นางสบถเบา ๆ ว่า “ปากคอจัดจ้านยิ่งนัก!”ซือเจ๋อเยว่ยิ้มน้อย ๆ “หรือว่าข้าพูดผิดตรงไหน?”“หรือท่านคิดว่าต่อไปข้าใช้ชีวิตของตนเองก็พอ ไม่ต้องสนใจท่าน และไม่ต้องปกป้องท่านแล้วด้วย?”“ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาปกป้อง!” อวิ๋นไท่เฟยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าอยู่ในวังสบายดี!”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ท่านมีชีวิตที่ดีมากจริง ๆ ถึงอย่างไรปัจจุบันวังนี้ก็เป็นวังของเสด็จอา ท่านมีโอรสให้เขา เขาต้องคุ้มครองท่านเป็นธรรมดา” อวิ๋นไท่เฟย “...”นางคิดว่าซือเจ๋อเยว่เอ่ยคำพูดหยาบคายสุดขีด แต่ว่าไม่มีคำหยาบในคำพูดของนางเลยแม้แต่คำเดียวทุกครั้งที่นางสนทนากับซือเจ๋อเยว่ ล้วนเกิดความรู้สึกเหมือนหัวใจจะวายนางสูดลมหายใจลึกแล้วกล่าวว่า “หุบปาก!” ซือเจ๋อเยว่มองนางอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นางสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง “วันนี้ข้าเรียกเจ้าเข้าวัง เพราะว่ามีเรื่องอื่นที่อยากจะถามเจ้า เจ้าจงตอบตามความจริง” ซือเจ๋อเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้ตอบรับคำของนาง นางไม่รู้จริง ๆ ว่าอวิ๋นไท่เฟยเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงกล้าเอ่ยกับนางเช่นนี้อวิ๋นไท่เฟยถามนางว่า “เรื่องที่เยียนเซียวหรานถูกลอบสังหารเมื่อวันก่อน มันเกิดอะไรขึ
“เขาไม่บอกอะไรเลย ข้าย่อมไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”อวิ๋นไท่เฟยสังเกตนางอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้า กำลังคาดเดาว่านางพูดจริงหรือเท็จซือเจ๋อเยว่ปล่อยให้นางสังเกต ทำท่าทางเหมือนไม่คิดอะไรมากอวิ๋นไท่เฟยเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็รู้สึกหงุดหงิดใจ แต่ยังคงถามว่า “เช่นนั้นเจ้ายังรู้อะไรอีกบ้าง?” ซือเจ๋อเยว่ตอบว่า “ข้ารู้ว่าสาเหตุที่เยียนอ๋องสิ้นชีพในสนามรบ เป็นเพราะมีคนคิดว่าเขากุมอำนาจทางทหารของกองทัพหย่งอันไว้ในมือ เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวง”“ด้วยเหตุนี้คนเหล่านั้นจึงใช้วิธีการบางอย่าง หาทางทำให้เขาต่อสู้จนตัวตายในสนามรบ”อวิ๋นไท่เฟยมองนางด้วยสายตาลุ่มลึกขึ้นเล็กน้อยนางเอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่งว่า “เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ข้าแอบฟังมา หากท่านอยากรู้ข้อมูลเหล่านี้ ข้าสามารถไปแอบฟังให้ท่านได้” อวิ๋นไท่เฟยได้ยินคำกล่าวนี้ก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางว่าแล้ว ซือเจ๋อเยว่ต้องการความรักของมารดามากอย่างแน่นอน นางจึงเอ่ยว่า “ต่อไปหากเจ้าได้ข่าวคราวอะไรในจวนเยียนอ๋อง จะต้องหาทางบอกข้าทั้งหมด”“แบบนี้ต่อไปหากเจ้าเกิดเรื่องอะไร ข้าถึงจะหาทางช่วยเหลือเจ้าได้”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า แต่เอ่ยถามว่า
เวลานั้นนางไม่เข้าใจสถานการณ์ในเมืองหลวง และตอนนั้นวิธีการออกจากวังหลวงที่ดีที่สุดของนางก็คือแต่งงานเข้าจวนเยียนอ๋อง ด้วยเหตุนี้ตอนนั้นนางจึงปฏิเสธข้อเสนอของฮองเฮาจนบัดนี้นางยังจำได้ว่าเวลานั้นฮองเฮาถอนหายใจ และไม่ได้เกลี้ยกล่อมอีก ตอนนี้นางได้พบฮองเฮาอีกครั้ง ซือเจ๋อเยว่จึงกล่าวอย่างเป็นเด็กดีว่า “หากฮองเฮาทรงอยากเจอหม่อมฉัน ก็เรียกหม่อมฉันเข้าวังมาพูดคุยเป็นเพื่อนพระองค์ได้ทุกเมื่อเพคะ” ฮองเฮายิ้มน้อย ๆ “ช่างเป็นเด็กที่รู้ความ”นางกล่าวจบก็มองไปทางอวิ๋นไท่เฟย “พี่สะใภ้ ท่านช่างโชคดีเสียจริง มีพระธิดาที่ว่านอนสอนง่ายอย่างเจ๋อเยว่” อวิ๋นไท่เฟยมองซือเจ๋อเยว่อย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวว่า “เจ๋อเยว่ว่าง่ายและรู้ความจริงๆ” “เพียงแต่หม่อมฉันติดค้างนางไว้มาก นางมีดวงชะตาพิเศษตั้งแต่เล็ก จึงถูกส่งไปอารามเต๋า” “หลายปีมานี้หม่อมฉันเฝ้าคิดถึงทุกเช้าค่ำ หวังให้นางกลับมาโดยเร็ว แต่คิดไม่ถึงว่านางเพิ่งกลับมาก็ต้องแต่งงานแล้ว” “ในใจของข้านึกถึงนาง คิดถึงนาง ขอเพียงมีเวลาก็อยากให้นางเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนข้า” ซือเจ๋อเยว่อยากอาเจียน ไม่รู้เหมือนกันว่าอวิ๋นไท่เฟยเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาได้อ
“ก่อนที่หม่อมฉันจะตาย ยังสามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อราชวงศ์ได้ หม่อมฉันก็พอใจมากแล้วเพคะ”ฮองเฮามองมาที่นางด้วยสายตาที่ค่อนข้างซับซ้อน ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ “ช่างเป็นเด็กที่ชีวิตลำบากจริง ๆ”“ต่อไปหากเจ้ามีเรื่องยุ่งยากอะไรก็มาหาเราได้ มีเราอยู่ จะไม่ให้ใครรังแกเจ้าเด็ดขาด” ซือเจ๋อเยว่ยิ้มหวานให้ฮองเฮา “ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ”ทั้งสองคนพูดคุยกันไม่หยุด ทิ้งอวิ๋นไท่เฟยไว้ข้าง ๆ ทันที จนนางดูเหมือนส่วนเกินมาก ฮองเฮามีราชกิจล้นมือ ไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นานมากนัก หลังจากที่พูดกับซือเจ๋อเยว่อีกหลายประโยคก็จากไป เมื่อฮองเฮาจากไป อวิ๋นไท่เฟยก็เริ่มด่าทอว่า “นังแพศยาสมควรตายนี่ยุแยงอีกแล้ว!”“เจ๋อเยว่ อย่าไปเชื่อคำพูดของนางนะ เดิมทีตอนแรกองค์หญิงสามไม่จำเป็นต้องแต่งงานเข้าจวนเยียนอ๋อง ทั้งหมดเป็นเรื่องที่นางยุยงขึ้นมา” ซือเจ๋อเยว่ถามอวิ๋นไท่เฟยว่า “ต่อให้เป็นเรื่องที่นางยุยงขึ้นมา แต่ให้องค์หญิงสามแต่งงานเข้าจวนเยียนอ๋องก็ได้ เหตุใดท่านจึงให้ข้าแต่งงานแทนองค์หญิงสามด้วยเล่า?” อวิ๋นไท่เฟย “...”นางถูกถามจนตกตะลึงแล้ว เนื่องจากคำถามข้อนี้ตอบค่อนข้างยาก ซือเจ๋อเยว่หัวเราะเบา ๆ “องค์หญิง
ซือเจ๋อเยว่คร้านจะสนใจนาง จึงถามข้ารับใช้ในวังที่อยู่ข้างกายว่า “ข้าเข้าไปได้หรือยัง?” ข้ารับใช้ในวังรีบทำมือเชื้อเชิญให้ซือเจ๋อเยว่ นางกำนัลที่อยู่ตรงหน้าประตูเข้าไปรายงานเรื่องนี้ให้ฮองเฮานานแล้วซือเจ๋อเยว่เข้าไปแล้ว ฮองเฮาก็กล่าวว่า “นิสัยนี้ของเจ้าช่างคล้ายกับอดีตฮ่องเต้อย่างยิ่ง” ซือเจ๋อเยว่เอ่ยเสียงเบาว่า “ทุกคนในวังนี้สามารถบอกว่าหม่อมฉันเป็นสาวบ้านป่าได้ แต่องค์หญิงสามทำไม่ได้”ฮองเฮาตกตะลึงก่อน จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “เจ้าพูดถูกต้อง!” นางกล่าวจบก็เอ่ยด้วยความผิดหวังเล็กน้อยว่า “หากเจ้าสามารถอยู่ต่อได้นานอีกหน่อยก็คงดี” ซือเจ๋อเยว่ยิ้มน้อย ๆ “หม่อมฉันคิดว่าเป็นอย่างเช่นตอนนี้ก็ดีมากแล้ว ตายตอนอายุสิบแปด ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดอยู่ในวัยที่งดงามที่สุดอย่างวัยสิบแปด”ฮองเฮามองนางอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้า รู้สึกผิดหวังในใจเล็กน้อย “เจ้าช่างใจกว้างนัก” ซือเจ๋อเยว่เอ่ยเบา ๆ ว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรย่อมใจกว้าง ไม่ยึดติดง่าย ๆ และไม่ไขว่คว้าในสิ่งที่ไม่ใช่ของตน” ฮองเฮาถอนหายใจแล้วโบกมือเบา ๆ นางกำนัลหลานคนก็ยกถาดหลายใบเดินเข้ามา นางกล่าวกับซือเจ๋อเยว่ว่า “โสมพันปีกับโส่
อีกทั้งวันนี้ฮองเฮาไปที่ตำหนักของอวิ๋นไท่เฟย เหมือนกับไปเพื่อนางเช่นกัน วันนี้นางได้เห็นทักษะการแสดงความฮองเฮาและอวิ๋นไท่เฟย รู้ว่าสตรีในวังมีโฉมหน้ามากมาย วาจาจากปากของพวกนางล้วนเชื่อถือไม่ได้ ต้องดูว่าภายภาคหน้าพวกนางจะกระทำอย่างไรตอนนี้นางไม่เข้าใจความคิดของฮองเฮา แต่นางรู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ย่อมต้องเผยให้เห็นเบาะแสบางอย่าง แต่วันนี้อวิ๋นไท่เฟยทำให้ซือเจ๋อเยว่ประหลาดใจมากตอนที่อวิ๋นไท่เฟยต่อกรกับฮองเฮา ท่าทีของนางเปลี่ยนไปทั้งหมดก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่คิดว่าอวิ๋นไท่เฟยอารมณ์ร้าย อาจจะเป็นคนที่ใสซื่อไร้สมอง ทว่าบัดนี้รู้แล้วว่านางไม่ใช่คนอารมณ์ร้าย แต่ว่านางเลือกปฏิบัตินอกจากนี้คนโง่งมไร้สมองที่แท้จริงไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ดีมีสุขในสถานที่อย่างวังหลวงได้อวิ๋นไท่เฟยคร้านจะเสแสร้งต่อหน้านาง อย่าว่าแต่ความรักของมารดาเลย แม้แต่ความอดทนสักนิดเดียวก็ไม่ยินดีมอบให้นางและท่าทีของอวิ๋นไท่เฟยที่มีต่อนางก็ไม่เหมือมารดากับบุตรสาว แต่เหมือนศัตรูมากกว่าซือเจ๋อเยว่หวนนึกถึงพวกคำพูดที่อวิ๋นไท่เฟยถามนามอีกครั้ง แววตาของนางก็เย็นชาลงมีหลายเรื่องที่นางสามารถยืนยันได้ประการแรก
ซือเจ๋อเยว่นึกถึงคำพูดของอวิ๋นไท่เฟย แล้วถามเขาไปตรง ๆ ว่า “อวิ๋นไท่เฟยมีความแค้นกับจวนเยียนอ๋องใช่หรือไม่?” เยียนเซียวหรานตอบว่า “ไม่ถือว่ามีความแค้น ข้ารู้เพียงว่าจวนเยียนอ๋องกับจวนหนิงกั๋วกงไม่ค่อยลงรอยกันมาตลอด”“ส่วนสาเหตุไม่ค่อยชัดเจน ข้าแค่บังเอิญเคยได้ยินเสด็จแม่พูดถึง ตอนที่อดีตฮ่องเต้อภิเษกสมรสกับอวิ๋นไท่เฟยในปีนั้น เสด็จพ่อไม่ค่อยเห็นด้วยนัก” “ตอนแรกอดีตฮ่องเต้เคยลังเล สุดท้ายแม้ว่าอภิเษกสมรสกับอวิ๋นไท่เฟย แต่ก็มีความบาดหมางเกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่ นางจึงแค้นจวนเยียนอ๋องอยู่บ้าง”เขาเป็นบุรุษ ไม่สนใจเรื่องซุบซิบนินทาพวกนี้เลย เพียงแต่ว่าเขามีความจำดี ฟังครั้งเดียวก็จำได้แล้ว เขาเองก็ไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้มาก่อน เวลานี้ซือเจ๋อเยว่ถามขึ้น เขาก็บอกสิ่งที่เขารู้ให้ฟัง ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าเยียนอ๋องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอดีตฮ่องเต้มีความสัมพันธ์อย่างยิ่ง บรรดาศักดิ์เยียนอ๋องก็ได้รับพระราชทานมาจากอดีตฮ่องเต้แต่ไม่รู้ว่าตอนที่พวกเขายังหนุ่ม เยียนอ๋องยังมีสิทธิออกเสียงเกี่ยวกับเรื่องใหญ่อย่างการอภิเษกสมรสของอดีตฮ่องเต้ได้ด้วยนางประหลาดใจมาก “เสด็จพ่อของเจ้ากับเสด็จพ่อของข้าสนิ
นางลอบด่าในใจว่าตนเองไม่ใช่คน ปีนั้นนางถูกท่านอาจารย์สามยุยงล่อลวงให้ลงมือกับคนเช่นนี้ บาปกรรมหนักหนาจริง ๆนางกระแอมไอเบา ๆ ทีหนึ่งและกล่าวว่า “ข้าเองก็ชอบจวนเยียนอ๋องมาก ชอบท่านย่ากับท่านแม่ ชอบเหนียนเหนียนกับซุ่ยซุ่ย และก็ชอบจือเซี่ยกับซิ่วเอ๋อร์ด้วย”“มีพวกเจ้าเป็นญาติของข้า ข้ามีความสุขมาก!” เยียนเซียวหรานฟังนางเอ่ยชื่อทุกคนในจวนอ๋อง แต่ไม่ได้เอ่ยถึงเขาเลย เขารู้ว่านางทำแบบนี้เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหา บุรุษสตรีอย่างพวกเขามีความแตกต่าง เมื่อเอ่ยคำว่าชอบนี้ออกมาแล้ว จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่าย เพียงแต่เขารู้ดีแก่ใจ เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ ในใจกลับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่อยู่ทว่าดวงหน้าของเขากลับไม่แสดงออกเลยแม้แต่น้อย สีหน้าท่าทางดูเรียบนิ่งอย่างยิ่ง “ไปเถิด กลับบ้านกัน!” ซือเจ๋อเยว่ยิ้มพลางตอบรับ แต่พอเห็นว่ามีขนมขายอยู่ข้างทาง นางก็รีบวิ่งไปซื้อทันทีนางไม่ถือว่าเป็นคนที่สุขุม เนื่องจากชะตาชีวิตที่จะต้องจากไปก่อนวัยอันควร นางจึงยึดมั่นกับการมีความสุขอยู่กับปัจจุบันมาโดยตลอด ดังนั้นนางจึงมีความสุขอยู่ทุก ๆ วันเยียนเซียวหรานมองนางพลางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อ
เขาจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา "เป็นข้าที่ไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าเรื่องราวระหว่างเราจะต่างออกไป" "แต่ข้ากลับลืมไปว่า เจ้าเป็นคนของสำนักเต๋า เราสองคนก็อยู่กันคนละฝ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม" "ซือเจ๋อเยว่ ตั้งแต่นี้ไปข้าขอตัดขาดจากเจ้า หากพบกันอีก ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!" เมื่อเอ่ยจบเขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งจากร่างกายแล้วขว้างออกไป สิ่งนั้นทำหน้าที่รับแรงโจมตีจากค่ายกลแทนเขา ก่อนที่ตัวเขาจะพุ่งออกจากค่ายกลราวกับดาวตกก็ไม่ปาน ซือเจ๋อเยว่รีบไล่ตามออกไป แต่ภายนอกกลับไร้เงาของไป๋จื้อเซียน นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง วันนี้เขาเข้าใจนางผิด แล้วจากไปเช่นนี้ ภายภาคหน้าก็ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าจะเกิดอันใดขึ้นอีก ยังดีที่เขาเคยสาบานต่อสวรรค์ ว่าจะไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ อย่างน้อยสถานการณ์ก็ยังไม่เลวร้ายถึงระดับนั้น แต่เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาขาดสะบั้นในบัดนี้ ด้วยนิสัยของเขา ย่อมต้องหาหนทางสังหารนางให้ได้อย่างแน่นอน! นางคิดว่าตนเองยังคงประเมินไป๋จื้อเซียนต่ำเกินไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาได้ เยียนเซียวหรานถามขึ้น "เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น?" ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ "ตุ๊
ซือเจ๋อเยว่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้นับหลังจากตั้งแต่ที่อาจารย์สามปั้นเสร็จแล้ววางไว้ที่นี่ ก็ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรนางคิดมาตลอดว่าอาจารย์สามทำเช่นนี้เพราะจะหยอกนางเล่น ไม่คิดเลยว่าจนกระทั่งวันนี้จะมีความเคลื่อนไหวแล้วที่ประตูมีเสียงของไป๋จื้อเซียนดังลอยเข้ามา “เจ้าล่อลวงข้ามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะฆ่าข้าใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ากลับไปมองก็เห็นไป๋จื้อเซียนยืนอยู่ที่หน้าประตู ตุ๊กตาดินเผาเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นค่ายกล จะจัดการกับเขาหลังจากที่วันนี้เขาเดินเข้ามาในสำนักเต๋า ความสามารถทุกด้านก็ถูกลดทอนลง ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้ยังเป็นตุ๊กตาที่อาจารย์สามปั้นขึ้นเองกับมืออีกด้วย ด้านในมีค่ายกลที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งซ่อนอยู่ไป๋จื้อเซียนในเวลานี้ถูกค่ายกลนี้ขังเอาไว้ ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้เขาเกิดความสงสัยมาก ประกอบกับก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่อยากจะจัดการเขามาตลอด เขาจึงคิดว่านางเป็นผู้ควบคุมให้ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้มาจัดการเขาก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่เคยคิดอยากจะจัดการเขาในสำนักเต๋าจริง ๆ แต่เป็นครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางจริง ๆเป็นเพราะร่างกายที่พิเศษเ
ความทรุดโทรมนี้เริ่มปรากฏตั้งแต่ประตูเขาที่เก่าและทรุดโทรม ยาวไปตลอดทางจนถึงกระทั่งถึงโถงใหญ่ของสำนักเต๋าด้านในก็มีเพียงรูปหล่องทองคำปรมาจารย์เต๋าที่ยังมีสภาพดีอยู่เพียงเท่านั้น อาคารอื่น ๆ ของวัดก็สามารถใช้คำว่าชำรุดทรุดโทรมมาบรรยายได้เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมา นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ที่เฝ้าภูเขาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว ไม่ไปไหนแล้วใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ได้ยินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอาศัยคืนเดียวก็จะไปแล้ว”ใบหน้าของนักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ก็มีสีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นมาทันที นางหยิบทองหนึ่งกำมือออกมาจากมิติคาถาเต๋าแล้วมอบให้เขา “ค่าอาหารของปีนี้”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ใช้สองมือรับทองคำ ใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมาทันที “อย่างไรเสียศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็เก่งกาจ!”สำนักเต๋าผ่านไปด้วยความยากลำบากมาก ทองคำเหล่านี้เมื่อแลกเป็นเงินก็ได้หลายพันตำลึง เพียงพอที่จะให้พวกเขามีกินได้ถึงสิ้นปีซือเจ๋อเยว่ถามเขา “พวกอาจารย์ออกจากสำนักเต๋าตั้งแต่เมื่อใด?”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ “ทันทีที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกไปจากสำนักเต๋า เจ้าสำนักพวกเขาก็ไปแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้ว “พวกเขาได้บอกหรือไ
ซือเจ๋อเยว่เผชิญหน้ากับสายตาที่แฝงไปด้วยความน้อยใจของไป๋จื้อเซียน นางมีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยท่าทางเช่นนี้ของเขา เกรงว่าคนที่ไม่รู้จะคิดว่าพวกเขากำลังสุมหัวกันกลั่นแกล้งเขาแต่เรื่องจริงคือเขาเกือบทำให้พวกเขาต้องติดกับดักจนตายในเวลานี้นางจำต้องกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋มาก”ไป๋จื้อเซียนมองนางด้วยสีหน้าน่าสงสารพร้อมกล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าดุข้า”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางสูดหายใจในใจทีหนึ่ง เจ้าหมอนี่แสดงละครเก่งมาก!นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้ามีนิสัยใจร้อน เวลามองอะไรก็มักจะมองแค่สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่สู้คุณชายไป๋ที่มองการณ์ไกล”“คุณชายไป๋คาดการณ์เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในตอนหลังได้ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าชื่นชมตบะอันล้ำลึกทำให้ข้านับถือจากใจจริง”“ครั้งหน้าหากยังมีเรื่องแบบเดียวกันอีก คุณชายไป๋ได้โปรดแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเสียหน่อย พวกเราจะได้ร่วมมือกันได้ดี”นางพูดจบก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “คุณชายไป๋ช่วยพวกเราคำนวณดูหน่อยได้หรือไม่ พวกเรากลับเมืองหลวงครั้งนี้ จะล้มจวนหนิงกั๋วกงได้หรือไม่?”ไป๋จื้อเซียน “...”ถึงแม้เขาจะมีชีวิตอยู่มาหนึ่งพันปีแล้วก็ตาม เรียนรู้เพียงความสามารถฆ
“ถึงแม้วันนี้ข้ากับชื่อปาเลี่ยจะบุกฝ่าออกมาได้ แต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”“การล้อเล่นแบบนี้ อย่างไรคุณชายไป๋ช่วยลดลงหน่อยจะดีมาก”ไป๋จื้อเซียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาหันหน้าไปมองไป๋จื้อเซียน โดยไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อยชื่อปาเลี่ยที่อยู่ข้าง ๆ พูดไกล่เกลี่ย “ครั้งนี้พวกข้าไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ช่างเถอะ”ความโกรธที่ไป๋จื้อเซียนมีอยู่มากมายไม่มีที่ระบาย ยกมือขึ้นแล้วสะบัดทำให้ชื่อปาเลี่ยลอยกระเด็นออกไปชื่อปาเลี่ย “!!!!!”หากวันหลังเขายังกล้าสอดเรื่องของพวกเขาอีก เขาก็คือก็คือไอ้ลูกหมา!เขากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ร้องโอ๊ยออกมาทีหนึ่งซือเจ๋อเยว่รีบยื่นมือออกไปประคองชื่อปาเลี่ย “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ชื่อปาเลี่ยกุมหน้าอกกล่าว “ข้าเจ็บหน้าอกนิดหน่อย”ในระหว่างที่พูดเขารู้สึกผิดปกติบริเวณหน้าอก ยื่นมือออกไปแล้วล้วง ไม่คิดเลยว่าจะควักสมุดบันทึกเล็ก ๆ เล่มหนึ่งออกมาจากข้างใน “นี่มันอะไรกัน?”หลังจากซือเจ๋อเยว่รับมาก็เปิดสมุดบันทึกเล่มเล็ก พบว่าเป็นสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้ายฉบับนั้นที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าวไว้นางทั้งตกใจทั้งดีใจ “นี่คือสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้าย!”เยียนเซียวหรา
ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร”นางพูดจบก็กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”เยียนเซียวหรานยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร”เขาพูดจบก็ประสานมือคำนับไป๋จื้อเซียนกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋ที่พาองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย ทำให้ข้าไม่ต้องเป็นพะวงที่จะบุกฝ่ากองทัพออกมา”สีหน้าของไป๋จื้อเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรื่องนี้เขาวางแผนทำร้ายเยียนเซียวหราน เยียนเซียวหรานขอบคุณเขาจึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมากยังมีท่าทีของซือเจ๋อเยว่อีก ในดวงตาของนางมีเพียงเยียนเซียวหรานเท่านั้น ไม่มีเขาเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเขารู้สึกไม่พอใจ จึงอยากจะทำร้ายชื่อปาเลี่ยอีกครั้งดวงตาของเขากวาดมองไปยังชื่อปาเลี่ย ชื่อปาเลี่ยได้หลบไปอยู่ที่ด้านหลังของซือเจ๋อเยว่อย่างรวดเร็ว “คุณชายไป๋จะทำร้ายข้า องค์หญิงช่วยด้วย!”ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าไป๋จื้อเซียนมีนิสัยขี้โมโห เขาติดตามอยู่ข้าง ๆ พวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าจะเบิดขึ้นเมื่อไหร่เพียงแต่หากปล่อยเขาไป วันข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นอีกนางคิดว่า อย่างไรเสียก็ต้องคิดหาว
เขายิ้มแย้มพร้อมกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ข้าพาเจ๋อเยว่นำไปก่อน พวกเจ้าสู้ ๆ ล่ะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยความร้อนใจ “นี่ เจ้าพาพวกเขาไปด้วยกันสิ!”ไป๋จื้อเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “สถานการณ์แบบนี้ไม่ฆ่าคนก็พาพวกเขาออกไปไม่ได้”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์ไว้ว่า ไม่สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยไม่มีสาเหตุ ดังนั้น...”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งสองข้างของเขาแฝงไปด้วยหยอกเย้า ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครด้วยความสุขนางรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้เขานั้นเจตนา!นางรู้ดีว่า คนที่ชั่วร้ายเช่นไป๋จื้อเซียนจะยอมร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างไร?นางกล่าวด้วยความร้อนใจ “ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปช่วยพวกเขา!”ไป๋จื้อเซียนยิ้มด้วยความร่าเริงพร้อมกล่าว “ตอนนี้ด้านล่างมีแต่คน ทั้งเจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์ หากลงไปจริง ๆ ก็รังแต่จะยิ่งอันตราย”“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้าสงบ เยียนเซียวหรานก็จะไม่เป็นพะวง ก็สามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่”“ข้าเชื่อ ด้วยความสามารถของเขา ต้องสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้แน่ ปลอดภัยหายห่วง” ซือเจ๋อเยว่ค้อนเขา เขากะพริบตาใส
เยียนเซียวหรานกวัดแกว่งกระบี่ในมืออย่างสุดแรง พยายามพาซือเจ๋อเยว่พุ่งตัวออกไปด้านนอกชื่อปาเลี่ยกลับด่าทออย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น “ไอ้แม่งเอ๊ย ครั้งก่อนเกือบตายที่ด่านอวิ๋นหลิ่ง ครั้งนี้ยังจะมาอีก!”เขาพูดจบก็กล่าวกับซือเจ๋อเยว่อีก “องค์หญิง ค่ายกลนั่นของท่านเมื่อครั้งก่อน เอาออกมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เอามาใช้อีกครั้ง ข้าก็สามารถตายตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้เลย!”ชื่อปาเลี่ย “...”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงขรึม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยกันกับข้า”ซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิด ครั้งนี้อยู่ภายในห้องปิดตาย จะอย่างไรก็ต้องพุ่งตัวเข้าไปหาก่อนดังนั้นนางจึงหยิบยันต์ออกมา ใช้คาถาเต๋าทำให้ระเบิด ภายในชั่วพริบตา ภายในห้องก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น พัดทหารยามพวกนั้นที่อยู่หน้าประตูลอยกระเด็นออกไปข้างนอกชื่อปาเลี่ยหลบไม่ทัน หัวจึงกระแทกพื้นเยียนเซียวหรานอยากจะจับเขาเอาไว้ แต่ลมแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถจับเขาได้เลยซือเจ๋อเยว่คว้าขาของชื่อปาเลี่ยเอาไว้แล้วกล่าว “รีบไป!”ชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”เขาเองก็อยากจะหนีไปโดยเร็วเช่นกัน แต่ปัญหาคือลมทั้งรุนแ
สิ่งของที่อยู่ด้านในมองดูค่อนข้างสลับซับซ้อน กองกันเละเทะ ทันทีที่ดูก็รู้ว่าหลังจากถูกใครบางคนรื้อค้นจนเละเทะ ก็ไม่ได้จัดระเบียบใหม่ภายในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ อยากจะตามหาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้ เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานรื้อค้นรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้อะไรแม้แต่อย่างเดียวทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก็เห็นความจนปัญญาจากดวงตาของอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตามหาต่อไปแล้วในเวลานี้เอง เสียงของทหารยามก็ดังลอยมาจากหน้าประตู “ใครกัน?”ซือเจ๋อเยว่รีบเก็บไข่มุกราตรีลงไป ด้านในจึงกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งเนื่องจากเมื่อครู่นี้ทหารยามได้เห็น ‘การแสดง’ ของไป๋จื้อเซียน ภายในใจจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่เพราะมีคำสั่งของนายพลที่เฝ้าด่าน เขาจึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการอีก จึงเรียกเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจว่าจะจุดเทียนแล้วเข้าไปตรวจค้นด้านในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตู ทหารยามคนนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของไป๋จื้อเซียน เสื้อผ้าสีแดงราวกับเลือดทหารยามไม่ได้รู้สึกตัวในทันที ยังถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ไป๋จื้อ