3
ความในใจของซีซวน
เฮือก...เขาฝันร้ายอีกแล้ว นี่นับเป็นครั้งที่เท่าใดไม่ทราบที่เขาฝันถึงเรื่องราวในครั้งนั้น เขาไปช่วยนางไม่ทัน
ภาพของสตรีที่นอนหมดลมหายใจอยู่บนพื้นคุกใต้ดินทำให้เขาแทบคลั่ง มือที่กำกระบี่สั่นสะท้านอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ หากในตอนนั้นเขาเลือกที่จะเชื่อหัวใจตนเอง นางก็คงไม่ต้องมีจุดจบเช่นนี้
เพราะยึดมั่นเกี่ยวกับเรื่องราวในหนหลัง เขาจึงเลือกที่จะตอบแทนผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือชีวิตของเขาด้วยการขอหมั้นหมาย ชีวิตนางคล้ายจะลำบากเขาจึงปรารถนาอยากให้นางได้มีชีวิตที่ดี แต่แล้วในวันหนึ่งที่ได้เจอสหายของคู่หมั้น เขากลับจิตใจสั่นไหว รอยยิ้มของนางทำให้ใจดวงน้อยของเขาเต้นระรัว
‘คารวะคุณชายซวนเจ้าค่ะ’ นางทักทายและส่งยิ้มให้เขา ในยามนั้นแม้จะรู้สึกคุ้นเคยกับรอยยิ้มตรงหน้า แต่เขาก็เลือกที่จะปัดความรู้สึกนั้นทิ้ง เพราะอย่างไรนางก็เป็นสหายของคู่หมั้น และที่สำคัญคือนางกำลังจะกราบไหว้ฟ้าดินกับบุรุษผู้หนึ่ง
หลังจากนั้นเขาก็ได้สนทนากับนางอีกหลายครั้งยามบังเอิญเจอกันที่ตลาด นางส่งยิ้มจริงใจและไม่เคยมองเขาอย่างหวาดกลัวเมื่อสวมใส่หน้ากากนี้ ต่างจากคู่หมั้นของเขาที่มักจะมีประกายไม่พอใจปะปนกับหวาดกลัวพาดผ่านยามที่นางคิดว่าเขาพลั้งเผลอไม่สนใจมอง
แต่แล้วอย่างไร ในเมื่อคู่หมั้นของเขานางก็ไม่ได้ทำผิดอันใด ทั้งนางยังเป็นสตรีใจดีที่ยื่นมือช่วยเหลือเขาในยามที่เขาเกือบก้าวเท้าเข้าสู่ประตูนรก นางเป็นผู้ยื้อชีวิตเขาไว้ เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงเขาจึงรีบให้ผู้อาวุโสที่เคารพพาแม่สื่อไปขอหมั้นหมายทันที
แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้ต้อนรับนักฆ่าที่ถูกว่าจ้างโดยคู่หมั้นตน หลังจากสังหารคนเหล่านั้นแล้ว แม้จะเสียใจแต่ทว่าพอตั้งสติได้แล้วเขาจึงให้คนตามสืบจนทราบว่าแท้จริงคู่หมั้นตนกับสามีของคุณหนูซู ลักลอบได้เสียกันนานแล้วและทั้งคู่ได้วางแผนฆ่าเจ้ากรมอาญาโดยทำให้คล้ายกับเกิดอุบัติเหตุ
เมื่อได้ยินถึงการกระทำไร้คุณธรรมของคู่หมั้นตน เขาจึงเกิดความสงสัยจึงให้คนสืบสาวเรื่องราวย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน
เรื่องราวที่ทำให้เขาเข่าแทบทรุดก็คือแท้จริงเขาเข้าใจผิดมาโดยตลอด คนที่ดึงเขากลับมาจากประตูนรกแท้จริงคือคุณหนูซู สตรีที่ทำให้เขาอยากเห็นรอยยิ้มนางบ่อยครั้งถึงขั้นแสร้งบังเอิญไปเจอ และเรื่องราวที่ทำให้เขาแทบคลั่งก็คือ ชายหญิงชั่วช้าคู่นั้นจับนางไปขังไว้ในคุกใต้ดิน
เขาไม่รอช้าขอคนของบิดารีบไปช่วยเหลือนาง แต่สุดท้ายก็ไม่ทัน เขาเสียใจจนควบคุมตนเองไม่อยู่ สังหารคนของบุรุษผู้นั้นเกือบหมด
แต่แค้นอย่างไรก็ต้องชำระ เขาโอบอุ้มร่างไร้วิญญาณของนางออกจากคุกใต้ดิน โดยสั่งคนมัดบุรุษสตรีชั่วช้าทั้งสองเอาไว้กับศพที่ถูกคนของเขาฆ่าตาย ตราบใดที่เขาไม่อนุญาตให้ตาย คนทั้งสองก็ตายไม่ได้
เมื่อถูกขังไว้กับศพจำนวนมาก ต้องมองจนศพขึ้นอืดส่งกลิ่นเหม็น คนที่รังเกียจและไม่เคยคลุกคลีอยู่กับศพอย่างหม่าลี่อินจึงเริ่มสติแตก
แต่นั่นยังไม่สาแก่ใจ เพราะหลังจากเขาอาบน้ำแต่งตัวให้กับร่างของซูหนิงเซียนเพื่อให้นางได้มีสภาพที่งดงามที่สุดยามคืนสู่ผืนดิน เขาเห็นทั้งบาดแผล รอยฟกช้ำรวมทั้งยาพิษที่ทำให้นางสิ้นลม นางต้องทรมานเพียงใดกว่าจะหลุดพ้น
เมื่อรับรู้ถึงสิ่งที่นางถูกกระทำ คนโง่ที่หลงเชื่อเพียงเพราะผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวจึงคืนสนองสิ่งที่พวกมันทำกับนางทั้งหมดให้ กวางเหลียงอี้ถูกตัดลิ้นและแล่เนื้อออกมาทีละชิ้น หากเจ็บปวดจนใกล้สิ้นลม ก็จะถูกช่วยชีวิตเอาไว้ด้วยฝีมือหมอเทวดา เนื้อที่แหว่งเพราะถูกเฉือนออกไปไม่ได้รับการรักษาทั้งยังปล่อยให้หนูมาแทะกินเช่นนั้น ส่วนหม่าลี่อินถูกเหล็กร้อนทาบลงบนใบหน้าก่อนจะลามไปทุกส่วนของร่างกายทำให้ร่างกายพุพองจนบุรุษที่กล่าวว่าจะรักกันจนวันตายยังเบือนหน้าหนีกลิ่นเน่าเหม็นของเนื้อหนังที่ไหม้จนกลายเป็นหนอง
เมื่อทรมานคนพวกนั้นจนสาแก่ใจซึ่งใช้เวลานานนับเดือน เขาที่ไว้ทุกข์ให้นางครบตามกำหนดแล้ว จึงปลิดชีพคนพวกนั้นให้ตายตกตามนาง เขาจัดพิธีกราบไหว้ฟ้าดินป้ายวิญญาณของนางอย่างสมเกียรติและใช้ชีวิตโดดเดี่ยวจนวาระสุดท้าย ซึ่งโชคดีที่มาถึงเร็ว เพราะเขาอาสาไปรบกับชนเผ่าแทนพี่ชาย ก่อนตายเขาระลึกถึงนางและพร่ำขอโอกาสจากสวรรค์ ให้เขาได้พบเจอนางอีกสักครั้ง
แต่ใครจะคิดว่าสุดท้ายเขาจะได้รับโอกาสแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดจริงๆ
เขาหวนกลับมาก่อนหน้าที่จะถูกนักฆ่าจากฝั่งเถ้าแก่ซ่งที่ไม่พอใจเนื่องจากร้านขายเครื่องประดับของเขาที่เพิ่งจะมาเปิดในเมืองซานโจวขายดีกว่าทั้งยังแย่งลูกค้าของอีกฝ่ายเกือบหมดสิ้น
เมื่อได้รับโอกาสเขาจึงสามารถจัดการพวกนั้นได้ก่อนที่จะเกิดเหตุ แต่อย่างไรหากไม่มีเหตุการณ์ที่เขาถูกทำร้ายจนไปนอนเกยตื้นที่ริมแม่น้ำแห่งนั้น เขาก็จะไม่ได้พบนาง เขาจึงใช้กระบี่จัดการสร้างบาดแผลด้วยตัวเอง แล้วไปนอนตัวเปียกโชกเกยตื้นอยู่บริเวณนั้น แน่นอนว่าลูกน้องของเขาเกือบยี่สิบคนก็ต้องติดตามและไปซุ่มดูอยู่บริเวณนั้นด้วย
ในขณะที่กำลังนอนเล่นให้น้ำสาดซัด สตรีตัวน้อยท่าทางน่าสงสารก็เดินเข้ามา เพื่อเรียกร้องความสนใจเนื่องจากตอนนี้เขาหนาวมาก จึงส่งเสียงร้อง แต่นางก็ยังนิ่งเฉย ท่าทางครุ่นคิดนั่นน่ารักเสียจนเขาอยากเป็นฝ่ายลุกไปหานางเอง
แม้จะสงสารและไม่อยากให้นางเหน็ดเหนื่อย แต่เขาก็จำใจต้องให้นางประคองเขาไปที่ถ้ำอย่างทุลักทุเล
ด้วยความเจ็บปวดของบาดแผลและการเปียกน้ำเป็นเวลานานสุดท้ายเขาก็ป่วยจริงๆ แม้เขาจะพยายามฝืนตนเอาไว้ไม่ให้หลับเพราะกลัวนางจะหายไปดั่งเช่นกาลก่อน แต่ทว่าก็ไม่อาจทำได้
ในฝันที่เจ็บปวดเขารู้สึกถึงความอบอุ่นบางอย่าง เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่านางกำลังโอบกอดเพื่อให้ความอบอุ่นแก่เขา เมื่อเห็นเช่นนั้นมุมปากหยักพลันมีรอยยิ้มก่อนจะเป็นฝ่ายโอบกอดให้ความอบอุ่นแก่นางแล้วหลับไป
ตื่นมาอีกครามิคาดว่านางจะหายไป เขาจึงตะโกนเรียกผู้ติดตามของตนซึ่งน่าจะเฝ้าดูอยู่ด้านนอกด้วยความเดือดดาล
“ฮูหยินของข้า นางหายไปไหน”
“ฮูหยินของข้า นางหายไปไหน” “ฮูหยินไปเก็บผลท้อแล้วเดินไปทางลำธารขอรับ” “มีใครตามนางไปหรือไม่” “เจียวหวงติดตามฮูหยินไปแล้วขอรับ” “อืม ดูเหมือนนางจะเจ็บข้อเท้า ส่งคนไปรับลู่จื้อมาด้วย” “ขอรับ” “หากนางกลับมาหาข้าแล้วพวกเจ้าแสร้งทำเป็นมาตามหาข้าแล้วสั่งคนไปพาหมอมา บอกลู่จื้อให้เออออตามข้าอย่าได้ขัดแย้งมิเช่นนั้นข้าจะให้เสี่ยวช่างไปกินเสี่ยวอ้ายของเขา” คำขู่ของผู้เป็นนายทำให้เจียวโจวซึ่งเป็นพี่ใหญ่ในบรรดาลูกน้องแซ่เจียวทั้งหมดอยากยกมือปาดเหงื่อ หากได้ยินคำข่มขู่เช่นนี้ท่านหมอเทวดาคงจะเดือดดาลจนสาดยาพิษใส่พวกเขาเป็นแน่ ในหมู่พวกเขาใครบ้างจะไม่ทราบว่าเสี่ยวอ้ายคืองูสีเหลืองที่ท่านหมอลู่จื้อรักดุจดวงใจ หวิ้ว เสียงสัญญาณที่ใช้กันในหมู่ผู้ติดตามของเขาดังแว่วมา บ่งบอกว่ากำลังมีคนมา เขาจึงพยักหน้าสั่งให้ผู้ติดตามนับสิบไปซ่อนตัว เมื่ออยู่ตามลำพัง เขาที่ยังคลุมเสื้อตัวนอกของนางอยู่ กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่แสนคุ้นเคยทำให้นัยน์ตาดำหม่นแสงลง ในครานั้นหากเขาเชื่อความรู้สึกของตนเอง ทุกอย่างคงไม
บุรุษตัวโตปล่อยให้แม่นางน้อยตรงหน้าดึงรั้งตามใจ ตรงซอกหินที่นางพาเข้าไปหลบช่างดีเหลือเกิน มันทำให้เขาได้แนบชิดกับนาง เสียงหัวใจเต้นระรัวของนางเกือบทำให้เขาเผลอจ้องมองนางด้วยแววตาลึกซึ้ง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยอย่างพยายามล่อล่วงนาง ‘คุณชายขอรับ คุณชาย’ “คนพวกนั้นใช่คนของท่านหรือไม่” “ข้าไม่ทราบ” เขาทำหน้าใสซื่อพลางส่ายหน้า ‘นี่มันอาภรณ์ของคุณชาย คุณชายต้องอยู่แถวนี้แน่นอน พวกเจ้าแยกย้ายกันไปหาคุณชาย เจียวมิ่งเจ้ารีบไปนำตัวท่านหมอเทวดามาที่นี่ มีคราบเลือดจางๆ บนอาภรณ์ เกรงว่าตอนนี้คุณชายอาจจะกำลังได้รับบาดเจ็บ’ ‘ขอรับ’ เสียงเจ้าของชื่อตอบรับก่อนที่นางจะได้ยินเสียงคนอื่นค้นหาต่อ “คนพวกนั้นน่าจะเป็นคนของท่าน เราออกไป...” นางยังกล่าวไม่ทันจบมือใหญ่ก็รั้งศีรษะนางแล้วกดใบหน้านางลงบนอกแกร่ง เพื่อไม่ให้นางเห็นดวงตาของเขาวาวโรจน์หลังจากคิดบางอย่างได้ บัดซบ! นางสวมอาภรณ์แค่ตัวใน คนพวกนั้นต้องจ้องมองฮูหยินของเขาเป็นแน่ “คุณชายท่านอยู่ที่นี่เอง” ชายชุดดำส่งเสียง แต่เขาส่งสายตาดุคนพวกนั้นให้หันหน้า
“มิต้อง เป็นฮูหยินของพี่ เจ้าต้องพักห้องเดียวกับพี่ พี่จะให้เจ้าจ่ายได้อย่างไร” “ข้าเจ็บข้อเท้าเช่นนี้ หากต้องนอนเบียดกับท่านที่บาดเจ็บเช่นกัน ข้าเกรงว่าจะไม่สะดวก อย่างไรเราพักกันคนละห้องดีหรือไม่เจ้าคะ” แค่ต้องแสร้งเป็นฮูหยินให้เขา นางก็เสียหายมากพอแล้ว หากมีใครทราบว่านอนห้องเดียวกันอีก นางมิต้องแต่งให้เขาจริงๆ เลยหรือ “พี่เข้าใจแล้ว เจ้าคงยังโกรธเคืองพี่ เช่นนั้นพี่จะให้เวลาเจ้าทบทวน” เขาตอบรับด้วยสีหน้าท่าทางเศร้าสร้อยราวกับเด็กน้อยถูกปฏิเสธไม่ให้กินถังหู่ลู่ ‘ไม่ต้องทำหน้าเช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าไม่ใจอ่อนหรอก’ บุรุษรูปงามเช่นท่านคงมีฮูหยินและอนุเต็มเรือนแล้ว “นี่เป็นค่าห้องของข้าเจ้าค่ะ” นางยื่นตำลึงให้เขา แต่แทนที่เขาจะรับมันไว้ เขากลับเข้ามาโอบอุ้มนางเพื่อพาลงจากรถม้า “ท่านปล่อยข้าเถิดเจ้าค่ะ ข้าเดินเองได้” มีคนมองมากมายเช่นนี้ นางรู้สึกอับอายยิ่งนัก “ท่านหมอกล่าวว่าไม่ให้เจ้าเดินเหินจนกว่าจะหายมิใช่หรือ” ในกาลก่อนแม้จะได้สนทนากันหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยทราบว่าสตรีผู้นี้ดื้อรั้นยิ่งนัก ดวง
4ต่างคนต่างพึ่งพากัน หลังจากนั้นนางก็ได้แต่นั่งฟังเขากล่าววาจาวาดฝันเรื่องราวที่เขาอยากทำกับฮูหยินของเขา ซึ่งนั่นไม่ใช่นางแน่นอน “อิ่มแล้วหรือ” เขากล่าวพลางมองอาหารที่ตนคีบให้นางจนพูนชาม นางช่างกินน้อยเสียจริง... “เจ้าค่ะ” “เช่นนั้นก็กินยา” เขากล่าวพลางรับชามยามา “เจ้าค่ะ” นางตอบรับอย่างว่าง่ายก่อนจะยกชามยาขึ้นกินจนหมด “เก่งมาก” แววตาของเขามีประกายเอ็นดูพาดผ่าน “ข้ากินยาแล้ว ท่านล่ะเจ้าคะ” “พี่กินแล้ว” “กินตอนไหนเจ้าคะ” นัยน์ตาดอกท้อที่จับจ้องราวกับผู้ใหญ่กำลังจับโกหกเด็กทำให้เขายิ้ม “พี่กินก่อนที่จะพาเจ้าลงจากรถม้า” คำโกหกของเขาทำให้บรรดาผู้ติดตามลอบยิ้ม ไม่ว่าคุณชายจะเก่งกาจเพียงใดแต่สุดท้ายก็ต้องแพ้ให้กับฮูหยินน้อย “บังเอิญจริงเชียวที่เจอพวกเจ้า” บุรุษในอาภรณ์สีขาวเดินเข้ามาทักทาย “คารวะท่านหมอเจ้าค่ะ” นางลุกยืนทักทายท่านหมอ “อย่ายืนเช่นนั้น ประเดี๋ยวจะเจ็บข้อเท้าเอา” เขาใช้โอกาสนี้รั้งตัวนางให้นั่งลงบนต
“พี่อยากปรนนิบัติฮูหยินของพี่” ‘แต่ข้าไม่ใช่ฮูหยินของท่าน’ นิสัยใจคอเป็นอย่างไร จวนอยู่ที่ใด นางยังไม่ทราบเลย เป็นเพียงแค่คนบังเอิญผ่านมาเจอกัน และต่างฝ่ายต่างพึ่งพากันเพียงเท่านั้น “เท้าเป็นของต่ำ บุรุษมิควรลดตัวมาจับเท้าสตรีเช่นนี้” คุณหนูซูพยายามหาข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยง ให้บุรุษเห็นเท้าเปล่าว่าผิดจารีตแล้ว หากให้เขาจับอีก นางมิต้องเอาตนเองใส่ตะกร้าล้างน้ำเลยหรือ “ฮูหยิน เจ้าอย่าได้ยึดถือธรรมเนียมเก่าแก่เหล่านั้นให้มาก สามีเพียงอยากปรนนิบัติเจ้า” กล่าวจบเขาก็ยึดเท้าข้างที่นางไม่ได้เจ็บเอาไว้แน่นแล้วถอดรองเท้าให้ ‘ต่อจากนี้ข้าคงหาบุรุษมาแต่งงานด้วยไม่ได้’ แต่ก็ช่างเถิด หลังจากได้หวนคืนมาสิ่งที่นางให้ความสำคัญที่สุดมิใช่เป็นการเลือกแต่งกับบุรุษดีๆ สักคน แต่เป็นการแก้แค้นเอาคืนคนพวกนั้นต่างหาก “หากเจ็บให้บอกพี่” หยางซีซวนกล่าวพลางค่อยๆ แกะผ้าที่พันไว้ออก นัยน์ตาดำมีประกายเจ็บปวดพาดผ่านชั่วครู่เมื่อเห็นรอยฟกช้ำ ภาพในคืนนั้นที่เขาเห็นร่างไร้วิญญาณของนางย้อนกลับเข้ามาในหัว มือใหญ่สั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อยยามเขาควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้
“ข้าก็จะแต่งนางเป็นฮูหยินจริงๆ” “ที่ข้าถามคือเมื่อใดเจ้าจะเลิกแสร้งสติฟั่นเฟือน” อย่างไรวันหนึ่งก็ควรจะอาการดีขึ้น “เรื่องนี้ข้ายังตอบไม่ได้” “สร้างเรื่องโกหกเช่นนี้ ตอนลงหาทางลงดีๆ ด้วยล่ะ มิเช่นนั้นแทนที่จะได้แต่งฮูหยิน นางอาจจะโกรธเกลียดเจ้าจนไม่อยากพบหน้าเลยก็เป็นได้” “...” ในตอนนั้นเขาไม่ทันคิดถึงผลที่ตามมาจริงๆ เขาใช้เวลาตัดสินใจเรื่องนี้ชั่วครู่ยามสบตากับนาง ก่อนที่ปากจะเอื้อนเอ่ยเรียกนางเช่นนั้นออกมา “ชักอยากจะเห็นวันที่นางโกรธเจ้าแล้วสิ” กล่าวจบก็ลูบหัวเสี่ยวอ้ายที่เลื้อยออกมาจากแขนเสื้อ ‘ปากดีต่อหน้าแม่นางผู้นั้นไปเถิด วันใดที่โดนนางเมินเฉยข้าจะหัวเราะให้ฟันร่วง’ ลู่จื้อคิดพลางส่งยิ้มอ่อนโยนให้งูสีเหลืองของตน เสี่ยวอ้ายของเขาน่าเอ็นดูที่สุด “หากนางโกรธข้าเช่นที่เจ้ากล่าวเมื่อใด ข้าจะให้เสี่ยวช่างมาจิกเสี่ยวอ้ายของเจ้า” เสี่ยวช่างเป็นเหยี่ยวตัวใหญ่ที่เขาเลี้ยงไว้ “หยุดความคิดของเจ้าไปเลย” ท่านหมอเทวดารีบเก็บสัตว์เลี้ยงของตนเข้าในแขนเสื้อ “เจียวมิ่ง เจ้าพาคนล่วงหน้าไปยัง
เพียงแค่นางเรียกขานว่า ‘สามี’ ก็ทำหูตั้งหางส่ายไปมาราวกับเจ้าเสี่ยวโก่ว “เขาไม่ยอมกินยาเจ้าค่ะ ท่านช่วยใช้วิธีผ่าหัวเพื่อรักษาให้เขาหายจากสติฟั่นเฟือนได้หรือไม่เจ้าคะ” “คงมิได้หรอกแม่นาง ข้ายังไม่เคยผ่าหัวใครเลยสักครั้ง” “เช่นนั้นใช้เขาลองเถิดเจ้าค่ะ” นางคอยถามไถ่เรื่องกินยาด้วยความเป็นห่วงอยู่หลายวัน แต่เขากลับโกหกนาง มันน่าโมโหหรือไม่ “ฮูหยิน...” “บุรุษมากเล่ห์เช่นท่านหาใช่สามีข้า” นางเฝ้าดูแลเขามาหลายวัน แต่เขากลับไม่กินยา เช่นนี้เมื่อใดจะหายกันเล่า “ฮูหยินไม่เอา ไม่กล่าวเช่นนั้น พี่ขอโทษเจ้าหายโกรธพี่ได้หรือไม่” “ข้าไม่ได้โกรธเจ้าค่ะ ” แค่หงุดหงิดเพียงเท่านั้น “หากเจ้าไม่ได้โกรธพี่แล้วเจ้ากำลังจะเดินไปที่ใด ท่านหมอห้ามเจ้าเดินเหินมิใช่หรือ” เขากล่าวเสียงอ่อนพลางทำท่าจะลุกเดินตามนาง “ข้าหายแล้วเจ้าค่ะ และท่านหยุดเท้าอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ ข้าขออยู่คนเดียวเงียบๆ” ขอนางสงบสติอารมณ์ชั่วครู่ เขาไม่ได้เป็นสามีนางจริงๆ เสียหน่อย นางไม่ควรต้องห่วงใยเขามากถึงเพียงนี้ “เช่นนั้
5ใกล้ถึงเวลาแยกย้าย หลังจากปรนนิบัติและส่งฮูหยินเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว ท่านหมอเทวดาก็ถูกสหายลากเข้าห้องของผู้ติดตามซึ่งอยู่ไกลจากห้องของนางไม่มากนักเพื่อสอบถาม “นางสนทนาเรื่องอันใดกับเจ้า” “นางแค่สงสัยอาการเจ็บป่วยของเจ้า” “สงสัยเรื่องอันใด รีบเล่าให้ข้าฟังบัดเดี๋ยวนี้” ท่าทางร้อนรนราวกับคนร้อนตัวทำให้ท่านหมอเทวดาอมยิ้ม ดูเหมือนคุณหนูผู้นั้นจะมีความสำคัญไม่น้อย สหายของตนถึงได้ร้อนรนถึงเพียงนี้ “นางก็แค่สงสัยว่าหากเจ้าไม่เคยมีฮูหยินหรือสตรีในเรือนหลังมาก่อน แต่เหตุใดพอสติฟั่นเฟือนถึงได้เอาแต่เรียกนางว่าฮูหยิน” “แล้วเจ้าตอบว่าอย่างไร” “เลิกข่มขู่ว่าจะทำร้ายเสี่ยวอ้ายของข้าก่อน แล้วข้าจะบอก” “เจ้ากล้าต่อรอง” “ข้าเป็นหมอเทวดานะ ไม่ใช้บุตรชายของเจ้า” “ก็ได้ สหายรัก ข้าจะเอ็นดูเสี่ยวอ้ายของเจ้า” ช่างเป็นรอยยิ้มที่แผ่ไปไม่ถึงดวงตา “ข้าก็แค่บอกว่าบางทีเจ้าที่ปักใจรักและวาดฝันจะกราบไหว้ฟ้าดินกับสตรีผู้หนึ่ง อาจจะกำลังสับสนระหว่างความจริงกับความฝัน”
“เรื่องนั้นท่านอย่าได้ห่วงเลยเจ้าค่ะ พี่เหลียงอี้ เขาไปลาดตระเวนตรวจตราที่บริเวณจวนของนางอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นนางปลอดภัยไม่มีอันตรายแน่นอน” ‘สตรีโง่ ข้าอยากจะบอกเจ้าเหลือเกินว่า คู่หมั้นข้านางผู้นั้นมีของล้ำค่ามากกว่าปิ่นที่เจ้าจะซื้อให้อีก’ ยิ่งได้เห็นความใสซื่อของซูหนิงเซียน ความสนใจในตัวคู่หมั้นก็เริ่มลดลง หากไม่ติดที่ว่ามีบุญคุณช่วยชีวิตเขาก็คงไม่คิดสนใจไยดีแล้ว น่าแปลกที่เขาเชื่อวาจาที่ซูหนิงเซียนบอกกล่าวออกมามากกว่าที่ได้รับฟังจากหม่าลี่อิน “ข้าเลือกชิ้นนี้เจ้าค่ะ ลี่อินนางชอบไข่มุก ข้าว่านางต้องดีใจมากแน่นอนเจ้าค่ะที่ได้ปิ่นนี้” “อืม” รอยยิ้มจริงใจของคุณหนูซูทำให้เขาเอ่ยวาจาไม่ออก “คุณหนูซูท่านช่างโชคดีเหลือเกินขอรับ วันนี้นายท่านของร้านเราใจดี สั่งลดราคาเครื่องประดับให้กับลูกค้าคนที่สิบเก้า ซึ่งคือท่าน” “ลดราคาเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” “ใช่ขอรับ เพื่อเป็นการแสดงความยินดีที่ม้าตัวโปรดของนายท่านคลอดลูกม้า นายท่านสั่งลดราคาเครื่องประดับให้ลูกค้าคนที่สิบเก้าครึ่งราคา นั่นเท่ากับว่าวันนี้คุณหน
ดวงหน้าหวานที่โผล่ออกมาจากรถม้าทำให้ใจของเขาสั่นไหว เมื่อนางเผยรอยยิ้มเขาแทบจะกระโดดลงจากชั้นสองของโรงเตี๊ยมเพื่อไปหานาง “แม่นางหนิงเซียน” เสียงทุ้มของบุรุษที่ดังขึ้นดึงความสนใจของซูหนิงเซียนให้หันไปมอง “คารวะคุณชายซวนเจ้าค่ะ” ยามเห็นหน้ากากจึงจดจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคู่หมั้นของสหาย “ท่านมาคนเดียวหรือ” “เจ้าค่ะ วันนี้ข้าจะมาหาซื้อผ้าไปตัดชุดให้สาวใช้คนสนิท จึงตั้งใจมาด้วยตัวเองไม่ได้ชวนลี่อินมาด้วย” นางเข้าใจว่าเขาถามหาสตรีในดวงใจ “ข้ามีความรู้เรื่องผ้าไม่น้อย ให้ข้าช่วยเลือกดีหรือไม่ ไม่แน่เจ้าอาจจะได้ผ้าเนื้อดีที่ราคาถูก” “หากมิรบกวนคุณชายซวนเกินไป…” ซูหนิงเซียนยังกล่าวไม่ทันจบเขาก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นก่อน “เรื่องนี้มิได้เหลือบ่ากว่าแรง จะถือว่ารบกวนข้าได้อย่างไร” “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” นางตอบรับแล้วยกยิ้มเล็กน้อย บุรุษสวมหน้ากากช่วยนางเลือกผ้าได้หลายพับ แต่เมื่อจ่ายเงินนางกลับพบว่านางได้ของดีแต่ราคาถูกอย่างเหลือเชื่อ “ท่านหลงจู๊ ลองคิดเงินใหม่อีกครั้งดีหรือไม่
ในกาลก่อนที่ข้ารักเจ้า บริเวณชั้นบนของโรงเตี๊ยมเลี่ยงจิน บุรุษสวมหน้ากากจ้องมองคู่หมั้นของตนที่กำลังเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน ดวงหน้าหวานแต่งแต้มรอยยิ้มสดใสพาลทำให้บุรุษรอบตัวต่างหันมามอง แต่เขากลับถูกสตรีนางหนึ่งดึงดูดสายตาให้จ้องมอง สตรีนางนั้นคล้ายจะเป็นสหายของคุณหนูหม่า แม้ดวงหน้านางจะแต่งแต้มรอยยิ้มบาง แต่ทว่ากลับดึงดูดเขาได้อย่างน่าประหลาด และดูเหมือนว่าแท้จริงบุรุษเหล่านั้นจะจ้องมองนางเสียมากกว่า พลันในอกรู้สึกไม่ชอบใจอย่างประหลาด ความรู้สึกหวงแหนก่อตัวขึ้นในใจของเขาอย่างไม่รู้ตัว เหตุใดกับคู่หมั้นตน เขาถึงไม่รู้สึกเช่นนี้ พรึ่บ ไวกว่าความคิดร่างสูงโปร่งของบุรุษรูปงามก็ปรากฏตัวด้านหลังสตรีทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยทักทาย “ลี่อินเจ้ามาเดินเที่ยวเล่นหรือ” เขาทราบว่ามันเป็นคำถามที่ดูโง่งม แต่เขาไม่รู้จะเอ่ยถามอันใดออกไป “คารวะคุณชายซวนเจ๋อเจ้าค่ะ” สายตาที่มีประกายรังเกียจพาดผ่านทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่คู่หมั้นจะแสดงความเคารพเขา หลายครั้งที่นางมองเขาเช่นนี้ คงเพราะหวาดกลัวหน้ากากที่ปกปิดบนใบหน้าเขา การเป
“คนของเจ้าสืบได้ละเอียดถึงเพียงนั้น” หมิงอี้เฉินหรี่ตามองอย่างจับผิด “เรื่องที่คิดกำจัดนางกับท่านพ่อตา คนของข้าได้ยินหม่าลี่อินวาดฝันกับกวางเหลียงอี้ เมื่อเห็นว่าเป็นภัยต่อนาง คนของข้าจึงนำมารายงานข้าด้วย” “...” “เบื้องต้นข้ามีหลักฐานที่กลุ่มนักเลงพวกนั้นสารภาพ เจ้าอยากดูหรือไม่” “อืม” เขายกชามสุราขึ้นจิบก่อนจะตอบรับ “นี่คือจดหมายรับสารภาพของนักเลงที่ดักปล้นรถม้าแต่ถูกข้าซ้อนแผนจับเป็นทั้งหมด ก่อนจะนำมาทรมานเพื่อเค้นความจริง” หยางซีซวนยื่นจดหมายที่เพิ่งนำออกมาจากอกเสื้อให้เขา “หม่าลี่อินชั่วช้ายิ่งนัก คิดจะให้พวกนักเลงข่มเหงนาง” จากคำสารภาพของนักเลง กวางเหลียงอี้เพียงแต่ตั้งใจทำให้นางตกใจ แต่หม่าลี่อินกลับซ้อนแผนให้นักเลงพวกนั้นข่มเหงนางก่อนที่กวางเหลียงอี้จะไปช่วย คงกลัวว่าหากเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ของตนได้พบเจอนางจะเปลี่ยนใจ จึงสร้างมลทินให้ซูหนิงเซียน “เพราะเหตุนี้ข้าจึงแสร้งสติฟั่นเฟือนเพื่อจะได้อยู่ในจวนตระกูลซูต่อไป เพื่อจะได้ปกป้องนางและบิดาด้วยตนเอง” “เรื่องนี้เจ้าสามารถใช้ผ
คุณชายหมิงอี้เฉิน เมื่อได้รับข่าวว่าสหายในวัยเด็กเดินทางกลับมาจากเมืองซานโจวแล้ว เขาจึงรีบไปหา แต่ใครจะคิดเล่าว่าการพบเจอครั้งนี้จะพ่วงบุรุษผู้นั้นมาด้วย ชายที่มองอย่างไรก็ไม่คล้ายคนสติฟั่นเฟือน ท่าทางออดอ้อนนั้นแลดูเหมือนบุรุษเจ้ามารยาเสียมากกว่า คุณชายหมิงเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืน แล้วยืนนิ่งราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง “คุณชายขอรับ นี่ก็เป็นปลายยามไฮ่ (21.00-22.59) แล้ว น้ำค้างก็ลงมากแล้วอย่างไร...” บ่าวรับใช้คนสนิทยังกล่าวไม่ทันจบ คุณชายเจ้าของจวนก็เอ่ยวาจาแทรกขึ้นก่อน “เจ้าไปนอนก่อนเถิด ข้าจะยืนชมดาวอีกสักหน่อยก็จะไปนอนแล้ว” “ขอรับ” เมื่อคุณชายกล่าวเช่นนั้น บ่าวรับใช้คนสนิทก็ได้แต่เดินจากไป พรึ่บ บุรุษชุดดำกระโดดลงมาตรงหน้าเขาหลังจากบ่าวรับใช้เดินหายไปไม่นาน “มาแล้วหรือ” คุณชายหมิงเอ่ยวาจาทักทายผู้มาเยือน “เจ้าอยากพบข้าด้วยเหตุใด” หากบุรุษผู้นี้ไม่ค้นพบการมีตัวตนของผู้ติดตาม เขาก็คงคิดว่า ซือเย่ผู้นี้เป็นเพียงบัณฑิตอ่อนปวกเปียกที่ไม่กล้าฆ่าแม้แต่ไก่ “ท่านควรแจ้งถึงจุดประสงค์ในก
“พี่ไม่ได้รังแกเจ้า พี่มอบความโปรดปรานให้เจ้า” “หน้าอกท่านแน่นเสียจริง” “หากเจ้าอยากลูบไล้ยามไร้อาภรณ์ ก็จงรีบกลับจวนกับพี่” “ไม่เอา ข้ายังไม่อยากกลับ กว่าจะได้ออกมาเที่ยวเช่นนี้ไม่ง่ายเลย ต้องขอบคุณท่านแม่นะเจ้าคะ ที่เมตตาข้า” “มิเป็นไรๆ เจ้าอยู่สนุกกับเหล่าชายงามต่อเถิด แม่ต้องกลับไปรับโทษ...ไม่ใช่ แม่ต้องรีบกลับแล้ว” กล่าวจบหยางฮูหยินก็หันไปมองใบหน้าบึ้งตึงของสามี ‘ครั้งนี้นางคงหยอกเย้าบุตรชายมากเกินไป จึงทำให้ฟูจวิน ของนางโกรธขึ้นมาจริงๆ’ ต่อจากนี้คงต้องทนปวดเอวเพื่อง้อท่านแม่ทัพใหญ่หลายคืนอีกแล้ว “ได้เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะสนุกกับพี่ชายคนงามแทนท่านแม่เองเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินโซซัดโซเซไปหากลุ่มชายงาม แต่กลับโดนสามีโอบรั้งเอวคอดกิ่วเอาไว้ “พี่ชายคนงามพวกนี้ อยากกลับไปพักผ่อนแล้ว เจ้าอย่าได้รบกวนพวกเขาเลย” น้ำเสียงที่เอ่ยกับฮูหยินตนช่างอ่อนโยนยิ่งนัก ต่างจากสายตาที่จ้องมองคล้ายจะเข้าขย้ำเหยื่อตรงหน้าของราชสีห์ “จริงหรือเจ้าคะพี่ชาย” “จริงขอรับ”
“ท่านพ่อ คราวนี้ท่านแม่ทำเกินไปขอรับ” เขารีบฟ้องบิดาในทันที มารดาพาฮูหยินของเขามาเที่ยวหอชายงามเช่นนี้ เกิดนางติดใจเข้าจะทำเช่นไร “อย่าได้ห่วง พ่อจะจัดการลงโทษนางตามกฎของพ่อ เข้าไปด้านในกันเถิด” เพียงแค่คิดถึงบทลงโทษที่จะได้ใช้กับฮูหยินตนแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่ก็คล้ายจะอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอจะก้าวเท้าเข้าหอชายงาม ผู้ติดตามที่ถูกสั่งให้กีดกันคุณชายก็โผล่ออกมาขัดขวางตามคำสั่งของหยางฮูหยิน “พวกเจ้ากล้าขัดขวางข้าหรือ” น้ำเสียงที่ไม่คล้ายจะพอใจทำให้ผู้ติดตามของหยางฮูหยินรีบคุกเข่า “มิได้ขอรับ แต่พวกข้าน้อยถูกสั่งให้ขัดขวางคุณชายไม่ให้เข้าไปในที่แห่งนี้ขอรับ” กลิ่นอายสังหารของท่านแม่ทัพใหญ่ทำให้บุรุษชุดดำทั้งหมดหวั่นเกรงยิ่งนัก “พวกเจ้ากล้าขัดขวางบุตรชายข้าหรือ นายที่แท้จริงของพวกเจ้าคือใครจำได้หรือไม่” “ท่านแม่ทัพขอรับ” บรรดาผู้ติดตามพร้อมใจกันตอบรับ หากเทียบกันแล้วหยางฮูหยินนั้นรับมือง่ายกว่าท่านแม่ทัพมากนัก ‘ต้องขออภัยฮูหยินแล้วขอรับที่พวกข้าต้องเลือกฝั่งท่านแม่ทัพใหญ่’ บรรดาผู้ติดตามได้แต่แสร้
ท่านแม่กำลังไปตามหาน้องให้ สิ่งแรกที่เขามักจะมองหาเมื่อกลับถึงจวนคือฮูหยินของเขาที่มักจะมายืนส่งยิ้มให้ แต่วันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น นัยน์ตาดำกวาดมองไปทั่วบริเวณ จึงพบเด็กชายตัวน้อยกำลังนั่งเล่นตัวต่อไม้โดยมีแม่นมและสาวใช้คอยดูแลอยู่ ไร้เงาของผู้เป็นมารดา “หนิงเฉิง กำลังเล่นอันใดอยู่หรือลูก” เขาโบกมือไล่แม่นมและสาวใช้ออกไป ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงสนทนากับบุตรชายวัยสามขวบที่คล้ายฉลาดเกินวัย “ตัวต่อไม้ขอรับท่านพ่อ” “นี่คืออันใด” หยางซีซวนชี้ไปยังตัวต่อที่ถูกต่อขึ้นมาคล้ายเรือนหลังเล็ก “เรือนของน้องชายขอรับ” “เรือนของหนิงเฉินหรือ น่าอยู่ไม่น้อย” เพราะบุตรชายคนเล็กอายุเพียงเจ็ดเดือน จึงต้องอยู่กับแม่นมไม่สามารถมาเล่นกับพี่ชายได้ “อืม...หรือเก็บไว้ให้น้องสาวดี” เด็กน้อยทำท่าครุ่นคิด “จะน้องชายหรือน้องสาว ก็เป็นน้องของเจ้าทั้งนั้น อย่าได้ลำเอียง เข้าใจหรือไม่” “ขอรับท่านพ่อ” “ท่านแม่ของเจ้าไปไหน เหตุใดพ่อจึงไม่เห็น” “ทะ ท่านแม่หรือขะ ขอรับ น่าจะนอนอยู่ระ เรือนนะขอรั
ยามอยู่ในงานเลี้ยงองค์ชายห้าเกาะติดนางไม่ห่าง ทำให้นางรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก “เจ้ากินเซาปิ่งมากถึงเพียงนี้ ระวังจะกินอาหารเลิศรสจานอื่นไม่ได้” “เซาปิ่งของจวนเสิ่นอร่อยถูกปากข้ามากเลยเจ้าค่ะ” ท่าทางกินของนางทำให้มุมปากหยักของเขายกยิ้มอย่างเอ็นดู “พี่ไม่แย่งเจ้าหรอก ค่อยๆ กินประเดี๋ยวติดคอ” “ข้า...” เซาปิ่งที่เซียวอ้ายช่างจับอยู่ตกลงบนพื้น สองมือของนางกุมอกเอาไว้ ท่าทางคล้ายจะขาดใจตายของนางทำให้เขาร้อนรน “อ้ายช่าง อ้ายช่างเจ้าเป็นอันใด เซาปิ่งติดคอใช่หรือไม่” หวงหลี่จื้อช่วยตบหลังให้นาง “ลี่จึ...ในเซาปิ่งมี อึกๆ” ท่าทางทุรนทุรายของคุณหนูเซียวและสีหน้าตื่นตระหนกขององค์ชายห้า ทำให้ผู้นำตระกูลเสิ่นรีบเข้ามาดูนางพร้อมกับเสิ่นฮูหยิน “เจ้าพยายามกินยานี้เข้าไปเร็วเข้า” “อึกๆ อึก” เพราะหายใจไม่ออก นางจึงดิ้นทุรนทุราย หวงหลี่จื้อเห็นท่าไม่ดี จึงเอายาใส่ปากแล้วป้อนให้นางด้วยปาก เขาบังคับให้นางกลืนยาลงไป การกระทำขององค์ชายคล้ายจะทำให้เกิดเสียงฮือฮา แต่มีหรือเขาจะสนใจ การช่วยช