ซือเจ๋อเยว่ถูกเสียงของเยียนเซียวหรานทำให้ตกใจ หันหน้าไปมองอย่างรวดเร็ว “เจ้าไม่ได้เข้ามาทางประตูหรือ?”เขาเข้าใกล้เกินไป ทันทีที่นางหันหน้ากลับมา ริมฝีปากก็พาดผ่านใบหน้าของเขา เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันทีคิ้วของซือเจ๋อเยว่เลิกขึ้นเล็กน้อย นี่คือความจริงจังที่เสแสร้ง!นางหันหน้าไปมองทางหน้าต่างบานนั้นที่ยังกำลังโยกไหวอยู่ นางเข้าใจทันทีว่าเขาเข้ามาจากที่ไหนหากเป็นคนอื่น บางทีนางอาจจะแหย่เล่นสักหน่อย แต่นางรู้ว่าเยียนเซียวหรานหน้าบาง ในใจของนางเดิมก็มีจุดประสงค์ไม่ดีแอบแฝง จึงไม่ควรแหย่เล่นตอนที่เยียนเซียวหรานกำลังพยายามคิดหาข้ออ้าง ซือเจ๋อเยว่ก็กล่าวขึ้น “น้องสามมาได้เวลาพอดีเลย ข้ามีสิ่งของบางอย่างจะให้เจ้าดู”เยียนเซียวหรานแอบถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง ซือเจ๋อเยว่กวักนิ้วเรียกเขา บอกเป็นนัย ๆ ว่าให้เขาเดินเข้ามาใกล้อีกนิดเขามองนางแวบหนึ่ง หรี่ดวงตาลงครึ่งหนึ่ง ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ขยับนางกล่าวเร่งรัดอีกครั้ง “รีบเข้ามาสิ!”เยียนเซียวหรานพยายามข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจลง ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ ๆ ข้างกายนางนางชี้ไปที่เส้นผมเส้นหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะ “รู้หรือไม่ว่านี่คืออะไร?”หลังจา
ดวงตาบนหุ่นคนที่นางแต้มด้วยหมึกอย่างลวก ๆ ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาในทันใด ดวงตาสีดำคู่นั้นทำให้เยียนเซียวหรานรู้สึกขนลุกอยู่ในใจเขาถามนาง “ของสิ่งนี้มีประโยชน์อะไร?”ซือเจ๋อเยว่ยื่นเข็มเล่มหนึ่งให้เขา “เจ้าขัดตาตรงไหนของมันก็ทิ่มลงไปตรงนั้น”“คาถาสาปแช่ง?” เยียนเซียวหรานถามหลังจากซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิดก็ตอบ “ข้าได้ยินมาว่าสตรีในวังหลวงชอบใช้ผ้ามาทำเป็นรูปคน ด้านบนเต็มไปด้วยเข็ม ใช้สำหรับสาปแช่งคนอื่น การกระทำเช่นนี้เรียกว่าคาถาสาปแช่ง”“อันที่จริงของประเภทนั้นที่พวกนางใช้เพียงแค่ใช้ผ้ามาทำเป็นรูปคนเท่านั้น หรือคนที่วิชาเต๋าไม่เก่งกล้าจะใช้คาถาเพื่อสร้างหุ่นเชิด แต่ก็ไม่ได้ผล”“คาถาที่ข้าใช้เรียกหุ่นเชิดแทนตัวคน แตกต่างจากของพวกนาง ได้ผลชะงัด แทงตรงไหนโดนตรงนั้น”“เขาทำร้ายเจ้าจนย่ำแย่ขนาดนั้น เจ้าเอาเข็มแทงส่วนที่เกี่ยวข้องของหุ่นคนตัวนี้ เขาก็จะรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง”เยียนเซียวหรานถาม “สุดยอดขนาดนี้เชียวหรือ?”ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจเบา ๆ “เจ้าสามารถสงสัยคุณธรรมของข้าได้ แต่เจ้าไม่ควรสงสัยในวิชาเต๋าของข้า”“หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าดึงเส้นผมออกมาเส้นหนึ่ง ข้าจะทำขึ้นมาอีกตัว ให้เจ้า
แต่หมอยังไม่ทันมาถึง เขาก็รู้สึกว่าเหมือนว่าบริเวณท้องน้อยของเขา ถูกใครบางคนสิ่งของบางอย่างกระชากอย่างรุนแรงการดึงนั้นรุนแรงกว่ามากเมื่อเทียบกับความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่หัวใจเมื่อครู่นี้ เหมือนกับว่าจะกระชากสิ่งนั้นของเขาออกมาตรง ๆอวิ๋นเยว่หยางเจ็บปวดจนอนกลิ้งกับพื้น แต่กลับส่งเสียงไม่ออกแม้แต่นิดเดียวตอนที่ท่านหมอมาถึง อวิ๋นเยว่หยางรู้สึกราวกับว่าทั่วทั้งตัวของตนกำลังจะถูกฉีกขาดออกจากกันแล้ว รสชาตินั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็นทันทีที่หนิงกั๋วกงฮูหยินเห็นท่านหมอ ก็กล่าวอย่างร้อนใจ “ท่านหมอ ท่านรีบตรวจดูหยางเอ๋อร์ของข้า นี่เขาเป็นอะไรไปอย่างนั้นหรือ?”หมอเดิมเข้ามาตรวจชีพจรให้แก่อวิ๋นเยว่หยาง ชีพจรของเขาปกติ ไม่ได้มีบริเวณไหนที่ผิดปกติแต่ท่าทางที่เจ็บเจียนตายของอวิ๋นเยว่หยางไม่เหมือนว่ากำลังเสแสร้ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเช่นกันตอนนี้อวิ๋นเยว่หยางรู้สึกว่ามือข้างนั้นที่กำลังบีบคอของเขาเอาไว้ได้คลายออกแล้ว ทันทีที่เขาหายใจด้วยความโล่งอก ก็รู้ว่าว่าแขนด้านขวาของเขากำลังจะถูกใครบางคนกระชากให้ขาดสุดท้ายครั้งนี้เขาก็ส่งเสียงร้องอันน่าเวทนาออกมา “โอ๊ย ช่วยด้วย! เจ็บเหล
เยียนเซียวหรานมองไปที่นาง จากนั้นก็เห็นเลือดกำเดาไหลออกมาจากจมูกของนางเขากล่าวเตือนนางให้รู้ตัว “ท่านเลือดกำเดาไหลแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ยกมือขึ้นมาถู บนมือพลันถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน นางสูดจมูกหนึ่งทีแล้วพูด “ครานี้ขาดทุนย่อยยับทีเดียว!”นางเอ่ยจบก็ล้มตึง เยียนเซียวหรานหาได้ปรี่เข้าไปรับตัวนางไว้ไม่ หากแต่วิ่งพรวดไปยังเบื้องหน้าของแมวชอซีเขาคว้าหมับเข้าที่หลังคอแมวแล้วดึงยกขึ้นฉับพลัน ก่อนจะแย่งเอาหุ่นคนที่ยามนี้ฉีกขาดเละเทะจนหมดสภาพจากในกรงเล็บของมันมา จากนั้นค่อยเอามันไปขังไว้ที่ห้องขนาบด้านข้างเขาทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้วค่อยมาช้อนร่างซือเจ๋อเยว่ขึ้นอุ้มไว้ เลือดกำเดาของนางยังคงไหลหลั่งออกมาไม่หยุดเขารู้ดีว่าแค่เลือดกำเดาไหลหาใช่เรื่องสาหัสสากรรจ์แต่อย่างใดสำหรับคนทั่วไปไม่ ทว่าสำหรับนางแล้วกลับเป็นเรื่องที่เอาชีวิตนางได้เลยเขารีบวางหุ่นคนไว้บนโต๊ะแล้วเรียกนางเบา ๆ “องค์หญิง องค์หญิง!”ซือเจ๋อเยว่ที่เดิมทีนอนสลบเหมือดไม่ได้สติพลันลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน เขาจึงโล่งใจไปได้เปราะหนึ่ง “องค์หญิงฟื้นก็ดีแล้ว”เขาทำท่าจะผละออกจากนาง นางกลับจับตัวเขาไว้ในทันที เขาจึงเอ่ยถาม “องค์หญิงยังมีตร
ในเวลานี้เอง มีเสียงร้องของแมวอันใสกังวานดังมาจากห้องด้านข้าง เยียนเซียวหรานจึงกลับมาได้สติครบถ้วนอีกครั้งโดยพลันเขามองเรือนร่างของพวกเขาทั้งคู่ที่ยามนี้เปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ปกปิด สีหน้าพลันซับซ้อนเล็กน้อยบัดนี้ซือเจ๋อเยว่ได้กลับมาสงบลงแล้ว ท่าทางที่นางนอนหลับอยู่ตรงนั้น ช่างน่ารักน่าเอ็นดูนักเพียงแต่ริมฝีปากของนางถูกเขาจูบจนระบมกลายเป็นสีแดงระเรื่อ เย้ายวนชวนหลงใหลเป็นพิเศษยามนี้เยียนเซียวหรานรู้แล้วว่าเมื่อครู่นางสติไม่เต็มถ้วน และการกระทำของเขามากน้อยก็จัดได้ว่าฉวยโอกาสในยามคับขันเขายกมือขึ้นมาตบหน้าตัวเองฉาดหนึ่ง พลิกตัวลงจากเตียง ก่อนจะจัดแจงเสื้อผ้าของตนเองและของนางให้เรียบร้อย แล้วค่อยดึงผ้าห่มมาคลุมให้นางเขาผินกายจากไป แต่เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หันกลับมามองนาง นางนอนแน่นิ่ง บนดวงหน้างดงามราวกับประดับด้วยรวยยิ้มจาง ๆในใจเยียนเซียวหรานพลันเกิดความคิดในเชิงนั้นขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงตบหน้าตัวเองอีกรอบ พร้อมสบถคำด่า “สัตว์เดรัจฉาน!”เมื่อสองปีก่อนไม่ว่าระหว่างพวกเขาสองคนจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ตอนนี้ซือเจ๋อเยว่ก็เป็นพี่สะใภ้ของเขาอยู่ดี เพราะฉะนั้นเขาจะทำเรื่องพรรค์น
เยียนเซียวหรานแค่นเสียงเย็นออกมาหนึ่งที “แล้วท่านจำอันใดได้บ้างเล่า?”เขาเอ่ยเสร็จก็เบือนหน้าเดินจากไปเมื่อคืนวานนี้ซือเจ๋อเยว่เห็นเขาปีนหน้าต่างเข้ามาหานาง นางก็ยังรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนยังนับว่าไม่เลว นางน่าจะยังสามารถเข้าใกล้เขาได้อีกสักนิด เพิ่มพลังชีวิตได้อีกสักหน่อยแต่ยามนี้เขาคิดจะเปลี่ยนท่าทีก็เปลี่ยนทันที นางรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าเขาช่างเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนเสียจริงนางแค่ถามว่าเขารู้หรือไม่ว่าปากของนางไปกระแทกจนได้แผลมาได้อย่างไร เขาจำเป็นต้องทำหน้าบูดบึ้งขมึงทึงถึงขั้นนั้นเชียว?ซือเจ๋อเยว่ทำหน้าเบ้ แล้วนำแมวชอซีไปคืนให้พระชายาเยียนอ๋องเมื่อพระชายาเยียนอ๋องเห็นแมวชอซีก็นึกถึงเยียนอ๋องขึ้นมาอีกครั้ง จึงน้ำตาตกอย่างอดไม่ได้ “แมวตัวนี้ท่านอ๋องเป็นคนมอบให้ข้า”“เดิมทีคิดว่ามันหายไปแล้ว ไม่คาดคิดเลยว่าตอนนี้มันจะกลับมา”แมวชอซีเห็นพระชายาเยียนอ๋องก็ส่งเสียงร้อง ‘เมี๊ยว’ ดู ๆ แล้วสนิทสนมกับนางเป็นอย่างยิ่งเพียงแค่ตอนซือเจ๋อเยว่จากไป แมวชอซีก็เดินตามนางออกมาอีก นางไล่มันอยู่นานสองนาน ถึงไล่มันกลับไปยังข้างกายของพระชายาเยียนอ๋องได้พรุ่งนี้นางจะไปจวนหนิงกั๋ว
เหล่าไท่จวินก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ดูแปลก ๆ ระหว่างคนทั้งสองแล้วเช่นกันนางเหลือบมองพวกเขาแวบหนึ่ง เพียงคิดว่าสองคนนี้คงทะเลาะกันแล้วเท่านั้นเหล่าไท่จวินเห็นรอยบวมแดงบนริมฝีปากของซือเจ๋อเยว่ จึงถาม “องค์หญิงเป็นร้อนในหรือ?”เยียนเซียวหรานหัวใจพลันบีบรัดอย่างอดไม่ได้ สีหน้าดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินักโชคดีที่ตอนนี้เหล่าไท่จวินเพ่งความสนใจไปที่ตัวซือเจ๋อเยว่ จึงไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเขาซือเจ๋อเยว่ยิ้มพลางตอบ “เมื่อวานตอนกลับห้องมัวแต่คิดเรื่องจวนสกุลอวิ๋น ไม่ได้ดูทางเดิน ไม่ระวังจึงล้มกระแทกนิดหน่อยเท่านั้น หาได้เป็นอันใดมากไม่เจ้าค่ะ”เยียนเซียวหรานปรายตามองนางด้วยหางตา รู้สึกว่านางช่างแต่งเรื่องเก่งเสียเหลือเกินเหล่าไท่จวินเอ่ยด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “ดูเหมือนจะเป็นหนักทีเดียว ข้ามียาอยู่กระปุกหนึ่ง องค์หญิงเอาไปทาเสียหน่อยเถิด”เดิมทีซือเจ๋อเยว่รู้สึกว่าบาดแผลเล็กน้อยเช่นนี้ผ่านไปสองวันก็หายแล้ว ไม่จำเป็นต้องทายาด้วยซ้ำเพียงแต่เหล่าไท่จวินมีน้ำใจหวังดี นางไม่อาจปฏิเสธได้ จึงยิ้มพลางรับยาไว้ระหว่างที่พวกเขากำลังจะออกไป เหล่าไท่จวินได้รั้งตัวเยียนเซียวหรานให้อยู่ต่อ
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกล่าว “ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”ซือเจ๋อเยว่เห็นท่าทางของเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ไป ข้าจะพาเจ้าไปสำรวจจวนหนิงกั๋วกงกันสักหน่อย!”เยียนเซียวหรานเห็นท่าทางของนางแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นเบา ๆ แล้วเดินตามนางออกไปพวกเขาไปยังจวนหนิงกั๋วกงโดยซือเจ๋อเยว่นั่งรถม้า ส่วนเยียนเซียวหรานควบม้าไปเยียนเซียวหรานมองซือเจ๋อเยว่ขึ้นไปบนรถม้าของจวนเยียนอ๋องด้วยท่าทางเปี่ยมล้นด้วยกำลังวังชา จากนั้นก็เห็นนางในสภาพลมหายใจรวยรินจนต้องให้คนช่วยประคองเมื่อถึงจวนหนิงกั๋วกงเขาได้เข้าใจในความหมายของคำว่า ‘การแสดง’ อย่างลึกซึ้งขึ้นไปในอีกขั้นหนึ่งจากตัวนางที่ซุ้มประตูได้รับแจ้งไว้นานแล้ว เมื่อเห็นพวกเขามา ก็รีบไปรายงานกับคนด้านในพลางกุลีกุจอตระเตรียมจัดหารถลากมา เพื่อให้นางได้นั่งเข้าจวนนางกลับล้มลงที่พื้นทันทีที่ลงจากรถม้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงทั้งที่ยังก้นจ้ำเบ้าอยู่อย่างนั้น “ข้าไม่เคยพบท่านตาท่านยายเลย”“ท่านตาท่านยายต้องการพบข้า ข้ามิกล้าไม่พบหรอก”“ลวี่เหมียน หงซิ่ว พวกเจ้ามาประคองข้าที ข้ายังเดินไหว”ลวี่เหมียนกับหงซิ่วเป็นสาวใช้ในจวนเยียนอ๋องที่มากับนางด้วยในวันนี้ ทั้งคู่
นั่นเป็นเพราะหลังจากที่ตอนนั้นเขาเข้าไปในค่ายกลแล้ว ตกอยู่ในภาพลวงตา เหมือนเช่นเยียนเซียวหรานในตอนนี้ตัวประหลาดนั่นโหดเหี้ยมน่ากลัวเกินไป ภายในร่างกายกักขังเศษวิญญาณเอาไว้มากมายขนาดนั้นนางไม่จำเป็นต้องเดา เศษวิญญาณที่ตัวประหลาดกักขังเอาไว้ภายในร่างกายพวกนั้น เกรงว่าทั้งหมดจะเป็นองครักษ์ของเยียนอ๋องซื่อจื่อเมื่อนางนึกถึงเรื่องศพอันไม่สมบูรณ์ของเยียนอ๋องซื่อจื่อที่ถูกขนกลับมายังจวนเยียนอ๋อง เกรงว่าจะไม่ได้โดนสัตว์ป่ากัดเอา ทว่าถูกตัวประหลาดนี้ฉีกนางไม่สามารถจินตนาการได้ เยียนอ๋องซื่อจื่อและกลุ่มคนถูกขังอยู่ภายในค่ายกลนี้ ตอนที่ถูกตัวประหลาดฉีกกินทั้งเป็น จะน่าเวทนาและหมดหนทางมากขนาดไหน!ทว่าเรื่องทั้งหมดนี้ ก็เป็นเพียงแค่ต้องการฆ่าปิดปากพวกเขา จากนั้นก็ทำเป็นตาค่ายกล ถูกกักขังระหว่างหยินกับหยางตลอดไป กลับชาติมาเกิดใหม่ไม่ได้ต่อให้วิญญาณที่ไม่สมบูรณ์จะหนีไปแล้วกลับชาติมาเกิดใหม่ หากไม่โง่ ปัญญาอ่อน ก็จะอายุสั้น เพราะดวงวิญญาณไม่สมบูรณ์ ได้รับความทุกข์ทรมานเพราะกลับชาติมาเกิดคนผู้นี้จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ทำให้รู้สึกโกรธมากจริง ๆ!พวกเขาวิ่งไปข้างหน้าอยู่ครู่หนึ่งถึงได้หยุดลงแล
ตัวประหลาดจับลูกธนูดอกนั้นไว้แล้วโยนใส่พวกเขาเยียนเซียวหรานหลบด้วยความรวดเร็ว ธนูดอกนั้นลอยเฉียดหัวของเขาไปซือเจ๋อเยว่ส่งเสียงร้องประหลาดใจออกมาเบา ๆ พลังสังหารของตัวประหลาดตัวนี้มากเสียจนน่าหวาดกลัวสีหน้าของเยียนเซียวหรานเองก็ค่อนข้างดูแย่เช่นกัน หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปอยากจะยิงให้ถูกตัวประหลาดอีกก็คงกลายเป็นเรื่องที่ยากมากตอนที่ซือเจ๋อเยว่เห็นตัวประหลาดไล่ตามมา พลังชั่วร้ายสีดำที่แผ่ซ่านออกมาจากมือ นางจึงมีวิธีการแล้วนางหยิบลูกธนูดอกหนึ่งขึ้นมาแล้วติดยันต์ที่ด้านบน ให้เยียนเซียวหรานยิงอีกครั้งตัวประหลาดในเวลานี้อยู่ใกล้กับพวกเขามาก เยียนเซียวหรานทำได้เพียงหลบไปก่อน แล้วค่อยยิงธนูดอกนั้นออกไปตัวประหลาดตัวนั้นมองเห็นการเคลื่อนไหวนี้ของเขา ในดวงตาปรากฏความเหยียดหยามขึ้นมาแวบหนึ่ง ใช้วิธีการเดิมซ้ำอีกครั้งเพื่อจับธนูดอกนั้นเพียงแต่ครั้งนี้ตอนที่มันจับลูกธนูดอกนั้นเอาไว้ ทันใดนั้นยันต์ห้าอัสนีบาตรก็ทำงาน ภายในชั่วพริบตา เสียงฟ้าร้องคำรามลั่น ฟ้าผ่ามันจนไหม้เกรียมเยียนเซียวหรานแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก คิดว่าทำแบบนี้น่าจะผ่าจนตัวประหลาดตายแล้ว ทว่าครู่ต่อมา ตัวประหลาดก็ขยับอ
ตลอดทาง เขากลับทำให้ตัวประหลาดนั่นไม่ต้องครุ่นคิดอีก วิ่งไล่ตามชื่อปาเลี่ยไปทันทีในระหว่างที่ซือเจ๋อเยว่กำลังพูด ตัวประหลาดก็ได้โจมตีชื่อปาเลี่ยหลายรอบแล้วชื่อปาเลี่ยในเวลานี้ได้สติกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้ว กลัวว่าจะช่วยชีวิตเขาไม่ได้ เขาจำต้องคิดหาหนทางช่วยเหลือตัวเองศักยภาพของร่างกายเขาถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด ไม่นึกเลยว่าเขาจะหลบการโจมตีนับครั้งไม่ถ้วนของตัวประหลาดได้อย่างหวุดหวิดเขาในเวลานี้พลางร้องอย่างสิ้นหวัง พลางหลบอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นเจ้าอ้วนที่คล่องแคล่วที่สุดในใต้หล้านี้ได้สำเร็จเมื่อซือเจ๋อเยว่มองเห็นท่าทางที่ตกอยู่ในอันตรายของเขา ทั้งรู้สึกว่าเขาน่าสงสาร แล้วก็อยากจะขำอีกด้วย เนื่องจากตอนที่เขาหลบ เรียกได้ว่าไม่ได้สนใจภาพลักษณ์เลยสักนิดนางกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ถึงแม้ในหนังสือจะไม่ได้บอกวิธีการที่สามารถสังหารตัวประหลาดประเภทนี้เอาไว้ สิ่งของบนโลกใบนี้อยากจะให้หายไปก็มีเพียงสองวิธี”“หนึ่งคือการโจมตีทางกายภาพ อีกอย่างก็คือการโจมตีแบบลี้ลับ”“ในเมื่อการโจมตีทางกายเมื่อครู่นี้ไม่ได้ผล เช่นนั้นก็ต้องลองการโจมตีแบบลี้ลับดูเสียหน่อย”ครั้งก่อนนางวาดยันต์สำรองเอาไว
ตอนนี้สิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขา ก็คือสัตว์ยักษ์สีแดงที่สูงประมาณหนึ่งจั้งตัวหนึ่งสัตว์ยักษ์ตัวนั้นมีดวงตาสีดำที่คล้ายกับระฆัง ไม่มีคิ้ว ไม่มีขนตาจมูกมีเพียงรูจมูกสองรู ปากไม่มีริมฝีปาก ปรากฏให้เห็นฟันแหลมคมเต็มปาก ภายใต้ฟันอันแหลมคม เวลานี้ยังมีของเหลวสีเหลืองไหลย้อยออกมาเพียงแค่พวกนี้ก็พอทนแล้ว ร่างกายของเขายังมีตุ่มสีแดงเต็มตัวตุ่มพวกนั้นห้อยอยู่บนร่างกายของสัตว์ยักษ์ ปกคลุมร่างกายของมันที่เดิมทีเต็มไปด้วยขนสีดำ มองดูน่าสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง ซือเจ๋อเยว่ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนมีความรู้กว้างขวางมาโดยตลอด กลับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนขนาดนี้ชื่อปาเลี่ยร้องออกมาอย่างอดไม่ได้ “นี่มันตัวบ้าอะไรกันเนี่ย!”นี่เป็นคำถามที่เยี่ยมมากจริง ๆ ซือเจ๋อเยว่เองก็อยากรู้เช่นกันว่านี่มันคือตัวบ้าอะไรสัตว์ยักษ์ที่กำลังน้ำลายไหลตัวนั้นเดินมุ่งหน้าเข้ามาหาพวกเขา ทันทีที่มันเข้าใกล้ กลิ่นคาวกลุ่มนั้นก็รุนแรงขึ้นซือเจ๋อเยว่สะอิดสะเอียนจนอยากอ้วก!ตอนที่เยียนเซียวหรานมองเห็นสัตว์ยักษ์ตัวนั้น เสียงเตือนภายในใจของเขาก็ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่งตอนที่สัตว์ยักษ์ตัวนั้นเดินเ
นางมีแววตาเปล่งประกายล้ำลึก “ช่างเป็นฝีมือที่สูงส่งยิ่งนัก!” เยียนเซียวหรานมองนาง นางจึงเอ่ยต่อ "ฟ้าคือหยาง ดินคือหยิน ยามหยินหยางกลับตาลปัตร สรรพสิ่งพลิกผัน กฎแห่งฟ้าดินถูกตัดขาด!" “แต่สิ่งใดที่หลอกลวงได้ชั่วคราว ย่อมไม่อาจปิดบังไปชั่วชีวิต!” “เหล่าดวงวิญญาณผู้ซื่อสัตย์แห่งสนามรบ ท่านทั้งหลายที่คืนสู่แผ่นดิน ณ ที่แห่งนี้ โปรดร่วมมือกับข้ากำจัดภาพลวงที่ปกคลุมโลกใบนี้ จงสลายม่านมายา! ทำลายมันเสีย!” นางฟาดฝ่ามือลงกับพื้นดิน สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสี่ทิศ เสียงแตกร้าวดังมาจากรอบทิศ ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น พื้นดินสีดำสนิทรอบตัวก็พลันหายไป อาการหายใจที่ยากลำบากบัดนี้กลับมาเป็นปกติ ต้นไม้ที่เคยหายไปปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายและความเสื่อมสลาย ขุนเขาเช่นนี้ หาได้มีภาพของทัศนียภาพอันงดงามเหนือจินตนาการอย่างที่ชื่อปาเลี่ยที่เคยบอกเอาไว้ไม่ แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้ากลับเป็นดินแดนรกร้างที่ไร้ซึ่งชีวิต! เกรงว่าภาพที่เยียนอ๋องเห็นในอดีตก็คงจะเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น เพียงแค่นางยังไม่เข้าใจเหตุผล ผู้ที่วางค่ายกลนี้ เหตุใดจึงต้องสร้างภาพลวงเช่น
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่อากาศโดยรอบเริ่มบางเบาจนผิดปกติ พวกเขาเพียงแค่เดินตามปกติ แต่กลับรู้สึกหายใจติดขัด ชื่อปาเลี่ยอ้าปากหอบหายใจ พลางเอ่ยด้วยความตระหนก “นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดข้าหายใจไม่ออก?” ซือเจ๋อเยว่เอ่ยเสียงเบา “เราก้าวเข้าสู่ค่ายกลของผู้อื่นแล้ว” ชื่อปาเลี่ยเอ่ยด้วยความสงสัย “แต่เมื่อครู่ยามที่เข้ามา ท่านได้ทำลายค่ายกลไปแล้วไม่ใช่หรือ?” ซือเจ๋อเยว่ตอบไป “นี่คือค่ายกลซ้อนค่ายกล ผู้วางค่ายกลนี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง ฝีมือในด้านค่ายกลไม่ได้ด้อยกว่าข้าเลย” “แม้แต่ยามที่ก้าวเข้ามาครั้งแรก ข้าเองก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ” “ในเมื่อเราตกเข้ามาแล้ว ยามนี้สิ่งที่ต้องทำคือหาทางทำลายค่ายกลนี้” ชื่อปาเลี่ยรีบถาม “ทำอย่างไรจึงจะทำลายได้?” ซือเจ๋อเยว่กวาดตามองโดยรอบแล้วเอ่ยขึ้น “หากต้องการทำลายต้องหาแกนกลางค่ายกลให้พบ ขอเพียงหามันเจอ การทำลายค่ายกลนี้ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่ง” “ส่วนเรื่องที่ว่ามันอยู่ที่ใด ยามนี้ข้าเองก็ยังไม่แน่ชัด เราต้องหาต่อไป” ยิ่งพวกเขาก้าวไปข้างหน้าเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกว่าการหายใจยากลำบากเท่านั้น พื้นดินรอบตัวกลายเป็นสีดำไหม้ ฟ้า
ราชครูมองเห็นโชคชะตาของจวนหนิงกั๋วกงกระจัดกระจาย ก่อนที่มันจะรวมตัวขึ้นอีกครั้ง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขายกนิ้วขึ้นคำนวณบางสิ่ง แต่เมื่อได้ผลลัพธ์ เขากลับแย้มยกริมฝีปากแล้วเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “นี่มันตัวอันใด!” เด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายเอ่ยถาม “ท่านราชครู เป็นอันใดไปหรือขอรับ?” ทว่าราชครูกลับตอบไม่ตรงคำถาม “ทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนมีเหตุและผลของมัน” “มีบางเรื่องที่ข้าสามารถแทรกแซงได้ แต่บางเรื่องต้องปล่อยให้นางเป็นผู้จัดการเอง” “นางคนนั้นมีชะตาชีวิตที่แตกต่างจากผู้อื่น เมื่อยามทุกข์ก็ทุกข์อย่างแท้จริง” “แม้ข้าจะสงสารนางเพียงใด แต่เรื่องบางเรื่องก็มีแต่นางที่ต้องเผชิญด้วยตนเอง” เด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวเอ่ยถาม “ท่านกำลังเอ่ยถึงชะตากรรมใดกัน? หรือว่าท่านกำลังเป็นห่วงศิษย์พี่หญิง?” ราชครูหยิบไม้ขนไก่ข้างตัวขึ้นมาแล้วหวดลงไปที่หลังของเด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวทันที “ผู้ใดสนใจนางกัน?!” “ชะตาชีวิตของนางเป็นชะตาที่ต้องตาย แม้แต่มหาเทพเซียนมาเองก็ไม่อาจช่วยนางได้!” “ตลอดหลายปีมานี้ เป็นเพราะนาง ข้าแก่ขึ้นไปตั้งเท่าใด ข้าจะไปสนใจนางเ
ดังที่ซือเจ๋อเยว่คาดการณ์ไว้ อดีตหนิงกั๋วกงพลันกระอักเลือดออกมา เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเคียดแค้น “ซือเจ๋อเยว่!” ตลอดหลายวันผ่านมานี้ เขาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษาโชคชะตาของจวนหนิงกั๋วกง สมบัติวิเศษล้ำค่าที่เขาเสาะหามานานหลายปีล้วนถูกใช้ไปจนหมดสิ้น จึงจะประคับประคองไว้ได้อย่างยากลำบาก ครั้งก่อนที่ไป๋จื้อเซียนบุกเข้าไปยังห้องลับ และกลืนกินดวงวิญญาณของบรรพบุรุษคนสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็ทำให้อดีตหนิงกั๋วกงเริ่มรู้สึกถึงความสั่นคลอนของพลัง แม้เวลานั้นสถานการณ์จะอันตราย แต่ค่ายกลใหญ่แห่งชายแดนยังไม่ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ หากสามารถจัดการพลังที่หลงเหลือได้อย่างเหมาะสม ก็ยังสามารถต่อเวลาของโชคชะตาในจวนหนิงกั๋วกงออกไปได้อีกระยะหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เมื่อรู้ว่าซือเจ๋อเยว่และเยียนเซียวหรานออกจากเมืองหลวง เขาจึงเร่งวางแผนเพื่อกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก เดิมทีเขาคิดว่าหากสามารถสกัดซือเจ๋อเยว่และเยียนเซียวหรานเอาไว้ที่ด่านอวิ๋นหลิ่งได้ ทุกอย่างก็จะไม่มีปัญหา ทว่าเมื่อครู่ เขาได้รับสารลับจากนกพิราบส่งข่าวจากด่านอวิ๋นหลิ่ง ข้อความในจดหมายบอกเอาไว้ว่าที่ด่านอวิ๋นหลิ่งนั้น เกิดหิมะตกหนัก
ดังนั้น เขาจึงเปลี่ยนจากบุรุษผู้ซื่อสัตย์ กลายเป็นคนหยาบกระด้างและไม่สนใจเหตุผลใด ๆ อีกต่อไป เขาชินเสียแล้วกับสายตาของผู้คนที่มองเขาปานสิ่งสกปรก เขาใช้ชีวิตอย่างเมามายไร้จุดหมายไปวัน ๆ แต่เมื่อวาน ยามที่ไป๋จื้อเซียนคิดจะสังหารเขา ซือเจ๋อเยว่กลับทุ่มเทสุดกำลังเพื่อช่วยชีวิตเขา ยิ่งไปกว่านั้นแววตาที่นางใช้มองเขา ก็หาได้แตกต่างไปจากการมองคนอื่นไม่ ไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยวของความดูแคลน เขาจึงรู้สึกว่าสตรีในโลกนี้ ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเช่นมารดาหรือสตรีที่เขาเคยหมายปองในอดีต เขากระแอมเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณชายสาม หลังจากเรื่องนี้จบแล้ว ท่านพอจะพาข้าไปเมืองหลวงได้หรือไม่?” เยียนเซียวหรานรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “เจ้าคิดจะไปเมืองหลวง?” ชื่อปาเลี่ยตอบไป “ใช่ขอรับ ข้าไม่อยากอยู่ที่ชายแดนอีกต่อไปแล้ว ที่นี่ทุกคนล้วนรู้เรื่องของข้า หากข้าไม่เลือกเป็นอันธพาลก็ต้องเป็นเพียงคนไร้ค่า” “แต่ข้าไม่อยากเป็นอันธพาลและไม่อยากเป็นคนไร้ค่า ข้าเพียงแค่อยากเป็นคนธรรมดา” “ข้าต้องการพึ่งพาความสามารถของตนเอง มีชีวิตที่ดี และแต่งงานกับสตรีดี ๆ สักคน เพื่อใช้ชีวิตอย่างปกติสุข” เยียนเซียวหรานเอ่ย