เหวยอิ้งหวนยังคงตอบว่า “นางเองก็ไม่รู้ฐานะตัวตนของคนผู้นั้น รู้เพียงว่าคนผู้นั้นจ่ายหนักมาก” ซือเจ๋อเยว่ไม่ค่อยแปลกใจกับคำตอบนี้ ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังการทำร้ายจวนเยียนอ๋องจะต้องซ่อนฐานะของตัวเองไว้อย่างแน่นอน ไม่ทางโผล่หัวออกมาไวขนาดนั้นเหวยอิ้งหวนกล่าวอีกว่า “การลอบสังหารคุณชายสามเมื่อคืนเป็นเรื่องใหญ่นัก ข้าจะกราบทูลเรื่องนี้กับฝ่าบาท” เยียนเซียวหรานเอ่ยถามว่า “จำเป็นต้องให้ข้าเข้าวังกับใต้เท้าหรือไม่?”เหวยอิ้งหวนพยักหน้า “หากร่างกายของคุณชายสามไม่เป็นอันใด เข้าวังพร้อมกับข้าย่อมเหมาะสมที่สุด” ยิ่งสืบคดีเยียนอ๋องพ่ายแพ้ในการศึก ยิ่งมีข้อสงสัยมากขึ้น แม้เหวยอิ้งหวนเป็นผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ เป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในการตัดสินโทษของต้าฉู่ แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าเรื่องราวภายในเรื่องนี้ซับซ้อนมากต่อให้เป็นเขาก็รับผิดชอบไม่ไหว จำเป็นต้องให้ฮ่องเต้เจาหมิงตัดสินเรื่องนี้ด้วยตนเองทั้งสามคนปรึกษาหารือเรื่องเข้าเฝ้ากันคร่าว ๆ โดยจะให้เหวยอิ้งหวนยื่นฎีกาก่อน หลังจากที่กำหนดเวลาได้แล้วค่อยแจ้งให้เยียนเซียวหรานทราบแม้ว่าเยียนเซียวหรานจะเป็นคุณชายของจวนเยียนอ๋อง แต่เขาไม่ใช่เยียนอ๋อ
“ขออภัยด้วย ขออภัย ข้าแค่เดาส่งเดชเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะเดาถูกด้วย” เหวยอิ้งหวน “...”เขาถลึงตาใส่ซือเจ๋อเยว่แวบหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “ใครก็ได้ ส่งแขก!”ซือเจ๋อเยว่เขยิบเข้าไปใกล้เบื้องหน้าเขาแล้วกระซิบเบา ๆ ว่า “หากใต้เท้าเหวยอยากรีบร้อนแต่งภรรยามาอุ่นเตียงจริง ๆ บางทีข้าอาจจะช่วยคิดหาทางให้ท่านได้นะ” เหวยอิ้งหวนเอ่ยด้วยเสียงเข้มว่า “ต่อไปองค์หญิงโปรดระวังคำพูดด้วย”“องค์หญิงเอ่ยเรื่องที่ไม่ค่อยดีพวกนั้นมากไป หลังจากนั้นก็เป็นจริงขึ้นมาทั้งหมด เกรงว่าจะเสื่อมเสียชื่อเสียงขององค์หญิงได้” ซือเจ๋อเยว่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เสื่อมเสียชื่อเสียงของข้า? ข้ามีชื่อเสียงอันใดอีกหรือ?” นางกล่าวจบก็เดินออกจากศาลต้าหลี่ไปพร้อมกับเยียนเซียวหราน เหวยอิ้งหวนชะงักไปครู่หนึ่ง นึกขึ้นได้ว่าหลังจากที่นางเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว ก็มีข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับนางแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงต่อมาเรื่องราวต่าง ๆ ที่นางได้แต่งงงานเข้าจวนเยียนอ๋องทำให้ข่าวลือพวกนั้นทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น บัดนี้ผู้คนมากมายล้วนกล่าวว่านางเป็นตัวซวย เหวยอิ้งหวนประสบปัญหาด้านการแต่งงานมากจนได้ชื่อว่ามีดวงข่มภรรยาเช่นก
หลังจากที่นางเข้าวังครั้งก่อนก็ตัดข้อสงสัยนี้ไปแล้ว หากเรื่องนี้เป็นฝีมือของพระองค์จริง ๆ ทุกคนในจวนเยียนอ๋องคงหมดทางรอดไปนานแล้วบัดนี้ทุกคนในจวนเยียนอ๋องยังมีชีวิตอยู่กันหมด นั่นก็หมายความว่าอย่างน้อยพระองค์ไม่คิดจะกวาดล้างจวนเยียนอ๋องให้สิ้นซาก เพียงแต่ว่าต่อให้ฮ่องเต้เจาหมิงทราบดีแก่ใจว่าผู้ใดเป็นคนกระทำเรื่องนี้ นั่นก็คือพระโอรสของพระองค์ เกรงว่าพระองค์คงจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้นเรื่องเยียนอ๋องรบจนตัวตาย พวกเขาก็ดำเนินการตามขั้นตอนที่ควรทำในฉากหน้า ทว่าหากต้องการค้นหาความจริงล้างแค้นให้เยียนอ๋อง ก็ได้แต่อาศัยตัวพวกเขาเอง นางนึกถึงอีกเรื่องหนึ่ง “เสด็จพ่อกับซื่อจื่อล้วนไม่อยู่แล้ว จวนเยียนอ๋องเหลือเพียงท่านที่เป็นบุรุษผู้เดียว ท่านสามารถสืบทอดตำแหน่งเยียนอ๋องได้ใช่หรือไม่?”นัยน์ตาของเยียนเซียวหรานหรี่ลงเล็กน้อย “เรื่องนี้ยังได้รับการเห็นชอบจากฮ่องเต้” “ส่วนผู้บงการเบื้องหลังที่ลงมือกับจวนเยียนอ๋อง พวกเขาคงไม่ปล่อยให้ข้าได้สืบทอดตำแหน่งเยียนอ๋อง” ซือเจ๋อเยว่แค่ขบคิดถึงตรรกะในเรื่องนี้สักเล็กน้อยก็เข้าใจได้แล้ว พวกเขากลัวว่าเยียนเซียวหรานจะล้างแค้น ดังนั้นถึงไม่
แต่เด็กชายกลับไม่ยอมทำตามคำพูดนางมากนัก เขาเอามือข้างหนึ่งปัดมือของนางออก “ข้าไม่อยากกินขนม ข้าอยากเล่น!” เขากล่าวจบก็ถลึงตาใส่อวิ๋นไท่เฟยแล้วกล่าวว่า “ทุกครั้งที่ข้ามาที่นี่ ท่านก็ให้ข้ากิน ๆ ๆ ข้าไม่ใช่หมูนะ จะเอาแต่กินตลอดได้ที่ไหนกันเล่า!”อวิ๋นไท่เฟยถูกเขาโต้แย้งเช่นนี้ก็ไม่ได้โกรธ นางยังคงกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นก็ได้ เจ้าบอกข้ามาสิว่าเจ้าอยากทำสิ่งใด ข้าตามใจเจ้าทุกอย่าง” เด็กชายมองไปรอบ ๆ เห็นซือเจ๋อเยว่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู ดวงตาของเขาก็ส่องประกาย “ให้นางหมอบลงกับพื้นเป็นม้าให้ข้าขี่”อวิ๋นไท่เฟยเห็นซือเจ๋อเยว่เช่นกันจึงเอ่ยว่า “ยังจะอึ้งอยู่ทำไม ยังไม่รีบหมอบลงอีก?” ซือเจ๋อเยว่ยิ้ม แล้วกวักนิ้วให้เด็กชายก่อนจะถามว่า “เจ้ามีนามว่าอะไร?” เด็กชายเอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “นังทาสสุนัข เจ้ากล้าดีนักนะที่กล้าถามนามของข้า!” “ให้เจ้าหมอบลง เจ้าก็รีบหมอบลงให้ข้าเสีย มิฉะนั้นข้าจะเฆี่ยนเจ้า!” “โอ้!” ซือเจ๋อเยว่เอ่ยด้วยสีหน้าสนุกสนานว่า “ยังจะเฆี่ยนข้าด้วย ช่างร้ายกาจเสียจริง!” เด็กชายเอ่ยอย่างลำพองใจว่า “แน่สิ! ข้าคือองค์ชายเก้าที่เสด็จพ่อทรงรักเอ็นดูมากที่สุด ข้
องค์ชายเก้าร้องไห้ “แงๆ” เสียงดัง “เจ้ามีสิทธิอะไรมาตีข้า! ข้าจะส่งเจ้าไปที่กรมราชทัณฑ์ ข้าจะลงโทษเจ้า!” ซือเจ๋อเยว่มองเขาพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ได้ เจ้ามาลงโทษข้าเลยสิ!”องค์ชายเก้ามองข้ารับใช้ในวังที่คุกเข่าลงกับพื้น นอกจากนี้อวิ๋นไท่เฟยที่ปกติคอยปกป้องเขาทุกเรื่อง เวลานี้กลับยืนโง่งมอยู่ตรงนั้น เขาก็ตะลึงงันอยู่ตรงนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่าเมื่อคนเหล่านี้ไม่เชื่อฟังคำพูดของเขา เช่นนั้นเขาก็เป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ใครจะมารังแกก็ได้ทั้งนั้น แตกต่างกันมากเกินไปจริง ๆ จิตใจของเขาได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เขากลัวนิดหน่อยแล้ว ทำได้เพียงร้องไห้สักพัก ไม่เอ่ยแม้กระทั่งคำพูดที่รุนแรง ซือเจ๋อเยว่ยื่นมือไปบิดหูของเขา “เมื่อครู่นี้อวดเก่งมากไม่ใช่หรือ? อวดเก่งต่อไปสิ!”องค์ชายเก้าเม้มปากกล่าวว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่?” ซือเจ๋อเยว่ยิ้มน้อย ๆ “เมื่อครู่นี้บอกไปแล้วไม่ใช่หรือ ข้าคือพี่สาวของเจ้า” องค์ชายเก้าเบิกตามองนางโดยที่มีน้ำตาคลอ “เจ้าคือพี่สาวของข้า? เหตุใดข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน?” ซือเจ๋อเยว่ตอบกลับว่า “นั่นเป็นเพราะข้าไม่ได้อยู่ในวังหลวงมาตั้งแต่เด็ก แต่อยู่
เขาหันหน้าไปมองซือเจ๋อเยว่แล้วเอ่ยว่า “อารามเต๋าสนุกหรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ตอบกลับว่า “ในความคิดของข้า สนุกกว่าวังหลวงมากนัก สามารถเล่นไปทั่วได้อย่างเต็มที่และไม่มีคนคอยคุม”“ฤดูใบไม้ผลิเก็บหน่อไม้ ฤดูร้อนจับตัวอ่อนจักจั่น ฤดูใบไม้ร่วงเก็บผลไม้ ฤดูหนาวเล่นเลื่อนหิมะ สนุกมาก ๆ เลย”“นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ยังสามารถทำเรื่องอะไรก็ได้ที่ตนเองอยากทำ เรียนรู้ทักษะที่สนุกสนานมากมาย”นางกล่าวจบก็หยิบกระดาษออกมาหนึ่งแผ่น ดูเหมือนพับส่งเดช แต่ก็พับออกมาเป็นกบกระดาษตัวหนึ่ง นางให้องค์ชายเก้ากดลงไปที่ก้นของกบกระดาษ จากนั้นกบกระดาษก็กระโดดไปข้างหน้าทันทีองค์ชายเก้าเบิกตาโต รู้สึกประหลาดใจไม่ไหวแล้ว ก่อนจะไปกดที่ก้นของกบกระดาษอีกครั้ง เล่นอย่างเบิกบานใจมาก เขาเล่นไปพลาง ตะโกนไปพลางว่า “พี่หญิง กบตัวนี้น่าสนุกเกินไปแล้ว ท่านทำได้อย่างไร?”อวิ๋นไท่เฟยมองซือเจ๋อเยว่ด้วยแววตาซับซ้อนมา นางไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใด แม้ว่านายจะพยายามใช้วิธีการทุกอย่างเอาใจองค์ชายเก้า แต่องค์ชายเก้าไม่ค่อยสนิทสนมกับนางนัก อย่างไรก็ตามวันนี้ซือเจ๋อเยว่ทั้งตีทั้งดุด่าองค์ชายเก้า แต่องค์ชายเก้ากลับดูสนิทสนม
นางสบถเบา ๆ ว่า “ปากคอจัดจ้านยิ่งนัก!”ซือเจ๋อเยว่ยิ้มน้อย ๆ “หรือว่าข้าพูดผิดตรงไหน?”“หรือท่านคิดว่าต่อไปข้าใช้ชีวิตของตนเองก็พอ ไม่ต้องสนใจท่าน และไม่ต้องปกป้องท่านแล้วด้วย?”“ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาปกป้อง!” อวิ๋นไท่เฟยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าอยู่ในวังสบายดี!”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ท่านมีชีวิตที่ดีมากจริง ๆ ถึงอย่างไรปัจจุบันวังนี้ก็เป็นวังของเสด็จอา ท่านมีโอรสให้เขา เขาต้องคุ้มครองท่านเป็นธรรมดา” อวิ๋นไท่เฟย “...”นางคิดว่าซือเจ๋อเยว่เอ่ยคำพูดหยาบคายสุดขีด แต่ว่าไม่มีคำหยาบในคำพูดของนางเลยแม้แต่คำเดียวทุกครั้งที่นางสนทนากับซือเจ๋อเยว่ ล้วนเกิดความรู้สึกเหมือนหัวใจจะวายนางสูดลมหายใจลึกแล้วกล่าวว่า “หุบปาก!” ซือเจ๋อเยว่มองนางอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นางสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง “วันนี้ข้าเรียกเจ้าเข้าวัง เพราะว่ามีเรื่องอื่นที่อยากจะถามเจ้า เจ้าจงตอบตามความจริง” ซือเจ๋อเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้ตอบรับคำของนาง นางไม่รู้จริง ๆ ว่าอวิ๋นไท่เฟยเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงกล้าเอ่ยกับนางเช่นนี้อวิ๋นไท่เฟยถามนางว่า “เรื่องที่เยียนเซียวหรานถูกลอบสังหารเมื่อวันก่อน มันเกิดอะไรขึ
“เขาไม่บอกอะไรเลย ข้าย่อมไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”อวิ๋นไท่เฟยสังเกตนางอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้า กำลังคาดเดาว่านางพูดจริงหรือเท็จซือเจ๋อเยว่ปล่อยให้นางสังเกต ทำท่าทางเหมือนไม่คิดอะไรมากอวิ๋นไท่เฟยเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็รู้สึกหงุดหงิดใจ แต่ยังคงถามว่า “เช่นนั้นเจ้ายังรู้อะไรอีกบ้าง?” ซือเจ๋อเยว่ตอบว่า “ข้ารู้ว่าสาเหตุที่เยียนอ๋องสิ้นชีพในสนามรบ เป็นเพราะมีคนคิดว่าเขากุมอำนาจทางทหารของกองทัพหย่งอันไว้ในมือ เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวง”“ด้วยเหตุนี้คนเหล่านั้นจึงใช้วิธีการบางอย่าง หาทางทำให้เขาต่อสู้จนตัวตายในสนามรบ”อวิ๋นไท่เฟยมองนางด้วยสายตาลุ่มลึกขึ้นเล็กน้อยนางเอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่งว่า “เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ข้าแอบฟังมา หากท่านอยากรู้ข้อมูลเหล่านี้ ข้าสามารถไปแอบฟังให้ท่านได้” อวิ๋นไท่เฟยได้ยินคำกล่าวนี้ก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางว่าแล้ว ซือเจ๋อเยว่ต้องการความรักของมารดามากอย่างแน่นอน นางจึงเอ่ยว่า “ต่อไปหากเจ้าได้ข่าวคราวอะไรในจวนเยียนอ๋อง จะต้องหาทางบอกข้าทั้งหมด”“แบบนี้ต่อไปหากเจ้าเกิดเรื่องอะไร ข้าถึงจะหาทางช่วยเหลือเจ้าได้”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า แต่เอ่ยถามว่า
เขาจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา "เป็นข้าที่ไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าเรื่องราวระหว่างเราจะต่างออกไป" "แต่ข้ากลับลืมไปว่า เจ้าเป็นคนของสำนักเต๋า เราสองคนก็อยู่กันคนละฝ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม" "ซือเจ๋อเยว่ ตั้งแต่นี้ไปข้าขอตัดขาดจากเจ้า หากพบกันอีก ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!" เมื่อเอ่ยจบเขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งจากร่างกายแล้วขว้างออกไป สิ่งนั้นทำหน้าที่รับแรงโจมตีจากค่ายกลแทนเขา ก่อนที่ตัวเขาจะพุ่งออกจากค่ายกลราวกับดาวตกก็ไม่ปาน ซือเจ๋อเยว่รีบไล่ตามออกไป แต่ภายนอกกลับไร้เงาของไป๋จื้อเซียน นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง วันนี้เขาเข้าใจนางผิด แล้วจากไปเช่นนี้ ภายภาคหน้าก็ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าจะเกิดอันใดขึ้นอีก ยังดีที่เขาเคยสาบานต่อสวรรค์ ว่าจะไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ อย่างน้อยสถานการณ์ก็ยังไม่เลวร้ายถึงระดับนั้น แต่เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาขาดสะบั้นในบัดนี้ ด้วยนิสัยของเขา ย่อมต้องหาหนทางสังหารนางให้ได้อย่างแน่นอน! นางคิดว่าตนเองยังคงประเมินไป๋จื้อเซียนต่ำเกินไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาได้ เยียนเซียวหรานถามขึ้น "เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น?" ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ "ตุ๊
ซือเจ๋อเยว่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้นับหลังจากตั้งแต่ที่อาจารย์สามปั้นเสร็จแล้ววางไว้ที่นี่ ก็ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรนางคิดมาตลอดว่าอาจารย์สามทำเช่นนี้เพราะจะหยอกนางเล่น ไม่คิดเลยว่าจนกระทั่งวันนี้จะมีความเคลื่อนไหวแล้วที่ประตูมีเสียงของไป๋จื้อเซียนดังลอยเข้ามา “เจ้าล่อลวงข้ามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะฆ่าข้าใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ากลับไปมองก็เห็นไป๋จื้อเซียนยืนอยู่ที่หน้าประตู ตุ๊กตาดินเผาเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นค่ายกล จะจัดการกับเขาหลังจากที่วันนี้เขาเดินเข้ามาในสำนักเต๋า ความสามารถทุกด้านก็ถูกลดทอนลง ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้ยังเป็นตุ๊กตาที่อาจารย์สามปั้นขึ้นเองกับมืออีกด้วย ด้านในมีค่ายกลที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งซ่อนอยู่ไป๋จื้อเซียนในเวลานี้ถูกค่ายกลนี้ขังเอาไว้ ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้เขาเกิดความสงสัยมาก ประกอบกับก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่อยากจะจัดการเขามาตลอด เขาจึงคิดว่านางเป็นผู้ควบคุมให้ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้มาจัดการเขาก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่เคยคิดอยากจะจัดการเขาในสำนักเต๋าจริง ๆ แต่เป็นครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางจริง ๆเป็นเพราะร่างกายที่พิเศษเ
ความทรุดโทรมนี้เริ่มปรากฏตั้งแต่ประตูเขาที่เก่าและทรุดโทรม ยาวไปตลอดทางจนถึงกระทั่งถึงโถงใหญ่ของสำนักเต๋าด้านในก็มีเพียงรูปหล่องทองคำปรมาจารย์เต๋าที่ยังมีสภาพดีอยู่เพียงเท่านั้น อาคารอื่น ๆ ของวัดก็สามารถใช้คำว่าชำรุดทรุดโทรมมาบรรยายได้เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมา นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ที่เฝ้าภูเขาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว ไม่ไปไหนแล้วใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ได้ยินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอาศัยคืนเดียวก็จะไปแล้ว”ใบหน้าของนักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ก็มีสีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นมาทันที นางหยิบทองหนึ่งกำมือออกมาจากมิติคาถาเต๋าแล้วมอบให้เขา “ค่าอาหารของปีนี้”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ใช้สองมือรับทองคำ ใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมาทันที “อย่างไรเสียศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็เก่งกาจ!”สำนักเต๋าผ่านไปด้วยความยากลำบากมาก ทองคำเหล่านี้เมื่อแลกเป็นเงินก็ได้หลายพันตำลึง เพียงพอที่จะให้พวกเขามีกินได้ถึงสิ้นปีซือเจ๋อเยว่ถามเขา “พวกอาจารย์ออกจากสำนักเต๋าตั้งแต่เมื่อใด?”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ “ทันทีที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกไปจากสำนักเต๋า เจ้าสำนักพวกเขาก็ไปแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้ว “พวกเขาได้บอกหรือไ
ซือเจ๋อเยว่เผชิญหน้ากับสายตาที่แฝงไปด้วยความน้อยใจของไป๋จื้อเซียน นางมีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยท่าทางเช่นนี้ของเขา เกรงว่าคนที่ไม่รู้จะคิดว่าพวกเขากำลังสุมหัวกันกลั่นแกล้งเขาแต่เรื่องจริงคือเขาเกือบทำให้พวกเขาต้องติดกับดักจนตายในเวลานี้นางจำต้องกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋มาก”ไป๋จื้อเซียนมองนางด้วยสีหน้าน่าสงสารพร้อมกล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าดุข้า”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางสูดหายใจในใจทีหนึ่ง เจ้าหมอนี่แสดงละครเก่งมาก!นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้ามีนิสัยใจร้อน เวลามองอะไรก็มักจะมองแค่สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่สู้คุณชายไป๋ที่มองการณ์ไกล”“คุณชายไป๋คาดการณ์เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในตอนหลังได้ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าชื่นชมตบะอันล้ำลึกทำให้ข้านับถือจากใจจริง”“ครั้งหน้าหากยังมีเรื่องแบบเดียวกันอีก คุณชายไป๋ได้โปรดแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเสียหน่อย พวกเราจะได้ร่วมมือกันได้ดี”นางพูดจบก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “คุณชายไป๋ช่วยพวกเราคำนวณดูหน่อยได้หรือไม่ พวกเรากลับเมืองหลวงครั้งนี้ จะล้มจวนหนิงกั๋วกงได้หรือไม่?”ไป๋จื้อเซียน “...”ถึงแม้เขาจะมีชีวิตอยู่มาหนึ่งพันปีแล้วก็ตาม เรียนรู้เพียงความสามารถฆ
“ถึงแม้วันนี้ข้ากับชื่อปาเลี่ยจะบุกฝ่าออกมาได้ แต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”“การล้อเล่นแบบนี้ อย่างไรคุณชายไป๋ช่วยลดลงหน่อยจะดีมาก”ไป๋จื้อเซียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาหันหน้าไปมองไป๋จื้อเซียน โดยไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อยชื่อปาเลี่ยที่อยู่ข้าง ๆ พูดไกล่เกลี่ย “ครั้งนี้พวกข้าไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ช่างเถอะ”ความโกรธที่ไป๋จื้อเซียนมีอยู่มากมายไม่มีที่ระบาย ยกมือขึ้นแล้วสะบัดทำให้ชื่อปาเลี่ยลอยกระเด็นออกไปชื่อปาเลี่ย “!!!!!”หากวันหลังเขายังกล้าสอดเรื่องของพวกเขาอีก เขาก็คือก็คือไอ้ลูกหมา!เขากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ร้องโอ๊ยออกมาทีหนึ่งซือเจ๋อเยว่รีบยื่นมือออกไปประคองชื่อปาเลี่ย “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ชื่อปาเลี่ยกุมหน้าอกกล่าว “ข้าเจ็บหน้าอกนิดหน่อย”ในระหว่างที่พูดเขารู้สึกผิดปกติบริเวณหน้าอก ยื่นมือออกไปแล้วล้วง ไม่คิดเลยว่าจะควักสมุดบันทึกเล็ก ๆ เล่มหนึ่งออกมาจากข้างใน “นี่มันอะไรกัน?”หลังจากซือเจ๋อเยว่รับมาก็เปิดสมุดบันทึกเล่มเล็ก พบว่าเป็นสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้ายฉบับนั้นที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าวไว้นางทั้งตกใจทั้งดีใจ “นี่คือสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้าย!”เยียนเซียวหรา
ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร”นางพูดจบก็กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”เยียนเซียวหรานยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร”เขาพูดจบก็ประสานมือคำนับไป๋จื้อเซียนกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋ที่พาองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย ทำให้ข้าไม่ต้องเป็นพะวงที่จะบุกฝ่ากองทัพออกมา”สีหน้าของไป๋จื้อเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรื่องนี้เขาวางแผนทำร้ายเยียนเซียวหราน เยียนเซียวหรานขอบคุณเขาจึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมากยังมีท่าทีของซือเจ๋อเยว่อีก ในดวงตาของนางมีเพียงเยียนเซียวหรานเท่านั้น ไม่มีเขาเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเขารู้สึกไม่พอใจ จึงอยากจะทำร้ายชื่อปาเลี่ยอีกครั้งดวงตาของเขากวาดมองไปยังชื่อปาเลี่ย ชื่อปาเลี่ยได้หลบไปอยู่ที่ด้านหลังของซือเจ๋อเยว่อย่างรวดเร็ว “คุณชายไป๋จะทำร้ายข้า องค์หญิงช่วยด้วย!”ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าไป๋จื้อเซียนมีนิสัยขี้โมโห เขาติดตามอยู่ข้าง ๆ พวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าจะเบิดขึ้นเมื่อไหร่เพียงแต่หากปล่อยเขาไป วันข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นอีกนางคิดว่า อย่างไรเสียก็ต้องคิดหาว
เขายิ้มแย้มพร้อมกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ข้าพาเจ๋อเยว่นำไปก่อน พวกเจ้าสู้ ๆ ล่ะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยความร้อนใจ “นี่ เจ้าพาพวกเขาไปด้วยกันสิ!”ไป๋จื้อเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “สถานการณ์แบบนี้ไม่ฆ่าคนก็พาพวกเขาออกไปไม่ได้”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์ไว้ว่า ไม่สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยไม่มีสาเหตุ ดังนั้น...”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งสองข้างของเขาแฝงไปด้วยหยอกเย้า ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครด้วยความสุขนางรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้เขานั้นเจตนา!นางรู้ดีว่า คนที่ชั่วร้ายเช่นไป๋จื้อเซียนจะยอมร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างไร?นางกล่าวด้วยความร้อนใจ “ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปช่วยพวกเขา!”ไป๋จื้อเซียนยิ้มด้วยความร่าเริงพร้อมกล่าว “ตอนนี้ด้านล่างมีแต่คน ทั้งเจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์ หากลงไปจริง ๆ ก็รังแต่จะยิ่งอันตราย”“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้าสงบ เยียนเซียวหรานก็จะไม่เป็นพะวง ก็สามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่”“ข้าเชื่อ ด้วยความสามารถของเขา ต้องสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้แน่ ปลอดภัยหายห่วง” ซือเจ๋อเยว่ค้อนเขา เขากะพริบตาใส
เยียนเซียวหรานกวัดแกว่งกระบี่ในมืออย่างสุดแรง พยายามพาซือเจ๋อเยว่พุ่งตัวออกไปด้านนอกชื่อปาเลี่ยกลับด่าทออย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น “ไอ้แม่งเอ๊ย ครั้งก่อนเกือบตายที่ด่านอวิ๋นหลิ่ง ครั้งนี้ยังจะมาอีก!”เขาพูดจบก็กล่าวกับซือเจ๋อเยว่อีก “องค์หญิง ค่ายกลนั่นของท่านเมื่อครั้งก่อน เอาออกมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เอามาใช้อีกครั้ง ข้าก็สามารถตายตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้เลย!”ชื่อปาเลี่ย “...”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงขรึม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยกันกับข้า”ซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิด ครั้งนี้อยู่ภายในห้องปิดตาย จะอย่างไรก็ต้องพุ่งตัวเข้าไปหาก่อนดังนั้นนางจึงหยิบยันต์ออกมา ใช้คาถาเต๋าทำให้ระเบิด ภายในชั่วพริบตา ภายในห้องก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น พัดทหารยามพวกนั้นที่อยู่หน้าประตูลอยกระเด็นออกไปข้างนอกชื่อปาเลี่ยหลบไม่ทัน หัวจึงกระแทกพื้นเยียนเซียวหรานอยากจะจับเขาเอาไว้ แต่ลมแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถจับเขาได้เลยซือเจ๋อเยว่คว้าขาของชื่อปาเลี่ยเอาไว้แล้วกล่าว “รีบไป!”ชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”เขาเองก็อยากจะหนีไปโดยเร็วเช่นกัน แต่ปัญหาคือลมทั้งรุนแ
สิ่งของที่อยู่ด้านในมองดูค่อนข้างสลับซับซ้อน กองกันเละเทะ ทันทีที่ดูก็รู้ว่าหลังจากถูกใครบางคนรื้อค้นจนเละเทะ ก็ไม่ได้จัดระเบียบใหม่ภายในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ อยากจะตามหาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้ เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานรื้อค้นรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้อะไรแม้แต่อย่างเดียวทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก็เห็นความจนปัญญาจากดวงตาของอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตามหาต่อไปแล้วในเวลานี้เอง เสียงของทหารยามก็ดังลอยมาจากหน้าประตู “ใครกัน?”ซือเจ๋อเยว่รีบเก็บไข่มุกราตรีลงไป ด้านในจึงกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งเนื่องจากเมื่อครู่นี้ทหารยามได้เห็น ‘การแสดง’ ของไป๋จื้อเซียน ภายในใจจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่เพราะมีคำสั่งของนายพลที่เฝ้าด่าน เขาจึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการอีก จึงเรียกเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจว่าจะจุดเทียนแล้วเข้าไปตรวจค้นด้านในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตู ทหารยามคนนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของไป๋จื้อเซียน เสื้อผ้าสีแดงราวกับเลือดทหารยามไม่ได้รู้สึกตัวในทันที ยังถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ไป๋จื้อ