ตอนที่ 3
เมียบุกมาตาม
สวี่ห่าวซวนประมาทลู่เจียวจูมากไป เขาไม่รู้ว่าสตรีผู้นี้สามารถควบม้าได้เร็วไม่ต่างจากพวกพลทหารม้าเลย
เพียงไม่ถึงชั่วยาม ลู่เจียวจูที่ดูแผนที่เมืองผ่านตารอบเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่หน้าฐานทัพเสียแล้ว
“ไม่ทราบแม่นาง...”
ทหารเฝ้ายามหน้าประตูกั้นหอกยาว แต่วาจาเขาเอ่ยไม่จบคำเมื่อพิจารณาใบหน้าหญิงสาวผู้ลงมาจากหลังม้าชัดๆ
โฉมสะคราญใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับพึ่งเลยวัยปักปิ่นมาไม่กี่วันผู้นี้เป็นใครกัน?...
พวกเขาได้เพียงนึกสงสัย ดูจากอาภรณ์อย่างผู้สูงศักดิ์ นางมิใช่ชาวบ้านร้านตลาด และมิน่าจะเป็นเพียงคุณหนูจากตระกูลเล็กๆเป็นแน่
“หลีกทางให้ข้า”
“เราต้องหลีกทางให้เจ้าด้วยเหตุใด”
น้ำเสียงแข็งกร้าวกับสายตาคมปลาบของนางตวัดจ้องให้พวกเขาได้สติรู้จักหน้าที่ของตนขึ้นมา หอกยาวสองเล่มจึงยังพาดไขว้อยู่เบื้องหน้าไม่ยอมหลีก
“ด้วยเหตุที่ข้าต้องพบแม่ทัพสวี่”
“แม่นาง เจ้ายังไม่บอกพวกข้าเลยว่าเป็นผู้ใดและมาพบท่านแม่ทัพด้วยเหตุอะไร ข้าต้องขออภัยที่หลีกทางให้ไม่ได้”
สายสืบที่เป็นสตรีหลอกบุรุษได้ง่ายดาย แต่พวกเขาไม่หลงกล ..เรียกว่าไม่กล้าปล่อยปละละเลย ไม่อย่างนั้นชีวิตน้อยๆอาจปลิวไปสู่ปรโลกตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาอันสมควรเอาได้
“เช่นนั้นพวกเจ้าจงรู้ไว้ว่านามของข้าคือลู่เจียวจู ฮูหยินคนใหม่แห่งสกุลสวี่ ทีนี้จะเปิดทางได้หรือยัง”
นางบอกว่า..ตนคือสวี่ฮูหยิน!?
ตำแหน่งนี้นางพึ่งได้รับเมื่อวันก่อน แน่นอนว่ายังใหม่มาก ชื่อเสียงอะไรก็ยังไม่มี ยิ่งทหารยศน้อยไม่เคยพบหน้ามาก่อนยิ่งไม่กล้าปักใจเชื่อ
ว่ากันว่าฮูหยินของท่านแม่ทัพเป็นหญิงงามจากเมืองจงเหนียน ..เรื่องนี้ดูมีมูลเชื่อได้อยู่บ้าง แต่จะให้เปิดทางเลยนั่นก็ดูจะเร็วเกินไป
“ยังจะชักช้าร่ำไรให้ได้อะไร พวกเจ้าไม่เปิดทางทั้งที่ข้ากำลังมีเรื่องเดือดร้อนต้องรีบหารือกับสามี เช่นนั้นเมื่อท่านแม่ทัพกลับจวนข้าจะบอกให้เขาปลดพวกเจ้าไปเป็นทาสดีหรือไม่”
ลู่เจียวจูไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องงัดคำขู่เช่นนี้ออกมาใช้ แน่นอนว่าในความเป็นจริงนางไม่มีอำนาจมากพอจะไปก้าวก่ายเรื่องงานของสามี ยิ่งไม่มีทางที่สามีอย่างสวี่ห่าวซวนจะยอมรับฟังนางเด็ดขาด
แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน..ตอนนี้นางร้อนใจจนจะบ้าตายแล้ว
“พวกเจ้าเปิดทางให้นางเสีย”
เสียงนั้นดังขึ้นด้านหลังอีกฝั่งของประตูที่เปิดโล่ง เป็นบุรุษร่างสูงกายกำยำเช่นเดียวกับสามีนางเข้ามาประสานมือให้
“สวี่ฮูหยิน”
ลู่เจียวจูมีความจำดี คนผู้นี้นางเคยพบในงานแต่งเมื่อวันก่อน จำได้ว่าเขาคือรองแม่ทัพ...หากจำไม่ผิดรู้สึกว่าสกุลโหลวกระมัง
“ท่านรองแม่ทัพ” นางประสานมือกลับโดยยังคงไว้ซึ่งท่าทางอย่างสตรีผู้มีฐานะสูงส่ง
“ข้าบังเอิญได้ยินว่าสวี่ฮูหยินต้องการมาพบท่านแม่ทัพ”
“ถูกอย่างท่านว่า”
“เช่นนั้นเชิญทางนี้ ต้องขออภัยแทนทหารเลวสองนายนี้ด้วย”
“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจว่าการป้องกันภายในฐานทัพจำเป็นต้องแน่นหนา และข้ามิใช่คนไร้เหตุผลที่จะถือสาโกรธเคืองเรื่องเพียงเล็กน้อย”
แล้วเมื่อครู่ผู้ใดเป็นคนกล่าว..ว่าจะสั่งปลดพวกข้า
ทหารยามสองนายนั้นรู้สถานะที่แท้จรงของนางต่างก็ต้องประสานมือก้มหน้าอย่างหวาดหวั่น มิกล้าแม้แต่จะเอ่ยวาจาใดนอกจาก “ขออภัยสวี่ฮูหยิน”
ลู่เจียวจูเดินจากไปแล้วพร้อมกับรองแม่ทัพ ทหารสองนายนั้นถึงพึ่งกล้าเอ่ยปาก
“ท่านแม่ทัพ..กล้าทิ้งนางมาได้อย่างไร”
“ใครจะรู้ ทะเลาะกันกระมัง”
ว่าแล้วพวกเขาก็ลอบชำเลืองทางด้านหลัง ..สตรีผู้นั้นงามจริง ทว่าก็ทั้งเย่อหยิ่ง ทะนงตน ซ้ำยังมีแววตาฉลาดเฉลียวไม่ยอมคน
สมควรนิยามว่างดงามทว่าพยศแรงควบคุมยากดุจม้าป่า
หน้าโต๊ะหนังสือในอาคารเตี้ยของฐานทัพ สวี่ห่าวซวนนั่งอ่านรายงานการสำรวจและรายงานการฝึกอยู่ ยังมีงานจากบิดาผู้ปกครองแคว้นกองสุมรอเขาสะสาง
แต่ทุกอย่างต้องหยุดชะงักเมื่อบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพ สวี่ฮูหยินมาขอรับ”
สวี่ฮูหยิน..ภรรยาข้า?
สวี่ห่าวซวนคิ้วขมวดเล็กน้อย ก่อนจะกลายเป็นสีหน้าตึงเครียดเมื่อคนที่ถูกเอ่ยถึงเมื่อครู่มาปรากฏตัวเบื้องหน้า
“คารวะสามี”
นางไม่เรียกเขาอย่างให้เกียรติ น้ำเสียงเช่นนั้นฟังรู้ว่ากำลังจิกกัดด้วยซ้ำ
“ภรรยามีเรื่องร้อนใจอันใด ถึงกับถ่อมายังฐานทัพฝั่งตะวันตกนี่”
แล้วอย่างเขามีหรือจะไม่จิกกัดกลับ ยังแอบว่านางกลายๆว่าไม่รู้จักเวลา คอยแต่จะมากวนใจให้เขาทำงานไม่ได้
แล้วข้าต้องใส่ใจหรือ?..ไม่เลยสักนิด
“อันที่จริงเรื่องร้อนนี้จะไม่กลายเป็นเหตุด่วนหากสามีเจียดเวลาว่างมาเจรจากับข้าสักนิด”
ลู่เจียวจูขอบังอาจด่าสามีโต้งๆเลยแล้วกัน นั่นทำให้ทั้งบ่าวรับใช้และรองแม่ทัพโหลวที่ยืนอยู่ด้านหลังแอบสูดลมหายใจแรง
สตรีผู้นี้ช่างหาญกล้า ..หากมิใช่มีศักดิ์ฮูหยินคุ้มหัวกบาล เกรงว่าจะคอหลุดจากบ่าตั้งแต่ที่โผล่หน้ามาให้ท่านแม่ทัพเห็น
ส่วนสวี่ห่าวซวนฟังนาง เขาปั้นยิ้มไม่ออก กลับกลายเป็นรังสีเยี่ยงยักษ์มารแผ่ออกมา
“เช่นนั้นก็เร่งกล่าวเหตุด่วนของเจ้ามา”
“ได้ แต่ข้าต้องคุยกับท่านเป็นการส่วนตัว”
ว่าเช่นนั้นก็ไม่มีใครกล้าทำหน้าหนาฟังธุระของผู้อื่นต่อแล้ว บ่าวสองคนกับรองแม่ทัพถอยหลังกรูด จรลีหนีไปไวดั่งสายลมหอบพัด
“พิรี้พิไรอยู่ได้ ว่ามาสักที”
สามีถอนหายใจใส่ยังส่ายหน้าระอา แต่ภรรยาไม่แยแส ยังก้าวขึ้นมาตบโต๊ะฉาด “จะอยู่ที่นี่ไปจนตายเลยหรืออย่างไรท่านน่ะ”
“ก็ถ้าหากภรรยาที่บ้านทำตัวให้น่าอยู่ด้วย ข้าก็คงมีวันที่อยากกลับบ้านบ้าง”
“การที่ท่านจะรู้สึกไม่ดีต่อข้านั่นไม่ใช่ปัญหาที่ข้าต้องแก้ไข และถึงท่านจะจัดการความรู้สึกตัวเองไม่ได้อย่างน้อยก็น่าจะรู้จักหน้าที่ของตนเองบ้าง”
“ข้าทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างไม่เคยขาดตกบกพร่องแน่นอน อย่างเช่นเรื่องแต่งงานกับเจ้า ต่อให้ฝืนใจนอนรวมห้องกับสตรีปากร้ายไร้มารยาทข้าก็ยังทำมาแล้ว”
สงครามน้ำลายนี้ดูท่าจะไม่มีวันจบสิ้นโดยง่าย ทำเอาลู่เจียวจูมีโทสะร้อนกรุ่น
แต่ช้าก่อน...นางนึกได้ว่าตัวเองไม่ได้มาที่นี่เพื่อเถียงกับสวี่ห่าวซวนสักหน่อย
หญิงสาวต้องรวบรวมความอดทนครู่สั้นๆ ก่อนกล่าวคำขอที่ตั้งใจมาพูดออกไป
“ท่านต้องกลับไปเยี่ยมบ้านกับข้า”
นั่นคือคำขอร้อง..อย่างนั้นหรือ?
ตอนที่ 4กลับเยี่ยมบ้านในห้องเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนสวี่ห่าวซวนเลิกคิ้ว “ไยต้องไป?”“เพราะสุภาพชนผู้ยิ่งใหญ่ย่อมรู้จักธรรมเนียมปฏิบัติ”“แต่งานข้ายุ่งมาก เชิญภรรยากลับเมืองจงเหนียนไปผู้เดียวเถิด”“งานของแม่ทัพจะยุ่งก็ต่อเมื่อมีสงคราม แต่ตอนนี้แคว้โจวหนานกับเมืองจงเหนียนพึ่งทำพันธะสงบศึก แล้วจะมีอะไรให้ยุ่งนัก”นางจ้องตาฟาดฟันกับสามีอย่างไม่ลดละ ยื่นหน้าเข้าไปเน้นย้ำเต็มเสียง “พรุ่งนี้ท่านต้องกลับเมืองจงเหนียนกับข้า”“แล้วถ้าหากข้าไม่ทำเล่า”ความยียวนของสวี่ห่าวซวนเป็นรองนางเสียเมื่อไร ในใต้หล้านี้เขาอาจมีภาพลักษณ์เป็นแม่ทัพหนุ่มมาดนิ่งแสนเย็นชา แต่ความจริงเนื้อแท้กลับเป็นคนหัวรั้นปากร้ายอย่างที่แสดงให้ลู่เจียวจูเห็น“ไม่กลับก็ได้” นางยักไหล่ทำไม่แยแสแต่สิ่งที่จะกล่าวต่อจากนี้ถึงกับทำให้ไฟโทสะในใจอีกฝ่ายโหมลุก“ท่านไม่กลับ ข้าก็แค่บอกท่านพ่อให้ฉีกสัญญาสงบศึก เท่านี้ชีวิตอันผาสุขของชาวเมืองก็ถือว่าท่านเป็นผู้ทำลายมันเพราะความอยากเอาชนะของท่าน”“เจ้า! เจ้ากล้าเอาเรื่องนี้มาอ้างแล้วยังโยนความผิดให้ข้า!?”“ข้าไม่ใช้เป็นแค่ข้ออ้างแน่ รองตรึกตรองดูให้ถี่ถ้วนท่านก็จะรู้ว่าหากเราสองคนทำตัวห่าง
บทนำวสันตฤดูเป็นช่วงเวลาน่ายินดี ยิ่งน่ายินดีเมื่อเช้านี้มีเสียงแตรดังก้องทั่วถนนสายหลักเมืองจงเหนียนขบวนสังคีตเดินนำหน้าอาชาเจ้าบ่าว ตามด้วยรถม้าเจ้าสาวประดับเพชรพลอยห้อยผ้าแดงอลังการขบวนแห่งความสุขนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมือง..เพื่อรับตัวเจ้าสาว“อีกไม่นานคงมาถึงแล้วกระมัง”เสียงสาวใช้ในห้องนอนเอ่ยขึ้นยามเสียงดนตรีอึกทึกดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตัวเจ้าสาวหน้าคันฉ่องเองก็ได้ยินเงาสะท้อนจากภายในนั้นจึงยิ่งดูหมองหม่น ราวกับเป็นวันตายเสียอย่างนั้น“คุณหนู.. บ่าวคลุมผ้าเลยนะเจ้าคะ”“อืม”นางตอบรับสั้นห้วน ก่อนภาพเบื้องหน้าจะกลายเป็นสีแดงเฉกเช่นผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวที่บังตาไว้วันนี้เป็นวันแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์สองแคว้น เจ้าบ่าวคือแม่ทัพผู้องอาจเกรียงไกรแห่งแคว้นโจวหนาน นามว่าสวี่ห่าวซวน ส่วนเจ้าสาวคือโฉมสะคราญบุตรสาวเจ้าเมืองจงเหนียน นามว่าลู่เจียวจูหากนึกภาพตามใครๆก็คงว่าช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมราวกิ่งทองใบหยกใครจะคิด..ว่าการแต่งงานนี้ต้องแลกด้วยอะไรบ้างอย่างแรกคืออิสรภาพของข้า ประการต่อมาคือความปลอดภัยของข้า เพราะต้องแต่งเข้าบ้านของอดีตศัตรู“เฮ้อ!”เสียงถอนหายใจก้องในห้องอันเงีย
บทที่ 1รับฝีปากคืนเข้าหอจันทราเอ๋ย...เจ้าจะขึ้นช้ากว่านี้สักเค่อไม่ได้เลยหรืออย่างไรในใจหญิงสาวรำพึงรำพันยามแหงนหน้ามองท้องฟ้าราตรีในวสันตฤดู ไม่มีความแช่มชื่นปรากฏอยู่เลยแม้สักเสี้ยวในแววตาด้านนอกยังมีเสียงงานเลี้ยงครึกครื้นยิ่ง นางก็ภาวนาในใจว่าขอให้สวี่ห่าวซวนผู้นั้นโดนพวกผู้ใหญ่จับกรอกเหล้าจนเมาคอพับอยู่ในงานเสียแต่สวรรค์มิเป็นใจให้ลู่เจียวจูได้สมปรารถนา เพราะเพียงนางภาวนาจบไม่นานเสียงบานประตูห้องหอก็ดังขึ้นจะเป็นใครไปได้...หากไม่ใช่เจ้าบ่าวของนางสวี่ห่าวซวนเองก็ไปอาบน้ำชำระกาย อยู่ในชุดนอนผ้าบางเหมือนกัน ยังหน้าแดงหูแดงเพราะฤทธิ์สุราอีกต่างหากดูท่าคืนนี้คงหนีไม่พ้นแล้วกระมัง..ลู่เจียวจูกลืนน้ำลายฝืดคอ แต่ก็ยังทำใจสู้ นั่งนิ่งไม่ไหวติง แสร้งทำเป็นไม่มีปฏิกิริยาต่อกลิ่นสุราหึ่งทั่วตัวสวี่ห่าวซวนอีกด้วยให้เขารู้ว่านางกำลังใจสั่นไม่ได้หรอก เสียเชิงสตรีหมดพอดี“ขยับไป”เสียงเขาสั่งนางก็ทำตาม ถึงความจริงแม้ไม่สั่งก็ตั้งใจจะขยับถอยห่างไปเป็นลี้แล้วก็เถิดชายหนุ่มก้าวเข้ามา หยิบกาสุราบนโต๊ะเล็กมารินส่งให้นางจอกหนึ่ง ถือไว้เองจอกหนึ่ง ลู่เจียวจูก็ทำหน้างง “นี่คือ?”“สุรามงคลในคื
ตอนที่ 2สามีหนีรุ่งอรุณแสงตะวันส่องลอดช่องหน้าต่าง แพขนตาหนางอนดุจปีกผีเสื้อเปิดขึ้นเล็กน้อย กะพริบถี่ๆปรับให้ภาพที่เห็นชัดเจนขึ้นนี่ไม่ใช่ห้องนอนที่คุ้นเคย เพราะมันคือในจวนของสามีพูดถึงสามี ลู่เจียวจูก็หันมองที่เตียง พบว่า..เขาหายไปแล้วหายไปก็ดี ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะพบหน้าท่านนักหรอกนางคิด ยิ่งคิดไปถึงวาจาเหน็บแนมระคายหูเมื่อคืน สาบานได้ว่าตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยพบเจอบุรุษที่ไหนที่ฝีปากจัดจ้านเท่านี้ ยิ่งไม่เคยพบบุรุษผู้เป็นถึงบุตรชายเจ้าผู้ครองแคว้นซ้ำยังเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แต่ไม่รักษาหน้าใคร ไร้มารยาทเท่ากับที่สวี่ห่าวซวนเป็นช่างเถิดๆ ใช่ว่าข้าหงอให้เจ้าลิงถือดาบนั่นสักหน่อยดูคล้ายว่า จากนี้ไปในสายตาของลู่เจียวจู สวี่ห่าวซวนจะมิใช่แม่ทัพนายกองผู้องอาจ หากแต่ดูไม่ต่างอันใดกับวานรโมโหร้ายที่รู้วิชากระบี่เท่านั้นแต่แม้ไม่อยากพบหน้าอย่างไร ลู่เจียวจูก็มิใช่ว่าจะสามารถทำตามใจได้ เมื่อแต่งงานกันแล้วก็ถือว่าเป็นคนคนเดียวกัน ร่วมเดินทางด้วยกัน มีอุปสรรคก็ต้องร่วมฟันฝ่าและอุปสรรคแรกของนางก็กำลังจะมาถึง นั่นคือธรรมเนียมเยี่ยมบ้านเจ้าสาวหลังแต่งงานหากว่าแต่งออกไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างสอ
ตอนที่ 4กลับเยี่ยมบ้านในห้องเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนสวี่ห่าวซวนเลิกคิ้ว “ไยต้องไป?”“เพราะสุภาพชนผู้ยิ่งใหญ่ย่อมรู้จักธรรมเนียมปฏิบัติ”“แต่งานข้ายุ่งมาก เชิญภรรยากลับเมืองจงเหนียนไปผู้เดียวเถิด”“งานของแม่ทัพจะยุ่งก็ต่อเมื่อมีสงคราม แต่ตอนนี้แคว้โจวหนานกับเมืองจงเหนียนพึ่งทำพันธะสงบศึก แล้วจะมีอะไรให้ยุ่งนัก”นางจ้องตาฟาดฟันกับสามีอย่างไม่ลดละ ยื่นหน้าเข้าไปเน้นย้ำเต็มเสียง “พรุ่งนี้ท่านต้องกลับเมืองจงเหนียนกับข้า”“แล้วถ้าหากข้าไม่ทำเล่า”ความยียวนของสวี่ห่าวซวนเป็นรองนางเสียเมื่อไร ในใต้หล้านี้เขาอาจมีภาพลักษณ์เป็นแม่ทัพหนุ่มมาดนิ่งแสนเย็นชา แต่ความจริงเนื้อแท้กลับเป็นคนหัวรั้นปากร้ายอย่างที่แสดงให้ลู่เจียวจูเห็น“ไม่กลับก็ได้” นางยักไหล่ทำไม่แยแสแต่สิ่งที่จะกล่าวต่อจากนี้ถึงกับทำให้ไฟโทสะในใจอีกฝ่ายโหมลุก“ท่านไม่กลับ ข้าก็แค่บอกท่านพ่อให้ฉีกสัญญาสงบศึก เท่านี้ชีวิตอันผาสุขของชาวเมืองก็ถือว่าท่านเป็นผู้ทำลายมันเพราะความอยากเอาชนะของท่าน”“เจ้า! เจ้ากล้าเอาเรื่องนี้มาอ้างแล้วยังโยนความผิดให้ข้า!?”“ข้าไม่ใช้เป็นแค่ข้ออ้างแน่ รองตรึกตรองดูให้ถี่ถ้วนท่านก็จะรู้ว่าหากเราสองคนทำตัวห่าง
ตอนที่ 3เมียบุกมาตามสวี่ห่าวซวนประมาทลู่เจียวจูมากไป เขาไม่รู้ว่าสตรีผู้นี้สามารถควบม้าได้เร็วไม่ต่างจากพวกพลทหารม้าเลยเพียงไม่ถึงชั่วยาม ลู่เจียวจูที่ดูแผนที่เมืองผ่านตารอบเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่หน้าฐานทัพเสียแล้ว“ไม่ทราบแม่นาง...”ทหารเฝ้ายามหน้าประตูกั้นหอกยาว แต่วาจาเขาเอ่ยไม่จบคำเมื่อพิจารณาใบหน้าหญิงสาวผู้ลงมาจากหลังม้าชัดๆโฉมสะคราญใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับพึ่งเลยวัยปักปิ่นมาไม่กี่วันผู้นี้เป็นใครกัน?...พวกเขาได้เพียงนึกสงสัย ดูจากอาภรณ์อย่างผู้สูงศักดิ์ นางมิใช่ชาวบ้านร้านตลาด และมิน่าจะเป็นเพียงคุณหนูจากตระกูลเล็กๆเป็นแน่“หลีกทางให้ข้า”“เราต้องหลีกทางให้เจ้าด้วยเหตุใด”น้ำเสียงแข็งกร้าวกับสายตาคมปลาบของนางตวัดจ้องให้พวกเขาได้สติรู้จักหน้าที่ของตนขึ้นมา หอกยาวสองเล่มจึงยังพาดไขว้อยู่เบื้องหน้าไม่ยอมหลีก“ด้วยเหตุที่ข้าต้องพบแม่ทัพสวี่”“แม่นาง เจ้ายังไม่บอกพวกข้าเลยว่าเป็นผู้ใดและมาพบท่านแม่ทัพด้วยเหตุอะไร ข้าต้องขออภัยที่หลีกทางให้ไม่ได้”สายสืบที่เป็นสตรีหลอกบุรุษได้ง่ายดาย แต่พวกเขาไม่หลงกล ..เรียกว่าไม่กล้าปล่อยปละละเลย ไม่อย่างนั้นชีวิตน้อยๆอาจปลิวไปสู่ปรโลกตั้งแต่ยังไม่
ตอนที่ 2สามีหนีรุ่งอรุณแสงตะวันส่องลอดช่องหน้าต่าง แพขนตาหนางอนดุจปีกผีเสื้อเปิดขึ้นเล็กน้อย กะพริบถี่ๆปรับให้ภาพที่เห็นชัดเจนขึ้นนี่ไม่ใช่ห้องนอนที่คุ้นเคย เพราะมันคือในจวนของสามีพูดถึงสามี ลู่เจียวจูก็หันมองที่เตียง พบว่า..เขาหายไปแล้วหายไปก็ดี ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะพบหน้าท่านนักหรอกนางคิด ยิ่งคิดไปถึงวาจาเหน็บแนมระคายหูเมื่อคืน สาบานได้ว่าตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยพบเจอบุรุษที่ไหนที่ฝีปากจัดจ้านเท่านี้ ยิ่งไม่เคยพบบุรุษผู้เป็นถึงบุตรชายเจ้าผู้ครองแคว้นซ้ำยังเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แต่ไม่รักษาหน้าใคร ไร้มารยาทเท่ากับที่สวี่ห่าวซวนเป็นช่างเถิดๆ ใช่ว่าข้าหงอให้เจ้าลิงถือดาบนั่นสักหน่อยดูคล้ายว่า จากนี้ไปในสายตาของลู่เจียวจู สวี่ห่าวซวนจะมิใช่แม่ทัพนายกองผู้องอาจ หากแต่ดูไม่ต่างอันใดกับวานรโมโหร้ายที่รู้วิชากระบี่เท่านั้นแต่แม้ไม่อยากพบหน้าอย่างไร ลู่เจียวจูก็มิใช่ว่าจะสามารถทำตามใจได้ เมื่อแต่งงานกันแล้วก็ถือว่าเป็นคนคนเดียวกัน ร่วมเดินทางด้วยกัน มีอุปสรรคก็ต้องร่วมฟันฝ่าและอุปสรรคแรกของนางก็กำลังจะมาถึง นั่นคือธรรมเนียมเยี่ยมบ้านเจ้าสาวหลังแต่งงานหากว่าแต่งออกไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างสอ
บทที่ 1รับฝีปากคืนเข้าหอจันทราเอ๋ย...เจ้าจะขึ้นช้ากว่านี้สักเค่อไม่ได้เลยหรืออย่างไรในใจหญิงสาวรำพึงรำพันยามแหงนหน้ามองท้องฟ้าราตรีในวสันตฤดู ไม่มีความแช่มชื่นปรากฏอยู่เลยแม้สักเสี้ยวในแววตาด้านนอกยังมีเสียงงานเลี้ยงครึกครื้นยิ่ง นางก็ภาวนาในใจว่าขอให้สวี่ห่าวซวนผู้นั้นโดนพวกผู้ใหญ่จับกรอกเหล้าจนเมาคอพับอยู่ในงานเสียแต่สวรรค์มิเป็นใจให้ลู่เจียวจูได้สมปรารถนา เพราะเพียงนางภาวนาจบไม่นานเสียงบานประตูห้องหอก็ดังขึ้นจะเป็นใครไปได้...หากไม่ใช่เจ้าบ่าวของนางสวี่ห่าวซวนเองก็ไปอาบน้ำชำระกาย อยู่ในชุดนอนผ้าบางเหมือนกัน ยังหน้าแดงหูแดงเพราะฤทธิ์สุราอีกต่างหากดูท่าคืนนี้คงหนีไม่พ้นแล้วกระมัง..ลู่เจียวจูกลืนน้ำลายฝืดคอ แต่ก็ยังทำใจสู้ นั่งนิ่งไม่ไหวติง แสร้งทำเป็นไม่มีปฏิกิริยาต่อกลิ่นสุราหึ่งทั่วตัวสวี่ห่าวซวนอีกด้วยให้เขารู้ว่านางกำลังใจสั่นไม่ได้หรอก เสียเชิงสตรีหมดพอดี“ขยับไป”เสียงเขาสั่งนางก็ทำตาม ถึงความจริงแม้ไม่สั่งก็ตั้งใจจะขยับถอยห่างไปเป็นลี้แล้วก็เถิดชายหนุ่มก้าวเข้ามา หยิบกาสุราบนโต๊ะเล็กมารินส่งให้นางจอกหนึ่ง ถือไว้เองจอกหนึ่ง ลู่เจียวจูก็ทำหน้างง “นี่คือ?”“สุรามงคลในคื
บทนำวสันตฤดูเป็นช่วงเวลาน่ายินดี ยิ่งน่ายินดีเมื่อเช้านี้มีเสียงแตรดังก้องทั่วถนนสายหลักเมืองจงเหนียนขบวนสังคีตเดินนำหน้าอาชาเจ้าบ่าว ตามด้วยรถม้าเจ้าสาวประดับเพชรพลอยห้อยผ้าแดงอลังการขบวนแห่งความสุขนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมือง..เพื่อรับตัวเจ้าสาว“อีกไม่นานคงมาถึงแล้วกระมัง”เสียงสาวใช้ในห้องนอนเอ่ยขึ้นยามเสียงดนตรีอึกทึกดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตัวเจ้าสาวหน้าคันฉ่องเองก็ได้ยินเงาสะท้อนจากภายในนั้นจึงยิ่งดูหมองหม่น ราวกับเป็นวันตายเสียอย่างนั้น“คุณหนู.. บ่าวคลุมผ้าเลยนะเจ้าคะ”“อืม”นางตอบรับสั้นห้วน ก่อนภาพเบื้องหน้าจะกลายเป็นสีแดงเฉกเช่นผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวที่บังตาไว้วันนี้เป็นวันแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์สองแคว้น เจ้าบ่าวคือแม่ทัพผู้องอาจเกรียงไกรแห่งแคว้นโจวหนาน นามว่าสวี่ห่าวซวน ส่วนเจ้าสาวคือโฉมสะคราญบุตรสาวเจ้าเมืองจงเหนียน นามว่าลู่เจียวจูหากนึกภาพตามใครๆก็คงว่าช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมราวกิ่งทองใบหยกใครจะคิด..ว่าการแต่งงานนี้ต้องแลกด้วยอะไรบ้างอย่างแรกคืออิสรภาพของข้า ประการต่อมาคือความปลอดภัยของข้า เพราะต้องแต่งเข้าบ้านของอดีตศัตรู“เฮ้อ!”เสียงถอนหายใจก้องในห้องอันเงีย