ฮ่องเต้เจาหมิงจ้องมองเขา กล่าว “ราชครู นางให้เราลงโทษเจ้า โดยการตัดหัวของเจ้า”ราชครูกล่าวด้วยความโมโหเล็กน้อย “นังเด็กคนนี้ช่างกำเริบเสิบสานนัก วันหน้าหากกระหม่อมเจอนาง จะตีนางให้ตายอย่างแน่นอน!”ฮ่องเต้เจาหมิงกล่าวเสียงเรียบ “ตีนาง? ราชครูทำลงอย่างนั้นหรือ?”ราชครูถอนหายใจเบา ๆ กล่าว “จากสิ่งที่นางทำในวันนี้ กระหม่อมมีอะไรที่ทำไม่ลงพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้เจาหมิงไม่เชื่อคำพูดของเขาอย่างเห็นได้ชัด กล่าว “นางฉลาดหลักแหลมกว่าที่เราจินตนาการเอาไว้เสียอีก สมกับที่เป็นบุตรของเสด็จพี่”“หากเสด็จพี่เห็นท่าทางแบบนี้ของนาง ไม่รู้ว่าจะดีใจมากแค่ไหน”เมื่อราชครูได้ยินดังคำพูดประโยคนี้ สีหน้าท่าทางก็ดูหงอยเหงา “เกรงว่าหากดีใจขึ้นมา อาการป่วยของเขาจะไร้หนทางรักษา ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับชะตากรรม”“กระหม่อมใช้ความพยายามมากมายขนาดนั้นเพื่อต่อชีวิตนาง อย่างมากก็ทำได้เพียงทำให้นางมีชีวิตอยู่ได้ถึงสิบแปดปีเท่านั้น”ฮ่องเต้เจาหมิงกล่าวเตือนเขา “เจ้าก็อย่าได้ทุกข์ใจมากเกินไป ยังไม่ถึงตอนสุดท้าย ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงได้”ราชครูถอนหายใจ ไม่ได้พูดต่ออีกฮ่องเต้เจาหมิงสายตาลึกซึ้งขึ้นเล็กน้อย ข้างใ
นางไม่เคยถือสาที่จะแสดงความเกลียดชังของนางที่มีซือเจ๋อเยว่ต่อหน้าคนอื่นมาก่อนนางถึงขนาดไม่ยินยอมให้ซือเจ๋อเยว่มีการไปมาหาสู่กันกับคนในครอบครัวฝั่งมารดาของนางเนื่องจากนางรู้สึกว่าซือเจ๋อเยว่หยาบคายเกินไป จะแปดเปื้อนดวงตาคนในครอบครัวฝั่งมารดาของนางได้วันนี้เป็นเพราะอวิ๋นเยว่หยางเป็นฝ่ายอยากจะพบซือเจ๋อเยว่ผู้ที่เป็นญาติผู้น้อง นางถึงได้ยอมกล้ำกลืนฝืนทนยอมให้เขาพบซือเจ๋อเยว่ก่อนหน้านี้อวิ๋นเยว่หยางก็รู้ว่าอวิ๋นไท่เฟยไม่ชอบซือเจ๋อเยว่เอามาก ๆ เขาไม่ได้มีความสนใจต่อญาติผู้น้องที่บิดาตายและตัวตนน่าอับอายคนนี้เช่นกันเพียงแต่เมื่อหลายวันก่อนเขาได้วางแผน อยากจะดึงผู้วิเศษที่อยู่ข้างกายของเยียนเซียวหรานออกมาเดิมทีเขาคิดว่าเรื่องนี้มีนักพรตจื่อหยางออกหน้า ก็สามารถทำได้สำเร็จอย่างง่ายดายผลปรากฏว่าวันนี้ไม่เพียงไม่สามารถสังหารผู้วิเศษที่อยู่ข้างกายของเยียนเซียวหรานได้ ในทางกลับกันยังทำให้นักพรตจื่อหยางได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกด้วยเมื่อวานนี้หลังจากที่นักพรตจื่อหยางฟื้นขึ้นมาได้บอกกับเขาว่า ผู้วิเศษที่อยู่ข้างกายเยียนเซียวหรานก็คือซือเจ๋อเยว่ตอนนั้นเขาตกใจจริง ๆ คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงผู้ไ
เดิมทีเป็นเพราะซือเจ๋อเยว่เชื่อฟังอวิ๋นไท่เฟยถึงได้แต่งงานเข้าจวนเยียนอ๋องแทนองค์หญิงสาม อวิ๋นเยว่หยางจึงคิดว่านางเป็นสตรีประเภทมีลักษณะนิสัยนุ่มนิ่มควบคุมได้ง่ายแต่เมื่อเขาลองคิดถึงเรื่องราวที่ซือเจ๋อเยว่ได้ทำในช่วงนี้ดูอย่างละเอียด ก็รู้สึกว่าก่อนหน้านี้มองนางผิดไปแล้วลักษณะนิสัยของนางเดิมทีก็ไม่ได้นุ่มนิ่ม ยังค่อนข้างนิสัยไม่ดีอีกด้วยเขารู้ว่าซือเจ๋อเยว่เพิ่งออกไป เขาจะตามนางไปเดี๋ยวนี้ บางทีอาจจะยังตามได้ทันด้วยเหตุนี้เขาจึงกล่าวกับอวิ๋นไท่เฟย “ท่านอาหญิง ข้ายังมีธุระต้องออกวังหลวงก่อน วันหน้าค่อยมาเยี่ยมท่านใหม่”เขาพูดจบไม่รอให้อวิ๋นไท่เฟยตอบ คารวะทีหนึ่งแล้วก็เดินออกไปข้างนอกอย่างรีบร้อนช่วงหลายวันมานี้อวิ๋นไท่เฟยถูกซือเจ๋อเยว่หักหน้ามาหลายครั้งแล้ว นางขว้างปาแจกันดอกไม้ด้วยความโมโหหลายใบ ยืนด่าทออยู่ตรงนั้นร่างกายของซือเจ๋อเยว่อันที่จริงไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว ในเวลานี้นางเพียงแค่อยู่ในช่วง ‘แกล้งป่วย’ เท่านั้น เดินช้ามากไปตลอดทางดังนั้นตอนที่อวิ๋นเยว่หยางไล่ตามมา นางได้เดินออกไปนอกวังหลวงมารวมตัวกับเยียนซุ่ยซุ่ยแล้วตอนที่อวิ๋นเยว่หยางเห็นซือเจ๋อเยว่ ก็มีความประห
“ไม่เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปรับองค์หญิงที่จวนอ๋อง จะได้ให้ท่านปู่ท่านย่าได้พบองค์หญิงด้วย”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยใบหน้าประหลาดใจ “ที่แท้เสด็จแม่ของข้าก็มีชีวิตกับเขาด้วยหรือเนี่ย!”“ข้าคิดมาตลอดว่าที่นางทำไม่ดีแบบนั้นกับข้า เป็นเพราะว่านางหัวใจทำมาจากก้อนหินเสียอีกนะ!”อวิ๋นเยว่หยางสีหน้าแข็งทื่ออย่างอดไม่ได้ กระแอมเบา ๆ หนึ่งทีแล้วกล่าว “ท่านอาหญิงเป็นคนปากร้ายแต่ใจดีมาตลอด ปากนางพูดจาไม่น่าฟัง อันที่จริงในใจของนางเป็นห่วงองค์หญิงอย่างยิ่ง”เมื่อซือเจ๋อเยว่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็ยิ้ม “คงใช่กระมัง ตั้งแต่เด็กจนโตข้าไม่ได้เติบโตอยู่ข้างกายนาง จึงไม่ค่อยเข้าใจนางสักเท่าไร”อวิ๋นเยว่หยางเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าว กล่าวเสียงอ่อนโยน “วันพรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปรับองค์หญิงที่จวนอ๋อง”“ท่านปู่ท่านย่าได้พบองค์หญิง จะต้องดีใจเป็นอย่างยิ่ง”ซือเจ๋อเยว่ไม่ได้ตอบรับทันที เพียงหันหน้าไปพูดกับเยียนซุ่ยซุ่ย “พวกเรากลับจวนกันเถอะ!”เยียนซุ่ยซุ่ยพยักหน้า ตอนที่ทั้งสองคนเดินผ่านข้างกายของอวิ๋นเยว่หยางซือเจ๋อเยว่เหมือนกับขาอ่อนไป ล้มเข้าไปทางอวิ๋นเยว่หยางอวิ๋นเยว่หยางยื่นมือออกไปประคองนางด้วยจิตใต้
ซือเจ๋อเยว่ถูกเสียงของเยียนเซียวหรานทำให้ตกใจ หันหน้าไปมองอย่างรวดเร็ว “เจ้าไม่ได้เข้ามาทางประตูหรือ?”เขาเข้าใกล้เกินไป ทันทีที่นางหันหน้ากลับมา ริมฝีปากก็พาดผ่านใบหน้าของเขา เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันทีคิ้วของซือเจ๋อเยว่เลิกขึ้นเล็กน้อย นี่คือความจริงจังที่เสแสร้ง!นางหันหน้าไปมองทางหน้าต่างบานนั้นที่ยังกำลังโยกไหวอยู่ นางเข้าใจทันทีว่าเขาเข้ามาจากที่ไหนหากเป็นคนอื่น บางทีนางอาจจะแหย่เล่นสักหน่อย แต่นางรู้ว่าเยียนเซียวหรานหน้าบาง ในใจของนางเดิมก็มีจุดประสงค์ไม่ดีแอบแฝง จึงไม่ควรแหย่เล่นตอนที่เยียนเซียวหรานกำลังพยายามคิดหาข้ออ้าง ซือเจ๋อเยว่ก็กล่าวขึ้น “น้องสามมาได้เวลาพอดีเลย ข้ามีสิ่งของบางอย่างจะให้เจ้าดู”เยียนเซียวหรานแอบถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง ซือเจ๋อเยว่กวักนิ้วเรียกเขา บอกเป็นนัย ๆ ว่าให้เขาเดินเข้ามาใกล้อีกนิดเขามองนางแวบหนึ่ง หรี่ดวงตาลงครึ่งหนึ่ง ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ขยับนางกล่าวเร่งรัดอีกครั้ง “รีบเข้ามาสิ!”เยียนเซียวหรานพยายามข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจลง ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ ๆ ข้างกายนางนางชี้ไปที่เส้นผมเส้นหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะ “รู้หรือไม่ว่านี่คืออะไร?”หลังจา
ดวงตาบนหุ่นคนที่นางแต้มด้วยหมึกอย่างลวก ๆ ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาในทันใด ดวงตาสีดำคู่นั้นทำให้เยียนเซียวหรานรู้สึกขนลุกอยู่ในใจเขาถามนาง “ของสิ่งนี้มีประโยชน์อะไร?”ซือเจ๋อเยว่ยื่นเข็มเล่มหนึ่งให้เขา “เจ้าขัดตาตรงไหนของมันก็ทิ่มลงไปตรงนั้น”“คาถาสาปแช่ง?” เยียนเซียวหรานถามหลังจากซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิดก็ตอบ “ข้าได้ยินมาว่าสตรีในวังหลวงชอบใช้ผ้ามาทำเป็นรูปคน ด้านบนเต็มไปด้วยเข็ม ใช้สำหรับสาปแช่งคนอื่น การกระทำเช่นนี้เรียกว่าคาถาสาปแช่ง”“อันที่จริงของประเภทนั้นที่พวกนางใช้เพียงแค่ใช้ผ้ามาทำเป็นรูปคนเท่านั้น หรือคนที่วิชาเต๋าไม่เก่งกล้าจะใช้คาถาเพื่อสร้างหุ่นเชิด แต่ก็ไม่ได้ผล”“คาถาที่ข้าใช้เรียกหุ่นเชิดแทนตัวคน แตกต่างจากของพวกนาง ได้ผลชะงัด แทงตรงไหนโดนตรงนั้น”“เขาทำร้ายเจ้าจนย่ำแย่ขนาดนั้น เจ้าเอาเข็มแทงส่วนที่เกี่ยวข้องของหุ่นคนตัวนี้ เขาก็จะรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง”เยียนเซียวหรานถาม “สุดยอดขนาดนี้เชียวหรือ?”ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจเบา ๆ “เจ้าสามารถสงสัยคุณธรรมของข้าได้ แต่เจ้าไม่ควรสงสัยในวิชาเต๋าของข้า”“หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าดึงเส้นผมออกมาเส้นหนึ่ง ข้าจะทำขึ้นมาอีกตัว ให้เจ้า
แต่หมอยังไม่ทันมาถึง เขาก็รู้สึกว่าเหมือนว่าบริเวณท้องน้อยของเขา ถูกใครบางคนสิ่งของบางอย่างกระชากอย่างรุนแรงการดึงนั้นรุนแรงกว่ามากเมื่อเทียบกับความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่หัวใจเมื่อครู่นี้ เหมือนกับว่าจะกระชากสิ่งนั้นของเขาออกมาตรง ๆอวิ๋นเยว่หยางเจ็บปวดจนอนกลิ้งกับพื้น แต่กลับส่งเสียงไม่ออกแม้แต่นิดเดียวตอนที่ท่านหมอมาถึง อวิ๋นเยว่หยางรู้สึกราวกับว่าทั่วทั้งตัวของตนกำลังจะถูกฉีกขาดออกจากกันแล้ว รสชาตินั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็นทันทีที่หนิงกั๋วกงฮูหยินเห็นท่านหมอ ก็กล่าวอย่างร้อนใจ “ท่านหมอ ท่านรีบตรวจดูหยางเอ๋อร์ของข้า นี่เขาเป็นอะไรไปอย่างนั้นหรือ?”หมอเดิมเข้ามาตรวจชีพจรให้แก่อวิ๋นเยว่หยาง ชีพจรของเขาปกติ ไม่ได้มีบริเวณไหนที่ผิดปกติแต่ท่าทางที่เจ็บเจียนตายของอวิ๋นเยว่หยางไม่เหมือนว่ากำลังเสแสร้ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเช่นกันตอนนี้อวิ๋นเยว่หยางรู้สึกว่ามือข้างนั้นที่กำลังบีบคอของเขาเอาไว้ได้คลายออกแล้ว ทันทีที่เขาหายใจด้วยความโล่งอก ก็รู้ว่าว่าแขนด้านขวาของเขากำลังจะถูกใครบางคนกระชากให้ขาดสุดท้ายครั้งนี้เขาก็ส่งเสียงร้องอันน่าเวทนาออกมา “โอ๊ย ช่วยด้วย! เจ็บเหล
เยียนเซียวหรานมองไปที่นาง จากนั้นก็เห็นเลือดกำเดาไหลออกมาจากจมูกของนางเขากล่าวเตือนนางให้รู้ตัว “ท่านเลือดกำเดาไหลแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ยกมือขึ้นมาถู บนมือพลันถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน นางสูดจมูกหนึ่งทีแล้วพูด “ครานี้ขาดทุนย่อยยับทีเดียว!”นางเอ่ยจบก็ล้มตึง เยียนเซียวหรานหาได้ปรี่เข้าไปรับตัวนางไว้ไม่ หากแต่วิ่งพรวดไปยังเบื้องหน้าของแมวชอซีเขาคว้าหมับเข้าที่หลังคอแมวแล้วดึงยกขึ้นฉับพลัน ก่อนจะแย่งเอาหุ่นคนที่ยามนี้ฉีกขาดเละเทะจนหมดสภาพจากในกรงเล็บของมันมา จากนั้นค่อยเอามันไปขังไว้ที่ห้องขนาบด้านข้างเขาทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้วค่อยมาช้อนร่างซือเจ๋อเยว่ขึ้นอุ้มไว้ เลือดกำเดาของนางยังคงไหลหลั่งออกมาไม่หยุดเขารู้ดีว่าแค่เลือดกำเดาไหลหาใช่เรื่องสาหัสสากรรจ์แต่อย่างใดสำหรับคนทั่วไปไม่ ทว่าสำหรับนางแล้วกลับเป็นเรื่องที่เอาชีวิตนางได้เลยเขารีบวางหุ่นคนไว้บนโต๊ะแล้วเรียกนางเบา ๆ “องค์หญิง องค์หญิง!”ซือเจ๋อเยว่ที่เดิมทีนอนสลบเหมือดไม่ได้สติพลันลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน เขาจึงโล่งใจไปได้เปราะหนึ่ง “องค์หญิงฟื้นก็ดีแล้ว”เขาทำท่าจะผละออกจากนาง นางกลับจับตัวเขาไว้ในทันที เขาจึงเอ่ยถาม “องค์หญิงยังมีตร
ก่อนหน้านี้อวิ๋นเยว่หยางคิดว่าวิธีการของนักพรตจื่อหยางโหดเหี้ยมและร้ายกาจมาก คาถาของสำนักเต๋าจะทำให้คนยากที่จะป้องกันแต่ในเวลานี้เขาเพิ่งได้รู้ว่า ความสามารถของนักพรตจื่อหยางเมื่อเทียบกับคนตรงหน้าแล้ว ช่างไม่เอาไหนเลยจริง ๆคนคนนี้กระหายเลือดอย่างขีดสุด พูดว่าจะฆ่าเขาก็หมายความว่าจะฆ่าเขาจริงๆ!เขารู้อยู่แก่ใจ หากในเวลานี้เขาไม่ยอมจำนน ก็มีเพียงความตายเท่านั้นเขาถูกรัดด้วยผ้าต่วนจนหายใจไม่ออก กล่าวอย่างยากลำบาก “ข้ายอมบูชาท่าน!”ไป๋จื้อเซียนเหลือบตาเล็กน้อย การกระทำที่เดิมทีดูยั่วยวนชวนหลงใหลนี้ เมื่อเขาทำขึ้นมา แม้จะสามารถสะกดจิตใจคนได้ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความอันตรายถึงขีดสุดไป๋จื้อเซียนดึงผ้าต่วนสีแดงกลับมา มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย อวิ๋นเยว่หยางนั่งอยู่บนพื้นไอออกมาอย่างรุนแรงไป๋จื้อเซียนค่อย ๆ ลอยไปที่ตรงหน้าของอวิ๋นเยว่หยาง กล่าวว่า “เจ้ายอมแบบนี้เสียตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดจะต้องทำให้ยุ่งยากด้วย?”อวิ๋นเยว่หยางรีบกล่าว “ท่านชี้แนะได้ถูกต้อง”ไป๋จื้อเซียนกล่าวเสียงราบเรียบ “ในเมื่อเจ้าจะบูชาข้า ถ้าอย่างนั้นก็ต้องแสดงความจริงใจออกมา”อวิ๋นเยว่หยางรีบก
"น้องสาม เจ้าอย่ามาว่าข้าเลย ตั้งแต่มาถึงเมืองหลวงเจ้าเองก็เอาแต่มาหลบอยู่ที่นี่ ไม่กล้าไปพบหน้านางใช่หรือไม่?" น้องสามที่เขาเอ่ยถึงไม่ใช่ผู้ใดอื่น แต่เป็นอาจารย์สามของซือเจ๋อเยว่ อาจารย์สามตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "ผู้ใดบอกว่าข้ากลัวจนไม่กล้าไปพบนาง? ข้าว่ายามนี้นางคงมองเห็นคุณค่าของข้าแล้วล่ะ" "เมื่อคราวนั้นนางเกือบเอาชีวิตไม่รอด หากไม่ใช่เพราะข้าจัดการส่งเยียนเซียวหรานคนนั้นไปต่อหน้านาง ป่านนี้นางคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว" "ข้ามีบุญคุณช่วยชีวิตนาง นางคงขอบคุณข้าอยู่ในใจเป็นแน่" ราชครูหัวเราะเย็นชา "ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนั้น แล้วเหตุใดจึงไม่ไปพบนางเล่า?" อาจารย์สามนอนเอกเขนกบนเก้าอี้พลางจิบชา "ศิษย์เติบโตแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหา ก็ต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขเอง" "หากพวกเราเอาแต่เฝ้าอยู่ข้าง ๆ นาง แล้วนางจะมีความก้าวหน้าได้อย่างไร?" ราชครูมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ "เจ้าก็เอ่ยวาจาเหลวไหล หากไม่กล้าก็เอ่ยมาตรง ๆ อย่าได้หาข้ออ้าง" อาจารย์สามหาวเสียงเบา แล้วตอบอย่างเกียจคร้าน "ในเมื่อเจ้าเอ่ยเช่นนี้ ประเดี๋ยวข้าจะไปพบนาง แล้วถือโอกาสบอกความลับเรื่องตัวตนของเจ้าด้วยเลย"
"ไม่มีคำว่าแต่อันใดทั้งนั้น" นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน "หากท่านไม่รีบออกไป อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!" ซือเจ๋อเยว่ "…" เมื่อคืนที่ผ่านมานางได้ยินเยียนเซียวหรานบอกว่าราชครูไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น และไม่ชอบพบเจอคนแปลกหน้า นางคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนเช่นนั้น อย่างน้อยก็การที่เขาเร่งเดินทางไกลกลับมาเพื่อใช้กระบี่ฟันไป๋จื้อเซียนครั้งนั้น ก็หมายความว่าเขาหาใช่คนที่เพิกเฉยต่อปัญหาของผู้คนโดยสิ้นเชิง นางยังคิดว่าเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมากเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้ เมื่อเขาเดาเจตนาของนางได้ เขากลับส่งนักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวที่ดุดันมาไล่นางออกไป หากเรื่องนี้เกิดขึ้นที่อื่น นางคงจะบุกขึ้นเขาไปถามเขาให้รู้เรื่อง แต่ที่นี่คือเมืองหลวง อีกทั้งกระบี่ของเขาคราวก่อนทรงพลังจนเกินคาด ราชครูผู้นี้คงเป็นยอดฝีมือที่นางไม่อยากขัดแย้งด้วย ดังนั้น นางจึงทำได้แค่พาเยียนเซียวหรานเดินออกจากค่ายกลไปอย่างเงียบ ๆ ทันทีที่พวกเขาก้าวออกจากค่ายกล นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวก็รีบปิดซุ้มประตูที่เชิงเขาทันที ซึ่งปกติแทบไม่เคยปิด เขาปิดประตูอย่างรุนแรงจนซือเจ๋อเยว่ที่เดินช้ากว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่มีความจำเป็นต้องถามอีกต่อไป นางลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า” ครั้งนี้เยียนเซียวหรานไม่ได้หันกลับมามองนางอีก และนางก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ นางหมุนตัวแล้วเดินจากไป เยียนเซียวหรานมองเปลวเทียนที่ลุกไหวอยู่ในศาลบรรพชน ก่อนจะถอนหายใจเสียงยาว เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมาที่ห้อง นางครุ่นคิดถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเยียนเซียวหรานในปีนี้ นางคิดหลายตลบก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ในสถานการณ์เช่นนี้ คำอธิบายเดียวที่ดูคล้ายจะสมเหตุสมผล คืออาจเป็นเพราะลุงเขยของเยียนเซียวหรานมาเยือน จึงทำให้เขาอารมณ์แปรปรวนเช่นนี้ นางยักไหล่เล็กน้อย ไม่ใส่ใจจะคิดต่อ และหันไปวางแผนว่าหากได้พบกับราชครูในวันรุ่งขึ้น นางจะเกลี้ยกล่อมให้เขาช่วยจัดการไป๋จื้อเซียนได้อย่างไร เช้าวันรุ่งขึ้น เยียนเซียวหรานมาตามที่นัดไว้ เขาพานางไปยังหอพยากรณ์ดวงดาวเพื่อพบกับราชครู แม้จะเรียกว่าหอ แต่ที่แท้แล้วคือกลุ่มอาคารขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ที่อดีตฮ่องเต้สร้างขึ้นเพื่อราชครู ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดในเมืองหลวง ซึ่งที่แห่งนั้น ก็สามารถเฝ้าดูดวงดาวและทำนา
แท้จริงแล้วราชครูมีการไปมาหาสู่กับเยียนอ๋อง ในเมืองหลวงเขาแทบไม่มีสหายที่ใด เยียนอ๋องกลับเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว ครั้งล่าสุดก่อนที่เยียนอ๋องจะออกศึก ราชครูเคยมาพบเยียนอ๋องครั้งหนึ่ง ส่วนพวกเขาหารือเรื่องใดกันนั้น เยียนเซียวหรานไม่อาจรู้ได้ เพียงแค่ได้ยินเสียงทั้งสองทะเลาะกันในห้องหนังสือ หลังจากจวนเยียนอ๋องเกิดเรื่อง ราชครูก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย ในค่ำคืนนั้นเมื่อเยียนเซียวหรานพบราชครูที่เรือนพักในจวนหนิงกั๋วกง เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกในความทรงจำของเยียนเซียวหราน ที่ราชครูยอมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ ปกติเมื่อเขาอยู่ในเมืองหลวง ก็มักจะพำนักอยู่ในหอพยากรณ์ดวงดาว ไม่ว่าจะมีเรื่องใดที่ไม่สำคัญจริง เขาจะไม่มีทางออกมา ซือเจ๋อเยว่เอ่ยด้วยความกังวล “แต่ไป๋จื้อเซียนนั้นเป็นภัยใหญ่ ทั้งยังเติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย” “เกรงว่าไม่นานเกินรอเขาจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอีก ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็จะยิ่งจัดการยากขึ้น” “ไม่ว่าราชครูจะยินยอมพบข้าหรือไม่ ข้าคงต้องหาวิธีพบเขาให้ได้” เยียนเซียวหรานพยักหน้า “ก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปกับท่าน” ซือเจ๋อเยว
เขานึกถึงภาพในช่วงหลายวันที่ผ่านมายามนางนอนอยู่บนเตียงโดยไม่มีวี่แววของลมหายใจใด ๆ หัวใจเขาเจ็บปวดราวกับถูกบีบคั้นจนแทบทนไม่ได้ ถึงแม้เขาจะรู้อยู่เสมอว่าสภาพร่างกายของนางไม่แข็งแรง แต่ทุกครั้งที่เขาได้พบนาง นางกลับมีรอยยิ้มเปี่ยมล้นบนใบหน้า ร่างกายของนางดูเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เขาไม่เคยคิดว่านางเป็นคนที่กำลังจะสิ้นลม และไม่เคยคิดว่าสภาพร่างกายของนางจะแย่ถึงเพียงนี้ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้กลับเตือนเขา ว่านางบอบบางยิ่งกว่าที่เขาเคยคาดคิดไว้มากนัก เขาเอ่ยเสียงเบา “เรื่องนี้ข้าจัดการเองได้ องค์หญิงพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนให้ดีเถอะ”ซือเจ๋อเยว่หัวเราะเสียงเบา “สภาพร่างกายของข้า ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร?” “เมื่อมีเจ้าอยู่ข้างกาย ข้าอาจอยู่ได้นานขึ้นอีกสักหน่อย แต่หากเจ้าไม่อยู่ ข้าก็จะตายเร็วขึ้นกว่าเดิม” เยียนเซียวหรานขมวดคิ้วแน่น บัดนี้เขาไม่อยากได้ยินคำว่า ‘ตาย’ อีกแล้ว ซือเจ๋อเยว่นั่งลงข้างเขา ใช้มือทั้งสองประคองคางของตนเองไว้พลางเอ่ยขึ้น “อีกอย่าง ไป๋จื้อเซียนนั่นเป็นข้าที่ปล่อยออกมาเอง” “เรื่องครั้งนี้จะไปโทษเจ้าไม่ได้หรอก หากจะโทษก็ต้องโทษข้า” “
เยียนเซียวหรานหลุบตาลง “ท่านย่าสั่งสอนได้ถูกต้อง ครั้งนี้เป็นข้าที่ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ตอนนี้องค์หญิงฟื้นแล้ว ท่านย่าลงโทษข้าเถิดขอรับ”เหล่าไท่จวินพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ท่านย่า เรื่องนี้โทษน้องสามไม่ได้จริง ๆ หากจะโทษก็ต้องโทษที่ตอนนั้นสถานการณ์พิเศษ”“ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเจอเข้ากับไป๋จื้อเซียนที่นั่น หากไม่ใช่เพราะน้องสามปกป้องข้าจนสุดชีวิตละก็ ข้าก็คงตายไปแล้ว”“ดังนั้นท่านย่าอย่าได้ลงโทษน้องสามเลย เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน”เหล่าไท่จวินถอนหายใจ “องค์หญิงไม่ต้องร้องขอความเมตตาแทนเขา เขาเป็นบุรุษ เดิมทีก็ควรปกป้องญาติผู้หญิงในครอบครัวอยู่แล้ว”ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไปมองเยียนเซียวหราน เขายืนหน้านิ่งยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นนางมองมา ก็สบตากับนางแวบหนึ่ง แล้วก็เก็บสายตาคืนกลับมาซือเจ๋อเยว่รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “วันนั้นข้าเห็นเหนียนเหนียนหมดสติไปเช่นกัน เหนียนเหนียนไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เยียนเหนียนเหนียนโผล่หน้าออกมาจากทางด้านหลังของเหล่าไท่จวิน “ข้าไม่เป็นไร แค่หมดสติเป็นครู่เดียวเท่านั้น ในไม่ช้าก็หายดีแล้ว”“ร่างกายของข้าแข็งแรง องค์หญิ
ตอนที่ไป๋จื้อเซียนมองเห็นยันต์พวกนั้นก็หรี่ตาลงทันที เมื่อตระหนักได้ว่าทรงพลัง ก็โยกหลบอย่างรวดเร็วซือเจ๋อเยว่ฉวยโอกาสยื่นนิ้วออกไป ยันต์พวกนั้นก็ไล่ตามไป๋จื้อเซียนไป ร่างกายของเขามียันต์ห้าอัสนีบาตแผ่นหนึ่งแปะอยู่เขาด่าทอด้วยคำหยาบคาย มองไปทางด้านนอกห้องแวบหนึ่ง รู้ว่าหากวันนี้ไม่หนีไป เกรงว่าจะต้องตายอยู่ที่นี่จริง ๆ จึงวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็วตอนที่เขาวิ่งหนี เมฆฝนก่อตัวขึ้น ไล่ตามเขาภายในชั่วพริบตา ทั่วทั้งเรือนเต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้อง ผู้ดูแลพาท่านหมอเดินเข้ามาพอดี ทันทีที่เห็นฉากนี้ ก็ตกใจจนลูกตาเกือบถลนออกมาถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นไป๋จื้อเซียน แต่เขามองเห็นสายฟ้าบนท้องฟ้า เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสายฟ้าหน้าตาแบบนี้ทันทีที่ไป๋จื้อเซียนวิ่งหนี ห้องก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ตะเกียงน้ำมันที่มุมห้องยังคงสว่างอยู่ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้น ทันทีที่หันหน้าไปมอง ก็เห็นว่าคนที่ฟันกระบี่ใส่ไป๋จื้อเซียนก็คือเยียนเหนียนเหนียนนางรู้สึกผิดปกติ ต่อให้นางแปะยันต์แผ่นหนึ่งบนกระบี่ของเยียนเหนียนเหนียน กระบี่เล่มนั้นของนางร้ายกาจกว่ากระบี่ทั่วไปเล็กน้อย ก็ไม่มีทางทำลายอาณาเขตที่ไป๋จื้อเซียนวางเอาเม
ครู่ต่อมา ซือเจ๋อเยว่หยิบอาวุธเวทย์อีกชิ้นหนึ่งออกมา เพียงแต่นางยังไม่ทันเข้าไปหา ก็ถูกเส้นผมสีดำของเขากวาดลอยกระเด็นออกไปเยียนเซียวหรานอยากจะเข้ามาช่วย แต่กลับถูกผ้าต่วนสีแดงรัดลำคอเอาไว้เขากล่าวอย่างยากลำบาก “องค์หญิง!”ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้นกระอักเลือดออกมา ไป๋จื้อเซียนไม่ได้เขยิบเข้าไปใกล้ตรงหน้าของนางพอดีเลือดพ่นใส่มือของไป๋จื้อเซียน มือของเขาเป็นรูทันทีเขาค่อนข้างประหลาดใจ “นักพรตหญิงน้อย ร่างกายของเจ้ามีความพิเศษนี่นา!”ปากเขาพูดไป มือกลับบีบลำคอของนางเอาไว้ “กินตบะของเจ้า จะต้องบำรุงมากแน่!”ร่างกายของซือเจ๋อเยว่ เป็นวิญญาณมาหนึ่งพันปี เป็นครั้งแรกที่ได้เจอร่างกายอย่างนางเขาเคยเห็นในหนังสือเล่มหนึ่ง หากได้กินวิญญาณของนาง เท่ากับเป็นการบำเพ็ญตบะห้าร้อยปีถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยประมือกับนางมาก่อน แต่ครั้งก่อนนางไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออก เขาไม่รู้ว่านางจะมีร่างกายที่พิเศษเช่นนี้บัดนี้ค้นพบแล้ว ดวงตาของเขาเปล่งประกายทันทีเพียงแต่คนที่มีร่างกายเช่นนาง เนื่องจากร่างกายพิเศษมากเกินไป ดังนั้นอยากจะกลืนกินนางก็ไม่ใช่เรื่องง่ายซือเจ๋อเยว่ใช้มือปาดเลือดที่มุมปาก ยื่นมื