เหล่าไท่จวินเรียกซือเจ๋อเยว่เข้ามาในห้องของนางแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ความสามารถนี้ขององค์หญิงช่างล้ำเลิศจริง ๆ ต่อไปอาจจะนำปัญหามาให้องค์หญิงก็เป็นได้” “หากองค์หญิงไม่อยากเกิดปัญหาเช่นนี้ ข้าจะสั่งการอย่างเคร่งครัดไม่ให้คนในจวนแพร่งพรายออกไป” ซือเจ๋อเยว่เอ่ยอย่างใจกว้างมากว่า “ข้ามาจากสำนักเต๋า เรื่องการดูโหงวเฮ้งเป็นถือว่าเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก”“อีกทั้งข้าเคยดูโหงวเฮ้งให้กวนมามา หนิวกงกงและบรรดาองครักษ์ที่คุ้มกันจวนอ๋องต่อหน้าผู้คนมาก่อน จึงไม่อาจปิดบังเรื่องนี้ได้”“ข้าคิดว่าในจวนอ๋องมีบุคคลพิเศษเช่นข้า และมีความสามารถพิเศษนี้อยู่ บางทีอาจจะเกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้” เหล่าไท่จวินมองนางพลางเอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความชื่นชมว่า “เพียงแต่แบบนี้ ต่อไปเกรงว่าจะมีเรื่องมาหาองค์หญิงเอง”ซือเจ๋อเยว่ยยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ท่านย่าก็ทราบว่าข้าเหลืออายุขัยเพียงปีเดียวเท่านั้น”“ปัญหาของคนทั่วไป สำหรับข้าแล้วล้วนเป็นเรื่องสนุก”หลังจากที่หมอหลวงจางตรวจอาการให้นางครั้งก่อน บอกว่านางอยู่ไม่เกินอายุสิบแปดปี ตอนนั้นนางปฏิเสธไปแล้ว แต่นางรู้ว่าไม่อาจปิดบังเหล่าไท่จวินได้
ในความคิดของบิดาลู่และมารดาลู่ นี่เป็นโอกาสดียิ่งที่จะได้เข้าหาจวนหนิงกั๋วกงจริง ๆ ก่อนหน้านี้พวกเขาเสียแรงไปมากมายถึงทำให้ลู่จิ่นเหนียงแต่งงานเข้าจวนเยียนอ๋องได้ เดิมทีหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ผลปรากฏว่าเยียนอ๋องเป็นคนยุติธรรมมาก ไม่เล่นพรรคเล่นพวก ไม่ให้จวนลู่อาศัยอำนาจบารมีใด ๆ ด้วยเหตุนี้ บิดาลู่กับมารดาลู่จึงค่อนข้างรู้สึกไม่พอใจหลังจากที่จวนเยียนอ๋องเกิดเรื่อง ทั้งคู่ก็อกสั่นขวัญแขวน กลัวว่าจะถูกลู่จิ่นเหนียงดึงเข้าไปพัวพันด้วย อีกทั้งยังเคยคิดจะตัดขาดความสัมพันธ์กับลู่จิ่นเหนียง ดังนั้นในช่วงเวลานี้พวกเขาจึงไม่เคยไปจวนเยียนอ๋อง ยิ่งไม่เคยไปเยี่ยมลู่จิ่นเหนียงเลยเมื่อวานนี้เอง คนของจวนหนิงกั๋วกงมาหา บอกว่าคุณชายรองของพวกเขาชอบลู่จิ่นเหนียง ขอเพียงลู่จิ่นเหนียงออกจากจวนเยียนอ๋องก็ยินดีแต่งงานกับนางเรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากราวกับหล่นลงมาจากสวรรค์สำหรับบิดาลู่กับมารดาลู่จริง ๆ หลังจากนั้นเหล่าไท่จวินส่งคนมามอบจดหมายเชิญให้พวกเขา ให้พวกเขาไปจวนเยียนอ๋องเพื่อหารือเรื่องการอยู่หรือไปของลู่จิ่นเหนียง พวกเขาก็รู้สึกยินดีปรีดาจริง ๆแม้ว่าเรื่องลู่จิ่นเห
เดิมทีผู้อาวุโสในจวนเยียนอ๋องล้วนไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ เยียนซื่อต้องอ้อนวอนอย่างหนักถึงทำให้พวกเขาใจอ่อน ลู่จิ่นเหนียงถึงได้แต่งงานเข้าจวนเยียนอ๋องสมปรารถนา เนื่องจากวิธีการที่นางแต่งงานเข้าจวนเยียนอ๋องไม่ค่อยเหมาะสมนัก นางจึงรู้สึกใจไม่เป็นสุขเล็กน้อย ดังนั้นเลยใส่ใจเรื่องฐานะเป็นพิเศษหลังจากที่ลู่จิ่นเหนียงแต่งงานเข้าจวนเยียนอ๋องแล้ว บรรดาผู้อาวุโสในจวนปฏิบัติต่อนางดีมากเสมอมาจริง ๆ แต่ตัวนางกลับคิดเปรียบเทียบเรื่องต่าง ๆ นานา กลัวว่าจะถูกปฏิบัติแตกต่างออกไป นางคิดเล็กคิดน้อยมากเกินไป เอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมานั่งเปรียบเทียบหมด จนทำให้นางคิดเสมอว่าบรรดาผู้อาวุโสในจวนเยียนอ๋องไม่เมตตานางนางถามมารดาลู่ว่า “ท่านแม่ ท่านบอกว่าคุณชายรองรู้จักข้า? เหตุใดข้าถึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขาเลยสักนิดเดียวเล่า?”มารดาลู่พยักหน้า “ใช่แล้ว พ่อบ้านของจวนกั๋วกงบอกไว้เช่นนี้ คิดว่าเป็นเรื่องจริง”“เจ้าจำไม่ได้อาจเป็นเพราะเคยเจอกันในงานเลี้ยงที่มีคนมากมาย เขาเห็นเจ้า แต่เจ้าไม่สังเกตเห็นเขา”นางมองลู่จิ่นเหนียงแล้วเอ่ยว่า “อาเหนียงของข้างดงามเพียงนี้ จะถูกคนเฝ้าคิดถึงก็เป็นเรื่องปก
นางดูเหมือนทั้งรักทั้งชังอาจารย์ทั้งเก้าของนาง ปากนางเอ่ยคำพูดที่รุนแรง แต่ในใจเหมือนใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกเขามาก เขาจึงเอ่ยว่า “ได้ เช่นนั้นก็บอกตามความจริง” ระหว่างที่เอ่ย รถม้าก็มาถึงศาลต้าหลี่แล้ว ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานลงจากรถม้าด้วยกัน หลังจากที่เดินไปถึงหน้าประตูแล้วเอ่ยกับข้าราชการชั้นผู้น้อยที่เฝ้าประตู ข้าราชการชั้นผู้น้อยก็เข้าไปรายงานไม่นาน ข้าราชการชั้นผู้น้อยก็ออกมาอีกครั้งแล้วพาพวกเขาไปที่ห้องทำงานของเหวยอิ้งหวนเหวยอิ้งหวนดูเหมือนเพิ่งกลับมาถึงศาลต้าหลี่ มีดินเปรอะเปื้อนตัวของเขาไม่น้อย ศีรษะก็ถูกลมพัดจนกระเซอะกระเซิงเล็กน้อย ดูยุ่งเหยิงอยู่บ้างเพียงแต่สีหน้าของเขายังคงเยือกเย็นสงบนิ่งพันปีไม่เปลี่ยนแปลง “คุณชายสามมาพอดี ข้ากำลังจะไปหาท่านที่จวนอ๋องอยู่เลย”เยียนเซียวหรานประสานมือคารวะเขาแล้วก็ถามว่า “ใต้เท้าเหวยหาข้าเพราะเรื่องสุสานหลวงใช่หรือไม่?”“ดูท่าทางของใต้เท้าเหวย เพิ่งจะกลับมาจากสุสานหลวงสินะ?”เหวยอิ้งหวนพยักหน้า “ถูกต้อง ข้าเพิ่งกลับมาจากสุสานหลวง ในใจมีข้อสงสัยบางอย่าง อยากสอบถามคุณชายสาม”เยียนเซียวหรานถามเขาว่า “ใต้เท้าได้เห็นศพคนชุดดำพว
เหวยอิ้งหวนยังคงตอบว่า “นางเองก็ไม่รู้ฐานะตัวตนของคนผู้นั้น รู้เพียงว่าคนผู้นั้นจ่ายหนักมาก” ซือเจ๋อเยว่ไม่ค่อยแปลกใจกับคำตอบนี้ ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังการทำร้ายจวนเยียนอ๋องจะต้องซ่อนฐานะของตัวเองไว้อย่างแน่นอน ไม่ทางโผล่หัวออกมาไวขนาดนั้นเหวยอิ้งหวนกล่าวอีกว่า “การลอบสังหารคุณชายสามเมื่อคืนเป็นเรื่องใหญ่นัก ข้าจะกราบทูลเรื่องนี้กับฝ่าบาท” เยียนเซียวหรานเอ่ยถามว่า “จำเป็นต้องให้ข้าเข้าวังกับใต้เท้าหรือไม่?”เหวยอิ้งหวนพยักหน้า “หากร่างกายของคุณชายสามไม่เป็นอันใด เข้าวังพร้อมกับข้าย่อมเหมาะสมที่สุด” ยิ่งสืบคดีเยียนอ๋องพ่ายแพ้ในการศึก ยิ่งมีข้อสงสัยมากขึ้น แม้เหวยอิ้งหวนเป็นผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ เป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในการตัดสินโทษของต้าฉู่ แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าเรื่องราวภายในเรื่องนี้ซับซ้อนมากต่อให้เป็นเขาก็รับผิดชอบไม่ไหว จำเป็นต้องให้ฮ่องเต้เจาหมิงตัดสินเรื่องนี้ด้วยตนเองทั้งสามคนปรึกษาหารือเรื่องเข้าเฝ้ากันคร่าว ๆ โดยจะให้เหวยอิ้งหวนยื่นฎีกาก่อน หลังจากที่กำหนดเวลาได้แล้วค่อยแจ้งให้เยียนเซียวหรานทราบแม้ว่าเยียนเซียวหรานจะเป็นคุณชายของจวนเยียนอ๋อง แต่เขาไม่ใช่เยียนอ๋อ
“ขออภัยด้วย ขออภัย ข้าแค่เดาส่งเดชเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะเดาถูกด้วย” เหวยอิ้งหวน “...”เขาถลึงตาใส่ซือเจ๋อเยว่แวบหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “ใครก็ได้ ส่งแขก!”ซือเจ๋อเยว่เขยิบเข้าไปใกล้เบื้องหน้าเขาแล้วกระซิบเบา ๆ ว่า “หากใต้เท้าเหวยอยากรีบร้อนแต่งภรรยามาอุ่นเตียงจริง ๆ บางทีข้าอาจจะช่วยคิดหาทางให้ท่านได้นะ” เหวยอิ้งหวนเอ่ยด้วยเสียงเข้มว่า “ต่อไปองค์หญิงโปรดระวังคำพูดด้วย”“องค์หญิงเอ่ยเรื่องที่ไม่ค่อยดีพวกนั้นมากไป หลังจากนั้นก็เป็นจริงขึ้นมาทั้งหมด เกรงว่าจะเสื่อมเสียชื่อเสียงขององค์หญิงได้” ซือเจ๋อเยว่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เสื่อมเสียชื่อเสียงของข้า? ข้ามีชื่อเสียงอันใดอีกหรือ?” นางกล่าวจบก็เดินออกจากศาลต้าหลี่ไปพร้อมกับเยียนเซียวหราน เหวยอิ้งหวนชะงักไปครู่หนึ่ง นึกขึ้นได้ว่าหลังจากที่นางเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว ก็มีข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับนางแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงต่อมาเรื่องราวต่าง ๆ ที่นางได้แต่งงงานเข้าจวนเยียนอ๋องทำให้ข่าวลือพวกนั้นทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น บัดนี้ผู้คนมากมายล้วนกล่าวว่านางเป็นตัวซวย เหวยอิ้งหวนประสบปัญหาด้านการแต่งงานมากจนได้ชื่อว่ามีดวงข่มภรรยาเช่นก
หลังจากที่นางเข้าวังครั้งก่อนก็ตัดข้อสงสัยนี้ไปแล้ว หากเรื่องนี้เป็นฝีมือของพระองค์จริง ๆ ทุกคนในจวนเยียนอ๋องคงหมดทางรอดไปนานแล้วบัดนี้ทุกคนในจวนเยียนอ๋องยังมีชีวิตอยู่กันหมด นั่นก็หมายความว่าอย่างน้อยพระองค์ไม่คิดจะกวาดล้างจวนเยียนอ๋องให้สิ้นซาก เพียงแต่ว่าต่อให้ฮ่องเต้เจาหมิงทราบดีแก่ใจว่าผู้ใดเป็นคนกระทำเรื่องนี้ นั่นก็คือพระโอรสของพระองค์ เกรงว่าพระองค์คงจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้นเรื่องเยียนอ๋องรบจนตัวตาย พวกเขาก็ดำเนินการตามขั้นตอนที่ควรทำในฉากหน้า ทว่าหากต้องการค้นหาความจริงล้างแค้นให้เยียนอ๋อง ก็ได้แต่อาศัยตัวพวกเขาเอง นางนึกถึงอีกเรื่องหนึ่ง “เสด็จพ่อกับซื่อจื่อล้วนไม่อยู่แล้ว จวนเยียนอ๋องเหลือเพียงท่านที่เป็นบุรุษผู้เดียว ท่านสามารถสืบทอดตำแหน่งเยียนอ๋องได้ใช่หรือไม่?”นัยน์ตาของเยียนเซียวหรานหรี่ลงเล็กน้อย “เรื่องนี้ยังได้รับการเห็นชอบจากฮ่องเต้” “ส่วนผู้บงการเบื้องหลังที่ลงมือกับจวนเยียนอ๋อง พวกเขาคงไม่ปล่อยให้ข้าได้สืบทอดตำแหน่งเยียนอ๋อง” ซือเจ๋อเยว่แค่ขบคิดถึงตรรกะในเรื่องนี้สักเล็กน้อยก็เข้าใจได้แล้ว พวกเขากลัวว่าเยียนเซียวหรานจะล้างแค้น ดังนั้นถึงไม่
แต่เด็กชายกลับไม่ยอมทำตามคำพูดนางมากนัก เขาเอามือข้างหนึ่งปัดมือของนางออก “ข้าไม่อยากกินขนม ข้าอยากเล่น!” เขากล่าวจบก็ถลึงตาใส่อวิ๋นไท่เฟยแล้วกล่าวว่า “ทุกครั้งที่ข้ามาที่นี่ ท่านก็ให้ข้ากิน ๆ ๆ ข้าไม่ใช่หมูนะ จะเอาแต่กินตลอดได้ที่ไหนกันเล่า!”อวิ๋นไท่เฟยถูกเขาโต้แย้งเช่นนี้ก็ไม่ได้โกรธ นางยังคงกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นก็ได้ เจ้าบอกข้ามาสิว่าเจ้าอยากทำสิ่งใด ข้าตามใจเจ้าทุกอย่าง” เด็กชายมองไปรอบ ๆ เห็นซือเจ๋อเยว่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู ดวงตาของเขาก็ส่องประกาย “ให้นางหมอบลงกับพื้นเป็นม้าให้ข้าขี่”อวิ๋นไท่เฟยเห็นซือเจ๋อเยว่เช่นกันจึงเอ่ยว่า “ยังจะอึ้งอยู่ทำไม ยังไม่รีบหมอบลงอีก?” ซือเจ๋อเยว่ยิ้ม แล้วกวักนิ้วให้เด็กชายก่อนจะถามว่า “เจ้ามีนามว่าอะไร?” เด็กชายเอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “นังทาสสุนัข เจ้ากล้าดีนักนะที่กล้าถามนามของข้า!” “ให้เจ้าหมอบลง เจ้าก็รีบหมอบลงให้ข้าเสีย มิฉะนั้นข้าจะเฆี่ยนเจ้า!” “โอ้!” ซือเจ๋อเยว่เอ่ยด้วยสีหน้าสนุกสนานว่า “ยังจะเฆี่ยนข้าด้วย ช่างร้ายกาจเสียจริง!” เด็กชายเอ่ยอย่างลำพองใจว่า “แน่สิ! ข้าคือองค์ชายเก้าที่เสด็จพ่อทรงรักเอ็นดูมากที่สุด ข้
เขาจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา "เป็นข้าที่ไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าเรื่องราวระหว่างเราจะต่างออกไป" "แต่ข้ากลับลืมไปว่า เจ้าเป็นคนของสำนักเต๋า เราสองคนก็อยู่กันคนละฝ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม" "ซือเจ๋อเยว่ ตั้งแต่นี้ไปข้าขอตัดขาดจากเจ้า หากพบกันอีก ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!" เมื่อเอ่ยจบเขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งจากร่างกายแล้วขว้างออกไป สิ่งนั้นทำหน้าที่รับแรงโจมตีจากค่ายกลแทนเขา ก่อนที่ตัวเขาจะพุ่งออกจากค่ายกลราวกับดาวตกก็ไม่ปาน ซือเจ๋อเยว่รีบไล่ตามออกไป แต่ภายนอกกลับไร้เงาของไป๋จื้อเซียน นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง วันนี้เขาเข้าใจนางผิด แล้วจากไปเช่นนี้ ภายภาคหน้าก็ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าจะเกิดอันใดขึ้นอีก ยังดีที่เขาเคยสาบานต่อสวรรค์ ว่าจะไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ อย่างน้อยสถานการณ์ก็ยังไม่เลวร้ายถึงระดับนั้น แต่เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาขาดสะบั้นในบัดนี้ ด้วยนิสัยของเขา ย่อมต้องหาหนทางสังหารนางให้ได้อย่างแน่นอน! นางคิดว่าตนเองยังคงประเมินไป๋จื้อเซียนต่ำเกินไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาได้ เยียนเซียวหรานถามขึ้น "เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น?" ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ "ตุ๊
ซือเจ๋อเยว่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้นับหลังจากตั้งแต่ที่อาจารย์สามปั้นเสร็จแล้ววางไว้ที่นี่ ก็ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรนางคิดมาตลอดว่าอาจารย์สามทำเช่นนี้เพราะจะหยอกนางเล่น ไม่คิดเลยว่าจนกระทั่งวันนี้จะมีความเคลื่อนไหวแล้วที่ประตูมีเสียงของไป๋จื้อเซียนดังลอยเข้ามา “เจ้าล่อลวงข้ามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะฆ่าข้าใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ากลับไปมองก็เห็นไป๋จื้อเซียนยืนอยู่ที่หน้าประตู ตุ๊กตาดินเผาเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นค่ายกล จะจัดการกับเขาหลังจากที่วันนี้เขาเดินเข้ามาในสำนักเต๋า ความสามารถทุกด้านก็ถูกลดทอนลง ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้ยังเป็นตุ๊กตาที่อาจารย์สามปั้นขึ้นเองกับมืออีกด้วย ด้านในมีค่ายกลที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งซ่อนอยู่ไป๋จื้อเซียนในเวลานี้ถูกค่ายกลนี้ขังเอาไว้ ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้เขาเกิดความสงสัยมาก ประกอบกับก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่อยากจะจัดการเขามาตลอด เขาจึงคิดว่านางเป็นผู้ควบคุมให้ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้มาจัดการเขาก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่เคยคิดอยากจะจัดการเขาในสำนักเต๋าจริง ๆ แต่เป็นครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางจริง ๆเป็นเพราะร่างกายที่พิเศษเ
ความทรุดโทรมนี้เริ่มปรากฏตั้งแต่ประตูเขาที่เก่าและทรุดโทรม ยาวไปตลอดทางจนถึงกระทั่งถึงโถงใหญ่ของสำนักเต๋าด้านในก็มีเพียงรูปหล่องทองคำปรมาจารย์เต๋าที่ยังมีสภาพดีอยู่เพียงเท่านั้น อาคารอื่น ๆ ของวัดก็สามารถใช้คำว่าชำรุดทรุดโทรมมาบรรยายได้เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมา นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ที่เฝ้าภูเขาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว ไม่ไปไหนแล้วใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ได้ยินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอาศัยคืนเดียวก็จะไปแล้ว”ใบหน้าของนักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ก็มีสีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นมาทันที นางหยิบทองหนึ่งกำมือออกมาจากมิติคาถาเต๋าแล้วมอบให้เขา “ค่าอาหารของปีนี้”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ใช้สองมือรับทองคำ ใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมาทันที “อย่างไรเสียศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็เก่งกาจ!”สำนักเต๋าผ่านไปด้วยความยากลำบากมาก ทองคำเหล่านี้เมื่อแลกเป็นเงินก็ได้หลายพันตำลึง เพียงพอที่จะให้พวกเขามีกินได้ถึงสิ้นปีซือเจ๋อเยว่ถามเขา “พวกอาจารย์ออกจากสำนักเต๋าตั้งแต่เมื่อใด?”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ “ทันทีที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกไปจากสำนักเต๋า เจ้าสำนักพวกเขาก็ไปแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้ว “พวกเขาได้บอกหรือไ
ซือเจ๋อเยว่เผชิญหน้ากับสายตาที่แฝงไปด้วยความน้อยใจของไป๋จื้อเซียน นางมีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยท่าทางเช่นนี้ของเขา เกรงว่าคนที่ไม่รู้จะคิดว่าพวกเขากำลังสุมหัวกันกลั่นแกล้งเขาแต่เรื่องจริงคือเขาเกือบทำให้พวกเขาต้องติดกับดักจนตายในเวลานี้นางจำต้องกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋มาก”ไป๋จื้อเซียนมองนางด้วยสีหน้าน่าสงสารพร้อมกล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าดุข้า”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางสูดหายใจในใจทีหนึ่ง เจ้าหมอนี่แสดงละครเก่งมาก!นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้ามีนิสัยใจร้อน เวลามองอะไรก็มักจะมองแค่สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่สู้คุณชายไป๋ที่มองการณ์ไกล”“คุณชายไป๋คาดการณ์เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในตอนหลังได้ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าชื่นชมตบะอันล้ำลึกทำให้ข้านับถือจากใจจริง”“ครั้งหน้าหากยังมีเรื่องแบบเดียวกันอีก คุณชายไป๋ได้โปรดแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเสียหน่อย พวกเราจะได้ร่วมมือกันได้ดี”นางพูดจบก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “คุณชายไป๋ช่วยพวกเราคำนวณดูหน่อยได้หรือไม่ พวกเรากลับเมืองหลวงครั้งนี้ จะล้มจวนหนิงกั๋วกงได้หรือไม่?”ไป๋จื้อเซียน “...”ถึงแม้เขาจะมีชีวิตอยู่มาหนึ่งพันปีแล้วก็ตาม เรียนรู้เพียงความสามารถฆ
“ถึงแม้วันนี้ข้ากับชื่อปาเลี่ยจะบุกฝ่าออกมาได้ แต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”“การล้อเล่นแบบนี้ อย่างไรคุณชายไป๋ช่วยลดลงหน่อยจะดีมาก”ไป๋จื้อเซียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาหันหน้าไปมองไป๋จื้อเซียน โดยไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อยชื่อปาเลี่ยที่อยู่ข้าง ๆ พูดไกล่เกลี่ย “ครั้งนี้พวกข้าไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ช่างเถอะ”ความโกรธที่ไป๋จื้อเซียนมีอยู่มากมายไม่มีที่ระบาย ยกมือขึ้นแล้วสะบัดทำให้ชื่อปาเลี่ยลอยกระเด็นออกไปชื่อปาเลี่ย “!!!!!”หากวันหลังเขายังกล้าสอดเรื่องของพวกเขาอีก เขาก็คือก็คือไอ้ลูกหมา!เขากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ร้องโอ๊ยออกมาทีหนึ่งซือเจ๋อเยว่รีบยื่นมือออกไปประคองชื่อปาเลี่ย “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ชื่อปาเลี่ยกุมหน้าอกกล่าว “ข้าเจ็บหน้าอกนิดหน่อย”ในระหว่างที่พูดเขารู้สึกผิดปกติบริเวณหน้าอก ยื่นมือออกไปแล้วล้วง ไม่คิดเลยว่าจะควักสมุดบันทึกเล็ก ๆ เล่มหนึ่งออกมาจากข้างใน “นี่มันอะไรกัน?”หลังจากซือเจ๋อเยว่รับมาก็เปิดสมุดบันทึกเล่มเล็ก พบว่าเป็นสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้ายฉบับนั้นที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าวไว้นางทั้งตกใจทั้งดีใจ “นี่คือสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้าย!”เยียนเซียวหรา
ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร”นางพูดจบก็กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”เยียนเซียวหรานยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร”เขาพูดจบก็ประสานมือคำนับไป๋จื้อเซียนกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋ที่พาองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย ทำให้ข้าไม่ต้องเป็นพะวงที่จะบุกฝ่ากองทัพออกมา”สีหน้าของไป๋จื้อเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรื่องนี้เขาวางแผนทำร้ายเยียนเซียวหราน เยียนเซียวหรานขอบคุณเขาจึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมากยังมีท่าทีของซือเจ๋อเยว่อีก ในดวงตาของนางมีเพียงเยียนเซียวหรานเท่านั้น ไม่มีเขาเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเขารู้สึกไม่พอใจ จึงอยากจะทำร้ายชื่อปาเลี่ยอีกครั้งดวงตาของเขากวาดมองไปยังชื่อปาเลี่ย ชื่อปาเลี่ยได้หลบไปอยู่ที่ด้านหลังของซือเจ๋อเยว่อย่างรวดเร็ว “คุณชายไป๋จะทำร้ายข้า องค์หญิงช่วยด้วย!”ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าไป๋จื้อเซียนมีนิสัยขี้โมโห เขาติดตามอยู่ข้าง ๆ พวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าจะเบิดขึ้นเมื่อไหร่เพียงแต่หากปล่อยเขาไป วันข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นอีกนางคิดว่า อย่างไรเสียก็ต้องคิดหาว
เขายิ้มแย้มพร้อมกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ข้าพาเจ๋อเยว่นำไปก่อน พวกเจ้าสู้ ๆ ล่ะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยความร้อนใจ “นี่ เจ้าพาพวกเขาไปด้วยกันสิ!”ไป๋จื้อเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “สถานการณ์แบบนี้ไม่ฆ่าคนก็พาพวกเขาออกไปไม่ได้”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์ไว้ว่า ไม่สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยไม่มีสาเหตุ ดังนั้น...”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งสองข้างของเขาแฝงไปด้วยหยอกเย้า ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครด้วยความสุขนางรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้เขานั้นเจตนา!นางรู้ดีว่า คนที่ชั่วร้ายเช่นไป๋จื้อเซียนจะยอมร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างไร?นางกล่าวด้วยความร้อนใจ “ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปช่วยพวกเขา!”ไป๋จื้อเซียนยิ้มด้วยความร่าเริงพร้อมกล่าว “ตอนนี้ด้านล่างมีแต่คน ทั้งเจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์ หากลงไปจริง ๆ ก็รังแต่จะยิ่งอันตราย”“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้าสงบ เยียนเซียวหรานก็จะไม่เป็นพะวง ก็สามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่”“ข้าเชื่อ ด้วยความสามารถของเขา ต้องสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้แน่ ปลอดภัยหายห่วง” ซือเจ๋อเยว่ค้อนเขา เขากะพริบตาใส
เยียนเซียวหรานกวัดแกว่งกระบี่ในมืออย่างสุดแรง พยายามพาซือเจ๋อเยว่พุ่งตัวออกไปด้านนอกชื่อปาเลี่ยกลับด่าทออย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น “ไอ้แม่งเอ๊ย ครั้งก่อนเกือบตายที่ด่านอวิ๋นหลิ่ง ครั้งนี้ยังจะมาอีก!”เขาพูดจบก็กล่าวกับซือเจ๋อเยว่อีก “องค์หญิง ค่ายกลนั่นของท่านเมื่อครั้งก่อน เอาออกมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เอามาใช้อีกครั้ง ข้าก็สามารถตายตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้เลย!”ชื่อปาเลี่ย “...”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงขรึม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยกันกับข้า”ซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิด ครั้งนี้อยู่ภายในห้องปิดตาย จะอย่างไรก็ต้องพุ่งตัวเข้าไปหาก่อนดังนั้นนางจึงหยิบยันต์ออกมา ใช้คาถาเต๋าทำให้ระเบิด ภายในชั่วพริบตา ภายในห้องก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น พัดทหารยามพวกนั้นที่อยู่หน้าประตูลอยกระเด็นออกไปข้างนอกชื่อปาเลี่ยหลบไม่ทัน หัวจึงกระแทกพื้นเยียนเซียวหรานอยากจะจับเขาเอาไว้ แต่ลมแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถจับเขาได้เลยซือเจ๋อเยว่คว้าขาของชื่อปาเลี่ยเอาไว้แล้วกล่าว “รีบไป!”ชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”เขาเองก็อยากจะหนีไปโดยเร็วเช่นกัน แต่ปัญหาคือลมทั้งรุนแ
สิ่งของที่อยู่ด้านในมองดูค่อนข้างสลับซับซ้อน กองกันเละเทะ ทันทีที่ดูก็รู้ว่าหลังจากถูกใครบางคนรื้อค้นจนเละเทะ ก็ไม่ได้จัดระเบียบใหม่ภายในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ อยากจะตามหาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้ เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานรื้อค้นรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้อะไรแม้แต่อย่างเดียวทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก็เห็นความจนปัญญาจากดวงตาของอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตามหาต่อไปแล้วในเวลานี้เอง เสียงของทหารยามก็ดังลอยมาจากหน้าประตู “ใครกัน?”ซือเจ๋อเยว่รีบเก็บไข่มุกราตรีลงไป ด้านในจึงกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งเนื่องจากเมื่อครู่นี้ทหารยามได้เห็น ‘การแสดง’ ของไป๋จื้อเซียน ภายในใจจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่เพราะมีคำสั่งของนายพลที่เฝ้าด่าน เขาจึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการอีก จึงเรียกเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจว่าจะจุดเทียนแล้วเข้าไปตรวจค้นด้านในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตู ทหารยามคนนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของไป๋จื้อเซียน เสื้อผ้าสีแดงราวกับเลือดทหารยามไม่ได้รู้สึกตัวในทันที ยังถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ไป๋จื้อ