5
ใกล้ถึงเวลาแยกย้าย
หลังจากปรนนิบัติและส่งฮูหยินเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว ท่านหมอเทวดาก็ถูกสหายลากเข้าห้องของผู้ติดตามซึ่งอยู่ไกลจากห้องของนางไม่มากนักเพื่อสอบถาม
“นางสนทนาเรื่องอันใดกับเจ้า”
“นางแค่สงสัยอาการเจ็บป่วยของเจ้า”
“สงสัยเรื่องอันใด รีบเล่าให้ข้าฟังบัดเดี๋ยวนี้” ท่าทางร้อนรนราวกับคนร้อนตัวทำให้ท่านหมอเทวดาอมยิ้ม
ดูเหมือนคุณหนูผู้นั้นจะมีความสำคัญไม่น้อย สหายของตนถึงได้ร้อนรนถึงเพียงนี้
“นางก็แค่สงสัยว่าหากเจ้าไม่เคยมีฮูหยินหรือสตรีในเรือนหลังมาก่อน แต่เหตุใดพอสติฟั่นเฟือนถึงได้เอาแต่เรียกนางว่าฮูหยิน”
“แล้วเจ้าตอบว่าอย่างไร”
“เลิกข่มขู่ว่าจะทำร้ายเสี่ยวอ้ายของข้าก่อน แล้วข้าจะบอก”
“เจ้ากล้าต่อรอง”
“ข้าเป็นหมอเทวดานะ ไม่ใช้บุตรชายของเจ้า”
“ก็ได้ สหายรัก ข้าจะเอ็นดูเสี่ยวอ้ายของเจ้า” ช่างเป็นรอยยิ้มที่แผ่ไปไม่ถึงดวงตา
“ข้าก็แค่บอกว่าบางทีเจ้าที่ปักใจรักและวาดฝันจะกราบไหว้ฟ้าดินกับสตรีผู้หนึ่ง อาจจะกำลังสับสนระหว่างความจริงกับความฝัน”
“แล้วนางว่าอย่างไร” เขาเพียงอยากให้นางได้ทราบว่าแท้จริงในเรือนหลังของเขาไม่มีสตรีใดเลยสักคน จึงให้ลูกน้องบอกกล่าวเช่นนี้ยามนางมาสอบถาม
“นางก็เหมือนจะเชื่อ”
“ฮูหยินของข้า นางถามเรื่องอันใดอีก”
“นางดูกังวลเรื่องอาการของเจ้ามาก”
“จริงหรือ”
“อืม ข้ายังบอกนางว่าอีกหลายวันกว่าจะถึงเมืองหลวง ตอนนั้นเจ้าอาจจะหายสติฟั่นเฟือนแล้วก็เป็นได้” พอได้ยินประโยคของสหาย ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติเศร้าสลดลงทันที
แท้จริงนางคิดจะถอยห่างจากเขาทันทีที่ถึงเมืองหลวง ใช้ประโยชน์เสร็จก็รีบหนี แต่เดี๋ยวนะ! นางทราบได้อย่างไรว่าหนทางเข้าเมืองหลวงของนางไม่ราบรื่น
“อย่าได้ทำหน้าเศร้าไปเลยสหาย นางเป็นสตรีเดินทางลำพังย่อมอันตรายจึงคิดพึ่งพาเจ้า ส่วนเจ้าที่สติฟั่นเฟือนก็พึ่งพานาง ได้ประโยชน์ทั้งคู่มิใช่หรือ”
‘ข้าคงคิดมากไปเอง’ จริงดั่งสหายกล่าว นางคงเห็นว่าเป็นสตรีเดินทางคนเดียวย่อมอันตราย จึงคิดใช้ประโยชน์จากเขาเพียงเท่านั้น
“แล้วคนที่สติฟั่นเฟือน ยามหายจากอาการฟั่นเฟือนจะมีอาการเช่นใด”
“ก็แค่จะเริ่มจำเรื่องราวได้บ้างเป็นบางครั้ง ปวดหัวบ้าง ความทรงจำจะมาเป็นครั้งคราว ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ ที่ถามข้าเพราะกลัวนางจับได้ล่ะสิ”
“ข้าเข้าใจแล้ว ต่อจากนี้ข้าจะเอ็นดูเสี่ยวอ้ายให้มาก และจะให้เสี่ยวช่างมาเล่นกับเสี่ยวอ้ายบ่อยๆ” หยางซีซวนกล่าวก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ท่านหมอเทวดาโมโหกับความกลับกลอกของบุรุษมากเล่ห์
เหยี่ยวกับงูมันเล่นด้วยกันได้ที่ไหนกันเล่า...
หลังจากนั้นการเดินทางก็เต็มไปด้วยความราบรื่น นอกจากบุรุษที่เข้าใจว่านางเป็นฮูหยินจะดูแลนางเป็นอย่างดี จนข้อเท้านางดีขึ้นมาก จนท่านหมอเทวดายังเอ่ยชมและกล่าวว่าหากเป็นเช่นนี้ นางก็สามารถเดินเองได้แล้ว เพียงแต่อย่าลงน้ำหนักให้มาก ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใดพอท่านหมอเทวดากล่าวเช่นนั้น คุณชายซีซวนถึงได้ทำหน้าบึ้งตึง หรือเขาจะไม่ใคร่พอใจที่ถูกนางบังคับให้ดื่มยาขมก็ไม่ทราบได้
“ฮูหยิน เจ้ากินขนมหรือไม่”
“ข้ายังอิ่มอยู่เลยเจ้าค่ะ หากท่านอยากกินก็กินเถิด”
“ฮูหยินเจ้าหายโกรธพี่แล้วหรือไม่”
“ข้าไม่ได้โกรธท่านเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยเลยสักครา”
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมให้พี่นอนร่วมห้อง สามีภรรยาหากมิได้นอนร่วมเตียงจะเกิดความห่างเหินเจ้ารู้หรือไม่” กล่าวจบก็แสร้งทำหน้าเสียใจ
“ข้ามีเหตุผลของข้าเจ้าค่ะ ท่านให้เวลาข้าได้หรือไม่” ปล่อยให้เขาใกล้ชิด โอบกอด นางก็เสียหายมากแล้ว หากนางให้เขานอนร่วมห้องอีก คงต้องแต่งให้เขาจริงๆ แล้วล่ะ
แม้เขาจะงดงามราวกับเทพเซียนแต่นอกจากนางจะมีแค้นที่ต้องชำระแล้ว นางไม่อยากให้เขากล่าวว่านางฉวยโอกาสยามเขาสติฟั่นเฟือน การแต่งงานโดยที่บุรุษไม่มีใจให้ มันเจ็บปวดมากนางเข้าใจดี ดังนั้นเป็นเพียงสหายที่ต้องพึ่งพากันเพียงเท่านั้นก็ดีแล้ว
“พี่เข้าใจ พี่ขอโทษที่ปกป้องเจ้าไม่ได้ แต่พี่จะรอวันที่เจ้าให้อภัยพี่” ท่าทางฝืนยิ้มทั้งที่ยังเสียใจ ทำให้ใจของนางคล้ายดังขี้ผึ้งลนไฟ
เหตุใดถึงน่ามองเช่นนี้...
“ขอบคุณที่เข้าใจเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า จึงไม่ได้เห็นสายตาลุ่มลึกยากจะคาดเดาของเขา
“ขอบคุณที่เข้าใจเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า จึงไม่ได้เห็นสายตาลุ่มลึกยากจะคาดเดาของเขา ยามค่ำคืนหยางซีซวนนั่งจิบชาราวกับเฝ้ารอคอยเรื่องบางอย่าง ใบหน้าที่มักจะส่งยิ้มออดอ้อนฮูหยินของตนบัดนี้เรียบเฉยไร้ท่าทางหยอกเย้าเช่นทุกครั้ง แต่ในสายตาของผู้ติดตามแซ่เจียวทั้งหมด ทุกคนย่อมทราบดีว่านี่เป็นนิสัยปกติของผู้เป็นนาย ยามอยู่กับฮูหยินต่างหากที่คุณชายของพวกตนดูไม่ใคร่ปกตินัก พรึ่บ! บุรุษชุดดำสองคนเข้ามาทางหน้าต่างก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นนาย “ว่ามา” คุณชายหยางกล่าวพลางหมุนจอกชาเล่น “คุณหนูหม่าลอบพบคุณชายกวางอยู่บ่อยครั้ง ทั้งสองคนสนิทสนมกันมาก ข้าน้อยจึงสืบต่อจนพบว่าทั้งสองแท้จริงเป็นเหมยเขียว
“ฮูหยิน เจ้าอดทนเห็นหน้าบุรุษที่รูปงามน้อยกว่าพี่เพียงครู่เดียวอีก ไม่นานเราก็จะถึงเมืองหลวงแล้ว” เขากล่าวพลางรินชาใส่จอกให้นางอย่างเอาใจ ‘สหายผู้นี้ปากไม่ดี มันน่าเปิดโปงความลับเสียจริง’ ทำตัวราวกับเด็กน้อยกลัวผู้อื่นมาแย่งความรักความสนใจจากมารดา “ท่านอย่าได้กล่าววาจาไม่ดีต่อท่านหมอเช่นนั้น” “...” เขาเม้มริมฝีปากราวกับอัดอั้นตันใจ ก่อนจะก้มหน้าลง “ข้าต้องขออภัยท่านหมอด้วยนะเจ้าคะ เขาสติฟั่นเฟือนอาจกล่าววาจาไม่เหมาะสมไปบ้าง” นางหันไปกล่าวกับท่านหมอ ถึงไม่ได้เห็นเบื้องหลังสีหน้าของบุรุษมากเล่ห์ ‘ดู...สหายข้าสำนึกที่ใด แสร้งทำเป็นน
“อย่าเพิ่งโอ้อวด พาตนเองให้รอดจากการโจมตีก่อนเถิด” เพราะไม่อยากให้นางตื่นกลัวกับการถูกลอบโจมตี เขาจึงผสมยานิทราลงในชาจอกนั้นให้นางดื่ม ฮี้ ม้าของผู้ติดตามที่วิ่งนำหน้าส่งเสียงร้องเมื่อมีบางอย่างขวางทาง สองขายกขึ้นตะกุยอากาศจนทำให้บุรุษชุดดำที่อยู่บนหลังม้าเกือบตกลงไป ‘พวกเจ้าท่าทางมีเงินไม่น้อย หากอยากผ่านทางเข้าเมืองหลวงอย่างราบรื่น ก็ทิ้งเงินและสตรีเอาไว้ที่นี่เสีย’ ท่าทางกักขฬะของพวกนักเลงทำให้บุรุษชุดดำยิ้มมุมปาก “รีบลงมือเสีย ข้าจะรีบไปดูจวนใหม่ของข้า” สิ้นเสียงของท่านหมอเทวดาที่อยู่ในรถม้า ผู้ติดตามแซ่เจียวทั้งสิบเจ็ดคนก็พุ่งเข้าไปจัดการนักเลงที่มีมากถึงสามสิบคน ด้านคุณชายหยางที่พาฮูหยินของตนแยก
6เร่งเร้าความริษยาของสหาย เสียงนกร้องและเสียงผู้คนสนทนาดังแว่วเข้ามาในหูปลุกซูหนิงเซียนให้ตื่นขึ้น ร่างระหงลุกขึ้นนั่งพลางบิดขี้เกียจก่อนจะนิ่งค้างเช่นนั้นเมื่อดวงตาดอกท้อสบเข้ากับนัยน์ตาดำที่ฉายแววหวานซึ้ง “ขออภัยเจ้าค่ะ” “มิเป็นไร ในสายตาพี่ เจ้างดงามเสมอ ต่อให้แคะขี้มูกพี่ก็ยังมองว่าน่าเอ็นดู” ‘ปากหวานเสียจนทำให้ข้าพาลกินข้าวไม่ลง’ แม้เขาจะดูคล้ายบุรุษเจ้าสำราญ ปากหวานกับนาง แต่พอได้อยู่ร่วมกันหลายวัน นางก็ได้เห็นว่าแท้จริงเขาเป็นเช่นนี้กับนางเพียงคนเดียว จนบางครั้งทำให้นางรู้สึกอิจฉาสตรีผู้นั้นที่เขารักปักใจ
‘คุณชายของข้าช่างเกี้ยวพาสตรีได้ไม่เหมือนผู้อื่น’ คบหาดูใจไม่คิดจะทำ แต่กลับคิดรวบหัวรวบหางนางเป็นฮูหยินราวกับกลัวจะมีคนแย่งนางไป แต่เมื่อลงมาถึงด้านล่างของโรงเตี๊ยมหยางซีซวนก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นรถม้าที่มีตราสัญลักษณ์ตระกูลหยางจอดอยู่ด้านหน้า มีสตรีผู้งดงาม ดวงหน้าแลดูอ่อนเยาว์ยืนอยู่ด้านข้าง “ท่านแม่?” “ยังจำได้อยู่หรือว่าข้าเป็นแม่เจ้า” เฟยเจียงหงเอ่ยถามพลางส่งยิ้มหวานให้กับบุตรชาย แม้สตรีผู้นี้จะเลยวัยสาวมานานพอสมควร แต่ทว่าก็ยังมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หันมามองพลางขวยเขินเมื่อเห็นสตรีงามล่มเมืองแย้มยิ้ม “ท่านมาได้อย่างไร ท่านพ่อไม่ว่าหรือขอรับ” ด้วยความงามของมารดา บิดาจึงหวงแหนจนแทบไม่อยากให้ออกจากจวน หากมีงานเลี้ยงจวนใด
“ประเดี๋ยวก่อน แม่หนูลี่อินน่ะหรือ ส่งจดหมายแจ้งเจ้าว่าพ่อป่วยหนัก” “เจ้าค่ะ เสียดายข้าทำจดหมายนั่นหายไปแล้ว จึงไม่อาจนำมายืนยันได้” กล่าวจบก็จ้องมองบิดาด้วยความคิดถึง คิดถึงท่านพ่อยิ่งนัก ดีเหลือเกินที่นางได้รับโอกาสให้หวนคืนกลับมา “แต่พ่อไม่ได้เป็นอันใด ป่วยหนักสุดก็เห็นจะเป็นหวัดเมื่อสามวันก่อนเพียงเท่านั้น” “แล้วเหตุใดลี่อินถึงโกหกข้าเช่นนั้น ด้วยความร้อนใจและเป็นห่วงท่านพ่อ ข้ารีบเร่งเดินทางไม่หยุดพักจนถึงเมืองหลวงเลยนะเจ้าคะ” ละเว้นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ร่วมทางไปสักเล็กน้อยคงจะดีกว่า อย่างไรท่านพ่อก็ควรสงสัยเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลของบุตรสาว
ริษยาข้าให้มากจะได้รีบลงมือเร็วๆ นางจะได้รีบจบเรื่องแล้วพาบิดาย้ายไปอยู่เมืองซานโจว ‘เจ้าควรรู้ไว้ว่า เพียงแค่ฐานะจวนซูมันไม่ได้ทำให้ข้ามีเงินทองใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายมากมาย’ การเป็นหลานสาวของคหบดีจากเมืองซานโจวต่างหากที่ทำให้นางร่ำรวยมีเงินทองเหลือใช้ ท่านลุงก็ยังหาเงินเก่ง ท่านป้าก็ใจดีและเอ็นดูนาง ไปเมืองซานโจวเมื่อใดนางมักจะได้ตั๋วเงินกลับมาด้วย และเคยได้มากถึงหนึ่งพันตำลึงทอง “เจ้าช่างใจดี แต่ก็ดีแล้วที่เดินทางปลอดภัย” ‘คงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันที่แผนการพลาด’ “วันนี้เจ้าว่างหรือไม่ อยากจะชวนเจ้าออกไปซื้อเครื่องประดับเสียหน่อย” อีกไม่กี่วันจะมีงานเลี้ยงแสดงความยินดีที่จวนหยาง เพื่อเป็นการแสดงความยินดีที่คุณชายรองจวนหยางได้รั
7คารวะท่านพ่อตา “ซูหนิงเซียน เหตุใดกลับมาเมืองหลวงแล้วไม่ให้คนไปแจ้งข้า” เสียงทุ้มของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น ทำให้บทสนทนาที่นางไม่อยากจะตอบจบลงในทันที “หมิงอี้เฉิน เจ้ามาได้อย่างไร” คุณหนูซูเอ่ยถามบุรุษผู้มาเยือนพลางปรายตามองดวงตาที่ฉายแววโทสะของสตรีที่นั่งด้านข้าง “ถามได้ ข้าก็เดินมาสิ ไปซานโจวได้ไม่นาน ลืมแล้วหรือจวนข้าอยู่ที่ใด” คุณชายหมิง เป็นบุตรชายของเจ้ากรมยุติธรรมสหายของบิดา จวนของเขาอยู่ตรงข้ามจวนนางทำให้ในวัยเด็กนางสนิทกับบุรุษผู้นี้ และด้วยความที่นางช่างเจรจากว่านางจึงกลายเป็นที่รักของจวนหมิงมากกว่าบุตรชายของตระกูล “ไม่ได้พบเจอกันนานมิคาดคิดว่าเจ้ายังปากคอเราะร้าย[1] ระวังจะหาสตรีมาแต่งด้วยไม่ได้” “หากข้าหาสตรีมาแต่งด้วยไม่ได้ ข้าจะแต่งกับเจ้านี่แหละ ชอบสาปแช่งข้าดีนัก” ซือเย่แห่งสำนักศึกษาไท่เสวียนกล่าวพลางทรุดตัวนั่ง มือใหญ่หงายจอกชาแล้วรินใส่เองโดยไม่ต้องมีคนเชิญ “อย่าเลยเจ้าค่ะคุณชายหมิง หากข้าแต่งกับเจ้า มีหวังเจ้าคงโดนท่านลุงกับท่านป้าไล่ออกจากจวนเพราะเอาแต่รังแกข้า” “เจ้ามันจิ้งจอกห่มหน
“ข้านี่ไม่ได้เรื่องเลย เชิญคุณชายหยางคุณหนูซูไปนั่งที่โต๊ะทางนั้นก่อนเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนเตรียมขนมและน้ำชามาขึ้นโต๊ะ” “รบกวนคุณหนูรองหลินแล้วเจ้าค่ะ” นางตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานก่อนจะก้าวเดินด้วยท่วงท่าสง่างาม บุรุษรูปงามสตรีงดงามอ่อนหวานเดินเคียงข้างกันเรียกสายตาของผู้อื่นให้หันมามองได้ไม่ยาก เมื่อถึงที่นั่งหลินอี้เฟยแจ้งว่างานเลี้ยงนี้แบ่งที่นั่งชายหญิง ดังนั้นบุรุษรูปงามจึงไม่อาจนั่งเคียงข้างคู่หมั้นได้ “คุณชายหยางเจ้าคะ ที่นั่งฝ่ายชายอยู่ด้านโน้น ให้ข้าได้นำทางท่านไปเถิดเจ้าค่ะ” “หนิงเซียนงานเลี้ยงที่แบ่งแยกเช่นนี้ พี่ไม่อยากอยู่ร่วมแล้ว หากเจ้าไม่อาจนั่งกับพี่ พี่ไม่อาจนั่งกับเจ้าได้ เราก็กลับจวนกันเถิด” เพื่อป้องกันความผิดพลาดหยางซีซวนไม่มีทางยอมแยกกับนางจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม “หากท่านอยากกลับข้าก็จะ...” “อี้เฟย ยกเว้นคุณชายหยางไว้สักคนเถิด เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ให้คุณชายหยางกับหนิงเซียนสหายข้าไปนั่งตรงโน้น จะได้ไม่เป็นที่สังเกตมาก” “แต่ว่า...” “นะอี้เฟย ถือว่า
“ต่อจากนี้หากต้องไปร่วมงานเลี้ยงจวนใดอีก เจ้าต้องบอกกล่าวพี่ด้วย พี่จะได้ไปร่วมงานกับเจ้า” สายตาของบุรุษพวกนั้นไม่น่าไว้ใจยิ่ง เขากลัวจะมาล่อลวงนาง “เจ้าค่ะ เราเข้าไปด้านในเถิด” นางและหยางซีซวนเดินไปทักทายนายท่านหลินก่อนจะเดินตามสาวใช้ที่เดินนำไปยังที่นั่งซึ่งได้ถูกจัดเอาไว้แล้ว ‘เป็นสตรีในห้องหอ แต่จ้องมองบุรุษของข้าราวกับหญิงนางโลม’ ซูหนิงเซียนเผลอจ้องมองสตรีรอบตัวด้วยสายตาไม่ชอบใจ “พี่ไม่สนใจสตรีเหล่านั้นหรอก เซียนเอ๋อร์อย่าได้มีโทสะเลย” น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยคล้ายกับกำลังกลั้นหัวเราะ ทำให้นางตวัดสายตาหันไปมอง “แม้ท่านจะมากมารยา แต่ท่านก็อย่าได้ดูถูกมารยาสตรีนะเจ้าคะ หากวันใดท่านพลาดพลั้งจนต้องรับสตรีอื่นเข้าจวน ข้าคงได้แต่เขียนหนังสือหย่ามอบให้ท่านแล้วจากไป” “จะไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นแน่นอน” เพราะหากวันหนึ่งเขาเกิดพลาดพลั้งขึ้นมาจริง สตรีผู้นั้นเกรงว่าจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและไร้ชีวิต เฝ้ารอนางเพื่อให้ได้ครองคู่มานานถึงเพียงนี้ เขาไม่มีทางปล่อยให้เรื่องใดหรือใครมาขัดขวางได้
20คืนสนอง ซูหนิงเซียนซ่อนความเอือมระอาเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มบางอย่างแนบเนียน นางส่งเสียงตอบรับวาจาของสหายชั่วช้าเป็นครั้งคราว “ข้าได้ยินอี้เฟยกล่าวว่าเจ้าตอบรับเทียบเชิญจากจวนหลินแล้ว” “อืม คราแรกข้าคิดว่าจะไม่ไป แต่เป็นซีซวน เอ่อ...ข้าหมายถึงคุณชายเล็กหยางเอ่ยวาจาโน้มน้าวจนข้ายินยอมไปร่วมงานในฐานะว่าที่ฮูหยินของเขา” “ดียิ่งนักที่เจ้าไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนหลิน ข้าจะได้มานอนที่จวนเจ้า รุ่งเช้าเราจะได้ช่วยกันเลือกสรรอาภรณ์ แต้มหน้าทาปาก...” “ลี่อิน คุณชายเล็กหยางจะมารับข้าที่จวนและเราจะนั่งรถม้าไปด้วยกัน คงไม่ดีแน่หากเจ้าจะไปพร้อมข้า” “เช่นนั้นเจ้าก็นั่งรถม้าคันเดียวกับคุณชายเล็กหยาง ส่วนข้าก็นั่งรถม้าของจวนซูตามหลังเจ้าไป” “ลี่อิน เราค่อยเจอกันที่จวนหลินเลยดีหรือไม่ แต่หากเจ้าอยากได้สหายช่วยแต่งตัว เหตุใดเจ้าไม่ไปขอค้างที่จวนหลิน จะได้ไม่ต้องเดินทางให้เหนื่อย ข้าว่าคุณหนูหลินต้องยินดีที่เจ้าจะไปนอนค้างที่จวนกับนาง” จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร หลินอี้เฟยหรือจะยอมให้ตนหยิบยืมอาภรณ์และเครื่องประดับล้
‘ถึงคราวต้องใช้เจ้าแล้ว หลินอี้เฟย’ สตรีที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จเดินออกจากหลังฉากกั้น กลิ่นหอมกรุ่นโชยเข้าจมูกของบุรุษที่มานั่งจิบชารอนางในดวงใจ “ท่านคงไม่ได้ปีนหน้าต่างเรือนของข้าเพื่อมานั่งจิบชาใช่หรือไม่เจ้าคะ” “ฮูหยินของพี่ช่างเก่งกาจไม่แพ้พี่ แท้จริงพี่มีเรื่องสำคัญจะมาบอกกล่าวเจ้า” “เช่นนั้นก็บอกมาเถิดเจ้าค่ะ” “ในครานั้นที่ท่านพ่อตาโดนคนร้ายทำร้าย เป็นฝีมือของกวางเหลียงอี้จริง และวันนี้สหายของเจ้าและกวางเหลียงอี้ ก็มีแผนจะลงมือกับเจ้า เพียงแต่เมื่อเจ้าปฏิเสธที่จะออกจากจวนแผนของพวกนั้นจึงพัง” เรื่องราวเหล่านั้นเขาได้เก็บหลักฐานเอาไว้หมดแล้ว เมื่อซูหนิงเซียนยินยอมให้ลงดาบ เขาจึงจะนำมันออกมาใช้ “การกระทำของหม่าลี่อินวันนี้ดูรีบร้อนไม่รอบคอบ คงเป็นเพราะข่าวลือที่ข้าขอให้ท่านปล่อยออกไป” ถึงได้เก็บอาการไม่อยู่ พยายามเร่งเร้าให้นางออกจากเรือนด้วยจนน่าสงสัย “นางจะลงมืออีกครั้งในงานเลี้ยงที่จวนหลิน โดยมีหลินอี้เฟยให้ความร่วมมือด้วย” แม้เป็นเพียงบุตรสาวของฮูหยินรอง แต่เขาก็ไม่คิดว่าบุตรสาวที่มีบิ
ช่างเป็นการเจรจาสู่ขอที่ใช้คำว่า ‘ร่ำรวย’ ได้สิ้นเปลืองเสียจริง ซูหนิงเซียนจิบชาพลางลอบมองสหายชั่วช้าที่นั่งเอ่ยวาจาเจื้อยแจ้วอยู่ตรงหน้า “หนิงเซียนเจ้าออกไปร้านผ้ากับข้าเถิดนะ ข้าอยากไปดูอาภรณ์ใส่ไปงานเลี้ยงที่จวนคหบดีหลิน” “เจ้าไปเถิด ท่านพ่อสั่งให้ข้าเก็บเนื้อเก็บตัว หากไม่จำเป็นไม่ให้ออกไปไหนมาไหนจนกว่าจะถึงวันงาน” แท้จริงแล้วนางคิดว่าต้องเป็นเขาเสนอบิดาของนางเช่นนั้นแน่นอน ซึ่งพักหลังมานี้ท่านพ่อก็คล้ายจะสนทนาถูกคอกับว่าที่บุตรเขย “หนิงเซียนไปเถิดนะ เจ้าเป็นสหายคนเดียวของข้า หากเจ้าไม่ไปข้าก็ไม่รู้จะไปชักชวนใครแล้ว” “กล่าวถึงงานเลี้ยงจวนคหบดีหลิน เจ้าได้เทียบเชิญด้วยหรือ” “ข้าเคยช่วยเหลือคุณหนูรองตระกูลหลินเอาไว้ นางจึงส่งเทียบเชิญให้ข้าไปร่วมงานเลี้ยง” ก็แค่ทำให้รถม้าของหลินอี้เฟยมีปัญหาแล้วยื่นมือเข้าช่วย สตรีผู้นั้นก็ซาบซึ้งใจและขอเป็นสหายกับตนแล้ว “ในเมื่อเจ้าคุ้นเคยกับนาง เหตุใดไม่ลองชวนคุณหนูรองหลินออกไปเลือกซื้ออาภรณ์ ในภายหน้าหากข้าแต่งเข้าจวนหยางแล้ว เจ้าจะได้ไม่เหงา” คำกล่าวข
“นั่นมันหยกจันทร์กระจ่างใช่หรือไม่เจ้าคะ” แม่สื่อที่อดรนทนไม่ไหวเอ่ยปากถาม มือที่จับพัดออกแรงพัดดวงตาที่คล้ายจะร้อนขึ้นมาหวังจะทำให้เย็นลง “ใช่แล้วท่านแม่สื่อ” “แล้วนั่นไข่มุกอันใดหรือเจ้าคะ ช่างแปลกตายิ่งนัก” แม่สื่อซักถามต่อ แม้การกระทำของแม่สื่อจะดูเป็นการเสียมารยาทแต่เพื่อสร้างข่าวลือที่น่าริษยา หยางฮูหยินก็ยินดีที่จะทำตามคำขอของบุตรชายอย่างสุดความสามารถ จะให้เสียชื่อจอมยุทธ์เจ้ามารยาแห่งยุทธภพได้อย่างไร “ไข่มุกเลือดเจ้าค่ะ ส่วนนั่นเป็นไข่มุกทะเลตงไห่เจ้าค่ะ” “ช่างเป็นบุญตาข้ายิ่งนัก ที่ได้มีโอกาสเห็นหยกจันทร์กระจ่างก้อนใหญ่เช่นนี้ ทั้งยังไข่มุกเลือดอีก” ว่ากันว่าของสองสิ่งนี่เป็นของที่หาได้ยากยิ่ง หากตระกูลใดมีไว้ครอบครองบ่งบอกถึงความมั่งคั่งร่ำรวยไม่แพ้ฮ่องเต้ผู้ครองแคว้น “หยางฮูหยินของล้ำค่าเช่นนี้ ท่านนำมามอบเป็นสินสอดเช่นนี้ไม่เหมาะสมกระมัง” “ท่านเจ้ากรมอาญาอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเจ้าค่ะ สินสอดที่ข้าเตรียมมาในวันนี้ ท่านแม่ทัพและข้าล้วนไตร่ตรองดีแล้ว คุณหนูซูเป็
19รับหน้าที่เป็นผู้เฒ่าจันทรา เมื่อเซียวอ้ายช่างได้ทราบถึงเรื่องราวที่สหายต้องการให้ตนไปเป็นพยานร่วมรับรู้ว่าต่อจากนี้ คุณชายเล็กแห่งจวนตระกูลหยางจะไม่สร้างเรื่องโกหกซูหนิงเซียนอีก ก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ แต่เมื่อเห็นหน้าคนรักของนาง สหายก็แทบจะรักษากิริยามารยาทเอาไว้ไม่ได้ “แท้จริงคนรักของเจ้าก็เป็นคุณชายผู้นี้” “ใช่แล้ว และเขาก็รับปากแล้วว่าเมื่อเจ้าช่วยเหลือเรื่องที่ข้าขอ เขาก็ยินดีจะช่วยเหลือในสิ่งที่เจ้าต้องการ” “เช่นนั้นก็ดี แต่เจ้าไม่กลัวตนเองจะช้ำใจหรือ บุรุษผู้นี้ปลิ้นปล้อนยิ่งนัก ข้ากลัวว่าเจ้าจะเสียใจ” คุณหนูเซียวทำทีป้องปากกล่าวเสียงเบา แต่ผู้ฝึกยุทธ์เช่นเขามีหรือจะไม่ได้ยิน ‘สตรีผู้นี้ คิดจะเอาคืนข้าที่เคยขัดขวางวาสนายวนยางใช่หรือไม่’ “ข้าเชื่อมั่นในตัวเขา” คำกล่าวของนางทำให้หยางซีซวนยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี “เอาล่ะ จะให้ข้าเป็นพยานอย่างไร” ในเมื่อสหายยืนยันเช่นนี้ ตนจะทำอันใดได้นอกจากยินดี “หากต่อจากนี้เขาผิดสัญญา กล้าโกหกข้าอีกไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ ข้าอ
“หากท่านไป ข้าก็จะไปเช่นเดียวกัน” เพราะได้เขาช่วยเหลือในวันนั้น นางจึงเกิดความประทับใจและเฝ้ามีใจให้เขา และในงานวันนั้นเองที่นางได้รับรู้ความจริงแล้วว่าแท้จริงบุรุษที่ตนพึงใจนั้นชื่นชอบคุณหนูกวนผู้นั้น ยามที่กวนฮวาเหมยปรากฏตัว เขามักจะลืมนางทุกครั้งไปทำให้นางเกิดความไม่พอใจ เช่นเดียวกับบิดาและพี่ชายทั้งห้าของนาง บิดาที่ทนเห็นนางนั่งเศร้าไม่ออกไปวิ่งเล่นหลายวันอดรนทนไม่ไหว รีบบากหน้าขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เพื่อขอสมรสพระราชทานให้เซียวอ้ายช่างได้เป็นพระชายาเอกในองค์ชายห้า หวงหลี่จื้อ แม้นางจะยังงุนงงที่จู่ๆ สมรสพระราชทานตกใส่หัว แต่ด้วยความดีใจนางจึงรีบไปหาเขาที่จวนเชิงเขา แต่กลับได้พบเขากำลังปลอบใจคุณหนูกวนผู้นั้น ‘หม่อมฉันมาวุ่นวายกับพระองค์เช่นนี้คุณหนูเซียวคงมิพอใจ ถึงได้ขอให้บิดาเข้าวังไปขอสมรสพระราชทาน’ ‘นางกล้าดีอย่างไร มาบังคับองค์ชายอย่างข้า’ ‘นางคงปักใจรักองค์ชาย จึงทำเช่นนั้น ต่อจากนี้หม่อมฉันคงมาเจอองค์ชายไม่ได้อีก หม่อมฉันไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นสตรีไร้ยางอายคิดแย่งบุรุษของผู้อื่น’ ‘ข้า
“โอ๊ย! งูกัดข้า” เด็กน้อยวัยสิบขวบส่งเสียงร้องพลางทรุดตัวลงนั่งกุมข้อเท้าของตน “เจ้างูบ้า กัดข้ามาได้ ถ้าข้าตายไปข้าจะตามหลอกหลอนเจ้า” นางก่นด่างูตัวนั้นที่เลื้อยหนีไป น้ำตาเริ่มคลอเบ้าก่อนจะร่วงหล่น “ฮือๆ ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชาย ข้าผิดไปแล้ว ข้ามิน่าออกมาเล่นนอกจวนตามลำพัง ข้าน่าจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของพวกท่าน ฮึก” เซียวอ้ายช่างกล่าวพลางยกมือปาดน้ำตาที่ยังคงไหลเป็นสาย “ฮือ...ใครก็ได้เจ้าค่ะ ได้โปรดช่วยข้าด้วย ข้าโดนงูกัด” นางส่งเสียงร้องแม้จะรู้ดีว่าในป่าเช่นนี้จะมีใครโผล่มาช่วยเหลือ สุดท้ายนางก็คงต้องตายจากโดยไม่ได้ร่ำลา “ฮือๆ” เมื่อรู้สึกสิ้นหวัง เด็กน้อยชันเข่าแล้วซบหน้าลงบนแขนตนพลางร้องไห้ออกมาอย่างสุดเสียง “ฮือ...ข้าผิดไปแล้ว ข้ามิน่าลอบหนีออกมาเที่ยวเล่นตามลำพัง ข้าขอโทษเจ้าค่ะท่านพ่อท่านแม่ พี่ชาย” สวบสาบ เสียงฝีเท้าของอะไรบางอย่างเดินใกล้เข้ามา แต่เพราะนางกำลังร้องไห้เสียงดังจึงไม่ได้ยิน “หนูน้อย เหตุใดเจ้าถึงมานั่งร้องไห้กลางป่าเช่นนี้” “ท่าน! เป็นคนไม่ดีใช่หรือไม่ อย่า