หลังจากที่นางเข้าวังครั้งก่อนก็ตัดข้อสงสัยนี้ไปแล้ว หากเรื่องนี้เป็นฝีมือของพระองค์จริง ๆ ทุกคนในจวนเยียนอ๋องคงหมดทางรอดไปนานแล้วบัดนี้ทุกคนในจวนเยียนอ๋องยังมีชีวิตอยู่กันหมด นั่นก็หมายความว่าอย่างน้อยพระองค์ไม่คิดจะกวาดล้างจวนเยียนอ๋องให้สิ้นซาก เพียงแต่ว่าต่อให้ฮ่องเต้เจาหมิงทราบดีแก่ใจว่าผู้ใดเป็นคนกระทำเรื่องนี้ นั่นก็คือพระโอรสของพระองค์ เกรงว่าพระองค์คงจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้นเรื่องเยียนอ๋องรบจนตัวตาย พวกเขาก็ดำเนินการตามขั้นตอนที่ควรทำในฉากหน้า ทว่าหากต้องการค้นหาความจริงล้างแค้นให้เยียนอ๋อง ก็ได้แต่อาศัยตัวพวกเขาเอง นางนึกถึงอีกเรื่องหนึ่ง “เสด็จพ่อกับซื่อจื่อล้วนไม่อยู่แล้ว จวนเยียนอ๋องเหลือเพียงท่านที่เป็นบุรุษผู้เดียว ท่านสามารถสืบทอดตำแหน่งเยียนอ๋องได้ใช่หรือไม่?”นัยน์ตาของเยียนเซียวหรานหรี่ลงเล็กน้อย “เรื่องนี้ยังได้รับการเห็นชอบจากฮ่องเต้” “ส่วนผู้บงการเบื้องหลังที่ลงมือกับจวนเยียนอ๋อง พวกเขาคงไม่ปล่อยให้ข้าได้สืบทอดตำแหน่งเยียนอ๋อง” ซือเจ๋อเยว่แค่ขบคิดถึงตรรกะในเรื่องนี้สักเล็กน้อยก็เข้าใจได้แล้ว พวกเขากลัวว่าเยียนเซียวหรานจะล้างแค้น ดังนั้นถึงไม่
แต่เด็กชายกลับไม่ยอมทำตามคำพูดนางมากนัก เขาเอามือข้างหนึ่งปัดมือของนางออก “ข้าไม่อยากกินขนม ข้าอยากเล่น!” เขากล่าวจบก็ถลึงตาใส่อวิ๋นไท่เฟยแล้วกล่าวว่า “ทุกครั้งที่ข้ามาที่นี่ ท่านก็ให้ข้ากิน ๆ ๆ ข้าไม่ใช่หมูนะ จะเอาแต่กินตลอดได้ที่ไหนกันเล่า!”อวิ๋นไท่เฟยถูกเขาโต้แย้งเช่นนี้ก็ไม่ได้โกรธ นางยังคงกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นก็ได้ เจ้าบอกข้ามาสิว่าเจ้าอยากทำสิ่งใด ข้าตามใจเจ้าทุกอย่าง” เด็กชายมองไปรอบ ๆ เห็นซือเจ๋อเยว่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู ดวงตาของเขาก็ส่องประกาย “ให้นางหมอบลงกับพื้นเป็นม้าให้ข้าขี่”อวิ๋นไท่เฟยเห็นซือเจ๋อเยว่เช่นกันจึงเอ่ยว่า “ยังจะอึ้งอยู่ทำไม ยังไม่รีบหมอบลงอีก?” ซือเจ๋อเยว่ยิ้ม แล้วกวักนิ้วให้เด็กชายก่อนจะถามว่า “เจ้ามีนามว่าอะไร?” เด็กชายเอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “นังทาสสุนัข เจ้ากล้าดีนักนะที่กล้าถามนามของข้า!” “ให้เจ้าหมอบลง เจ้าก็รีบหมอบลงให้ข้าเสีย มิฉะนั้นข้าจะเฆี่ยนเจ้า!” “โอ้!” ซือเจ๋อเยว่เอ่ยด้วยสีหน้าสนุกสนานว่า “ยังจะเฆี่ยนข้าด้วย ช่างร้ายกาจเสียจริง!” เด็กชายเอ่ยอย่างลำพองใจว่า “แน่สิ! ข้าคือองค์ชายเก้าที่เสด็จพ่อทรงรักเอ็นดูมากที่สุด ข้
องค์ชายเก้าร้องไห้ “แงๆ” เสียงดัง “เจ้ามีสิทธิอะไรมาตีข้า! ข้าจะส่งเจ้าไปที่กรมราชทัณฑ์ ข้าจะลงโทษเจ้า!” ซือเจ๋อเยว่มองเขาพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ได้ เจ้ามาลงโทษข้าเลยสิ!”องค์ชายเก้ามองข้ารับใช้ในวังที่คุกเข่าลงกับพื้น นอกจากนี้อวิ๋นไท่เฟยที่ปกติคอยปกป้องเขาทุกเรื่อง เวลานี้กลับยืนโง่งมอยู่ตรงนั้น เขาก็ตะลึงงันอยู่ตรงนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่าเมื่อคนเหล่านี้ไม่เชื่อฟังคำพูดของเขา เช่นนั้นเขาก็เป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ใครจะมารังแกก็ได้ทั้งนั้น แตกต่างกันมากเกินไปจริง ๆ จิตใจของเขาได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เขากลัวนิดหน่อยแล้ว ทำได้เพียงร้องไห้สักพัก ไม่เอ่ยแม้กระทั่งคำพูดที่รุนแรง ซือเจ๋อเยว่ยื่นมือไปบิดหูของเขา “เมื่อครู่นี้อวดเก่งมากไม่ใช่หรือ? อวดเก่งต่อไปสิ!”องค์ชายเก้าเม้มปากกล่าวว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่?” ซือเจ๋อเยว่ยิ้มน้อย ๆ “เมื่อครู่นี้บอกไปแล้วไม่ใช่หรือ ข้าคือพี่สาวของเจ้า” องค์ชายเก้าเบิกตามองนางโดยที่มีน้ำตาคลอ “เจ้าคือพี่สาวของข้า? เหตุใดข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน?” ซือเจ๋อเยว่ตอบกลับว่า “นั่นเป็นเพราะข้าไม่ได้อยู่ในวังหลวงมาตั้งแต่เด็ก แต่อยู่
เขาหันหน้าไปมองซือเจ๋อเยว่แล้วเอ่ยว่า “อารามเต๋าสนุกหรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ตอบกลับว่า “ในความคิดของข้า สนุกกว่าวังหลวงมากนัก สามารถเล่นไปทั่วได้อย่างเต็มที่และไม่มีคนคอยคุม”“ฤดูใบไม้ผลิเก็บหน่อไม้ ฤดูร้อนจับตัวอ่อนจักจั่น ฤดูใบไม้ร่วงเก็บผลไม้ ฤดูหนาวเล่นเลื่อนหิมะ สนุกมาก ๆ เลย”“นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ยังสามารถทำเรื่องอะไรก็ได้ที่ตนเองอยากทำ เรียนรู้ทักษะที่สนุกสนานมากมาย”นางกล่าวจบก็หยิบกระดาษออกมาหนึ่งแผ่น ดูเหมือนพับส่งเดช แต่ก็พับออกมาเป็นกบกระดาษตัวหนึ่ง นางให้องค์ชายเก้ากดลงไปที่ก้นของกบกระดาษ จากนั้นกบกระดาษก็กระโดดไปข้างหน้าทันทีองค์ชายเก้าเบิกตาโต รู้สึกประหลาดใจไม่ไหวแล้ว ก่อนจะไปกดที่ก้นของกบกระดาษอีกครั้ง เล่นอย่างเบิกบานใจมาก เขาเล่นไปพลาง ตะโกนไปพลางว่า “พี่หญิง กบตัวนี้น่าสนุกเกินไปแล้ว ท่านทำได้อย่างไร?”อวิ๋นไท่เฟยมองซือเจ๋อเยว่ด้วยแววตาซับซ้อนมา นางไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใด แม้ว่านายจะพยายามใช้วิธีการทุกอย่างเอาใจองค์ชายเก้า แต่องค์ชายเก้าไม่ค่อยสนิทสนมกับนางนัก อย่างไรก็ตามวันนี้ซือเจ๋อเยว่ทั้งตีทั้งดุด่าองค์ชายเก้า แต่องค์ชายเก้ากลับดูสนิทสนม
นางสบถเบา ๆ ว่า “ปากคอจัดจ้านยิ่งนัก!”ซือเจ๋อเยว่ยิ้มน้อย ๆ “หรือว่าข้าพูดผิดตรงไหน?”“หรือท่านคิดว่าต่อไปข้าใช้ชีวิตของตนเองก็พอ ไม่ต้องสนใจท่าน และไม่ต้องปกป้องท่านแล้วด้วย?”“ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาปกป้อง!” อวิ๋นไท่เฟยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าอยู่ในวังสบายดี!”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ท่านมีชีวิตที่ดีมากจริง ๆ ถึงอย่างไรปัจจุบันวังนี้ก็เป็นวังของเสด็จอา ท่านมีโอรสให้เขา เขาต้องคุ้มครองท่านเป็นธรรมดา” อวิ๋นไท่เฟย “...”นางคิดว่าซือเจ๋อเยว่เอ่ยคำพูดหยาบคายสุดขีด แต่ว่าไม่มีคำหยาบในคำพูดของนางเลยแม้แต่คำเดียวทุกครั้งที่นางสนทนากับซือเจ๋อเยว่ ล้วนเกิดความรู้สึกเหมือนหัวใจจะวายนางสูดลมหายใจลึกแล้วกล่าวว่า “หุบปาก!” ซือเจ๋อเยว่มองนางอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นางสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง “วันนี้ข้าเรียกเจ้าเข้าวัง เพราะว่ามีเรื่องอื่นที่อยากจะถามเจ้า เจ้าจงตอบตามความจริง” ซือเจ๋อเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้ตอบรับคำของนาง นางไม่รู้จริง ๆ ว่าอวิ๋นไท่เฟยเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงกล้าเอ่ยกับนางเช่นนี้อวิ๋นไท่เฟยถามนางว่า “เรื่องที่เยียนเซียวหรานถูกลอบสังหารเมื่อวันก่อน มันเกิดอะไรขึ
“เขาไม่บอกอะไรเลย ข้าย่อมไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”อวิ๋นไท่เฟยสังเกตนางอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้า กำลังคาดเดาว่านางพูดจริงหรือเท็จซือเจ๋อเยว่ปล่อยให้นางสังเกต ทำท่าทางเหมือนไม่คิดอะไรมากอวิ๋นไท่เฟยเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็รู้สึกหงุดหงิดใจ แต่ยังคงถามว่า “เช่นนั้นเจ้ายังรู้อะไรอีกบ้าง?” ซือเจ๋อเยว่ตอบว่า “ข้ารู้ว่าสาเหตุที่เยียนอ๋องสิ้นชีพในสนามรบ เป็นเพราะมีคนคิดว่าเขากุมอำนาจทางทหารของกองทัพหย่งอันไว้ในมือ เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวง”“ด้วยเหตุนี้คนเหล่านั้นจึงใช้วิธีการบางอย่าง หาทางทำให้เขาต่อสู้จนตัวตายในสนามรบ”อวิ๋นไท่เฟยมองนางด้วยสายตาลุ่มลึกขึ้นเล็กน้อยนางเอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่งว่า “เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ข้าแอบฟังมา หากท่านอยากรู้ข้อมูลเหล่านี้ ข้าสามารถไปแอบฟังให้ท่านได้” อวิ๋นไท่เฟยได้ยินคำกล่าวนี้ก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางว่าแล้ว ซือเจ๋อเยว่ต้องการความรักของมารดามากอย่างแน่นอน นางจึงเอ่ยว่า “ต่อไปหากเจ้าได้ข่าวคราวอะไรในจวนเยียนอ๋อง จะต้องหาทางบอกข้าทั้งหมด”“แบบนี้ต่อไปหากเจ้าเกิดเรื่องอะไร ข้าถึงจะหาทางช่วยเหลือเจ้าได้”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า แต่เอ่ยถามว่า
เวลานั้นนางไม่เข้าใจสถานการณ์ในเมืองหลวง และตอนนั้นวิธีการออกจากวังหลวงที่ดีที่สุดของนางก็คือแต่งงานเข้าจวนเยียนอ๋อง ด้วยเหตุนี้ตอนนั้นนางจึงปฏิเสธข้อเสนอของฮองเฮาจนบัดนี้นางยังจำได้ว่าเวลานั้นฮองเฮาถอนหายใจ และไม่ได้เกลี้ยกล่อมอีก ตอนนี้นางได้พบฮองเฮาอีกครั้ง ซือเจ๋อเยว่จึงกล่าวอย่างเป็นเด็กดีว่า “หากฮองเฮาทรงอยากเจอหม่อมฉัน ก็เรียกหม่อมฉันเข้าวังมาพูดคุยเป็นเพื่อนพระองค์ได้ทุกเมื่อเพคะ” ฮองเฮายิ้มน้อย ๆ “ช่างเป็นเด็กที่รู้ความ”นางกล่าวจบก็มองไปทางอวิ๋นไท่เฟย “พี่สะใภ้ ท่านช่างโชคดีเสียจริง มีพระธิดาที่ว่านอนสอนง่ายอย่างเจ๋อเยว่” อวิ๋นไท่เฟยมองซือเจ๋อเยว่อย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวว่า “เจ๋อเยว่ว่าง่ายและรู้ความจริงๆ” “เพียงแต่หม่อมฉันติดค้างนางไว้มาก นางมีดวงชะตาพิเศษตั้งแต่เล็ก จึงถูกส่งไปอารามเต๋า” “หลายปีมานี้หม่อมฉันเฝ้าคิดถึงทุกเช้าค่ำ หวังให้นางกลับมาโดยเร็ว แต่คิดไม่ถึงว่านางเพิ่งกลับมาก็ต้องแต่งงานแล้ว” “ในใจของข้านึกถึงนาง คิดถึงนาง ขอเพียงมีเวลาก็อยากให้นางเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนข้า” ซือเจ๋อเยว่อยากอาเจียน ไม่รู้เหมือนกันว่าอวิ๋นไท่เฟยเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาได้อ
“ก่อนที่หม่อมฉันจะตาย ยังสามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อราชวงศ์ได้ หม่อมฉันก็พอใจมากแล้วเพคะ”ฮองเฮามองมาที่นางด้วยสายตาที่ค่อนข้างซับซ้อน ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ “ช่างเป็นเด็กที่ชีวิตลำบากจริง ๆ”“ต่อไปหากเจ้ามีเรื่องยุ่งยากอะไรก็มาหาเราได้ มีเราอยู่ จะไม่ให้ใครรังแกเจ้าเด็ดขาด” ซือเจ๋อเยว่ยิ้มหวานให้ฮองเฮา “ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ”ทั้งสองคนพูดคุยกันไม่หยุด ทิ้งอวิ๋นไท่เฟยไว้ข้าง ๆ ทันที จนนางดูเหมือนส่วนเกินมาก ฮองเฮามีราชกิจล้นมือ ไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นานมากนัก หลังจากที่พูดกับซือเจ๋อเยว่อีกหลายประโยคก็จากไป เมื่อฮองเฮาจากไป อวิ๋นไท่เฟยก็เริ่มด่าทอว่า “นังแพศยาสมควรตายนี่ยุแยงอีกแล้ว!”“เจ๋อเยว่ อย่าไปเชื่อคำพูดของนางนะ เดิมทีตอนแรกองค์หญิงสามไม่จำเป็นต้องแต่งงานเข้าจวนเยียนอ๋อง ทั้งหมดเป็นเรื่องที่นางยุยงขึ้นมา” ซือเจ๋อเยว่ถามอวิ๋นไท่เฟยว่า “ต่อให้เป็นเรื่องที่นางยุยงขึ้นมา แต่ให้องค์หญิงสามแต่งงานเข้าจวนเยียนอ๋องก็ได้ เหตุใดท่านจึงให้ข้าแต่งงานแทนองค์หญิงสามด้วยเล่า?” อวิ๋นไท่เฟย “...”นางถูกถามจนตกตะลึงแล้ว เนื่องจากคำถามข้อนี้ตอบค่อนข้างยาก ซือเจ๋อเยว่หัวเราะเบา ๆ “องค์หญิง
"ไม่มีคำว่าแต่อันใดทั้งนั้น" นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน "หากท่านไม่รีบออกไป อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!" ซือเจ๋อเยว่ "…" เมื่อคืนที่ผ่านมานางได้ยินเยียนเซียวหรานบอกว่าราชครูไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น และไม่ชอบพบเจอคนแปลกหน้า นางคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนเช่นนั้น อย่างน้อยก็การที่เขาเร่งเดินทางไกลกลับมาเพื่อใช้กระบี่ฟันไป๋จื้อเซียนครั้งนั้น ก็หมายความว่าเขาหาใช่คนที่เพิกเฉยต่อปัญหาของผู้คนโดยสิ้นเชิง นางยังคิดว่าเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมากเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้ เมื่อเขาเดาเจตนาของนางได้ เขากลับส่งนักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวที่ดุดันมาไล่นางออกไป หากเรื่องนี้เกิดขึ้นที่อื่น นางคงจะบุกขึ้นเขาไปถามเขาให้รู้เรื่อง แต่ที่นี่คือเมืองหลวง อีกทั้งกระบี่ของเขาคราวก่อนทรงพลังจนเกินคาด ราชครูผู้นี้คงเป็นยอดฝีมือที่นางไม่อยากขัดแย้งด้วย ดังนั้น นางจึงทำได้แค่พาเยียนเซียวหรานเดินออกจากค่ายกลไปอย่างเงียบ ๆ ทันทีที่พวกเขาก้าวออกจากค่ายกล นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวก็รีบปิดซุ้มประตูที่เชิงเขาทันที ซึ่งปกติแทบไม่เคยปิด เขาปิดประตูอย่างรุนแรงจนซือเจ๋อเยว่ที่เดินช้ากว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่มีความจำเป็นต้องถามอีกต่อไป นางลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า” ครั้งนี้เยียนเซียวหรานไม่ได้หันกลับมามองนางอีก และนางก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ นางหมุนตัวแล้วเดินจากไป เยียนเซียวหรานมองเปลวเทียนที่ลุกไหวอยู่ในศาลบรรพชน ก่อนจะถอนหายใจเสียงยาว เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมาที่ห้อง นางครุ่นคิดถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเยียนเซียวหรานในปีนี้ นางคิดหลายตลบก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ในสถานการณ์เช่นนี้ คำอธิบายเดียวที่ดูคล้ายจะสมเหตุสมผล คืออาจเป็นเพราะลุงเขยของเยียนเซียวหรานมาเยือน จึงทำให้เขาอารมณ์แปรปรวนเช่นนี้ นางยักไหล่เล็กน้อย ไม่ใส่ใจจะคิดต่อ และหันไปวางแผนว่าหากได้พบกับราชครูในวันรุ่งขึ้น นางจะเกลี้ยกล่อมให้เขาช่วยจัดการไป๋จื้อเซียนได้อย่างไร เช้าวันรุ่งขึ้น เยียนเซียวหรานมาตามที่นัดไว้ เขาพานางไปยังหอพยากรณ์ดวงดาวเพื่อพบกับราชครู แม้จะเรียกว่าหอ แต่ที่แท้แล้วคือกลุ่มอาคารขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ที่อดีตฮ่องเต้สร้างขึ้นเพื่อราชครู ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดในเมืองหลวง ซึ่งที่แห่งนั้น ก็สามารถเฝ้าดูดวงดาวและทำนา
แท้จริงแล้วราชครูมีการไปมาหาสู่กับเยียนอ๋อง ในเมืองหลวงเขาแทบไม่มีสหายที่ใด เยียนอ๋องกลับเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว ครั้งล่าสุดก่อนที่เยียนอ๋องจะออกศึก ราชครูเคยมาพบเยียนอ๋องครั้งหนึ่ง ส่วนพวกเขาหารือเรื่องใดกันนั้น เยียนเซียวหรานไม่อาจรู้ได้ เพียงแค่ได้ยินเสียงทั้งสองทะเลาะกันในห้องหนังสือ หลังจากจวนเยียนอ๋องเกิดเรื่อง ราชครูก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย ในค่ำคืนนั้นเมื่อเยียนเซียวหรานพบราชครูที่เรือนพักในจวนหนิงกั๋วกง เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกในความทรงจำของเยียนเซียวหราน ที่ราชครูยอมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ ปกติเมื่อเขาอยู่ในเมืองหลวง ก็มักจะพำนักอยู่ในหอพยากรณ์ดวงดาว ไม่ว่าจะมีเรื่องใดที่ไม่สำคัญจริง เขาจะไม่มีทางออกมา ซือเจ๋อเยว่เอ่ยด้วยความกังวล “แต่ไป๋จื้อเซียนนั้นเป็นภัยใหญ่ ทั้งยังเติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย” “เกรงว่าไม่นานเกินรอเขาจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอีก ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็จะยิ่งจัดการยากขึ้น” “ไม่ว่าราชครูจะยินยอมพบข้าหรือไม่ ข้าคงต้องหาวิธีพบเขาให้ได้” เยียนเซียวหรานพยักหน้า “ก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปกับท่าน” ซือเจ๋อเยว
เขานึกถึงภาพในช่วงหลายวันที่ผ่านมายามนางนอนอยู่บนเตียงโดยไม่มีวี่แววของลมหายใจใด ๆ หัวใจเขาเจ็บปวดราวกับถูกบีบคั้นจนแทบทนไม่ได้ ถึงแม้เขาจะรู้อยู่เสมอว่าสภาพร่างกายของนางไม่แข็งแรง แต่ทุกครั้งที่เขาได้พบนาง นางกลับมีรอยยิ้มเปี่ยมล้นบนใบหน้า ร่างกายของนางดูเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เขาไม่เคยคิดว่านางเป็นคนที่กำลังจะสิ้นลม และไม่เคยคิดว่าสภาพร่างกายของนางจะแย่ถึงเพียงนี้ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้กลับเตือนเขา ว่านางบอบบางยิ่งกว่าที่เขาเคยคาดคิดไว้มากนัก เขาเอ่ยเสียงเบา “เรื่องนี้ข้าจัดการเองได้ องค์หญิงพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนให้ดีเถอะ”ซือเจ๋อเยว่หัวเราะเสียงเบา “สภาพร่างกายของข้า ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร?” “เมื่อมีเจ้าอยู่ข้างกาย ข้าอาจอยู่ได้นานขึ้นอีกสักหน่อย แต่หากเจ้าไม่อยู่ ข้าก็จะตายเร็วขึ้นกว่าเดิม” เยียนเซียวหรานขมวดคิ้วแน่น บัดนี้เขาไม่อยากได้ยินคำว่า ‘ตาย’ อีกแล้ว ซือเจ๋อเยว่นั่งลงข้างเขา ใช้มือทั้งสองประคองคางของตนเองไว้พลางเอ่ยขึ้น “อีกอย่าง ไป๋จื้อเซียนนั่นเป็นข้าที่ปล่อยออกมาเอง” “เรื่องครั้งนี้จะไปโทษเจ้าไม่ได้หรอก หากจะโทษก็ต้องโทษข้า” “
เยียนเซียวหรานหลุบตาลง “ท่านย่าสั่งสอนได้ถูกต้อง ครั้งนี้เป็นข้าที่ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ตอนนี้องค์หญิงฟื้นแล้ว ท่านย่าลงโทษข้าเถิดขอรับ”เหล่าไท่จวินพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ท่านย่า เรื่องนี้โทษน้องสามไม่ได้จริง ๆ หากจะโทษก็ต้องโทษที่ตอนนั้นสถานการณ์พิเศษ”“ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเจอเข้ากับไป๋จื้อเซียนที่นั่น หากไม่ใช่เพราะน้องสามปกป้องข้าจนสุดชีวิตละก็ ข้าก็คงตายไปแล้ว”“ดังนั้นท่านย่าอย่าได้ลงโทษน้องสามเลย เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน”เหล่าไท่จวินถอนหายใจ “องค์หญิงไม่ต้องร้องขอความเมตตาแทนเขา เขาเป็นบุรุษ เดิมทีก็ควรปกป้องญาติผู้หญิงในครอบครัวอยู่แล้ว”ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไปมองเยียนเซียวหราน เขายืนหน้านิ่งยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นนางมองมา ก็สบตากับนางแวบหนึ่ง แล้วก็เก็บสายตาคืนกลับมาซือเจ๋อเยว่รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “วันนั้นข้าเห็นเหนียนเหนียนหมดสติไปเช่นกัน เหนียนเหนียนไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เยียนเหนียนเหนียนโผล่หน้าออกมาจากทางด้านหลังของเหล่าไท่จวิน “ข้าไม่เป็นไร แค่หมดสติเป็นครู่เดียวเท่านั้น ในไม่ช้าก็หายดีแล้ว”“ร่างกายของข้าแข็งแรง องค์หญิ
ตอนที่ไป๋จื้อเซียนมองเห็นยันต์พวกนั้นก็หรี่ตาลงทันที เมื่อตระหนักได้ว่าทรงพลัง ก็โยกหลบอย่างรวดเร็วซือเจ๋อเยว่ฉวยโอกาสยื่นนิ้วออกไป ยันต์พวกนั้นก็ไล่ตามไป๋จื้อเซียนไป ร่างกายของเขามียันต์ห้าอัสนีบาตแผ่นหนึ่งแปะอยู่เขาด่าทอด้วยคำหยาบคาย มองไปทางด้านนอกห้องแวบหนึ่ง รู้ว่าหากวันนี้ไม่หนีไป เกรงว่าจะต้องตายอยู่ที่นี่จริง ๆ จึงวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็วตอนที่เขาวิ่งหนี เมฆฝนก่อตัวขึ้น ไล่ตามเขาภายในชั่วพริบตา ทั่วทั้งเรือนเต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้อง ผู้ดูแลพาท่านหมอเดินเข้ามาพอดี ทันทีที่เห็นฉากนี้ ก็ตกใจจนลูกตาเกือบถลนออกมาถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นไป๋จื้อเซียน แต่เขามองเห็นสายฟ้าบนท้องฟ้า เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสายฟ้าหน้าตาแบบนี้ทันทีที่ไป๋จื้อเซียนวิ่งหนี ห้องก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ตะเกียงน้ำมันที่มุมห้องยังคงสว่างอยู่ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้น ทันทีที่หันหน้าไปมอง ก็เห็นว่าคนที่ฟันกระบี่ใส่ไป๋จื้อเซียนก็คือเยียนเหนียนเหนียนนางรู้สึกผิดปกติ ต่อให้นางแปะยันต์แผ่นหนึ่งบนกระบี่ของเยียนเหนียนเหนียน กระบี่เล่มนั้นของนางร้ายกาจกว่ากระบี่ทั่วไปเล็กน้อย ก็ไม่มีทางทำลายอาณาเขตที่ไป๋จื้อเซียนวางเอาเม
ครู่ต่อมา ซือเจ๋อเยว่หยิบอาวุธเวทย์อีกชิ้นหนึ่งออกมา เพียงแต่นางยังไม่ทันเข้าไปหา ก็ถูกเส้นผมสีดำของเขากวาดลอยกระเด็นออกไปเยียนเซียวหรานอยากจะเข้ามาช่วย แต่กลับถูกผ้าต่วนสีแดงรัดลำคอเอาไว้เขากล่าวอย่างยากลำบาก “องค์หญิง!”ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้นกระอักเลือดออกมา ไป๋จื้อเซียนไม่ได้เขยิบเข้าไปใกล้ตรงหน้าของนางพอดีเลือดพ่นใส่มือของไป๋จื้อเซียน มือของเขาเป็นรูทันทีเขาค่อนข้างประหลาดใจ “นักพรตหญิงน้อย ร่างกายของเจ้ามีความพิเศษนี่นา!”ปากเขาพูดไป มือกลับบีบลำคอของนางเอาไว้ “กินตบะของเจ้า จะต้องบำรุงมากแน่!”ร่างกายของซือเจ๋อเยว่ เป็นวิญญาณมาหนึ่งพันปี เป็นครั้งแรกที่ได้เจอร่างกายอย่างนางเขาเคยเห็นในหนังสือเล่มหนึ่ง หากได้กินวิญญาณของนาง เท่ากับเป็นการบำเพ็ญตบะห้าร้อยปีถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยประมือกับนางมาก่อน แต่ครั้งก่อนนางไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออก เขาไม่รู้ว่านางจะมีร่างกายที่พิเศษเช่นนี้บัดนี้ค้นพบแล้ว ดวงตาของเขาเปล่งประกายทันทีเพียงแต่คนที่มีร่างกายเช่นนาง เนื่องจากร่างกายพิเศษมากเกินไป ดังนั้นอยากจะกลืนกินนางก็ไม่ใช่เรื่องง่ายซือเจ๋อเยว่ใช้มือปาดเลือดที่มุมปาก ยื่นมื
พวกเขาร่วมมือกันอยากจะจับตัวไป๋จื้อเซียนเอาไว้เป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่งเรื่องหนึ่งเขารู้ว่าในเวลานี้ไม่มีเวลาห่วงหน้าพะวงหลังอีกแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องเป็นคนจบเรื่องนางพูดกับเยียนเซียวหรานเบา ๆ “เจ้าถ่วงเวลาเขาไว้สักสิบวินาที”เยียนเซียวหรานพยักหน้า มือของซือเจ๋อเยว่ร่ายคาถาอย่างรวดเร็วไป๋จื้อเซียนเห็นสัญลักษณ์มือของนาง ก็แค่นเสียงหัวเราะ “เจ้าคิดว่าเจ้ายังจะจับตัวข้าเอาไว้อีกอย่างนั้นหรือ?”เขาพูดจบก็พุ่งตัวเข้ามาหานาง พุ่งตรงเข้ามาควักหัวใจของนางกระบี่ไม้ท้อในมือของเยียนเซียวหรานพันเข้าใส่ไป๋จื้อเซียนทันทีทั้งสองอย่างปะทะกัน ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไป๋จื้อเซียนหัวเราะเบา ๆ “ฮ่า น่าสนุก! แต่วันนี้ ที่ตรงนี้เป็นถิ่นของข้า ข้าเป็นใหญ่!”เส้นผมสีดำของเขาแผ่สยาย ผ้าต่วนสีแดงบนร่างกายพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าใส่เยียนเซียวหรานที่แฝงไปด้วยเจตนาสังหารต่อให้วิชากระบี่ของเยียนเซียวหรานจะดีแค่ไหน กระบี่ไม้ท้อไม่ใช่อาวุธแหลมที่สามารถตัดโลหะหรือหยกได้ จึงถูกพันธนาการเอาไว้ทันทีเขารีบชักกระบี่ติดตัวของตนเองที่อยู่บริเวณเอวของตนเองออกมา ฟันเข้าใส่เส้นผมสี
ค่ำคืนนี้ ซือเจ๋อเยว่มาตามที่คาดไว้!เขามองเยียนเซียวหรานด้วยสายตาเย็นยะเยือก หันหน้ากลับไปมองค่ายกลที่ได้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างชั่วร้ายเขาเฝ้าอยู่ที่ เป็นเพราะกลิ่นอายจากตัวของซือเจ๋อเยว่กับค่ายกลนั่นค่อนข้างคล้ายคลึงกับกลิ่นอายที่เคลื่อนตัวอยู่บนร่างกายหของอวิ๋นเยว่หยางครั้งก่อนที่เขาเจอกับเยียนเซียวหรานแบบรีบร้อนเกินไปหน่อย ประกอบกับซือเจ๋อเยว่ก็อยู่ตรงนั้นด้วย ดังนั้นเขาจำไม่ได้ในทันทีว่ากลิ่นอายบนตัวของอวิ๋นเยว่หยางคือกลิ่นอายของเยียนเซียวหรานในเวลานี้ทันทีที่ค่ายกลถูกทำลาย กลิ่นอายพวกนั้นก็ไหลย้อนกลับ เขาจึงสัมผัสได้อย่างชัดเจนความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนค่อนข้างเกิดความสนใจเป็นเพราะเขารู้ว่า เป็นการยากที่คนคนหนึ่งจะมีกลิ่นอายของคนอื่นติดอยู่อย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวันก็เป็นไปไม่ได้หากติดแล้ว นั่นก็แสดงว่าโชคชะตาของทั้งสองคนรวมเข้าด้วยกันแล้วไป๋จื้อเซียนมองเยียนเซียวหราน กล่าว “น่าสนุก”เขาหันหน้าไปมองซือเจ๋อเยว่อีกครั้ง “นักพรตหญิงน้อย เจ้าหมอนี่ดีกับเจ้าเหลือเกินนี่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีชะตาชีวิตร่วมกันกับเจ้า”เ