มือหยาบกร้านเพราะจับกระบี่กรำศึกมายาวนานยื่นไปปัดม่านมุ้งออก แม้บอกตัวเองว่าอยู่สนามรบมานาน ทว่าเมื่อเห็นสตรีที่หมดสติ แขนเต็มไปด้วยแผลถลอก ร่องรอยขูดขีด ยังเหลือรอยเลือดยังแห้งกรังที่ผมของนาง ข้อเท้าข้างขวาถูกพันผ้าอย่างแน่นหนา
เสี้ยวเวลาอันแสนสั้นก่อนหมดสติ ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความตกใจ ปฏิกิริยาในตอนนี้แม้นางยังหลับอยู่ แต่ยังคงเป็นความหวาดกลัว เปลือกตาของนางกระตุก ปลายนิ้วมือขยับเกร็ง หลัวหลิวหยางเอื้อมมือไปกุมมือหญิงสาวไว้โดยไม่ทันคิด
“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้ว”
ไม่ใช่ถ้อยคำอ่อนโยนหวานหู แต่น้ำเสียงหนักแน่นที่พร้อมปกป้องขับไล่ความหวาดกลัวของหญิงสาว นางบีบมือของเขาแน่นราวกับเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยว เขาไม่อาจผละไปจากนางได้จึงค่อยๆ นั่งลงบนเตียงข้างนาง ดวงตาของเขาจ้องมองริมฝีปากของนางพึมพำ แม้รู้ว่านางยังไม่ได้สติแต่เขากลับโน้มตัวลง แนบใบหูใกล้ริมฝีปากของนาง
“ท่านช่วยชีวิตข้า” หญิงสาวพึมพำแทบฟังไม่ออก นางลืมตาขึ้นมองเขา แล้วพยายามขยับตัว เพียงการขยับตัวเล็กน้อยก็ทำให้นางหลุดเสียงร้องเจ็บปวดออกมา
“นอนลงไป ใจเย็นๆ”
“ข้า...” นางพยายามอย่างสุดกำลัง อย่างน้อยนางก็ได้มาพบหน้า ‘เขา’ แล้ว “ข้าต้องพูดกับท่าน”
“เจ้ารู้จักข้ารึ?”
เหมือนนางจะฝืนยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มอันแสนเศร้า หลัวหลิวหยางพยายามเค้นสมองว่าเคยพบนางที่ใดมาก่อนหรือไม่
“จง...” นางกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก “จง...ระวัง...อนุชา...แห่ง...แคว้นเหยี่ยน...ให้มาก ...เขา..คิด...ไม่ซื่อกับแคว้นจ้าวของเรา”
นางอยากพูดมากกว่านี้ แต่ทุกครั้งที่เปล่งเสียงก็เจ็บแปลบไปทั่วแผ่นอก นางสูดลมหายใจลึกสะกดความเจ็บปวดเหล่านั้นไว้
“ระวัง..จงระวังตัว..”
“ข้ารู้แล้ว” เขาตอบเพื่อให้นางสบายใจ “เจ้าพักผ่อนก่อน เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องพักผ่อนให้มาก”
เขามองนิ้วมือของนางที่เริ่มผ่อนคลายลง ท่าทางนางหลับไปอีกครั้ง เขาสัมผัสนิ้วมือของนาง แม้เขาจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องสตรี แต่รับรู้ได้ว่ามือคู่นี้ผ่านอะไรมามาก มือนางอาจไม่เนียนนุ่มแต่ไม่ได้หยาบกระด้าง ข้อนิ้วแข็งแรงเหมือนคนจับพู่กันอยู่เสมอ แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกเปราะบางละเอียดอ่อน เพียงการสัมผัสเล็กน้อยนี้กลับทำให้เขาปั่นป่วน เมื่อมั่นใจว่านางหลับไปจริงๆ แล้วเขาจึงขยับตัวช้าๆ ออกมาจากเตียงพลางครุ่นคิดว่าเคยพบนางที่ใด เหตุใดนางลืมตาแค่แวบเดียวกลับรู้ว่าเป็นเขาและพูดเรื่องสำคัญเช่นนี้ มีน้อยคนนักจะรู้ว่าตอนนี้การเมืองในแคว้นเหยี่ยนปั่นปวนมากเพียงใด นอกจากจะเป็นคนขององค์ฮ่องเต้หรือรัชทายาท
แต่ทำไมถึงเป็นนาง ทำไมถึงเป็นสตรีบอบบางเดินทางมาเพียงลำพังเช่นนี้
แม่ทัพใหญ่ครุ่นคิดพลางเดินออกมาแล้วเดินกลับไปที่ห้องหนังสืออีกครั้ง เดิมทีคิดจะพักผ่อน แต่เห็นทีว่าเขาต้องอ่านรายงานที่ส่งมาจากเมืองหลวงอีกครั้ง
บานประตูปิดสนิทแล้ว จางฟางซินจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทำไมนางต้องพบเขาในสภาพนี้ด้วย เหตุใดรถม้าที่แสนธรรมดาของนางเป็นที่ต้องตาต้องใจของโจรชั่วได้ ทั้งที่นางเดินทางอย่างระวังตัวมาตลอด นางควรพบเขาในฐานะ “จางฟางหรง”
เขาจำนางไม่ได้จริงๆ หรือเพราะนางไม่มีความงดงามดึงดูดจิตใจบุรุษได้เลย เขาจึงไม่เคยรู้ว่าคนที่เคยเดินหมาก ถกเนื้อหาในตำราพิชัยยุทธที่สำนักศึกษาไผ่หยกคือนางเอง
พลันเจ็บแปลบที่ทรวงอกอีกระลอก เจ็บครั้งนี้ประหลาดนัก เจ็บยิ่งกว่าบาดแผลทีได้รับ คือเจ็บที่หัวใจที่รู้ว่าในสายตาของเขาไม่เคยมีนางอยู่เลย
“ฟางหรง เจ้าควรดูพี่สาวเจ้าเป็นตัวอย่าง”
หยางอี้เสียงอดบ่นลูกชายบุญธรรมไม่ได้ จางฟางหรงเบ้ปากสีหน้าเบื่อหน่าย ในขณะที่จางฟางซินเผยยิ้มกว้างดีใจกับคำชมของพ่อบุญธรรม
“ใช่ๆ ข้าสมองทึบไม่เหมือนพี่สาวคนดี” จางฟางหรงหยิบพัดแล้วชี้ไปทางพี่สาวต่างมารดาที่นั่งอยู่ใกล้ๆ “บางทีวิญญาณของข้ากับพี่สาวอาจสลับร่างกันก็เป็นได้ หากพี่ฟางซินเป็นบุรุษละก็ ป่านนี้นางคงสอบ จอหงวนนำชื่อเสียงมาสู่ตระกูลจางแล้วไปแล้ว”
“เหลวไหล” หยางอี้เสียงส่ายหน้าไปมา “หากเจ้าขยันหมั่นเพียรย่อมทำได้ดีไม่น้อยกว่าฟางซิน แต่เจ้าเอาแต่ชอบเล่นสนุก ไม่ขยันอ่านตำราหรือฝึกเขียนอักษร”
“นางก็ไม่ขยันเช่นกัน เรื่องที่สตรีต้องฝึกฝนเรียนรู้ไม่เห็นจะได้เรื่องได้ราว งานเย็บปักก็ทำได้แค่ถุงเงินใบเล็กๆ อาหารการกินก็ทำได้เพียงไม่กี่อย่าง เรื่องที่สตรีควรทำนางทำได้สักครึ่งเสียทีไหน พ่อบุญธรรมต้องเคี่ยวเข็ญนางให้มากๆ ไม่เช่นนั้นยามออกเรือนจะถูกแม่สามีรังเกียจเอาได้”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าไม่แต่งงานก็ได้” จางฟานซินขึงตาใส่น้องชาย “ข้าจะอยู่ดูแลพ่อบุญธรรม ไม่แต่งงานไม่ออกเรือน”
หยางอี้เสียงอดหัวเราะไม่ได้ แม้จะเสียใจที่เพื่อนรักตายจากแต่ก็ดีใจที่เพื่อนรักไว้วางใจมอบบุตรชายและบุตรสาวที่น่ารักให้เขาดูแล จางฟางซินเป็นหญิงสาวที่ชอบอ่านเขียนเรียนหนังสือ แต่เพราะนางเป็นหญิงจึงไม่ได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาของเขา แต่เขาก็สั่งสอนนางด้วยตนเองเสมอ ผิดกับจางฟางหรงผู้เป็นน้อง แท้จริงเป็นคนเฉลียวฉลาดแต่มักชอบเล่นสนุกซุกซน ขาดความสุขุมเยือกเย็น
“ก็พี่สาวมีบุรุษในดวงใจ จะเหลือสายตาไว้มองผู้อื่นรึ” จางฟางหรงไม่ยอมแพ้ เรื่องโต้เถียงเขาถนัดนัก
“เจ้า!” จางฟางซินถึงกับหน้าแดง ได้แต่ขึงตาใส่น้องชาย
“พี่สาวคนดี ท่านยังไม่หักอกหักใจจากหลัวหลิวหยางอีกหรือ?”
“เจ้า! ห้ามพูดเรื่องนี้นะ”
“โธ่! พี่สาวคิดว่าพ่อบุญธรรมไม่รู้เรื่องนี้หรือ? ทุกครั้งที่ศิษย์พี่มาเยี่ยมเยือนพ่อบุญธรรม ท่านน่ะต้องไปแอบมองเขาทุกที!”
“จาง-ฟาง-หรง!”
“เอาล่ะๆ เจ้าอย่าได้เถียงกันอีกเลย”
หยางอี้เสียงมองบุตรสาวบุญธรรมที่เฉไฉทำเป็นไม่สนใจเรื่องที่ถูกหยอกล้อ หลัวหลิวหยางเป็นศิษย์ที่สร้างชื่อให้สำนักไผ่หยกของเขา แต่เดิมครอบครัวของหลัวหลิวหยางไม่ใช่ตระกูลขุนนางเก่าแก่หรือนักรบ เป็นเพียงชาวนาที่มีลูกมาก หลัวหลิวหยางมีความเพียรพยายามใฝ่หาความรู้และฝึกฝนเพลงยุทธ์แม้แรกเริ่มจะเป็นครูพักลักจำ แต่เมื่อเขาเห็นแววของเด็กชายคนนี้จึงยื่นมือเข้าสอนสั่ง และฝากฝั่งให้เรียนเพลงยุทธ์กับสหายที่มีฝีมือโดยไม่คิดค่าเล่าเรียน หลัวหลัวหยางมีทักษะที่ดีเยี่ยม โดดเด่นและผลักดันตัวเองเข้ากองทหารตั้งแต่อายุยังน้อย ไต้เต้าด้วยความสามารถจนบัดนี้อายุยี่สิบหก ได้เป็นแม่ทัพพิทักษ์บูรพา ฐานะความเป็นอยู่ครอบครัวจากชาวนายากไร้กลายเป็นตระกูลที่มีคนเคารพยกย่อง พี่น้องในครอบครัวพลอยเป็นอยู่สุขสบาย มีเพียงแค่หลัวหลิวหยางที่ยังแบกรับภาระหน้าที่และไร้คู่เรียงหมอน และคาดว่าจะไม่มีลูกสาวบ้านไหนกล้าแต่งกับบุรุษที่มีดวงกินภรรยาเช่นนั้น
ลูกศิษย์ของเขามักมองหลัวหลิวหยางเป็นแบบอย่างซึ่งนับเป็นเรื่องดี และไม่แปลกใจที่จางฟางซินจะชื่นชมบุรุษเช่นหลัวหลิวหยาง ตั้งแต่นางยังเด็กก็ได้ยินเรื่องหลัวหลิวหยางราวกับเป็นนิทานก่อนนอน เติบโตขึ้นพร้อมเรื่องเล่าของวีรบุรุษ เมื่อใดก็ตามที่หลัวหลิวหยางกลับมาเมืองหลวงจะแวะมาเยี่ยมเยือนเขาทุกครั้ง จางฟางซินที่กล้าหาญจะกลายเป็นคนเขินอายแอบหลบด้านหลัง ทำได้เพียงแค่แอบมอง
แต่เรื่องที่หยางอี้เสียงไม่รู้คือ จางฟางหรงที่มีนิสัยรักสนุก แม้จะไม่เชี่ยวชาญตำราพิชัยยุทธแต่เขาเป็นบุรุษที่ชื่นชอบการเขียนโคลงกลอน มีความสามารถโดดเด่นและมักไปชุมนุมสนทนากับเหล่าบัณฑิต และบังเอิญไปสนิทสนมกับองค์รัชทายาทที่ปลอมกายออกมาท่องเที่ยวนอกวัง
ยามใดที่จางฟางหรงออกไปชุมนุมกับเหล่าบัณฑิต จางฟางซินจะออกไปด้วย นางแต่งกายเป็นบุรุษ แต่ก่อนยังเยาว์วัย จางฟางซินมักแต่งกายเป็นชายเสมอ เพราะนิสัยนางที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตนอกรั้วบ้าน บิดามารดารักใคร่เอ็นดู ตามใจลูกสาวคนเดียว จางฟางหรงจึงเหมือนมีคู่แฝด แต่เมื่อเติบโตขึ้น รูปร่างของเขาสูงโปร่ง ในขณะที่นางอรชรอ้อนแอ้น ความแตกต่างระหว่างชายหญิงเห็นได้เด่นชัด แม้ว่านางพยายามปกปิดเพียงใดก็ตาม ในบางประเด็นที่ถกเถียงกัน จางฟางซินที่แต่งกายเป็นชายติดตามจางฟางหรง ไม่อาจแสดงความคิดใดได้ นางจึงเขียนจดหมายน้อยให้จางฟางหรงเอ่ยตอบไปแทนนาง ปรัชญาเมธีหรือแม้แต่ตำรายุทธ ล้วนเป็นนางที่ท่องจำเข้าใจอย่างท่องแท้ แต่จางฟางหรงมักชอบการเขียนโคลงกลอนชื่นชมความของธรรมชาติและสตรี ทุกครั้งที่นางอยากถกปัญหาบ้านเมือง นางจะเขียนในจดหมายน้อยโดยใช้ชื่อของจางฟางหรง เป็นเช่นนี้มานานจนทุกคนเข้าใจไปว่าจางฟางหรงผู้มีบุคลิกเสเพลเป็นเสือซ่อนเล็บที่ทรงความรู้ความสามารถ แต่เมื่อไปสอบจอหงวนกลับพลาดอย่างน่าเสียดาย แต่กระนั้น ยามใดที่องครัชทายาทมีปัญหาใดมักมาปรึกษากับจางฟางหรง และจางฟางหรงก็หอบปัญหาเหล่านั้นมาให้จางฟาง
“ข้ารู้แค่ว่านี่เป็นป้ายประจำตัวองค์รัชทายาท” เขากอดอกยืนฟังนาง พยายามสนใจเพียงดวงตากลมโตสีนิล ไม่มองผิวกายเนียนละเอียดที่เต็มไปด้วยรอยบอบช้ำ ตลอดการเดินทาง นางครุ่นคิดอยู่หลายตลบว่าจะเริ่มเรื่องอย่างไรให้เขาเชื่อใจนาง จะแสดงตัวเช่นไรไม่ให้ถูกจับได้ว่าเป็นหญิง แต่เมื่อฐานะถูกเปิดเผยแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะต้องปิดบังอันใดอีก นางสูดลมหายใจแล้วเอ่ยออกมา“ข้าคือจางฟางหรง”“หือ?” หลัวหลิวหยางเลิกคิ้วประหลาดใจ “จางฟางหรง?”“จางฟางหรงที่เขียนจดหมายโต้ตอบกับท่าน” นางยังคงสงบใจกล่าวต่อ “ข้าเคยพบจางฟางหรง เขาเป็นบุตรบุญธรรมของอาจารย์ข้า เขาเป็นบุรุษมิใช่สตรี”“ถูกต้อง จางฟางหรงที่ท่านแม่ทัพพบคือน้องชายต่างมารดาของข้า ข้าชื่อจางฟางซิน ข้าและจางฟางหรงเป็นบุตรบุญธรรมของอาจารย์ หยางอี้เสียง” นางแนะนำตัวเอง และเมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะพูดขัด นางจึงพูดต่อ “คนที่เขียนจดหมายถึงท่านคือข้า ข้าใช้ชื่อของน้องชายเพื่อคุยกับท่าน”แววตาของหลัวหลิวหยางประหลาดใจเล็กน้อย เดิมทีเขาสงสัยมาตลอด บุรุษอย่างจางฟางหรงดูเหมือนคนที่ไม่สนใจตำราพิชัยยุทธ์ ไม่ชอบการทหาร แต่กลับแลกเปลี่ยนความคิดกับเขาและเสนอแนวทางให้เขาหลาย
“เช่นนั้น...” นางอ้าปากแต่ยังพูดได้เพียงสองคำ เขาก็ยกมือขึ้นห้ามไว้ก่อน ครู่หนึ่งแม่นมเหมยกุ้ยเข้ามาพร้อมหญิงรับใช้ที่นำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้จางฟางซินผลัดเปลี่ยน แม่นมเหมยกุ้ยพยักหน้าให้บ่าวรับใช้ออกไปก่อน เมื่อเหลือเพียงสามคนนางจึงเอ่ยขึ้น“แม่นางได้สติดีแล้ว ข้าจึงจัดเตรียมเสื้อผ้ามาให้” “ขอบคุณแม่นมเหมยกุ้ยมากเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หลายวันมานี้ท่านลำบากเพราะข้าแท้ๆ ข้าวของเครื่องใช้ของข้าอยู่ในรถม้า”“ในรถม้ามีของสำคัญใดหรือไม่ ข้าส่งคนออกไปดูไม่พบสิ่งใด พวกโจรคงขโมยไปหมดแล้ว”จางฟางซินส่ายหน้าไปมา “นอกจากเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวแล้วไม่มีสิ่งอื่นเจ้าค่ะ โจรกลุ่มนั้นคงปล้นเสียเทียวแล้ว”‘ตัวข้าสำคัญที่สุดแล้ว’ นางไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไป เกรงว่าเขาจะเห็นว่านางเป็นคนชอบเยินยอตัวเอง ยังไม่ทันพูดอะไรต่อเด็กรับใช้ประคองถ้วยยาเข้ามา หญิงสาวยิ้มค้าง ดวงตาจ้องมองหลัวหลิวหยางเป็นเชิงถาม นี่นางต้องดื่มยาอีกแล้วหรือ? ปกตินางเป็นคนแข็งแรงจนน้องชายหยอกล้อว่านางแข็งแรงเหมือนวัว ร้อยวันพันปีจะเจ็บป่วยสักครั้ง หากไม่นับข้อเท้าของนางที่เจ็บหนัก นางคิดว่าตัวเองแข็งแรงดีแล้วจริงๆ หลัวหลิวห
“ขอโทษด้วย” จางฟางซินพูดอย่างนึกขึ้นได้ “ท่านแม่ทัพกรุณากับข้ายิ่ง”“เจ้าต้องกินอะไรบ้าง เพื่อจะได้มีแรง” เขาหยิบตะเกียบคีบเนื้อปลากะพงนึ่งให้นาง“ข้าทำเองได้” นางเตือนเขา “มือของข้ายังใช้การได้ดีอยู่”“แขนซ้ายเจ้ายังเจ็บอยู่” ดูท่านางก็ดื้อดึงไม่แพ้เขาเช่นกัน “เอาไว้เจ้าหายดีแล้วค่อยปรนนิบัติข้าคืนก็แล้วกัน”“ข้าจะจำใส่ใจไว้” นางพูดพลางกินมื้อเที่ยงของตัวเอง หลายวันนี้กินแต่โจ๊ก พอมีอาหารเลิศรสเข้าปาก ใบหน้าของนางพลันแช่มชื้นขึ้น“อร่อยไหม” หลัวหลิวหยางถามเพราะสีหน้าของนางช่างดูมีความสุขเสียเหลือเกิน “ข้าจำได้ว่าท่านเคยปรึกษาเรื่องเพาะปลูกข้าวในพื้นที่ที่เป็นภูเขาเสียส่วนใหญ่ ข้าวในถ้วยนี้มาจากแปลงนาเชิงเขาใช่หรือไม่” เขายิ้มแทนคำตอบ เขาเคยเขียนจดหมายถึง ‘จางฟางหรง’ ปรึกษาเรื่องเหล่านี้จริง และจางฟางหรงช่วยค้นหาวิธีเพาะปลูกและกักเก็บน้ำ ทำให้สองปีมานี้ แผ่นดินที่เคยแห้งแล้งทางทิศตะวันออกเปลี่ยนเป็นเขียวขจีด้วยทุ่งข้าวและพืชพรรณมากมาย “ดีจริง วันนี้ได้กินข้าวที่ท่านปลูกแล้ว”“ข้าสั่งผู้อื่นปลูกต่างหาก” เขาพูดพลางคีบเห็ดผัดน้ำมันหอยให้นาง “เห็ดนี่ได้มาจากภูเขา เก็บมาเมื่อเช้า
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาเคยเขียนจดหมายไร้สาระเล่าให้จางฟางหรงฟังว่าจับแมวป่าได้ แมวป่ามีมูลค่า หนังของมันเป็นที่ต้องการ แต่เปาเป่าตัวเล็กนัก แม่ของมันรวมทั้งพี่น้องมันอยู่ที่ใด ตอนนั้นเขาไม่คิดว่าจะเลี้ยงมัน แต่ไม่รู้นึกอย่างไรหิ้วแมวป่ากลับมาโยนให้แม่นมช่วยดูแล มันเป็นแมวป่าแต่ถูกคนเอาใจใส่ดูแล ความดุร้ายจึงลดลง เป็นจังหวะเดียวกับที่ ‘จางฟางหรง’ ตอบจดหมายและขอความเมตตาจากเขาให้เลี้ยงมัน พร้อมทั้งแนะนำให้เขาหานมแพะมาป้อนมันอีกด้วย เขาไม่เคยตอบ ‘จางฟางหรง’ ว่าเขาตัดสินใจเลี้ยงมันไว้ จนเวลานี้ ‘จางฟางซิน’ ได้มาพบกับมันด้วยตนเองจางฟางซินพยักหน้า แล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อหลัวหลิวหยางหิ้วหนังคอเจ้าแมวป่าออกจากอกของนาง ยื่นแมวยักษ์ไปทางหูซานให้อุ้มแมวไว้ แล้วเขาก็อุ้มนางขึ้นจากพื้น“ท่าน!”“เจ้าอยู่นิ่งๆ ในห้องไม่ได้สินะ” เขาหัวเราะในลำคออุ้มนางมานั่งที่เก้าอี้กลมที่ศาลาหกเหลี่ยม “อุดอู้อยู่ในห้องมาสี่ห้าวันแล้ว ข้าอยากออกมารับแสงแดดบ้าง” นางอาศัยจังหวะที่เขาอยู่ใกล้นาง กระซิบบอกเขา “ข้าอยากเห็นพื้นที่ ภูมิประเทศและผู้คน ข้ามาถึงหลายวันแล้ว ให้ข้าช่วยงานท่านบ้างเถิด”เพื่อไม่ให้ผู้อื่น
มีคู่ศัตรูคู่แข่งอยู่รอบด้าน เราต้องกำหนดกลยุทธ์ วางแผน โจมตี ตั้งรับ เพื่อชิงความได้เปรียบกับฝ่ายตรงข้าม ไม่เช่นนั้นเราก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ศาสตร์ทุกแขนงควรทำการศึกษาและนำมาประยุกต์ปรับใช้กับการทำงานเพื่อให้ผลสำเร็จเกิดขึ้นตามมา เจ้าชื่นชอบการอ่านตำราแต่อ่อนด้อยประสบการณ์ ยังไม่เข้าใจท่องแท้หรอกกระมัง”ในน้ำเสียงนั้นคล้ายดูแคลนอยู่หลายส่วน แต่จางฟางซินกลับพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย นางยื่นมือไปรับน้ำชาอย่างระวังไม่ให้หกใส่ตำราพิชัยยุทธที่เขาให้นางหยิบยืมมาอ่าน “ข้าก็เคยคิดอยู่ว่า กลยุทธการศึกเหล่านี้ หากศึกษาให้เข้าใจถึงแก่นแท้ เราย่อมสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้ในชีวิตประจำวันได้”“เช่น?”“การค้าอย่างไรเล่า” นางยื่นหน้าไปหาเขา “หากเราจะทำการค้าก็ต้องเรียนรู้ว่าคู่แข่งเป็นใคร จุดเด่น จุดอ่อนคืออะไร ทำเลที่ตั้งของร้านก็เหมือนชัยภูมิในการทำศึก ท่านว่าข้าพูดถูกหรือไม่เล่า” หลัวหลิวหยางหัวเราะในลำคอแล้วพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ข้าเห็นด้วย”“ลักษณะชัยภูมิสำหรับทำศึกมีส่วนสำคัญไม่น้อยไปกว่าการจัดกระบวนทัพ ความได้เปรียบเสียเปรียบขึ้นอยู่กับการสภาพภูมิประเทศ เปรียบได้กับการกำหนดพื้นที่ตั้งร้านค้า
“ท่านเคยสงสัยในตัวจวิ้นอ๋องหรือไม่” นางถามรู้สึกสบายจนเผลอเอนตัวไปพิงไหล่ของเขา “ตามจริงแล้ว เรื่องในวังหลวงข้าก็ไม่ล่วงรู้ลึกตื้นหนาบางของผู้อื่นนัก”“แต่เจ้าเชื่อใจองค์รัชทายาท ยอมเดินทางเสี่ยงภัยมาหาข้า”“เพราะท่านมีภัย ข้าจึงรีบมา”“เจ้าไม่ได้รู้จักข้าด้วยซ้ำ” “ท่านกล่าวผิดแล้ว ท่านไม่รู้จักข้าแต่ข้ารู้จักท่าน” นางหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย “ท่านน่าจะให้ข้าพาเปาเป่ามาด้วย” “คนขาเจ็บกับแมวขาพิการ”“ท่านแม่ทัพดูถูกข้าหรือ?” “ข้าพูดความจริงต่างหาก” เขาหัวเราะในลำคอ แต่เมื่อมองเลยไปยังป่าทึบดวงตาของเขามีพลันฉายแววแข็งกร้าวขึ้นมา “มีเรื่องใดหรือ?” นางถามเพราะรู้สึกว่าร่างกายที่นางพิงอยู่มีอาการตื่นตัว“ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวล” เขาพูดเก็บสายตากลับมา นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเข้ม ดวงตาของเขาคมปลาบต่อให้ไม่ต้องลงมือแค่ใช้สายตาจ้องมองก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้ แต่นางกลับรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดในสายตาคู่นั้นจนไม่อาจถอนสายตาได้เลย ทว่าอาการนิ่งงันไปของจางฟางซินทำให้หลัวหลิวหยางเข้าใจผิด เขาเบือนหน้าไปสบถอย่างหงุดหงิด อย่างไรนางก็เป็นหญิง จะไม่ให้หวาดกลัวยามเขาเผลอใช้สายตากดดันผู้อื
เดินหมากกับนางช่างน่าปวดหัว เขาเผลอวางเม็ดหมากไม่ระวัง กว่าจะรู้ตัวก็เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของนางก่อนที่นางจะวางหมากขาวชิงพื้นที่ในกระดานแล้ว แม้ไม่ได้เอ่ยวาจาแต่ก็รู้แล้วว่าหมากกระดานชัยชนะเป็นของผู้ใด‘ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ออมมือ’ นางยังคงระบายยิ้มเกลือนใบหน้า‘อีกกระดานเถิด’‘ไม่ดีกระมัง’ คราวนี้นางหน้ามุ่ย ‘ท่านแม่ทัพมีร่างกายแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า แต่ข้าเป็นเพียงสตรีบอบบางซ้ำขาเจ็บและมีแมวขาเป๋อยู่บนตัก ให้ข้าพักผ่อนเถิดนะ’‘ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าเปราะบางเสียนี่กระไร ขนาดอยู่ในรถม้าที่ตีลังกาหลายตลบยังรอดตายได้’นางอ้าปากค้างไม่คิดว่าแม่ทัพใหญ่ที่นางชื่นชมจะกล้าประชดประชันนางเช่นนี้ เขาเห็นนางเถียงไม่ออกก็หัวเราะชอบใจนางควรบอกเขาดีหรือไม่ ขอเพียงเขายิ้มสักเล็กน้อย หัวเราะมากขึ้นอีกนิด เขาจะเป็นบุรุษที่สตรีเฝ้าคะนึงหา อาจเพราะชื่อเสียงดวงกินภรรยาของเขา และความเด็ดขาดในฐานะแม่ทัพพิทักษ์บูรพาทำให้คนหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้“เป็นอะไรไป” หลัวหลิวหยางเอ่ยถามเมื่อเห็นนางมองเขาด้วยสายตาเหม่อลอย“ข้ากำลังชื่นชมท่านอยู่” นางตอบไปอย่างที่คิด นางก็เป็นเช่นนี้พูดจาตรงไปตรงมาไม่ค่อยสำรวมนัก อาจเพราะค
“ก็...ก็ใช่นะสิ เป็นของนายของข้ามอบให้มา” นางพยายามดิ้นรนแต่กลับถูกท่อนแขนรัดเอวนางแน่นขึ้นจนเผลอร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา“นายเจ้าเป็นเศรษฐีที่ถูกหายตัวไปเมื่อสองเดือนก่อนรึ จุ๊ๆ เจ้าอย่ามาโกหกเลย บอกมาเถอะว่ารถม้าคันนั้นอยู่ที่ใด สมบัติในรถคันนั้นต้องมีมากกว่าที่เจ้าขนลงไปแน่”ฟางซินแตกตื่นจนพูดไม่ออก ยังไม่ทันคิดหาวิธีเอาตัวรอด ร่างของนางถูกเหวี่ยงลงพื้น หญิงสาวทั้งเจ็บและจุก พยายามดิ้นรนแต่ชายคนหนึ่งกลับคร่อมร่างนางไว้และอีกสองคนยึดแขนคนละข้าง เหตุการณ์กลับมาซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง นางนึกถึงเพียงใบหน้าของปีศาจภูเขา แต่นี่อยู่นอกเขตอาคม เขาไม่อาจออกมาช่วยนางได้ไม่! เขาจะออกมานอกเขตอาคมไม่ได้! เขาอาจจะตาย! และถ้ามีคนรู้ว่าปีศาจภูเขามีอยู่จริง จะต้องถูกชาวบ้านเชิญนักพรตมาสังหารเป็นแน่! นางยอมให้เขาเป็นอะไรไม่ได้เด็ดขาด!“โอ๊ย!”แมวป่าตัวหนึ่งพุ่งเข้าใส่คนที่คร่อมร่างหญิงสาวอยู่ กรงเล็บของมันทำให้ใบหน้าของคนผู้นั้นเป็นรอยแผล และเพราะความเจ็บปวดที่ทำให้รับทำให้ชายคนนั้นจับแมวป่าตัวนั้นออกจากร่างของตนแล้วทุ่มลงบนพื้นกระแทกถูกก้อนหิน แมวป่าส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีอ่อนแรง
ทว่านางกลับมีหมาป่าสองสามตัวติดตามลงมาส่ง นางเดาว่าปีศาจภูเขาคงขู่บังคับให้ทำเช่นนี้ คิดได้ดังนั้นหัวใจนางก็ยิ่งเต้นรัว นางไม่อยากจากเขาไปไหนเลย เพียงแต่ว่าครั้งนี้ได้มาลาบิดามารดาก่อนจะไปอยู่กับเขาชั่วชีวิต แต่เขาเป็นปีศาจ หากผู้อื่นรู้เขาเกรงว่าครอบครัวของนางจะลำบาก ระหว่างเดินทาง นางจึงครุ่นคิดหาแผนการเพื่อให้ได้ออกจากบ้านอย่างไร้กังวลหญิงสาวลอบเข้าบ้านหลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอื่นผ่านมาเห็น เสียงไอโขลกๆ ของมารดาทำให้ฟางซินแทบทิ้งทุกสิ่งที่หอบมาเพื่อเข้าไปในเรือน บานประตูที่ถูกผลักออกโดยง่ายนั้น ทำให้มารดาที่นั่งปักผ้าอยู่เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นใบหน้าบุตรสาวคนเดียวที่หายไปร่วมเดือนก็ดีใจจนหลั่งน้ำตา“แม่คิดว่าเจ้า...เจ้า...”“ข้าไม่เป็นอะไรท่านแม่” นางวางข้าวของที่หอบลงมาจากเขา เปิดห่อผ้าหยิบโสมคนออกมาให้มารดา “นี่โสมคนชั้นเยี่ยม ข้าจะนำมาไปให้ท่านหมอปรุงยาให้ท่านแม่”“เจ้าไปเอาของพวกนี้มาจากไหน แล้วนี่...เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา ผู้อื่นลือกันว่าเจ้าตกเขาตายไปแล้ว”“เอ่อ...มีคนใจดีช่วยชีวิตข้าไว้” นางไม่อยากให้มารดารู้เรื่องที่เกือบถูกขืนใจ นางเองก็ไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้นอีก “ข้า...ข้าข
ฟางซินทั้งเขินอายและเสียวซ่าน นางผงกศีรษะขึ้นมอง เห็นเพียงศีรษะของเขาอยู่ตรงกลางหว่างขา นางอับอายเหลือเกินจึงพยายามดันศีรษะของเขาออก ทว่ารสสัมผัสที่เขามอบให้แสนเย้ายวนจนได้แต่ขยุ้มเส้นผมนุ่มสลวยที่นางบรรจงสางให้เขาอย่างดี เขาช้อนสะโพกนางให้ลอยขึ้น ถอนนิ้วเรียวออกแล้วห่อลิ้นแทรกเข้าไปแทนที่ น้ำหวานที่หลั่งออกมาทำให้ยิ่งฮึกเหิม เสียงครางกระเส่าของนางเสมือนรางวัลที่เขาตักตวงจากกายสาว สะโพกของนางลอยขึ้นจากพื้นโยกไหวตามอารมณ์รัญจวนที่เกิดขึ้น นางหลั่งน้ำหวานออกมามากล้นแต่ยังไม่เพียงพอสำหรับเขา เขาถอนลิ้นออกแล้วเปลี่ยนเป็นนิ้วเรียวสองนิ้วเข้าไป“อ๊า!” ฟางซินหลุดเสียงหวีดร้องออก สะบัดใบหน้าไปมา“เจ้า...ต้องพร้อมมากกว่านี้” เขาพูดเสียงแหบพร่า นิ้วร้ายยังคงเคลื่อนไหวเข้าออกนำพาน้ำหวานวาวใสให้หลั่งออกมาก ร่างกายของเขาแทบปริแตกด้วยความต้อง เขาจ้องมองร่างขาวเนียนบิดไปมาด้วยความรัญจวนจนกระทั่งร่างนางเกร็งและช่องทางที่แสนคับแคบบับรัดรุนแรงด้วยไปถึงจุดสุขสมฟางซินหวีดร้องอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายร้อนผ่าวและหลอมละลายด้วยน้ำมือของเขา เขาถอนนิ้วออกช้าๆ นางหอบหายใจแรงมองเห็นเขาส่งนิ้วที่เปื้อนเปรอะน้ำ
“เปล่า” เขาส่ายหน้าไปมา “เป็นข้าที่ต้องดูแลเจ้า เจ้าถอดเสื้อผ้าสิ เร็วเข้า” “ไม่ เอ่อ...” เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีเจตนาดีไม่คิดรังแกนาง นางจึงยอมทำตามที่เขาสั่ง แต่การจะเปลือยกายต่อหน้าผู้อื่นนั้น นางไม่อาจทำได้ “เอาอย่างนี้ ท่านขึ้นจากน้ำไปก่อน ข้าจะถอดเสื้อผ้าในน้ำนี้” “อย่างนั้นรึ” เขาถามและนางก็พยักหน้ายืนยันแทนคำตอบ เขาจึงยอมเป็นฝ่ายขึ้นจากน้ำไปก่อน ฟางซินถอนหายใจโล่งอก ปีศาจตนนี้เอาใจไม่ยากนัก นิสัยคล้ายเด็กมากกว่า แต่นางก็ไม่เคยรู้จักปีศาจตนใดมาก่อนจึงไม่รู้ว่าปีศาจตนอื่นเป็นเช่นนี้หรือไม่ ฟางซินเห็นเขาหันหลังให้เหมือนยามที่นั่งหน้ากองไฟทุกค่ำคืน นางจึงถอดเสื้อผ้าที่เปียกน้ำนี่ออก ให้ร่างกายเปลือยเปล่าได้สัมผัสความอุ่นร้อนพอดีของสายน้ำ นางหลับตาอย่างผ่อนคลาย มันสบายอย่างนี้เองหรือ นางเผลอคลางออกมาอย่างไม่รู้ตัวแต่ประสาทการรับรู้ของปีศาจภูเขานั้นยอดเยี่ยม เขาหันขวับมามองด้วยความเป็นห่วง ทว่าภาพที่เห็นคือสาวงามเปลือกกายในสระน้ำ หัวใจของเขาเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมาจากทรวงอก ดอกบัวคู่งามปริ่มน้ำชวนหลงใหล ผิวกายของนางแม้มีรอยบอบช้ำทว่ากลับน่ายื่นม
ขึ้นเขาครั้งนี้เพราะหวังว่าจะหาโสมหรือสมุนไพรหายาก แต่ไม่คิดว่าจะเจอพวกคนในหมู่บ้านมาทำร้ายนางได้ นางหายออกจากบ้านมากี่วันแล้วนะ มีใครออกตามหานางบ้างไหม? มีคนเป็นห่วงนางหรือเปล่า? หรือคิดเพียงแค่ว่านางอาจหนีเอาตัวรอดทิ้งความยากจนไว้เบื้องหลัง เขารู้ว่าอาหารที่ตนทำไม่อร่อย แต่เห็นนางกินจนเกลี้ยงชามก็อดปิติยินดีไม่ได้ “ข้า...ข้ามาอยู่ที่นี่กี่วันแล้ว” “เจ็ดวัน” ปีศาจตอบ “ฝนตกติดต่อกัน หนักบ้างเบาบ้าง” “อย่างนั้นหรือ?” นางถามเหมือนรำพึงไม่ต้องการคำตอบ แต่ถ้าได้อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ คงดีไม่น้อย ไม่ต้องกลับไปเผชิญเรื่องเลวร้ายใดอีก เห็นท่าทางนิ่งงันของนางแล้ว ปีศาจภูเขารู้สึกใจคอไม่ดีนัก เขายื่นมือไปแตะแขนนางเบาๆ ทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาเขา มุมปากค่อยๆ คลี่ยิ้มอ่อนหวานทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอีกครั้ง “ข้า...ข้าอยากอาบน้ำ” “อาบน้ำ?” เขาทำหน้างุนงงไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ “ได้ๆ ตอนนี้ไม่มีฝนแล้ว ข้าจะพาไปที่สระน้ำกลางป่า มีน้ำพุร้อน ที่นั้นจะช่วยรักษาบาดแผลให้เจ้าได้” “น้ำพุ
พายุฝนกระหน่ำทำเอาหญิงสาวต้องขดตัวกลมเพื่อปกป้องความเหน็บหนาวที่ถาโถมเข้าใส่ เสื้อผ้าบนร่างนั้นทั้งเก่าและขาดวิ่นแทบปกปิดเนินอกสล้างนั้นไม่ได้เลย หญิงสาวได้สติเมื่อผ้าผืนชุบน้ำผืนหนึ่งบรรจงเช็ดใบหน้าให้อย่างระวังว่ากรงเล็บจะถูกผิวกายของนาง หญิงสาวได้สติเพราะลมเย็นพัดผ่านผิวกาย มือเล็กยกขึ้นปกปิดทรวงอกไว้ เงาดำนั้นผงะเล็กน้อยแล้วถอยห่าง ฟางซินรู้สึกได้ว่าเงาดำนั้นก้าวออกไปจากบริเวณนั้นแล้ว นางจึงลุกขึ้นนั่ง ก้มมองสภาพตัวเองที่เสื้อผ้าแทบจะปกปิดอะไรไม่ได้เลย นางหยิบผ้าที่ที่วางในอ่างเล็กๆ นั้น ชุบน้ำแล้วเช็ดที่ใบหน้าและแขน แสงไฟจากกองไฟทำให้เห็นว่านางนั่งอยู่บนพรมหนังสัตว์ในถ้ำแห่งหนึ่ง ด้านนอกคงมีพายุฝนโหมกระหน่ำ นางอยู่ด้านในได้ยินเพียงเสียงฟ้าร้องคำรามและไอเย็นแผ่กระจายเข้ามา นางไม่กล้ามองเท้าขวาของตนเองเลย เจ็บจนน้ำตาร่วง และยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น นางก็ยิ่งขวัญเสีย “จะ...เจ็บ...เจ็บมากรึ” ฟางซินได้ยินเสียงแหบแห้งจากด้านหลัง ร่างใหญ่โตนั้นแทบบดบังแสงสว่างจากกองไฟหมดสิ้น นางอ้าปากแต่พูดไม่ออก มีเพียงเสียงสะอึกสะอื้นหลุดจากริมฝ
เมื่อแน่ใจว่ามันตายแล้วจริงๆ ใบหน้าของเด็กน้อยพลันปรากฏรอยยิ้มกว้าง ร่างเล็กหันซ้ายหันขวาเหมือนหาอะไรสักอย่างทำให้ปีศาจภูเขาที่อยู่บนกิ่งไม้ประหลาดใจ พลันเด็กหน้าแหงนหน้าขึ้น สายตาของทั้งสองประสานกัน ไม่เคยมีผู้ใดกล้าสบตากับเขา แม้แต่จะมองยังไม่กล้า แค่ได้ยินเสียงก็พากันหวาดกลัว แต่เด็กน้อยผู้นั้นกลับเบิกตากว้าง มุมปากก็ยิ่งฉีกเป็นรอยยิ้มทำให้ดวงตาคู่นั้นหยีเล็กลง มือเล็กๆ โบกมือไปมาเหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็น ปีศาจภูเขาผงะไป “ขอบคุณท่านปีศาจภูเขา!” เจ้าเด็กน้อยคุกเข่าโขกศีรษะสองสามทีแล้วรีบหมุนตัวไปที่หมูป่าตัวนั้น เด็กน้อยพยายามหาวิธีแบกร่างหมูป่า สุดท้ายเด็กน้อยใช้วีธีให้หมูป่าสิ้นใจตัวนั้นขี่หลัง สองมือประสานรองใต้ก้นหมูป่า สองขาหน้าของมันยื่นพาดบ่าของเด็กน้อย แม้จะทุลักทุเลไปบ้างแต่เจ้าเด็กนั้นก็แบกหมูป่าลงจากเขาได้สำเร็จ ปีศาจภูเขาอ้าปากค้าง มองเจ้าเด็กนั้นแบกอาหารของเขาไปจนสุดสายตา แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าคือเป็นครั้งแรกที่มีมนุษย์กล้าสบตาของเขาและยัง ‘ขอบคุณ’ เขาอีกด้วย นับตั้งแต่วันนั้น ปีศาจภูเขามักมาที่สุดเขตเส้นอาคม เจ้
“หนึ่ง ... คำนับฟ้าดินสอง... คำนับพ่อแม่สาม... คำนับกันและกันส่งตัวเข้าห้องหอ” เพียงหญิงสาวเงยตัวขึ้นจากการคำนับกันและกัน ร่างของนางก็โงนเงนเกือบล้มลง หลัวหลิวหยางที่ระวังตัวทุกขณะยื่นมือไปประคองร่างหญิงคนรักไว้ได้ทัน “ซินเอ๋อร์!” หลัวหลิวหยางตวัดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น หัวใจของเขาคล้ายถูกบีบรัดเมื่อเห็นใบหน้าของจางฟางซินซีดเซียวแทบไร้สีเลือด “เจ้า...เป็นอะไรไป ตะ ตาม..ตามหมอ! ตามหมอมาเดี๋ยวนี้” เพราะระแวดระวังเรื่องไม่คาดฝันจะเกิดขึ้น นอกจากเตรียมทหารเฝ้าระวังความปลอดภัยแล้ว ยังเชิญหมอเก่งๆ มาพำนักที่บ้านถึงสามคน เพียงการตะโกนครั้งเดียวก็ทำให้ผู้คนรอบคนตื่นตัว วิ่งหน้าตั้งทำตามหน้าที่ที่ซักซ้อมไว้ก่อนแล้ว “ข้า...” จางฟางซินพยายามสูดลมหายใจลึกๆ และผ่อนออกช้าๆ ฝืนเปิดเปลือกแต่ไม่มีเรี่ยวแรง รับรู้เพียงความโกลาหลรอบข้างและร่างถูกอุ้มมานอนบนเตียงอย่างรวดเร็ว นางรับรู้ถึงน้ำเสียงร้อนรนที่พร่ำเรียกชื่อนาง “ซินเอ๋อร์!” ผ้าชุบน้ำผืนหนึ่งค่อยๆ เช็ดใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา
“ท่าน!” นางดุเขาเสียงสั่น ร่างกายขยับไหวตามการปลุกเร้า เสียงเตียงลั่นเอียดอาดทำให้นางเรียกสติที่เหลือน้อยนิด กัดบ่าเขาไปแรงๆ ทีหนึ่ง “โอ้ว! นี่เจ้าชอบแบบนี้เองหรือ?” “ที่นี่ไม่ได้!” นางร้องขึ้น “เตียงมันลั่นเสียงดังอย่างนี้ ประเดี๋ยวผู้คนทั้งโรงเตี้ยมก็แตกตื่นกันหมดหรอก!” ‘จะกังวลไปไย ทั้งโรงเตี้ยมนี้เขาเหมาไว้หมดแล้ว มีแค่เขากับนางและผู้ติดตามแค่ไม่กี่คนเท่านั้น’ หลัวหลิวหยางไม่ได้เอ่ยสิ่งที่คิดในใจ เขายิ้มเจ้าเล่ห์แล้วจับเรียวขางามให้แยกออกเกี่ยวเอวของเขาไว้ “ท่านจะทำอะไร! ไม่เข้าใจหรือว่าข้า! อ๊า!” จางฟางซินร้องเสียงหลงเมื่อสามีที่ยังไม่เข้าพิธีวิวาห์ของนางอุ้มนางทั้งที่สองขาของนางเกี่ยวเอวของเขาไว้ พละกำลังของเขามากล้น เขาอุ้มนางพร้อมสอดประสานแท่งหยกร้อนระอุเข้ามาในกายนาง ชายหนุ่มคำรามในลำคอ แก่นกายแห่งบุรุษเพศถูกช่องทางรักอ่อนนุ่มโอบรัดจนเขาต้องครางเสียงต่ำบรรเทาความเสียวซ่านที่เกิดขึ้น “ท่าน! ลึกเกินไปแล้วนะ!” นางกอดคอเขา สองขาเกี่ยวเอวเขาไว้แน่นเพราะกลัวตก แต่กระนั้นต้องยอมรับว่าช่