ตอนที่ 4
กลับเยี่ยมบ้าน
ในห้องเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนสวี่ห่าวซวนเลิกคิ้ว “ไยต้องไป?”
“เพราะสุภาพชนผู้ยิ่งใหญ่ย่อมรู้จักธรรมเนียมปฏิบัติ”
“แต่งานข้ายุ่งมาก เชิญภรรยากลับเมืองจงเหนียนไปผู้เดียวเถิด”
“งานของแม่ทัพจะยุ่งก็ต่อเมื่อมีสงคราม แต่ตอนนี้แคว้โจวหนานกับเมืองจงเหนียนพึ่งทำพันธะสงบศึก แล้วจะมีอะไรให้ยุ่งนัก”
นางจ้องตาฟาดฟันกับสามีอย่างไม่ลดละ ยื่นหน้าเข้าไปเน้นย้ำเต็มเสียง “พรุ่งนี้ท่านต้องกลับเมืองจงเหนียนกับข้า”
“แล้วถ้าหากข้าไม่ทำเล่า”
ความยียวนของสวี่ห่าวซวนเป็นรองนางเสียเมื่อไร ในใต้หล้านี้เขาอาจมีภาพลักษณ์เป็นแม่ทัพหนุ่มมาดนิ่งแสนเย็นชา แต่ความจริงเนื้อแท้กลับเป็นคนหัวรั้นปากร้ายอย่างที่แสดงให้ลู่เจียวจูเห็น
“ไม่กลับก็ได้” นางยักไหล่ทำไม่แยแส
แต่สิ่งที่จะกล่าวต่อจากนี้ถึงกับทำให้ไฟโทสะในใจอีกฝ่ายโหมลุก
“ท่านไม่กลับ ข้าก็แค่บอกท่านพ่อให้ฉีกสัญญาสงบศึก เท่านี้ชีวิตอันผาสุขของชาวเมืองก็ถือว่าท่านเป็นผู้ทำลายมันเพราะความอยากเอาชนะของท่าน”
“เจ้า! เจ้ากล้าเอาเรื่องนี้มาอ้างแล้วยังโยนความผิดให้ข้า!?”
“ข้าไม่ใช้เป็นแค่ข้ออ้างแน่ รองตรึกตรองดูให้ถี่ถ้วนท่านก็จะรู้ว่าหากเราสองคนทำตัวห่างเหินเหมือนมิใช่สามีภรรยา ชื่อเสียงของข้าจะเสียหายเพียงใด บิดาข้าไม่มีทางยอมแน่ สุดท้ายก็จะนำไปสู่การฉีกสัญญาอยู่ดี”
มันจริงอย่างนางว่า ภรรยาที่พึ่งแต่งเข้าบ้านได้วันเดียวสามีก็หนีมานอนที่ฐานทัพ หนำซ้ำคือตัวนางต้องเป็นฝ่ายมาตามกลับไปเองอีก เช่นนี้จะไม่กลายเป็นขี้ปากชาวเมืองแย่หรือ
“ข้ามีข้อเสนอจะยื่นให้ท่านเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุอันไม่สมควรเกิด คือจากนี้ยามอยู่นอกบ้านให้ท่านแสดงเป็นสามีที่ดี มีงานอะไรเทศกาลไหนท่านต้องพาข้าไป แน่นอนว่าข้าเองก็จะทำตัวเป็นภรรยาที่ดี ไม่มีปากมีเสียงไม่เถียงท่านสักคำ ว่าตามไหนตามนั้น”
ข้อเสนอของนาง...ฟังแล้วมันแปลกๆอย่างไรไม่ทราบ
“แล้วข้าจะได้อะไรจากการเล่นละครปาหี่ต่อหน้าผู้คน”
“ท่านย่อมได้ภรรยาที่เชื่อฟังไว้ใช้สอยในยามจำเป็น”
ฟังแล้วก็ยิ่งดูทะแม่งๆหนักเข้าไปอีก สวี่ห่าวซวนใช่คิดตามไม่ทันเสียเมื่อไร เขารู้ว่าถึงยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นนางจะแสดงเป็นศรีภรรยาไม่ว่าไม่เถียงเขา แต่ฝ่ายเขาเองก็จะต้องปฏิบัติต่อนางอย่างสุภาพ มิใช่จะแก้แค้นเอาคืนหรือด่าทออย่างไม่ไว้หน้าได้ ไม่อย่างนั้นฝ่ายที่จะเสียชื่อเสียงก็คือตัวเขาเองนั่นแหละ
“ข้าแลไม่เห็นผลประโยชน์จากเรื่องนี้เลย”
“ความเห็นแก่ตัวมันบังตาท่านไปหมดแล้วกระมัง ผลประโยชน์ที่เราต่างได้ร่วมกันก็คือการคงไว้ซึ่งสัญญาสงบศึกอย่างไรเล่า”
แล้วดูนางด่าข้า เช่นนี้หรือคือวิธีการขอร้องคน...
สวี่ห่าวซวนตวัดดวงตามีประกายคมกล้าจดจ้อง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าสตรีผู้นี้ช่างมีนิสัยที่ทำให้ใบหน้างดงามอ่อนหวานนี้ดูเสียของซะจริง
“ข้ายอมตกลงก็ได้ แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่ง”
“เชิญสามีว่ามาตามสบาย”
“เจ้าว่าการแสดงนี้ต้องทำต่อหน้าผู้อื่น เช่นนั้นแม้แต่ยามที่มีบ่าวในเรือนอยู่ เจ้าก็ห้ามมีปากเสียงกับข้า เชื่อฟังข้าทุกคำ”
ว่าให้ง่ายก็คือ จะมีแค่เวลาเข้าห้องนอนร่วมเตียงเดียวกันเท่านั้นที่นางจะเป็นตัวของตัวเองได้
ว่าพลางมุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ..ขอดูพลังความอดทนของสตรีผู้นี้หน่อยเถิด
ลู่เจียวจูรู้ว่าเขาอยากให้นางอกแตกตายไปข้าง แต่นั่นไม่ได้เหนือความคาดหมายของนางสักเท่าใด และตั้งแต่ก่อนแต่งงานก็เตรียมใจพร้อมจะมาสู้...ไม่ๆๆ ต้องกล่าวว่าเตรียมใจพร้อมจะมาโดนโขกสับอยู่แล้ว
“เรื่องนี้ข้าไม่แลเห็นว่าเป็นปัญหา”
“เช่นนั้นก็เป็นอันตกลง”
พวกเขาลงนามในสัญญาปากเปล่า เป็นอันว่าการเจรจาจบสิ้น ค่ำนั้นสวี่ห่าวซวนยอมกลับไปนอนที่จวนแต่โดยดี และเช้าวันต่อมาก็เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวตามธรรมเนียมด้วยกัน
ซึ่ง..ข้าก็ไม่คิดว่ามันจะน่าอึดอัดถึงเพียงนี้
สวี่ห่าวซวนเป็นบุรุษ และเมื่อเป็นบุรุษย่อมรู้จักฉวยโอกาส เขาแสร้งทำเป็นว่ารักใคร่นางนักหนาได้อย่างแนบเนียนด้วยการโอบไหล่ภรรยาตั้งแต่ตอนลงจากรถม้าไปจนกระทั่งพ่อตาเดินมาต้อนรับ
“คารวะท่านเจ้าเมืองลู่”
บิดาของลู่เจียวจูนามว่าลู่จุนเฟิง เขาประสานมือรับใบหน้าคงไว้ซึ่งรอยยิ้มเหมือนเช่นเคย “ไม่เจอหน้าไม่กี่วัน ข้าไม่นึกว่าบุตรสาวจะดูเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ คงเพราะรัศมีของผู้เป็นฮูหยินกระมัง”
“ท่านพ่อชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
นางรับคำชมนั้นด้วยรอยยิ้มหวานอย่างที่ไม่เคยยิ้มให้สวี่ห่าวซวน ทำคนข้างๆมองแล้วแอบทึ่งเล็กน้อย
ไม่นึกว่าเจ้าจะทำหน้าหมือนสตรีผู้มีกิริยาอ่อนหวานเป็นด้วย...เขาเกือบหลุดคำนั้นออกมา
“เอาล่ะๆ พวกเจ้าเดินทางกันมาเหนื่อยๆ รีบเข้าด้านในกันดีกว่า”
บิดาชักชวนเหมือนอย่างชายผู้มีจิตใจโอบอ้อมทั่วไป ..ไม่น่าเชื่อว่าคนนิสัยเช่นนี้จะสามารถบัญชาการแม่ทัพนายกองให้สู้กับกองทัพของแค้วนโจวหนานได้อย่างสูสี
แต่เอาเถิด ของแบบนี้ดูกันวันเดียวจะเชื่อได้อย่างไร
สวี่ห่าวซวนประสานมือรับ “ขอบคุณท่านเจ้าเมืองลู่”
“เรียกบิดาก็ได้ เจ้าแต่งกับบุตรสาวข้า ถือเป็นครอบครัวเดียวกัน”
โอ..ประเสริฐแท้
สวี่ห่าวซวนไม่ได้ยิ้มออกมา เกรงว่ามันจะกลายเป็นยิ้มที่ดูเสแสร้ง
เขาไม่ได้เชื่อใจใครง่ายๆ ยิ่งผู้ที่ต่อหน้าทำใจดีด้วยยิ่งไม่ค่อยจะวางใจสักเท่าไร
“ขอบคุณท่านพ่อที่เมตตา”
แต่วาจาประจบประแจงนั้น แน่นอนว่ายังต้องมีต่อไป
จวนเจ้าเมืองตกแต่งอย่างหรูหราสมฐานะ ในห้องรับรองมีน้ำชาชั้นดีรินให้ลูกสาวและลูกเขยที่มาเยี่ยมเยือน
“บุตรสาวข้าไปอยู่จวนเจ้าได้ทำตัวเกเรหรือไม่”
บิดาเอ่ยเย้าบุตรสาวก็ทำหน้างอ “ท่านพ่อ ถามอย่างกับข้าเป็นคนนิสัยเกเรอย่างนั้น”
เจ้าก็ทำตัวเกเรมากจริงๆ อย่างที่บิดาเจ้าสงสัยนั่นแหละ...
“ไม่เลยท่านพ่อ นางเป็นภรรยาที่ดี คอยเป็นห่วงเป็นไยเอาใจใสข้าดียิ่ง”
ในใจสวี่ห่าวซวนอยากกัดลิ้น แต่เขาต้องอดทนพูดสิ่งที่ตรงข้ามกับในความคิดทุกประการออกไป
“ถึงจะพึ่งอยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่วันข้าก็รู้แล้วว่านางเป็นสตรีน่ารักอ่อนหวาน นางไม่เคยยอมให้ข้าต้องอยู่ทำงานหนักในฐานทัพนานเกินไปจนลืมเวลากินเวลานอน ยังเอาใจใส่เรื่องในรั้วบ้าน จัดการงานต่างๆได้ดีเยี่ยม สมกับที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี”
“โอ...ได้ยินเช่นนั้นข้าก็ดีใจมาก”
ลู่จุนเฟิงหัวเราะร่าชอบใจ ต่างจากหญิงสาวที่ได้เพียงเข่นเขี้ยวในใจแล้วแสร้งทำเขินอายเพียงภายนอก
บทนำวสันตฤดูเป็นช่วงเวลาน่ายินดี ยิ่งน่ายินดีเมื่อเช้านี้มีเสียงแตรดังก้องทั่วถนนสายหลักเมืองจงเหนียนขบวนสังคีตเดินนำหน้าอาชาเจ้าบ่าว ตามด้วยรถม้าเจ้าสาวประดับเพชรพลอยห้อยผ้าแดงอลังการขบวนแห่งความสุขนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมือง..เพื่อรับตัวเจ้าสาว“อีกไม่นานคงมาถึงแล้วกระมัง”เสียงสาวใช้ในห้องนอนเอ่ยขึ้นยามเสียงดนตรีอึกทึกดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตัวเจ้าสาวหน้าคันฉ่องเองก็ได้ยินเงาสะท้อนจากภายในนั้นจึงยิ่งดูหมองหม่น ราวกับเป็นวันตายเสียอย่างนั้น“คุณหนู.. บ่าวคลุมผ้าเลยนะเจ้าคะ”“อืม”นางตอบรับสั้นห้วน ก่อนภาพเบื้องหน้าจะกลายเป็นสีแดงเฉกเช่นผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวที่บังตาไว้วันนี้เป็นวันแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์สองแคว้น เจ้าบ่าวคือแม่ทัพผู้องอาจเกรียงไกรแห่งแคว้นโจวหนาน นามว่าสวี่ห่าวซวน ส่วนเจ้าสาวคือโฉมสะคราญบุตรสาวเจ้าเมืองจงเหนียน นามว่าลู่เจียวจูหากนึกภาพตามใครๆก็คงว่าช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมราวกิ่งทองใบหยกใครจะคิด..ว่าการแต่งงานนี้ต้องแลกด้วยอะไรบ้างอย่างแรกคืออิสรภาพของข้า ประการต่อมาคือความปลอดภัยของข้า เพราะต้องแต่งเข้าบ้านของอดีตศัตรู“เฮ้อ!”เสียงถอนหายใจก้องในห้องอันเงีย
บทที่ 1รับฝีปากคืนเข้าหอจันทราเอ๋ย...เจ้าจะขึ้นช้ากว่านี้สักเค่อไม่ได้เลยหรืออย่างไรในใจหญิงสาวรำพึงรำพันยามแหงนหน้ามองท้องฟ้าราตรีในวสันตฤดู ไม่มีความแช่มชื่นปรากฏอยู่เลยแม้สักเสี้ยวในแววตาด้านนอกยังมีเสียงงานเลี้ยงครึกครื้นยิ่ง นางก็ภาวนาในใจว่าขอให้สวี่ห่าวซวนผู้นั้นโดนพวกผู้ใหญ่จับกรอกเหล้าจนเมาคอพับอยู่ในงานเสียแต่สวรรค์มิเป็นใจให้ลู่เจียวจูได้สมปรารถนา เพราะเพียงนางภาวนาจบไม่นานเสียงบานประตูห้องหอก็ดังขึ้นจะเป็นใครไปได้...หากไม่ใช่เจ้าบ่าวของนางสวี่ห่าวซวนเองก็ไปอาบน้ำชำระกาย อยู่ในชุดนอนผ้าบางเหมือนกัน ยังหน้าแดงหูแดงเพราะฤทธิ์สุราอีกต่างหากดูท่าคืนนี้คงหนีไม่พ้นแล้วกระมัง..ลู่เจียวจูกลืนน้ำลายฝืดคอ แต่ก็ยังทำใจสู้ นั่งนิ่งไม่ไหวติง แสร้งทำเป็นไม่มีปฏิกิริยาต่อกลิ่นสุราหึ่งทั่วตัวสวี่ห่าวซวนอีกด้วยให้เขารู้ว่านางกำลังใจสั่นไม่ได้หรอก เสียเชิงสตรีหมดพอดี“ขยับไป”เสียงเขาสั่งนางก็ทำตาม ถึงความจริงแม้ไม่สั่งก็ตั้งใจจะขยับถอยห่างไปเป็นลี้แล้วก็เถิดชายหนุ่มก้าวเข้ามา หยิบกาสุราบนโต๊ะเล็กมารินส่งให้นางจอกหนึ่ง ถือไว้เองจอกหนึ่ง ลู่เจียวจูก็ทำหน้างง “นี่คือ?”“สุรามงคลในคื
ตอนที่ 2สามีหนีรุ่งอรุณแสงตะวันส่องลอดช่องหน้าต่าง แพขนตาหนางอนดุจปีกผีเสื้อเปิดขึ้นเล็กน้อย กะพริบถี่ๆปรับให้ภาพที่เห็นชัดเจนขึ้นนี่ไม่ใช่ห้องนอนที่คุ้นเคย เพราะมันคือในจวนของสามีพูดถึงสามี ลู่เจียวจูก็หันมองที่เตียง พบว่า..เขาหายไปแล้วหายไปก็ดี ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะพบหน้าท่านนักหรอกนางคิด ยิ่งคิดไปถึงวาจาเหน็บแนมระคายหูเมื่อคืน สาบานได้ว่าตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยพบเจอบุรุษที่ไหนที่ฝีปากจัดจ้านเท่านี้ ยิ่งไม่เคยพบบุรุษผู้เป็นถึงบุตรชายเจ้าผู้ครองแคว้นซ้ำยังเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แต่ไม่รักษาหน้าใคร ไร้มารยาทเท่ากับที่สวี่ห่าวซวนเป็นช่างเถิดๆ ใช่ว่าข้าหงอให้เจ้าลิงถือดาบนั่นสักหน่อยดูคล้ายว่า จากนี้ไปในสายตาของลู่เจียวจู สวี่ห่าวซวนจะมิใช่แม่ทัพนายกองผู้องอาจ หากแต่ดูไม่ต่างอันใดกับวานรโมโหร้ายที่รู้วิชากระบี่เท่านั้นแต่แม้ไม่อยากพบหน้าอย่างไร ลู่เจียวจูก็มิใช่ว่าจะสามารถทำตามใจได้ เมื่อแต่งงานกันแล้วก็ถือว่าเป็นคนคนเดียวกัน ร่วมเดินทางด้วยกัน มีอุปสรรคก็ต้องร่วมฟันฝ่าและอุปสรรคแรกของนางก็กำลังจะมาถึง นั่นคือธรรมเนียมเยี่ยมบ้านเจ้าสาวหลังแต่งงานหากว่าแต่งออกไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างสอ
ตอนที่ 3เมียบุกมาตามสวี่ห่าวซวนประมาทลู่เจียวจูมากไป เขาไม่รู้ว่าสตรีผู้นี้สามารถควบม้าได้เร็วไม่ต่างจากพวกพลทหารม้าเลยเพียงไม่ถึงชั่วยาม ลู่เจียวจูที่ดูแผนที่เมืองผ่านตารอบเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่หน้าฐานทัพเสียแล้ว“ไม่ทราบแม่นาง...”ทหารเฝ้ายามหน้าประตูกั้นหอกยาว แต่วาจาเขาเอ่ยไม่จบคำเมื่อพิจารณาใบหน้าหญิงสาวผู้ลงมาจากหลังม้าชัดๆโฉมสะคราญใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับพึ่งเลยวัยปักปิ่นมาไม่กี่วันผู้นี้เป็นใครกัน?...พวกเขาได้เพียงนึกสงสัย ดูจากอาภรณ์อย่างผู้สูงศักดิ์ นางมิใช่ชาวบ้านร้านตลาด และมิน่าจะเป็นเพียงคุณหนูจากตระกูลเล็กๆเป็นแน่“หลีกทางให้ข้า”“เราต้องหลีกทางให้เจ้าด้วยเหตุใด”น้ำเสียงแข็งกร้าวกับสายตาคมปลาบของนางตวัดจ้องให้พวกเขาได้สติรู้จักหน้าที่ของตนขึ้นมา หอกยาวสองเล่มจึงยังพาดไขว้อยู่เบื้องหน้าไม่ยอมหลีก“ด้วยเหตุที่ข้าต้องพบแม่ทัพสวี่”“แม่นาง เจ้ายังไม่บอกพวกข้าเลยว่าเป็นผู้ใดและมาพบท่านแม่ทัพด้วยเหตุอะไร ข้าต้องขออภัยที่หลีกทางให้ไม่ได้”สายสืบที่เป็นสตรีหลอกบุรุษได้ง่ายดาย แต่พวกเขาไม่หลงกล ..เรียกว่าไม่กล้าปล่อยปละละเลย ไม่อย่างนั้นชีวิตน้อยๆอาจปลิวไปสู่ปรโลกตั้งแต่ยังไม่
ตอนที่ 4กลับเยี่ยมบ้านในห้องเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนสวี่ห่าวซวนเลิกคิ้ว “ไยต้องไป?”“เพราะสุภาพชนผู้ยิ่งใหญ่ย่อมรู้จักธรรมเนียมปฏิบัติ”“แต่งานข้ายุ่งมาก เชิญภรรยากลับเมืองจงเหนียนไปผู้เดียวเถิด”“งานของแม่ทัพจะยุ่งก็ต่อเมื่อมีสงคราม แต่ตอนนี้แคว้โจวหนานกับเมืองจงเหนียนพึ่งทำพันธะสงบศึก แล้วจะมีอะไรให้ยุ่งนัก”นางจ้องตาฟาดฟันกับสามีอย่างไม่ลดละ ยื่นหน้าเข้าไปเน้นย้ำเต็มเสียง “พรุ่งนี้ท่านต้องกลับเมืองจงเหนียนกับข้า”“แล้วถ้าหากข้าไม่ทำเล่า”ความยียวนของสวี่ห่าวซวนเป็นรองนางเสียเมื่อไร ในใต้หล้านี้เขาอาจมีภาพลักษณ์เป็นแม่ทัพหนุ่มมาดนิ่งแสนเย็นชา แต่ความจริงเนื้อแท้กลับเป็นคนหัวรั้นปากร้ายอย่างที่แสดงให้ลู่เจียวจูเห็น“ไม่กลับก็ได้” นางยักไหล่ทำไม่แยแสแต่สิ่งที่จะกล่าวต่อจากนี้ถึงกับทำให้ไฟโทสะในใจอีกฝ่ายโหมลุก“ท่านไม่กลับ ข้าก็แค่บอกท่านพ่อให้ฉีกสัญญาสงบศึก เท่านี้ชีวิตอันผาสุขของชาวเมืองก็ถือว่าท่านเป็นผู้ทำลายมันเพราะความอยากเอาชนะของท่าน”“เจ้า! เจ้ากล้าเอาเรื่องนี้มาอ้างแล้วยังโยนความผิดให้ข้า!?”“ข้าไม่ใช้เป็นแค่ข้ออ้างแน่ รองตรึกตรองดูให้ถี่ถ้วนท่านก็จะรู้ว่าหากเราสองคนทำตัวห่าง
ตอนที่ 3เมียบุกมาตามสวี่ห่าวซวนประมาทลู่เจียวจูมากไป เขาไม่รู้ว่าสตรีผู้นี้สามารถควบม้าได้เร็วไม่ต่างจากพวกพลทหารม้าเลยเพียงไม่ถึงชั่วยาม ลู่เจียวจูที่ดูแผนที่เมืองผ่านตารอบเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่หน้าฐานทัพเสียแล้ว“ไม่ทราบแม่นาง...”ทหารเฝ้ายามหน้าประตูกั้นหอกยาว แต่วาจาเขาเอ่ยไม่จบคำเมื่อพิจารณาใบหน้าหญิงสาวผู้ลงมาจากหลังม้าชัดๆโฉมสะคราญใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับพึ่งเลยวัยปักปิ่นมาไม่กี่วันผู้นี้เป็นใครกัน?...พวกเขาได้เพียงนึกสงสัย ดูจากอาภรณ์อย่างผู้สูงศักดิ์ นางมิใช่ชาวบ้านร้านตลาด และมิน่าจะเป็นเพียงคุณหนูจากตระกูลเล็กๆเป็นแน่“หลีกทางให้ข้า”“เราต้องหลีกทางให้เจ้าด้วยเหตุใด”น้ำเสียงแข็งกร้าวกับสายตาคมปลาบของนางตวัดจ้องให้พวกเขาได้สติรู้จักหน้าที่ของตนขึ้นมา หอกยาวสองเล่มจึงยังพาดไขว้อยู่เบื้องหน้าไม่ยอมหลีก“ด้วยเหตุที่ข้าต้องพบแม่ทัพสวี่”“แม่นาง เจ้ายังไม่บอกพวกข้าเลยว่าเป็นผู้ใดและมาพบท่านแม่ทัพด้วยเหตุอะไร ข้าต้องขออภัยที่หลีกทางให้ไม่ได้”สายสืบที่เป็นสตรีหลอกบุรุษได้ง่ายดาย แต่พวกเขาไม่หลงกล ..เรียกว่าไม่กล้าปล่อยปละละเลย ไม่อย่างนั้นชีวิตน้อยๆอาจปลิวไปสู่ปรโลกตั้งแต่ยังไม่
ตอนที่ 2สามีหนีรุ่งอรุณแสงตะวันส่องลอดช่องหน้าต่าง แพขนตาหนางอนดุจปีกผีเสื้อเปิดขึ้นเล็กน้อย กะพริบถี่ๆปรับให้ภาพที่เห็นชัดเจนขึ้นนี่ไม่ใช่ห้องนอนที่คุ้นเคย เพราะมันคือในจวนของสามีพูดถึงสามี ลู่เจียวจูก็หันมองที่เตียง พบว่า..เขาหายไปแล้วหายไปก็ดี ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะพบหน้าท่านนักหรอกนางคิด ยิ่งคิดไปถึงวาจาเหน็บแนมระคายหูเมื่อคืน สาบานได้ว่าตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยพบเจอบุรุษที่ไหนที่ฝีปากจัดจ้านเท่านี้ ยิ่งไม่เคยพบบุรุษผู้เป็นถึงบุตรชายเจ้าผู้ครองแคว้นซ้ำยังเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แต่ไม่รักษาหน้าใคร ไร้มารยาทเท่ากับที่สวี่ห่าวซวนเป็นช่างเถิดๆ ใช่ว่าข้าหงอให้เจ้าลิงถือดาบนั่นสักหน่อยดูคล้ายว่า จากนี้ไปในสายตาของลู่เจียวจู สวี่ห่าวซวนจะมิใช่แม่ทัพนายกองผู้องอาจ หากแต่ดูไม่ต่างอันใดกับวานรโมโหร้ายที่รู้วิชากระบี่เท่านั้นแต่แม้ไม่อยากพบหน้าอย่างไร ลู่เจียวจูก็มิใช่ว่าจะสามารถทำตามใจได้ เมื่อแต่งงานกันแล้วก็ถือว่าเป็นคนคนเดียวกัน ร่วมเดินทางด้วยกัน มีอุปสรรคก็ต้องร่วมฟันฝ่าและอุปสรรคแรกของนางก็กำลังจะมาถึง นั่นคือธรรมเนียมเยี่ยมบ้านเจ้าสาวหลังแต่งงานหากว่าแต่งออกไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างสอ
บทที่ 1รับฝีปากคืนเข้าหอจันทราเอ๋ย...เจ้าจะขึ้นช้ากว่านี้สักเค่อไม่ได้เลยหรืออย่างไรในใจหญิงสาวรำพึงรำพันยามแหงนหน้ามองท้องฟ้าราตรีในวสันตฤดู ไม่มีความแช่มชื่นปรากฏอยู่เลยแม้สักเสี้ยวในแววตาด้านนอกยังมีเสียงงานเลี้ยงครึกครื้นยิ่ง นางก็ภาวนาในใจว่าขอให้สวี่ห่าวซวนผู้นั้นโดนพวกผู้ใหญ่จับกรอกเหล้าจนเมาคอพับอยู่ในงานเสียแต่สวรรค์มิเป็นใจให้ลู่เจียวจูได้สมปรารถนา เพราะเพียงนางภาวนาจบไม่นานเสียงบานประตูห้องหอก็ดังขึ้นจะเป็นใครไปได้...หากไม่ใช่เจ้าบ่าวของนางสวี่ห่าวซวนเองก็ไปอาบน้ำชำระกาย อยู่ในชุดนอนผ้าบางเหมือนกัน ยังหน้าแดงหูแดงเพราะฤทธิ์สุราอีกต่างหากดูท่าคืนนี้คงหนีไม่พ้นแล้วกระมัง..ลู่เจียวจูกลืนน้ำลายฝืดคอ แต่ก็ยังทำใจสู้ นั่งนิ่งไม่ไหวติง แสร้งทำเป็นไม่มีปฏิกิริยาต่อกลิ่นสุราหึ่งทั่วตัวสวี่ห่าวซวนอีกด้วยให้เขารู้ว่านางกำลังใจสั่นไม่ได้หรอก เสียเชิงสตรีหมดพอดี“ขยับไป”เสียงเขาสั่งนางก็ทำตาม ถึงความจริงแม้ไม่สั่งก็ตั้งใจจะขยับถอยห่างไปเป็นลี้แล้วก็เถิดชายหนุ่มก้าวเข้ามา หยิบกาสุราบนโต๊ะเล็กมารินส่งให้นางจอกหนึ่ง ถือไว้เองจอกหนึ่ง ลู่เจียวจูก็ทำหน้างง “นี่คือ?”“สุรามงคลในคื
บทนำวสันตฤดูเป็นช่วงเวลาน่ายินดี ยิ่งน่ายินดีเมื่อเช้านี้มีเสียงแตรดังก้องทั่วถนนสายหลักเมืองจงเหนียนขบวนสังคีตเดินนำหน้าอาชาเจ้าบ่าว ตามด้วยรถม้าเจ้าสาวประดับเพชรพลอยห้อยผ้าแดงอลังการขบวนแห่งความสุขนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมือง..เพื่อรับตัวเจ้าสาว“อีกไม่นานคงมาถึงแล้วกระมัง”เสียงสาวใช้ในห้องนอนเอ่ยขึ้นยามเสียงดนตรีอึกทึกดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตัวเจ้าสาวหน้าคันฉ่องเองก็ได้ยินเงาสะท้อนจากภายในนั้นจึงยิ่งดูหมองหม่น ราวกับเป็นวันตายเสียอย่างนั้น“คุณหนู.. บ่าวคลุมผ้าเลยนะเจ้าคะ”“อืม”นางตอบรับสั้นห้วน ก่อนภาพเบื้องหน้าจะกลายเป็นสีแดงเฉกเช่นผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวที่บังตาไว้วันนี้เป็นวันแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์สองแคว้น เจ้าบ่าวคือแม่ทัพผู้องอาจเกรียงไกรแห่งแคว้นโจวหนาน นามว่าสวี่ห่าวซวน ส่วนเจ้าสาวคือโฉมสะคราญบุตรสาวเจ้าเมืองจงเหนียน นามว่าลู่เจียวจูหากนึกภาพตามใครๆก็คงว่าช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมราวกิ่งทองใบหยกใครจะคิด..ว่าการแต่งงานนี้ต้องแลกด้วยอะไรบ้างอย่างแรกคืออิสรภาพของข้า ประการต่อมาคือความปลอดภัยของข้า เพราะต้องแต่งเข้าบ้านของอดีตศัตรู“เฮ้อ!”เสียงถอนหายใจก้องในห้องอันเงีย