“หือ? จริงอะ พี่จะเล่นมุกให้หนูขำล่ะสิ ใช่ปะ?”
“จริง-ทุก-คำ!” ซุนจ่งซานพูดเน้นคำ พยักหน้าหนักแน่น
“พี่ซาน!..กำลังจะบอกอะไร? หนูงงไปหมดแล้ว!” อินทุภารำพึงออกมาด้วยความสับสน
“เหมือนกับว่า เขาอยู่อีกมิติหนึ่ง เราอยู่อีกมิติหนึ่ง ต่างก็เป็นมิติปัจจุบันของตัวเอง แต่มันมาเหลื่อมกัน ด้วยเงื่อนไขอะไรสักอย่าง ที่พี่ก็หาคำตอบไม่ได้ แต่จากที่เจอทั้งสองครั้งนั้น ก็ได้สัมผัสถูกเนื้อหนังจริงๆ ทำให้คิดได้ว่า เขาก็เป็นคนมีเลือดมีเนื้อเหมือนกันกับเรา”
“อ๋อ พี่กับคุณทวดก็เลยคิดว่า หนูอาจจะเป็นคนรักที่เขารอคอย เพราะชื่อเหมือนกัน?”
“แล้วเธอคิดว่าเป็นไปไม่ได้เหรอ ทั้งๆ ที่ชื่อกับหน้าเธอ และภาพเหมือนนั่น จะอธิบายว่าอย่างไร?”
“มิติที่เหลื่อมกันเหรอ? แล้วหนูกับเขาไปเจอกันตอนไหนล่ะ? ตั้งแต่จำความได้ หนูก็เพิ่งจะเคยมาเมืองจีนครั้งแรกนี่แหละ” อินทุภาตั้งข้อสังเกต ให้ซุนจ่งซานเห็นชัดๆ ว่าเป็นไปไม่ได้
“พี่ก็อธิบายมากกว่านี้ไม่ได้เหมือนกัน แต่ข้อความสุดท้ายที่ท่านหมอบอกไว้ก็คือ ‘เมื่อพระจันทร์ดวงเดียวเด่นเต็มดวง แสงแห่งจันทร์โชติช่วงอีกดวงจะกลับมา’ ...”
อินทุภาชะงัก เพราะเป็นข้อความเดียวกันกับที่คุณทวดพูดไว้
แต่ความหมายของข้อความนั่น.. คืออะไร?
…………………………….
อินทุภา ตื่นแต่เช้าเตรียมตัวจะเข้าเมืองกับซุนจ่งซานตามที่นัดกันไว้ แต่ตั้งใจจะแวะไปหาคุณทวดก่อน ถามเรื่องที่คาใจเมื่อวาน ตอนนี้ยังมีเวลาเหลือกว่าจะถึงเวลานัดยังไม่ทันที่จะยกมือเคาะประตู ป้าลี่ก็เดินถือชามล้างหน้ายืนอยู่ข้างหลัง
“ป้า ทำไมวันนี้คุณทวดตื่นช้านักล่ะ ปกติจะตื่นตั้งแต่ตีห้า ไม่ใช่หรือคะ?"
“ค่ะ คุณอิง ป้าก็มาเคาะหลายรอบแล้ว คุณท่านก็ไม่ขานรับเลย กำลังคิดว่าถ้าหนนี้เคาะแล้วไม่มีเสียงตอบ จะไขกุญแจเข้าไปละ” ป้าลี่ทำหน้ากระวนกระวายเหมือนจะร้องไห้ ดูเป็นห่วงคุณทวดเต็มที่
“ไขเถอะป้า ส่งอ่างล้างหน้ามา หนูถือเอง”
ป้าลี่ ไม่รอให้บอกซ้ำสอง กุลีกุจอส่งของในมือให้อินทุภา แล้วรีบล้วงกุญแจไขประตูอย่างว่องไว
พอประตูเปิด ป้าลี่ก็ถลาไปยืนหลังคุ้มอยู่ที่ม่านหน้าเตียง ส่งเสียงเบาๆ ปลุกคุณทวด เธอเลยเดินถืออ่างล้างหน้าไปวางไว้ข้างหน้าต่าง แล้วเดินมาช่วยปลุกอีกคน เรียกอยู่สองสามครั้ง ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ ไม่ได้ยินแม้เสียงหายใจขณะนอนหลับ ป้าลี่เริ่มใจไม่ดี จับแขนอินทุภาบีบแน่นท่าทางกระวนกระวาย
อินทุภา ตัดสินใจค่อยๆ แหวกผ้าม่านออก เธอเรียกแล้วจับแขนเขย่าตัวเบาๆ คุณทวดก็ยังนอนนิ่งไม่ไหวติงเหมือนเดิม อินทุภาบอกให้ป้าลี่รีบไปตามซุนจ่งซานมาดูอาการ ป้าลี่ก็เร็วใจหาย ไปได้แค่ครู่เดียวก็เห็นชายหนุ่มเดินกึ่งวิ่งเข้ามาในห้องแล้ว
“ย่า! ย่าครับ! ย่า!” ซุนจ่งซานจับแขนเขย่าเล็กน้อย แล้วเอานิ้วชี้อังไว้ที่จมูก แล้วก็มาจับข้อมือหาชีพจร
“ย่าไปเสียแล้ว!”
ซุนจ่งซานหันมาพูด ก้มหน้าคอตกเหมือนจะร้องไห้ อินทุภาใจสั่นน้ำตาไหล แต่ก็ยังไม่เท่ากับป้าลี่ที่ปล่อยโฮร้องลั่นห้อง อย่างไม่อายใคร เข้าไปกอดขาคุณทวด ร้องเรียกชื่อสะอึกสะอื้นจนตัวโยน
………………………….
พิธีศพของคุณทวด ลูกหลานมากันเยอะมาก และมากกว่าวันที่ฉลองวันเกิดคุณทวดเสียอีก ซุนจ่งซาน คุณพ่อ และอินทุภา แทบจะไม่ต้องทำอะไร เขาอธิบายว่า การจัดพิธีศพทุกคนจะต้องมีความละเอียดและจัดให้สมบูรณ์แบบให้มากที่สุด เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและแสดงความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้นทุกคนจึงเสนอตัวแย่งกันทำหน้าที่ เพื่อยืนยันถึงความกตัญญูที่มีต่อผู้ตาย อันเป็นที่รักกันจนถึงที่สุด และลูกหลานทุกคน จะต้องไว้ทุกข์แต่งชุดขาว กินเจเป็นเวลาสี่สิบเก้าวัน ถึงสามปี
อินทุภาตามเข้าเมืองมาด้วย เพื่อช่วยถือของ ที่ต้องใช้ในพิธี ซุนจ่งซานขอแวะดูร้าน อินทุภาเลยแยกออกมา หาซื้อของในรายการที่จดไว้ให้ก่อน แต่ระหว่างที่กำลังเดินหาของอยู่นั้น หางตาแว่บเห็นเหมือนจะเจอคนรู้จักเดินผ่านไป จึงหันตัวไปมองข้างหลังตามความเคยชิน แล้วก็ต้องค้างนิ่งอยู่แบบนั้น เช่นเดียวกันกับที่อีกฝ่าย หันมาทั้งตัว และมองมาที่เธอเช่นกัน
ถึงแม้ภาพที่เห็นจะขาดหายเป็นช่วงๆ ราวกับสัญญาณภาพไม่เสถียร แต่ก็ยังเห็นใบหน้าคมเข้ม ยืนนิ่งขึงไม่ไหวติง ราวกับว่าถ้าขยับสีหน้า หรือขยับตัวแม้เพียงนิด ภาพตรงหน้าเขาทั้งหมด จะเลือนหายไปในอากาศ
ผ่านไปชั่วครู่ ต่างคนต่างยังตาสบตานิ่งอยู่ เขาเม้มปากจนเป็นเส้นตรง ขยับตัวจะเดินมาหา เสียงเรียกของซุนจ่งซานทำให้อินทุภาตื่นจากภวังค์ หันไปตามเสียงโดยอัตโนมัติ แล้วก็รีบหันกลับมาดูทิศทางเดิมอีกครั้ง แต่ทว่าภาพนั้นได้หายไปแล้ว
อุแม่เจ้า นี่มันกลางวันแสกๆ!!
“อาอิง!! เป็นอะไร ทำไมหน้าซีด!!”
ซุนจ่งซานเข้าถึงตัว เพราะอินทุภายืนนิ่ง ไม่ไหวติง
“พี่ซาน!! หนูเห็นเขาอีกแล้ว ผู้ชายคนนั้น!"
ซุนจ่งซานมองไปทิศเดียวกันกับที่อินทุภาหันหน้าไป
“งั้นก็อาจจะเป็นข้อพิสูจน์ได้แล้วว่า เขาไม่ใช่วิญญาณจริงๆ แต่เงื่อนไขของมิติที่เหลื่อมกันนี้มันคืออะไร?” ซุนจ่งซานตั้งข้อสงสัย พยายามคิดหาเหตุผล
เวลานี้ยังไม่ดึกมากนัก อินทุภาเดินหลีกญาติๆ ที่กำลังนั่งล้อมวงดื่มเหล้ากันอยู่ ออกมาทางสวนหลังบ้าน เธออดขำไม่ได้ เมื่อคิดว่าพวกเขาคุยกันรู้เรื่องได้อย่างไร ต่างคนต่างพูด ต่างคนต่างเล่าเรื่อง จนแทบจะจับใจความไม่ได้ คงเพราะไม่ได้เจอหน้ากันมานาน ทำให้เสียงตะโกนคุย ดังโหวกเหวกกระหึ่มไปทั่วทั้งห้องโถงอินทุภามีปัญหาด้านการนอน ต้องอยู่ในที่เงียบสงบจริงๆ ถึงจะหลับได้ หากมีเสียงอื้ออึงแบบนี้ตลอดทั้งคืน คงหลับตาไม่ลงแน่ๆ เธอกินยาแก้ปวดหัวแล้วเดินลัดเลาะออกมา กะว่าจะนั่งพักสายตารับลมใต้ต้นอวี้หลันนี้สักครู่ รอให้ยาออกฤทธิ์ก่อน แล้วค่อยกลับไปลองพยายามนอนใหม่อีกครั้งแกร่บ! แกร่บ! แกร่บ!เสียงฝีเท้าย่ำลงบนใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ ทำลายความเงียบสงบที่ปกคลุมอยู่ อินทุภาลืมตาขึ้นมอง ก่อนจะเห็นชายวัยกลางคนผู้เป็นญาติห่างๆ ซึ่งหากนับลำดับเครือญาติกันดีๆ แล้ว เขากลับมีศักดิ์เป็นรุ่นหลาน แต่ดันมีอายุมากกว่าเธอเกือบสองรอบ พอเดินเข้ามาใกล้ ก็นั่งลงข้างตัวเธออย่างเงียบเชียบ“ทำไมมานั่งคนเดียวล่ะ?” ขณะที่เขาเปิดปากพูด กลิ่นเหล้าก็ลอยคละคลุ้งวนเวียนอยู่ในอากาศรอบๆ ตัว อินทุภาขยับจะลุก แต่เขากลับคว้าหมับเข้าที่
“เอ่อ.. อะแฮ่ม.. คือว่า..เรา..มานั่งคุยกันดีกว่าไหมคะ ถ้าคุณยังไม่ได้หายไปไหน” เธอพยายามทำเสียงให้ปกติ แต่ก็ยังดูอึดอัดขัดเขินอินทุภาหันตัวเดินไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ไผ่ยาวแบบมีพนักพิงใต้ต้นอวี้หลัน โดยเลือกนั่งชิดติดมุมด้านหนึ่ง สักพักเขาเดินมานั่งข้างๆ ห่างกันแค่ฝ่ามือเดียว เห็นเขายังนั่งนิ่งเธอก็เลยชวยคุย เพื่อทำลายบรรยากาศที่ชวนอึดอัด“ฉันเป็นคนไทย มีญาติอยู่ที่นี่ แล้วคุณล่ะ? ชื่ออะไร? มาจากที่ไหน? เล่าเรื่องของคุณให้ฉันฟังบ้างสิคะ” อินทุภาเริ่มประเด็นที่อยากรู้ชายหนุ่มมองหน้าอินทุภานิดหนึ่งแล้วเอนตัวพิงพนัก ไถลตัวลงเล็กน้อย ขายาวทอดไปข้างหน้า เพื่อให้อยู่ในท่าที่สบายขึ้น ต้นขาของเขาแข็งแรง แต่ละข้างใหญ่กว่าเอวของเธออีกนัยน์ตาของเขายาวรีและดำสนิท เครื่องหน้าแต่ละชิ้นคมสันเหมือนรูปสลัก มือของเขาได้รูปสวย เรียวและแข็งแรง เสื้อผ้าที่สวมใส่ตัดเย็บอย่างประณีตทีเดียว สังเกตจากเนื้อผ้าค่อนข้างจะโบราณไปหน่อย แต่ก็หรูหราเกินฐานะคนธรรมดาทั่วไปจะสวมใส่ได้ เธอลอบสำรวจเขาเงียบๆ ระหว่างที่อยู่ในสภาวะเดดแอร์ด้วยกันอย่างนี้ อะไรอย่างหนึ่งบอกอินทุภาว่า ผู้ชายคนนี้เป็นคนจริง เมื่อเขาต้องการอะไร เข
“พี่ซาน!” อินทุภาเคาะประตูเรียก“เข้ามาเลย ไม่ได้ล็อก” ยังไม่ทันจะแตะลูกบิด ซุนจ่งซานก็เปิดประตูออกมาเสียเอง“โอ้โฮ ทำไรคะนี่!?!” อินทุภาชะโงกหน้ามาดูในห้องจากช่องประตู ซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือที่กางเอาไว้บนโต๊ะ ส่วนข้างๆ ก็มีกระจาดสมุนไพรวางเรียงไว้เป็นแถว“กำลังทดลองสูตรปรุงยาสมุนไพร ตามตำราโบราณน่ะ คิดค้นโดยท่านหมอซุนผู้นั้น มีทั้งยารักษา และยาพิษ” จงซานดึงแว่นขึ้นไปไว้บนศีรษะ มือก็เลือกหยิบสมุนไพรบางชนิดใส่กล่องเล็ก“พี่ซานสอนหนูบ้างสิคะ อยากรู้ทั้งหมดเลยพวกยารักษา ยาพิษอะไรพวกนั้นน่ะ” อินทุภายิ้มประจบ“ทำไมถึงอยากรู้ล่ะ?” จงซานถามยิ้มๆ โดยไม่มองหน้า“ก็หนูอยากเก่งแบบพี่บ้าง อีกอย่างศึกษาเอาไว้เป็นความรู้ดูแลตัวเองและคนรอบข้างได้ โดยไม่ต้องพึ่งหมอ แล้วก็อยากรู้ว่ามีวิธีการรักษาพิษยังไง? อะไรประมาณนี้ค่ะ” จงซานเหลือบตาขึ้นมอง แล้วอมยิ้ม ก่อนจะหลุบตาทำงานต่อ“เยอะ! จะจำหมดไหมล่ะ”“สบายมาก ถึงหนูจะไม่ฉลาดทำอะไรก็ซุ่มซ่าม แต่ความจำหนูเริ่ด! ” อินทุภาตอบแบบหน้าเชิด ยืดอกตบเบาๆ ภูมิใจในนิสัยถาวรของตัวเองสุดๆ ทำให้ซุนจ่งซานหัวเราะเสียงดัง ตาหยีเป็นเส้นเดียว“มันใช่เรื่องเดียวกันไหมยัยตัวเล็
“ท่านเยว่! .. ท่านเยว่!” อินทุภาเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียก เห็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดปี โยนตะกร้าสานในมือทิ้ง ฉีกยิ้มกว้างวิ่งตรงมาหาเธอด้วยความดีใจ “ท่านเยว่! .. ท่านเยว่! จริงๆ ด้วย จำข้าได้ไหมขอรับ? ข้าเอง..เสี่ยวเถา!” อินทุภายิ้มแหยๆ หันไปมองหยางหมิงอวี้เพื่อขอความช่วยเหลือ “เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย ทำให้ความทรงจำหายไป คงอีกสักพักกว่าจะกลับมา” หยางหมิงอวี้กล่าวแทนด้วยน้ำเสียงขบขัน “อย่างนี้นี่เอง! อยู่ๆ ท่านเยว่ก็หายตัวไป พวกเราทุกคนคิดถึงท่านมาก โดยเฉพาะฝ่าบาท ตั้งแต่ท่านไม่อยู่ ฝ่าบาทดูหน้าไม่เป็นหน้าเลยขอรับ” “อ้อ! งั้นที่เจ้าเรียกฝ่าบาท! ฝ่าบาท! เพราะเห็นว่าหน้าข้ามันคล้ายกันใช่หรือไม่?” หยางหมิงอวี้แกล้งถาม อินทุภาปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง แล้วกลั้นขำเอาไว้“ธ่อ! กระหม่อมไม่ได้หมายความอย่างนั้นเสียหน่อย!” เสี่ยวเถาทำหน้าเสีย ยิ้มแหยๆ “เสี่ยวเถาเป็นนักเรียนคนแรกของโรงเรียน ที่เจ้าก่อตั้งขึ้นเมื่อสิบปีก่อน” หยางหมิงอวี้อธิบาย “อ้าวเหรอ..งั้นเรามาทำความรู้จักกันใหม่แล้วกันนะ สวัสดีอย่างเป็นทางการนะจ๊ะ..เสี่ยวเถา ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ” อินทุภายิ้ม แล้วยื่นมือ
เสียงหัวเราะดังก้องในห้อง หยางหมิงอวี้ยืนอยู่หน้าประตู มุมปากเขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อย เมื่อนึกถึงภาพสาวน้อยที่ตัวสั่นเทาเมื่อคืน แตกต่างจากตอนนี้ ที่สามารถหัวเราะเสียงใสราวกับไร้ความกังวล เขาชอบที่เธอมีความเป็นตัวของตัวเอง รู้ว่าต้องการอะไรและไม่ต้องการอะไร กล้าพูดกล้าทำ ไม่มีการปิดบังเสแสร้ง ซึ่งแตกต่างจากคนในยุคของเขาเป็นอย่างมาก “อรุณสวัสดิ์เพคะ” อินทุภาทักทายเมื่อเห็นหยางหมิงอวี้ยืนอยู่หน้าประตูห้อง จับกระโปรงถอนสายบัวอย่างนุ่มนวล สาวใช้ยิ้มแล้วรีบถอยออกไป หยางหมิงอวี้เดินเข้าใกล้ พลางยิ้มกับท่าทางขี้เล่นของเธอ “ชุดนี้พอดีไหม? ดูเหมือนจะคับไปหน่อยตรงนี้หรือเปล่า?” เขาใช้ข้อนิ้วไล้เบาๆ ไปตามแนวโค้งละมุนของอกสาว จากเนินเนื้อช่วงบน พาดผ่านยอดอกลงไปฐานล่าง“ฝ่าบาท!!”อินทุภาอุทาน หน้าแดงก่ำ จับมือซุกซนดึงออกไม่ให้เลื่อนต่อตายล่ะ! ทำไมแค่สัมผัสเบาๆ ถึงกับทำให้ขนลุกไปทั้งตัว!!หยางหมิงอวี้ถอนใจ พลิกข้อมือตัวเองจับมือบางจูงออกจากห้อง เขาเกือบลืมตัวอีกแล้วพับผ่าสิ! เวลาอยู่ใกล้กันทีไร นึกอะไรอื่นไม่ออกเลย จะอดทนได้นานแค่ไหนก็ยังไม่รู้!!“เราจะไปไหนกันเพคะ?” เธอถามหลังจากปล่อยให้เขา
อินทุภาลืมตาตื่น ไม่แน่ใจว่าตื่นเพราะอะไร ฟ้าก็ยังไม่สว่าง เธอลืมตาแบบสะลึมสะลือ พยายามโฟกัสให้ชัดขึ้น พลันเห็นคนที่หลับอยู่ข้างๆ ก็หน้าร้อนวาบ เพราะนอนหันหน้าเข้าหากันกระชั้นชิดมากเธอตกใจขยับตัวถอยออกห่าง แล้วหันไปมองคนที่ยังหลับอยู่อีกครั้ง ขนตาของเขาตกลงมาทาบผิวแก้ม สั้นแต่ดกหนา เวลาหลับอย่างนี้เครื่องหน้าเขาดูละมุน หน้าอ่อนคล้ายๆ เด็กน้อยหยางหมิงอวี้ขยับนอนหงาย ตัวเลยออกไปนอกผ้าห่ม เพราะตอนที่อินทุภาถอยหลังออกห่าง ผ้าห่มเลยรั้งตามมาด้วย เธอเห็นเขายังหลับอยู่ เลยมองลงไปเรื่อยๆ ตามประสาคนอยากรู้ ซึ่งไม่เคยคุ้นกับสรีระของผู้ชายเสื้อตัวในของเขารัดกระชับตัว ทำให้เห็นลอนกล้ามของอกกว้างและช่วงแขนที่มีกล้ามนูนสวย ถ้าแต่งตัวปกติจะดูสูงเพรียว ไม่เห็นชัดเหมือนตอนนี้อินทุภาคิดว่า เขามีมาดพระเอกอยู่ในตัว ถ้าเขาไปอยู่ในโลกปัจจุบันของเธอ คงเป็นพระเอกซีรี่ย์ได้สบายๆหุ่นพระเอกแท้ๆ ไม่มีผู้ร้ายปนสักนิดเธอมองระเรื่อยไปตามแผงอก เอว และหน้าท้องตึงเรียบ ไหนๆ มองลงมาถึงเพียงนี้แล้ว เธอก็มองเลยลงไปอีกหน่อย จับตานิ่งอยู่เป็นครู่ บอกตัวเองว่า ตอนนี้ดูไม่น่าตกใจเหมือนตอนที่กอดรัดกระชับชิดตอนนั้น ซึ่งน
“มากันแล้วๆ ขอต้อนรับท่านอ๋องด้วยความยินดีพ่ะย่ะค่ะ”ชายวัยประมาณหกสิบปี มีหนวดเรียวเล็กบนริมฝีปาก ไว้เคราเล็กแหลมที่ปลายคาง แต่งกายภูมิฐาน ยืนรอต้อนรับ มีชายฉกรรจ์ประมาณเจ็ดถึงแปดคน พกดาบไว้ที่เอว ยืนเรียงสองแถวอยู่ด้านหลัง“อิงอิงนี่คือท่านหงส์จิ่ว หัวหน้าหมู่บ้าน เคยเป็นครูสอนหนังสือมาก่อนจะมาอยู่ที่นี่ .. ท่านหงส์ นี่เยว่อิง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องประดับและอัญมณี”“คารวะท่านหงส์” อินทุภากำมือคำนับ น้อมศีรษะให้ความเคารพผู้สูงวัยกว่า“ไม่ต้องเกรงใจๆ .. เชิญเสด็จท่านอ๋อง พวกเราเตรียมงานเลี้ยงเล็กๆ รอต้อนรับด้วยกระหม่อม”หยางหมิงอวี้และอินทุภาเดินตามหัวหน้าหมู่บ้าน ไปยังศาลาทรงกลมขนาดใหญ่ ซึ่งจัดเตรียมไว้อย่างอลังการณ์เพื่อต้อนรับโดยเฉพาะอินทุภากวาดตามองสถานที่ไปโดยรอบ มีโต๊ะเตี้ยและเบาะนั่งกับพื้น เป็นแนวสามชั้นวางเรียงตามระยะของพื้นที่ทรงกลม แต่ละโต๊ะมีสาวงามผิวขาวผ่อง อยู่ในชุดเกาะอกปาดครึ่งเต้า คลุมไหล่ด้วยผ้าซีทรูเนื้อบาง ตัวกระโปรงผ่าข้างจนถึงขาอ่อน บางคนเดินเห็นเรียวขาขาวรำไรอย่างน่าดู บางคนนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะคอยบริการรินเหล้าและตักอาหารอื้อหือ..อลังการงานสร้าง!! “เชิญเสด
เสียงกุกกักหน้าประตู ทำให้หยางหมิงอวี้ตัวแข็งเกร็ง หมุนตัวลงจากเตียง คว้าผ้าห่มมาคลุมร่างหญิงสาวไว้อินทุภาซึ่งนอนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก็รีบก้มลงหยิบมีดสั้นที่ซ่อนไว้เตรียมพร้อมในทันที หยางหมิงอวี้ยกนิ้วชี้แนบที่ปากของเขา ทำสัญญาณให้เธออยู่นิ่งๆ ห้ามส่งเสียงใดๆ“ใครอยู่ข้างนอก!?” เขาถามด้วยเสียงแข็งกร้าว พร้อมตั้งท่าตั้งรับสถานการณ์“เอ่อ... หม่อมฉันเองเพคะ เสียว... เสียวหมี่” เสียงจากด้านนอกสั่นเครือเล็กน้อย ราวกับทั้งกลัวและเกรงใจหยางหมิงอวี้เหลือบมองอินทุภาแล้วเลิกคิ้ว เธอพยักหน้าให้เขาเปิดประตู เขารอให้อินทุภาใส่เสื้อให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงเดินไปเปิด“เอ่อ... หม่อมฉันเห็นว่าท่านอ๋องไม่ได้เสด็จไปที่ห้อง ก็เลย... ลองมาดูที่นี่ เผื่อว่าท่านเยว่จะเป็นอะไรไหม” เสียงของเสียวมี่ตะกุกตะกัก ราวกับไม่ใช่ความตั้งใจที่อยากทำเช่นนี้“เข้ามาก่อนเถอะ” หยางหมิงอวี้ถอยห่างจากประตู พร้อมเปิดทางให้เธอเข้ามาเสียวมี่ทำตาโตเมื่อก้าวเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นคนเมาเมื่อตอนหัวค่ำ กำลังนั่งพิงพนักหัวเตียงอย่างสงบ ไม่มีอาการเมามาย เหมือนตอนที่เธอมาส่งก่อนหน้านี้เลยสักนิด“ไฮ! เบบี้เกิร์ล เจอกันอีกแล้วนะ!” อินทุภา
“ท่านอ๋อง! ท่านเยว่! มีสาส์นด่วนจากวังหลวงขอรับ!” อินทุภาหยิบมาให้หยางหมิงอวี้ แล้วพยักหน้าให้ทหารส่งสาส์นออกไปได้“ฝ่าบาทมีคำสั่ง ให้นำทัพฉิวซีหนึ่งแสน ไปช่วยแคว้นฉินต้านกองทัพเชี่ย!” หยางหมิงอวี้อ่านสาร์นให้ฟัง“โอ้ว มาย!! อุบายตีใกล้แสร้งไกลสินะ!” มุมปากอินทุภาเชิดเล็กน้อย‘กลยุทธ์ตีใกล้แสร้งไกล’ คือ การทำให้ศัตรูเข้าใจผิดว่าเป้าหมายของเราคือที่ไกล แต่แท้จริงแล้วเป้าหมายที่แท้จริงคือมุ่งโจมตีจุดที่อยู่ใกล้ โดยใช้กลลวงหรือเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อให้ศัตรูตัดสินใจผิดพลาด และเปิดช่องโหว่ให้เราจู่โจมได้สำเร็จ“ใช่! ทำลวงประชิดแคว้นซ่ง แต่ตั้งใจโจมตีแคว้นฉิน! ด้วยทหารหนึ่งแสนห้าหมื่น แต่ดูจากข้อมูลล่าสุด แคว้นเชี่ยมีทหารประมาณสี่แสนกว่า แต่แบ่งกำลังไปเพียงแสนห้า เกรงว่าจะมีแผนซ้อนแผนแน่แล้ว!”"เหมือนกับกลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าวใช่ไหมเพคะ?"“คิดเหมือนกัน! เขาวางแผนยิงธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวสองตัว ลวงว่าจะตีแคว้นฉินแต่จริงๆ แล้วจะอ้อมหลังบุกต้าฉิวซี และเพื่อให้ฉิวซีส่งกำลังไปช่วย ซึ่งแน่นอนว่าข้าต้องเป็นผู้บัญชาการทัพ หยางซื่อก็จะร้างผู้นำ พอเหมาะพอดีสำหรับทัพอีกสองแสนที่เหลือจะบุกโจมตี!”‘ล้อมเ
ท่ามกลางม่านอวกาศอันมืดมิด ดวงดาวสุกสกาวแข่งกันส่องแสง สลับกับความว่างเปล่าของจักรวาล เบื้องหลังเสียงสะท้อนของกาลเวลา แสงสีดำหม่นค่อยๆ คืบคลานกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ราชาดาวนิลได้ลงมือแล้วตูมมมมมม!!!เสียงระเบิดดังสนั่นจากท้ายยาน คลื่นพลังมหาศาลซัดกระแทกยาน จนสะเทือนรุนแรง แทบจะฉีกทุกสิ่งออกเป็นเสี่ยงๆ ควันและเปลวเพลิงพวยพุ่งผ่านกระจกห้องควบคุม ภายในห้อง ทุกอย่างอยู่ในสภาพเละเทะ ไฟลุกไหม้ตามแผงควบคุม ตัวเลขสีแดงกะพริบแจ้งเตือนระดับพลังงานที่ลดฮวบ “เรากำลังจะตกแล้ว!” เอกิลตะโกนลั่น พยายามกดแป้นควบคุม เพื่อรักษาสมดุลของยาน แต่มันไม่ตอบสนอง “ถ้ายานชนพื้นโลกในสภาพนี้ พวกเราคงไม่มีใครรอดแน่ๆ!” มูลาหันไปมองลูน่า ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ลูน่ากัดฟันแน่น ขณะเอื้อมมือที่สั่นระริก กดปุ่มปลดล็อกกลไกฉุกเฉิน กริ๊ก!แคปซูลหลบหนีสี่ลูกค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาจากพื้น ม่านพลังสีทองเริ่มก่อตัวรอบแคปซูล เรกิที่แม้จะบาดเจ็บ แต่ก็ยังพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นมา“ลูน่า! อย่าคิดจะทำแบบนี้นะ!” เรกิรู้ดีว่า ลูน่ากำลังตัดสินใจจะทำอะไร “มีคนหนึ่งต้องอยู่คุมยาน” ลูน่ากล่าวเสียงแข็ง “ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกเราต้องตายไปพร้อม
จือซาลืมตาตื่นก็เห็นร่างของบุรุษนอนอยู่เคียงกัน เธอขยับตัวไม่ได้เพราะถูกแขนของเขาพาดทับตัวไว้ หญิงสาวรีบสำรวจตนเอง แล้วก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกที่ยังอยู่ในสภาพเสื้อผ้าปกปิดมิดชิด จึงค่อยๆ ยกแขนเขาขึ้นแล้วขยับตัวออก พยายามดึงชายกระโปรงออกจากร่างของเขา ที่นอนทับอยู่แต่ไม่สำเร็จ เขายังนอนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับอดหลับอดนอนมาหลายวันเอ.. หรือที่หนิวกงกงเล่าจะเป็นเรื่องจริง!หนิวกงกงบอกว่าตั้งแต่ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ ฝ่าบาทก็เป็นโรคนอนไม่หลับ เคยบรรทมนานสุดแค่สองชั่วยามต่อวันเท่านั้นแต่ดูตอนนี้สิ!..นัยน์ตาแววหวานอ่อนโยนลง เธอขยับตัวเล็กน้อย เพื่อให้นอนมองหน้าอีกคนได้ชัดเจนขึ้น พร้อมอมยิ้มบางๆ กับท่าทางการนอนหลับปุ๋ยเหมือนเด็กน้อยของเขา มือเรียวบางลูบกลุ่มผมเด็กน้อยตรงหน้าเบาๆ พลางสงสัยว่าเขานอนคว่ำแบบนี้จะหลับสบายหรือเปล่า"ฝ่าบาท!" หนิวกงกงเรียกตรงหน้าประตูด้านในจือซารีบหันไปมองที่ประตูห้อง ส่งสายตาดุไปให้หนิวกงกง พร้อมทำท่านิ้วชี้ปิดปากเป็นสัญญาณว่าห้ามส่งเสียงดัง หนิวกงกงพยักหน้าว่าเข้าใจ ค่อยๆ ละจากหน้าประตูมาหยุดอยู่ใกล้ที่บรรทม "แม่นางจือซา! ได้เวลาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้ว ไม่ทราบว่าจะปล
อินทุภาก้าวเข้าสู่ห้องคุมขังอย่างสง่างาม ใบหน้าเรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยอำนาจ ชุดสีเงินปักลายนกหลวนเฟิ่งสีน้ำเงินสะท้อนแสงไฟอ่อนๆ คล้ายหงส์ฟีนิกซ์ที่แผ่รัศมีเหนือผู้อื่น สนมเซียวที่นั่งอยู่ภายในมุมมืดเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและแววอริที่ไม่คิดปิดบังอีกต่อไป "มาทำไม? จะมาเยาะเย้ยข้ารึ?" นางแค่นเสียงถามด้วยความชิงชัง อินทุภาเพียงแค่ยิ้มบางเบา "ได้ข่าวว่าท่านตั้งครรภ์" สนมเซียวแค่นหัวเราะ มุมปากยกขึ้นในลักษณะเยาะเย้ย "เรื่องของข้าไม่เกี่ยวกับเจ้า!!" เสียงของนางแหลมขึ้น พยายามใช้ตำแหน่งเหนือกว่ากดอีกฝ่ายให้ต่ำลง แต่ท่วงท่ายืนของอินทุภายังคงสง่างาม มือแตะกันไว้ที่ระดับเอว แผ่นหลังตรงราวกับไม่มีสิ่งใดมากดทับ ดวงตาเรียบนิ่ง รัศมีนางพญาแผ่ซ่านโดยธรรมชาติ "แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับท่านนัก แต่ข้ารับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้มาพูดกับท่าน จึงเห็นว่าลองเจรจากันดีๆ สักครั้งก็คงจะดีกว่า" สนมเซียวกำหมัดแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยความเคียดแค้น "ผู้ชนะย่อมได้ทุกสิ่ง! ตอนนี้เจ้าคงสุขใจมากสินะ? ไม่ต้องมาทำเสแสร้งต่อหน้าข้า! ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะซ้ำเติมให้สาสม!" "นั่นเป็นสิ่ง
"เยว่อิง!..มาแล้วรึ หมิงอวี้เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟัง ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ!” ฮ่องเต้ถอนพระทัย"ความลำบากนี้ เทียบกันไม่ได้เลย กับสิ่งที่ฝ่าบาทออกหน้าเพื่อปกป้องหม่อมฉัน มิหนำซ้ำยังเสียสละองค์เอง เป็นเหยื่อล่อคนที่คิดร้ายต่อบ้านเมือง ทำให้ชาวประชาพ้นภัย พวกเราซึ้งในพระมหากรุณายิ่งนัก ต่อให้ต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องฝ่าบาท หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ""ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา!" หยางหมิงอวี้ประสานมือคำนับ ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนโยน“ข้าอาจไม่ใช่ฮ่องเต้ที่แข็งแกร่ง แต่จะพยายามเป็นฮ่องเต้ที่ดี! เอาล่ะ!..หยางหมิงอ๋อง..หยางเยว่อิงรับราชโองการ!” ฮ่องเต้หยางอี้ยิ้มนิดหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวต่อ "แม่ทัพหยางอารักขาข้า รบอย่างกล้าหาญ ทำให้กองทัพแคว้นฉิวซียิ่งใหญ่ วันนี้เรามีราชโองการแต่งตั้งให้หยางหมิงอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทน พระราชทานป้ายทองเว้นโทษตาย!”ฮ่องเต้หันมองมาทางอินทุภา“หยางเยว่อิง! ปราชเปรื่องกล้าหาญ เป็นนักวางกลยุทธ์ที่เยี่ยมยอด เปี่ยมด้วยเมตตา สนับสนุนหยางหมิงอ๋องให้ได้ชัยชนะ บัดนี้ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นพระชายา และรั้งตำแหน่งเป็นไท่เว่ย (ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดดูแลราชการฝ่ายทหาร เทียบเท่าส
"ก่อนอื่นเราต้องหาอุปกรณ์ทำมาหากินเสียก่อน!" หญิงสาวเชิดยิ้มมุมปากข้างหนึ่งเล็กน้อย ยืนกอดอกเก็กท่าเป็นกูรู อยู่หน้าร้านขายเครื่องดนตรี"กะลา?" ขอทานน้อยสงสัย"เฮ่ย! นั่นมันอุปกรณ์เก็บเงินตะหากเล่า! วันนี้เราจะเป็นขอทานเปิดหมวกกัน ตามข้ามา!!" หญิงสาวกอดคอขอทานน้อย พาเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องดนตรีอย่างมั่นใจ แต่ยังไม่ทันที่เท้าจะเหยียบผ่านธรณีประตู ก็ถูกเถ้าแก่ไล่เสียแล้ว"ไป! ไป! ออกไป! ไปขอทานที่อื่น! ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาเดินเข้าออกได้อย่างสบายใจได้นะ!!""เถ้าแก่! ข้าไม่ได้มาเดินเล่น ข้ามาซื้อของ!""น้ำหน้าอย่างพวกเจ้า! จะมีปัญญาเอาเงินที่ไหนมาซื้อ เก็บไม่กี่อีแปะเอาไว้กินข้าวเถอะ!! ไปๆ! ออกไป!" หน้าตาท่าทางเกรี้ยวกราด ดุดัน แบบไม่มีทีท่าว่าจะประนีประนอมเฮอะ!! ขอทานก็มีต่อมดนตรีนะลุง!!อินทุภาหันหลังเดินออก แต่พอก้าวออกมาได้เพียงสามก้าว สายตาก็ปะทะเข้ากับร้านขลุ่ยแผงลอยฟากตรงข้าม หญิงสาวดีใจวิ่งตรงดิ่งไปทันที แล้วหยิบขลุ่ยขึ้นมาเลือกรูปแบบ เลือกความถนัดมือ และกำลังจะยกขลุ่ยขึ้นแตะขอบปาก เพื่อจะทดสอบเสียง พลันนึกขึ้นได้ จึงหันไปมองลุงพ่อค้าที่มองมายิ้มๆ อย่างใจดี"ท่านลุง!
เสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูดังขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวหันไปมอง แล้วก็เบิกตาโตกว้างอย่างประหลาดใจ เพราะคนที่เดินเข้ามาคือองค์หญิงหยางหราน "หึ! ใครๆ เขาก็ว่าเจ้าฉลาดนักฉลาดหนา แล้วทำไมถึงได้โง่ให้เขาจับมาได้ซะล่ะ!" นางเปิดฉากถากถาง"แคว้นฉินเกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ! ราชเลขาก่อกบฏ ฝ่าบาทเกิดประชวรกะทันหัน ประชาชนถูกสังหาร หม่อมฉันกำลังต่อสู้กับกองโจรที่ดักซุ่มโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส! แล้วก็ถูกเขาพาตัวมาที่นี่!" องค์หญิงหยางหรานชะงัก"แล้วฮ่องเต้เป็นอย่างไรบ้าง?" องค์หญิงถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก เบื้องหลังความหยิ่งพยองเย็นชา คือสายใยของความเป็นพี่น้อง และรักในเกียรติภูมิของชาวแคว้นฉิน"หม่อมฉันไม่ทราบ! จำได้แต่เพียงว่า พอสังหารศัตรูสิ้นหม่อมฉันก็หมดแรง คงเพราะสลบไป จึงได้มาอยู่ที่นี่ แล้วฝ่าบาทมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเพคะ?" "เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องรู้!" เธอถอนใจ นั่งลงปลายเตียง "อีกสามวันเขาจะแต่งงานกับเจ้า ประกาศงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ไปทั่วทั้งแคว้น เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป?""เขาวางยาในอาหารให้หม่อมฉันอ่อนแรง แต่ถึงจะมีแรง หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าจะหนีไปได้อย่างไร ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างแน
"ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง?" หยางหมิงอวี้เอ่ยถามเสียงเครียด ขณะก้าวเข้ามาในห้องบรรทม จือซาเงยหน้าขึ้นจากตำรับยา ก่อนประสานมือคารวะแล้วตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง "พระวรกายของฝ่าบาทอ่อนแออยู่แล้ว เมื่อธาตุเย็นแทรกซึม จึงทำให้ปอดติดเชื้อ ยังนับว่าโชคดีที่สามารถรักษาได้ทันท่วงที ตอนนี้หม่อมฉันกำลังฝังเข็มล้างเลือดในอวัยวะตันทั้งห้า และขจัดพิษออกจากอวัยวะกลวงทั้งหก เพื่อถอนพิษของยาหยินหยางออกมา" "แต่เจ้าก็เคยบอกมิใช่หรือว่า... หากจะถอนพิษของยานี้ ร่างกายฝ่าบาทต้องทนทรมานอย่างแสนสาหัส?" หยางหมิงอวี้ขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งขึ้น จือซาพยักหน้า"เพคะ แต่ขณะนี้ฝ่าบาททรงพระประชวร ไม่ค่อยได้สติ นับเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการรักษา หากไร้สิ่งรบกวน หม่อมฉันน่าจะสามารถล้างพิษได้ถึงเจ็ดหรือแปดส่วน เมื่อพระอาการทุเลา เสวยยาตามตำรับที่หม่อมฉันจัดเตรียมไว้ให้เป็นประจำ พระองค์ก็จะทรงฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ มิหนำซ้ำยังแข็งแรงขึ้นกว่าที่เคยเป็นเสียอีก!" ถ้อยคำของนางมั่นคงฉะฉาน สมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญศาสตร์แห่งการแพทย์โดยแท้"ขอบใจเจ้ามาก""ไม่เป็นไรเพคะ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของหม่อมฉันอยู่แล้ว!""รายงาน!! ท
ขณะที่หยางหมิงอวี้ กำลังปรึกษาแผนการกับแม่ทัพอยู่นั้น ทหารก็เข้ามารายงานว่า มีกลุ่มทหารของฉิวซีมุ่งหน้ามาที่ค่าย เขาจึงรีบออกไปนอกกระโจมทันที เห็นเหลียงอินชงกำลังกระโดดลงจากหลังม้า"เหลียงอินชง! คารวะท่านแม่ทัพ!"หยางหมิงอี้มองอย่างไม่เชื่อตา จับแขนให้เหลียงอินชงที่คุกเข่าทำความเคารพให้ลุกขึ้น แล้วมองอีกคน"หยางเยว่อิง! คารวะท่านแม่ทัพ!" หญิงสาวคุกเข่าคำนับแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มหวาน เขาเข้ามากอดไว้หลวมๆ"พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่! เกิดอะไรขึ้น?" เขาถามอย่างสงสัย"พอพระองค์ออกเดินทาง..เรือนป่าสนก็โดนลอบโจมตี พวกเราได้ข่าวว่าพระองค์ได้รับบาดเจ็บและสูญหาย เลยรวบรวมกำลังพลจะมาช่วย แต่เจอองครักษ์เงาเสียก่อน จึงได้รู้ว่าทั้งหมดเป็นอุบายลวงของฝ่าบาทกับฮ่องเต้มาตั้งแต่ต้น พวกเราจึงตามมาที่นี่พ่ะย่ะค่ะ!" หยางหมิงอวี้พยักหน้าเข้าใจ อินทุภารีบสั่งการเหลียงอินชงทันที"อินชง! ทนเหนื่อยอีกหน่อยเถอะ! ท่านรีบเร่งกลับไปคุ้มครองบ้านตระกูลหวาง ไปรับจือซาด้วย ข้าเชื่อว่าเร็วๆ นี้ เมืองหลวงต้องวุ่นวายแน่ๆ!" อินทุภาวิเคราะห์สถานการณ์"ขอรับ!" เหลียงอินชงรับคำสั่ง แล้วขึ้นม้าควบออกไป"หมอซุนมาเปิดเผยตัวตนกับข้าแล้