“อย่าเพิ่งโอ้อวด พาตนเองให้รอดจากการโจมตีก่อนเถิด” เพราะไม่อยากให้นางตื่นกลัวกับการถูกลอบโจมตี เขาจึงผสมยานิทราลงในชาจอกนั้นให้นางดื่ม
ฮี้ ม้าของผู้ติดตามที่วิ่งนำหน้าส่งเสียงร้องเมื่อมีบางอย่างขวางทาง สองขายกขึ้นตะกุยอากาศจนทำให้บุรุษชุดดำที่อยู่บนหลังม้าเกือบตกลงไป
‘พวกเจ้าท่าทางมีเงินไม่น้อย หากอยากผ่านทางเข้าเมืองหลวงอย่างราบรื่น ก็ทิ้งเงินและสตรีเอาไว้ที่นี่เสีย’ ท่าทางกักขฬะของพวกนักเลงทำให้บุรุษชุดดำยิ้มมุมปาก
“รีบลงมือเสีย ข้าจะรีบไปดูจวนใหม่ของข้า” สิ้นเสียงของท่านหมอเทวดาที่อยู่ในรถม้า ผู้ติดตามแซ่เจียวทั้งสิบเจ็ดคนก็พุ่งเข้าไปจัดการนักเลงที่มีมากถึงสามสิบคน
ด้านคุณชายหยางที่พาฮูหยินของตนแยกออกมาในช่วงชุลมุนได้เข้าพักชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมเลี่ยงจิน ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมที่สูงสามชั้น ใหญ่โตและมีจำนวนห้องที่มากที่สุดในแคว้นแห่งนี้
“หากฮูหยินตื่น รีบให้คนไปแจ้งข้า” เขาสั่งการสาวใช้
“เจ้าค่ะคุณชาย” สาวใช้ตอบรับอย่างนอบน้อม
ร่างสูงเดินออกจากห้องนอน ที่ตอนนี้ยกให้เป็นห้องของซูหนิงเซียน เขาตรงไปยังห้องทำงานของตนซึ่งอยู่ในชั้นเดียวกัน
ใช่แล้ว...โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นหนึ่งในกิจการของเขา ยามอยู่เมืองหลวงเขาเลือกที่จะนอนที่นี่มากกว่ากลับจวนของตระกูล
เดินทางออกจากเมืองหลวงครั้งนี้มิคาดคิดว่าจะได้สิ่งล้ำค่ากลับมาด้วย การเดินทางครั้งนี้ช่างคุ้มค่า
เมื่อได้รับโอกาสอีกครั้ง เขาไม่มีทางยอมให้ใครหน้าไหนเข้าใกล้นาง
หยางซีซวนนั่งตรวจบัญชีอยู่นานจนตะวันลาลับสับเปลี่ยนให้พระจันทร์สาดส่องแสงนวลลออแทน
พรึ่บ บุรุษชุดดำคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นนาย กลิ่นคาวเลือดที่มาพร้อมกับลูกน้องของตน ทำให้นัยน์ตาดำของเขาราบเรียบจนยากจะคาดเดา
“ว่ามา”
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ แต่นักเลงพวกนั้นไม่ยอมเปิดปากเลยแม้แต่คำเดียวว่าใครเป็นผู้ว่าจ้าง”
“ในเมื่อไม่อยากเอ่ยวาจา ก็จงทำให้นักเลงพวกนั้นอย่าได้มีโอกาสเจรจากับใครอีกเลย สืบหาคนที่มีความสำคัญของนักเลงพวกนั้นแล้วข่มขู่”
“ขอรับ”
“ลู่จื้ออยู่ที่ใด”
“ข้าน้อยส่งท่านหมอเทวดากลับจวนที่คุณชายมอบให้เรียบร้อยแล้วขอรับ”
“อืม...ไปจัดการตามที่ข้าสั่งได้ คราวหน้าหากจะมาพบข้ายามที่อยู่กับฮูหยินเจ้าอย่าได้มาในสภาพนี้” เดี๋ยวฮูหยินของเขาจะมองว่าเขาเป็นคนไม่ดี
เมื่อบุรุษชุดดำที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจากไป บุรุษร่างสูงจึงลุกยืนขึ้นเพื่อยืดเส้นยืดสาย นัยน์ตาดำมองด้านนอกหน้าต่างที่บัดนี้มืดมิด
“หรือข้าจะใส่ยานิทรามากไป นางจึงยังไม่ตื่น” เขากล่าวกับตนเองก่อนจะไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ในห้องที่ไม่มีคนเข้าพักชั้นล่าง
เมื่ออยู่ในอาภรณ์ชุดใหม่แล้วบุรุษที่ถูกสหายเรียกว่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์โบกมือไล่สาวใช้ให้ออกไปจากห้อง นัยน์ตาดำมองสตรีที่นอนหลับอยู่บนเตียงด้วยแววตาล้ำลึก
เขารู้ว่าสิ่งที่ตนทำเป็นการเอารัดเอาเปรียบนาง แต่ในตอนนั้นด้วยความรู้สึกที่ล้นเปี่ยมเขาอยากรั้งนางเข้ามากอดไว้ไม่อยากให้หายไปอีก สิ่งเดียวที่จะทำให้เขาสามารถทำได้อย่างชอบธรรมก็มีเพียงการเอ่ยเรียกนางว่าฮูหยินเพียงเท่านั้น สุดท้ายจึงปล่อยเลยตามเลย ยิ่งเห็นนางคิดตีจากเขาทันทีที่ถึงเมืองหลวง เขายิ่งไม่อยากบอกกล่าวความจริงออกไป ได้แต่แสร้งทำหน้าหนาหน้าทนออดอ้อนนาง
เขารักและปรารถนาครอบครองนางไปชั่วชีวิต อย่างไรเขาจะรีบส่งข่าวให้บิดามารดารับสมอ้างรีบส่งแม่สื่อมาสู่ขอนางเป็นฮูหยินจริงๆ เพราะเข้าใจผิดและยึดติดกับคำว่า ‘บุญคุณ’ จึงต้องพลัดพรากจากนางอย่างไม่มีวันหวนคืน
ครานี้ได้โอกาสอีกครั้งเขาจะไม่ยอมสูญเสียนางไปอีก..
โครก...เสียงท้องของสตรีที่นอนอยู่บนเตียงดังขึ้น ทำให้สายตาหวานซึ้งเมื่อครู่แปรเปลี่ยนฉายแววขบขัน
“ฮูหยิน หากเจ้าหิวก็ตื่นขึ้นมากินข้าวเถิด แล้วค่อยนอนต่อ” ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติโน้มเข้าไปใกล้ก่อนจะกล่าวเสียงเบาที่ข้างหูนาง
“...” สตรีที่ยังอยู่ในห้วงนิทรายังคงนอนนิ่งไม่ตอบรับ
“ฮูหยิน ตื่นเถิดพี่เตรียมอาหารไว้ให้เจ้ามากมาย”
“...”
“ฮูหยิน”
“ข้าขอนอนต่ออีกนิดนะเจ้าคะ” นางส่งเสียงตอบก่อนจะพลิกตัวหนีอย่างรำคาญ
“ฮูหยิน หากเจ้าอยากนอนต่อ เจ้าต้องบอกมาก่อนว่าพี่เป็นใคร”
“ท่านโง่งมหรือไม่ คนที่จะเรียกข้าว่าฮูหยินได้ก็มีเพียงแค่สามีของข้า หากท่านไม่ใช่ก็อย่ามาเรียกข้าว่าฮูหยิน เลิกยุ่งกับข้าเสียทีข้าจะนอน” ซูหนิงเซียนกล่าววาจายืดยาวทั้งที่ยังหลับตาอยู่
“สามีขออภัยที่รบกวนเวลานอนของฮูหยิน” กล่าวจบนัยน์ตาดำของเขาก็ต้องเบิกกว้างเมื่อสตรีที่นอนตะแคงเมื่อครู่พลิกตัวหันกลับมา ทำให้เขาที่ยื่นใบหน้าเข้าใกล้เพื่อฟังสิ่งที่นางกล่าวต้องตกใจ เมื่อริมฝีปากของนางแตะอยู่บริเวณริมฝีปากของเขา ดวงใจที่แห้งผากมานานก็เต้นระรัวแรง
เพียงแค่ริมฝีปากแตะกันยังหวานล้ำถึงเพียงนี้ หากเขาจุมพิตนางจะไม่หวานล้ำไปถึงก้นบึ้งของหัวใจเลยหรือ ฉับพลันเขารู้สึกว่าตนชั่วช้ายิ่งนัก ที่เริ่มจะไม่พอใจเพียงแค่ได้กอดหรือโอบอุ้มนาง
“หากท่านยอมขอโทษข้าก็จะให้อภัย” นางกล่าวจบมือเรียวก็โอบรั้งคอของเขาที่ยังไม่ได้ผละออกห่างก่อนจะกดริมฝีปากลงบนปากของเขาชั่วครู่ก่อนจะกลับไปนอนต่อ
หยางซีซวนนิ่งค้างอยู่เช่นนั้นเกือบหนึ่งเค่อ ก่อนที่แววตาที่จับจ้องนางจะแปรเปลี่ยนเป็นหวานซึ้งแฝงความปรารถนาอยากครอบครอง แม้จะอยากปีนเตียงขึ้นไปนอนกอดนาง แต่เพราะกลัวนางจะโกรธ จึงต้องยับยั้งตนเอาไว้ก่อนจะเดินไปนอนบนตั่งที่เขามักจะเอาไว้นอนอ่านตำรา
เมื่อเทียนถูกดับลงภายในห้องจึงมืดสนิท แสงจันทร์ด้านนอกไม่อาจลอดผ่านเข้ามาได้เนื่องจากหน้าต่างถูกปิดแน่นหนา ท่ามกลางความมืด ดวงหน้าหวานของสตรีปรากฏรอยยิ้ม
อีกไม่นานต้องแยกจาก ขอเก็บเกี่ยวความสุขก่อนที่จะต้องเผชิญหน้ากับความจริงและการแก้แค้น ทุกอย่างเกี่ยวกับบุรุษผู้นี้จะกลายเป็นความทรงจำที่ดีที่สุด
‘ขอให้ท่านได้สมหวังกับสตรีที่ท่านรัก หยางซีซวน’
6เร่งเร้าความริษยาของสหาย เสียงนกร้องและเสียงผู้คนสนทนาดังแว่วเข้ามาในหูปลุกซูหนิงเซียนให้ตื่นขึ้น ร่างระหงลุกขึ้นนั่งพลางบิดขี้เกียจก่อนจะนิ่งค้างเช่นนั้นเมื่อดวงตาดอกท้อสบเข้ากับนัยน์ตาดำที่ฉายแววหวานซึ้ง “ขออภัยเจ้าค่ะ” “มิเป็นไร ในสายตาพี่ เจ้างดงามเสมอ ต่อให้แคะขี้มูกพี่ก็ยังมองว่าน่าเอ็นดู” ‘ปากหวานเสียจนทำให้ข้าพาลกินข้าวไม่ลง’ แม้เขาจะดูคล้ายบุรุษเจ้าสำราญ ปากหวานกับนาง แต่พอได้อยู่ร่วมกันหลายวัน นางก็ได้เห็นว่าแท้จริงเขาเป็นเช่นนี้กับนางเพียงคนเดียว จนบางครั้งทำให้นางรู้สึกอิจฉาสตรีผู้นั้นที่เขารักปักใจ
‘คุณชายของข้าช่างเกี้ยวพาสตรีได้ไม่เหมือนผู้อื่น’ คบหาดูใจไม่คิดจะทำ แต่กลับคิดรวบหัวรวบหางนางเป็นฮูหยินราวกับกลัวจะมีคนแย่งนางไป แต่เมื่อลงมาถึงด้านล่างของโรงเตี๊ยมหยางซีซวนก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นรถม้าที่มีตราสัญลักษณ์ตระกูลหยางจอดอยู่ด้านหน้า มีสตรีผู้งดงาม ดวงหน้าแลดูอ่อนเยาว์ยืนอยู่ด้านข้าง “ท่านแม่?” “ยังจำได้อยู่หรือว่าข้าเป็นแม่เจ้า” เฟยเจียงหงเอ่ยถามพลางส่งยิ้มหวานให้กับบุตรชาย แม้สตรีผู้นี้จะเลยวัยสาวมานานพอสมควร แต่ทว่าก็ยังมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หันมามองพลางขวยเขินเมื่อเห็นสตรีงามล่มเมืองแย้มยิ้ม “ท่านมาได้อย่างไร ท่านพ่อไม่ว่าหรือขอรับ” ด้วยความงามของมารดา บิดาจึงหวงแหนจนแทบไม่อยากให้ออกจากจวน หากมีงานเลี้ยงจวนใด
“ประเดี๋ยวก่อน แม่หนูลี่อินน่ะหรือ ส่งจดหมายแจ้งเจ้าว่าพ่อป่วยหนัก” “เจ้าค่ะ เสียดายข้าทำจดหมายนั่นหายไปแล้ว จึงไม่อาจนำมายืนยันได้” กล่าวจบก็จ้องมองบิดาด้วยความคิดถึง คิดถึงท่านพ่อยิ่งนัก ดีเหลือเกินที่นางได้รับโอกาสให้หวนคืนกลับมา “แต่พ่อไม่ได้เป็นอันใด ป่วยหนักสุดก็เห็นจะเป็นหวัดเมื่อสามวันก่อนเพียงเท่านั้น” “แล้วเหตุใดลี่อินถึงโกหกข้าเช่นนั้น ด้วยความร้อนใจและเป็นห่วงท่านพ่อ ข้ารีบเร่งเดินทางไม่หยุดพักจนถึงเมืองหลวงเลยนะเจ้าคะ” ละเว้นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ร่วมทางไปสักเล็กน้อยคงจะดีกว่า อย่างไรท่านพ่อก็ควรสงสัยเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลของบุตรสาว
ริษยาข้าให้มากจะได้รีบลงมือเร็วๆ นางจะได้รีบจบเรื่องแล้วพาบิดาย้ายไปอยู่เมืองซานโจว ‘เจ้าควรรู้ไว้ว่า เพียงแค่ฐานะจวนซูมันไม่ได้ทำให้ข้ามีเงินทองใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายมากมาย’ การเป็นหลานสาวของคหบดีจากเมืองซานโจวต่างหากที่ทำให้นางร่ำรวยมีเงินทองเหลือใช้ ท่านลุงก็ยังหาเงินเก่ง ท่านป้าก็ใจดีและเอ็นดูนาง ไปเมืองซานโจวเมื่อใดนางมักจะได้ตั๋วเงินกลับมาด้วย และเคยได้มากถึงหนึ่งพันตำลึงทอง “เจ้าช่างใจดี แต่ก็ดีแล้วที่เดินทางปลอดภัย” ‘คงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันที่แผนการพลาด’ “วันนี้เจ้าว่างหรือไม่ อยากจะชวนเจ้าออกไปซื้อเครื่องประดับเสียหน่อย” อีกไม่กี่วันจะมีงานเลี้ยงแสดงความยินดีที่จวนหยาง เพื่อเป็นการแสดงความยินดีที่คุณชายรองจวนหยางได้รั
7คารวะท่านพ่อตา “ซูหนิงเซียน เหตุใดกลับมาเมืองหลวงแล้วไม่ให้คนไปแจ้งข้า” เสียงทุ้มของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น ทำให้บทสนทนาที่นางไม่อยากจะตอบจบลงในทันที “หมิงอี้เฉิน เจ้ามาได้อย่างไร” คุณหนูซูเอ่ยถามบุรุษผู้มาเยือนพลางปรายตามองดวงตาที่ฉายแววโทสะของสตรีที่นั่งด้านข้าง “ถามได้ ข้าก็เดินมาสิ ไปซานโจวได้ไม่นาน ลืมแล้วหรือจวนข้าอยู่ที่ใด” คุณชายหมิง เป็นบุตรชายของเจ้ากรมยุติธรรมสหายของบิดา จวนของเขาอยู่ตรงข้ามจวนนางทำให้ในวัยเด็กนางสนิทกับบุรุษผู้นี้ และด้วยความที่นางช่างเจรจากว่านางจึงกลายเป็นที่รักของจวนหมิงมากกว่าบุตรชายของตระกูล “ไม่ได้พบเจอกันนานมิคาดคิดว่าเจ้ายังปากคอเราะร้าย[1] ระวังจะหาสตรีมาแต่งด้วยไม่ได้” “หากข้าหาสตรีมาแต่งด้วยไม่ได้ ข้าจะแต่งกับเจ้านี่แหละ ชอบสาปแช่งข้าดีนัก” ซือเย่แห่งสำนักศึกษาไท่เสวียนกล่าวพลางทรุดตัวนั่ง มือใหญ่หงายจอกชาแล้วรินใส่เองโดยไม่ต้องมีคนเชิญ “อย่าเลยเจ้าค่ะคุณชายหมิง หากข้าแต่งกับเจ้า มีหวังเจ้าคงโดนท่านลุงกับท่านป้าไล่ออกจากจวนเพราะเอาแต่รังแกข้า” “เจ้ามันจิ้งจอกห่มหน
“เจ้าบอกข้าก่อน ว่านางทำเช่นไรกับเจ้า เจ้าถึงได้รังเกียจนางมากเช่นนี้” “หากข้าบอก เจ้าอย่าได้เอามาล้อเลียนข้าเข้าใจหรือไม่” “อืม ข้าจะไม่ล้อเลียนเจ้า เล่ามาเถิด” “จำตอนนั้นที่จวนข้ามีงานเลี้ยงแล้วข้าทำร้ายนางจนบิดามารดาข้าต้องไปขอโทษเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพถึงจวนได้หรือไม่” “อืม” “ตอนนั้นแท้จริงหม่าลี่อินเข้ามากอดข้าพยายามดึงทึ้งเสื้อผ้าข้า ทั้งยังบอกว่าชื่นชอบข้าอยากเป็นฮูหยินของข้า แต่ข้าที่ตัวใหญ่กว่าไม่ยินยอมจึงผลักนางให้ออกห่างสุดท้ายนางล้มลง พอดีกับมีคนเข้ามาเห็นพอดี ข้าจึงกระจ่างแจ้งในใจว่าแท้จริงทั้งหมดเป็นเล่ห์กลชั่วร้ายของหม่าลี่อิน” “เรื่องใหญ่เพียงนี้เหตุใดถึงไม่คิดบอกกล่าวข้า” “ตอนนั้นเจ้ายังมองข้าด้วยแววตาผิดหวังอยู่มิใช่หรือ” ท่าทางแง่งอนของซือเย่แห่งสำนักศึกษาทำให้นางยกยิ้ม “ข้าขอโทษ เจ้าให้อภัยข้าได้หรือไม่” นางกล่าวพลางออดอ้อนสหาย ดวงหน้าหวานคลอเคลียถูไถบริเวณต้นแขนแกร่ง “ได้ แต่ต้องแลกกับการไปงานเลี้ยงจวนหยางเป็นเพื่อนข้า” ออกงานกับสหายผู้งดงาม จะได้เกิ
“เป็นข้าเองขอรับท่านพ่อตา” บุรุษรูปงามเดินเข้าจวนผู้อื่นอย่างถือวิสาสะกล่าวก่อนจะรีบสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้นางที่ตกตะลึงอยู่ ‘ข้าไม่เคยบอกชื่อแซ่แก่เขา แล้วเขาทราบได้อย่างไรว่าข้าคือซูหนิงเซียน’ พลันสายตานางก็สบเข้ากับสายตาขอโทษขอโพยของพี่ใหญ่แซ่เจียว ซึ่งน่าจะเป็นคนพาคุณชายของตนมาที่นี่ พอเข้าใจอยู่หรอกว่าความสามารถของคนพวกนี้ไม่ธรรมดา สามารถสืบเสาะหานางได้ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ แต่มันก็ไม่ควรจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ นางกลับจวนได้เพียงสามวันเขาก็ตามนางมาถึงจวน แล้วคราวนี้นางจะหลบเลี่ยงอย่างไรต่อ ตอนเดินทางที่ต้องรับสมอ้างเป็นฮูหยินของเขาก็เพราะนางต้องพึ่งพาให้เขาพานางเข้าเมืองอย่างปลอดภัย แต่บัดนี้ทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว เหตุใดนางจะต้องรับสมอ้างเป็นฮูหยินของเขาให้ตนหวั่นไหวอีกเล่า “เจ้าเป็นใครเหตุใดถึงมาเรียกข้าว่าพ่อตา” “นางเป็นฮูหยินของข้า ท่านเป็นบิดาของนางก็ต้องเป็นพ่อตาของข้าสิขอรับ” เขากล่าวจบก็ปรายตามองบุรุษที่นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับสองพ่อลูกชั่วครู่ ‘บุรุษผู้นี้ คงเป็นหมิงอี้เฉินสินะ’ ในกาลก่อนไม่ได้เคยร
“นายท่านได้โปรดช่วยเหลือคุณชายของข้าน้อยด้วยเถิดขอรับ” ผู้ติดตามต่างพากันคุกเข่าตามคุณชาย ฮูหยินกล่าวว่าต้องเล่นบทงิ้วให้สมจริง มิเช่นนั้นจะโดนหักเบี้ยหวัด “เช่นนั้นให้ไปพักจวนข้าดีหรือไม่” คุณชายหมิงเสนอ “ดี...” เจ้ากรมอาญากล่าวยังไม่ทันจบบุรุษรูปงามก็เอ่ยแทรกขึ้นก่อน “ไม่ดีขอรับ ท่านพ่อตา นกยวนยางต้องอยู่เป็นคู่ ท่านจะใจร้ายถือไม้ไล่หวดยวนยางให้แยกออกจากกันหรือขอรับ” ‘เหตุใดทางเลือกของข้าในครานี้ถึงได้แลดูวุ่นวายเช่นนี้’ นางคิดว่าเรื่องราวจะจบลงเมื่อเดินทางถึงเมืองหลวงแล้วแยกย้ายไปคนละทาง “แต่เจ้าไม่ใช่สามีของบุตรสาวข้า” “ฮูหยิน ท่านพ่อไม่ยอมรับการแต่งงานของเราใช่หรือไม่ ถึงได้พยายามแยกพี่จากเจ้าเช่นนี้” “แต่งงานอันใดกัน กล่าวเช่นนี้นางเสียหายรู้หรือไม่” “ขออภัยท่านพ่อตาหากทำให้ท่านไม่พอใจ แต่ตัวข้านั้นจริงใจกับหนิงเซียนจริงๆ ได้โปรดเห็นใจพวกเราเถิดนะขอรับ” กล่าวจบก็โขกศีรษะกับพื้น ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้ติดตามแซ่เจียว และซูหนิงเซียน ‘คุณชายทุ่มเทกับงิ้วฉากนี้เป็
“แม้ไม่ได้ร่วมลงมือ แต่คุณชายหมิงสามารถเพลิดเพลินกับความสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้นได้” หยางซีซวนที่เอาแต่สูดกลิ่นกายสตรีจนร้อนรุ่มไปทั้งตัวเงยหน้าขึ้นบอก “เช่นนั้นจะรออันใด รีบไปสมทบกับกลุ่มคนที่เพิ่งเดินไปทางเรือนรับรองเถิด” หมิงอี้เฉินกล่าว “ซีซวนท่านควรปล่อยข้าได้แล้ว” กอดนางคล้ายลูกลิงไม่ยอมปล่อย โชคดีที่บริเวณนี้ไม่มีใครเดินผ่านไปมาให้อับอาย “สนทนากับสหายจบแล้วหรือ” หากได้กอดนางเช่นนี้ นางจะสนทนานานเพียงใดเขาย่อมไม่กล้าต่อว่า “ท่านรีบปล่อยข้าเถิด ข้าอยากไปชมงิ้วที่พวกนางเตรียมไว้ให้ข้า” “เช่นนั้นก็ได้” เขากล่าวก่อนจะยอมคลายอ้อมกอดด้วยสีหน้าเสียดาย สองบุรุษหนึ่งสตรีเดินตามเสียงโหวกเหวกโวยวายไป จนไปหยุดที่หน้าเรือนรับรองที่เปิดประตูกว้างอยู่ เสียงก่นด่าของนายท่านหลินยังคงดังอย่างต่อเนื่อง “เหตุใดพวกเจ้าถึงมาทำเรื่องบัดสีเช่นนี้ในจวนข้า” คหบดีหลินเอ่ยถามหลังจากให้บุรุษสตรีที่ทำเรื่องบัดสีเมื่อครู่ไปสวมใส่เสื้อผ้า “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้ามิได้ตั้งใจ ข้าต้องถูกวางยาแน่ๆ” หม่าลี่อินบอกเสียงส
“นำทางไปเรือนรับรอง” หยางซีซวนมีท่าทางเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดพลันรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วตัวแต่ด้วยความโกรธจึงพยายามระงับอาการแปลกประหลาดเอาไว้ สีหน้าที่แสดงออกมาจึงดูสับสนยิ่งนัก “ทางนี้เจ้าค่ะ ข้าจะนำทางท่านไปเอง” คุณหนูหลินอาสาก่อนจะเดินนำหน้าคุณชายหยางไป มุมปากของหลินอี้เฟยยกยิ้มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก้าวเดินใกล้ถึงเรือนรับรอง ก่อนจะต้องทรุดตัวพร้อมกับสติที่ดับวูบ “พาไปส่งยังห้องที่นัดหมายไว้” หยางซีซวนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบติดเย็นชา ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ “ขอรับคุณชาย” เจียวมิ่งกล่าวก่อนจะพาสตรีผู้นี้ไป “ทางฮูหยินข้าเป็นอย่างไรบ้าง” “เรียบร้อยดีขอรับ” เจียวโจวรายงานผู้เป็นนาย “บุรุษผู้นั้นเล่า” “เข้ามาอยู่ในแผนการเรียบร้อยแล้วขอรับ” “ดีมาก ข้ายินดีจะทำตัวเป็นผู้เฒ่าจันทรา สานวาสนาให้หญิงโฉดชายชั่วได้ครองคู่กัน” เกรงว่าครานี้คงต้องรีบแต่งอย่างมิอาจรั้งรอ “อีกราวๆ หนึ่งเค่อ อย่าลืมส่งสัญญาณให้คนผู้นั้น จะได้มีสักขีพยานให้คู่ยวนยางทั้งสองคู่มาก
“ข้านี่ไม่ได้เรื่องเลย เชิญคุณชายหยางคุณหนูซูไปนั่งที่โต๊ะทางนั้นก่อนเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนเตรียมขนมและน้ำชามาขึ้นโต๊ะ” “รบกวนคุณหนูรองหลินแล้วเจ้าค่ะ” นางตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานก่อนจะก้าวเดินด้วยท่วงท่าสง่างาม บุรุษรูปงามสตรีงดงามอ่อนหวานเดินเคียงข้างกันเรียกสายตาของผู้อื่นให้หันมามองได้ไม่ยาก เมื่อถึงที่นั่งหลินอี้เฟยแจ้งว่างานเลี้ยงนี้แบ่งที่นั่งชายหญิง ดังนั้นบุรุษรูปงามจึงไม่อาจนั่งเคียงข้างคู่หมั้นได้ “คุณชายหยางเจ้าคะ ที่นั่งฝ่ายชายอยู่ด้านโน้น ให้ข้าได้นำทางท่านไปเถิดเจ้าค่ะ” “หนิงเซียนงานเลี้ยงที่แบ่งแยกเช่นนี้ พี่ไม่อยากอยู่ร่วมแล้ว หากเจ้าไม่อาจนั่งกับพี่ พี่ไม่อาจนั่งกับเจ้าได้ เราก็กลับจวนกันเถิด” เพื่อป้องกันความผิดพลาดหยางซีซวนไม่มีทางยอมแยกกับนางจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม “หากท่านอยากกลับข้าก็จะ...” “อี้เฟย ยกเว้นคุณชายหยางไว้สักคนเถิด เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ให้คุณชายหยางกับหนิงเซียนสหายข้าไปนั่งตรงโน้น จะได้ไม่เป็นที่สังเกตมาก” “แต่ว่า...” “นะอี้เฟย ถือว่า
“ต่อจากนี้หากต้องไปร่วมงานเลี้ยงจวนใดอีก เจ้าต้องบอกกล่าวพี่ด้วย พี่จะได้ไปร่วมงานกับเจ้า” สายตาของบุรุษพวกนั้นไม่น่าไว้ใจยิ่ง เขากลัวจะมาล่อลวงนาง “เจ้าค่ะ เราเข้าไปด้านในเถิด” นางและหยางซีซวนเดินไปทักทายนายท่านหลินก่อนจะเดินตามสาวใช้ที่เดินนำไปยังที่นั่งซึ่งได้ถูกจัดเอาไว้แล้ว ‘เป็นสตรีในห้องหอ แต่จ้องมองบุรุษของข้าราวกับหญิงนางโลม’ ซูหนิงเซียนเผลอจ้องมองสตรีรอบตัวด้วยสายตาไม่ชอบใจ “พี่ไม่สนใจสตรีเหล่านั้นหรอก เซียนเอ๋อร์อย่าได้มีโทสะเลย” น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยคล้ายกับกำลังกลั้นหัวเราะ ทำให้นางตวัดสายตาหันไปมอง “แม้ท่านจะมากมารยา แต่ท่านก็อย่าได้ดูถูกมารยาสตรีนะเจ้าคะ หากวันใดท่านพลาดพลั้งจนต้องรับสตรีอื่นเข้าจวน ข้าคงได้แต่เขียนหนังสือหย่ามอบให้ท่านแล้วจากไป” “จะไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นแน่นอน” เพราะหากวันหนึ่งเขาเกิดพลาดพลั้งขึ้นมาจริง สตรีผู้นั้นเกรงว่าจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและไร้ชีวิต เฝ้ารอนางเพื่อให้ได้ครองคู่มานานถึงเพียงนี้ เขาไม่มีทางปล่อยให้เรื่องใดหรือใครมาขัดขวางได้
20คืนสนอง ซูหนิงเซียนซ่อนความเอือมระอาเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มบางอย่างแนบเนียน นางส่งเสียงตอบรับวาจาของสหายชั่วช้าเป็นครั้งคราว “ข้าได้ยินอี้เฟยกล่าวว่าเจ้าตอบรับเทียบเชิญจากจวนหลินแล้ว” “อืม คราแรกข้าคิดว่าจะไม่ไป แต่เป็นซีซวน เอ่อ...ข้าหมายถึงคุณชายเล็กหยางเอ่ยวาจาโน้มน้าวจนข้ายินยอมไปร่วมงานในฐานะว่าที่ฮูหยินของเขา” “ดียิ่งนักที่เจ้าไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนหลิน ข้าจะได้มานอนที่จวนเจ้า รุ่งเช้าเราจะได้ช่วยกันเลือกสรรอาภรณ์ แต้มหน้าทาปาก...” “ลี่อิน คุณชายเล็กหยางจะมารับข้าที่จวนและเราจะนั่งรถม้าไปด้วยกัน คงไม่ดีแน่หากเจ้าจะไปพร้อมข้า” “เช่นนั้นเจ้าก็นั่งรถม้าคันเดียวกับคุณชายเล็กหยาง ส่วนข้าก็นั่งรถม้าของจวนซูตามหลังเจ้าไป” “ลี่อิน เราค่อยเจอกันที่จวนหลินเลยดีหรือไม่ แต่หากเจ้าอยากได้สหายช่วยแต่งตัว เหตุใดเจ้าไม่ไปขอค้างที่จวนหลิน จะได้ไม่ต้องเดินทางให้เหนื่อย ข้าว่าคุณหนูหลินต้องยินดีที่เจ้าจะไปนอนค้างที่จวนกับนาง” จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร หลินอี้เฟยหรือจะยอมให้ตนหยิบยืมอาภรณ์และเครื่องประดับล้
‘ถึงคราวต้องใช้เจ้าแล้ว หลินอี้เฟย’ สตรีที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จเดินออกจากหลังฉากกั้น กลิ่นหอมกรุ่นโชยเข้าจมูกของบุรุษที่มานั่งจิบชารอนางในดวงใจ “ท่านคงไม่ได้ปีนหน้าต่างเรือนของข้าเพื่อมานั่งจิบชาใช่หรือไม่เจ้าคะ” “ฮูหยินของพี่ช่างเก่งกาจไม่แพ้พี่ แท้จริงพี่มีเรื่องสำคัญจะมาบอกกล่าวเจ้า” “เช่นนั้นก็บอกมาเถิดเจ้าค่ะ” “ในครานั้นที่ท่านพ่อตาโดนคนร้ายทำร้าย เป็นฝีมือของกวางเหลียงอี้จริง และวันนี้สหายของเจ้าและกวางเหลียงอี้ ก็มีแผนจะลงมือกับเจ้า เพียงแต่เมื่อเจ้าปฏิเสธที่จะออกจากจวนแผนของพวกนั้นจึงพัง” เรื่องราวเหล่านั้นเขาได้เก็บหลักฐานเอาไว้หมดแล้ว เมื่อซูหนิงเซียนยินยอมให้ลงดาบ เขาจึงจะนำมันออกมาใช้ “การกระทำของหม่าลี่อินวันนี้ดูรีบร้อนไม่รอบคอบ คงเป็นเพราะข่าวลือที่ข้าขอให้ท่านปล่อยออกไป” ถึงได้เก็บอาการไม่อยู่ พยายามเร่งเร้าให้นางออกจากเรือนด้วยจนน่าสงสัย “นางจะลงมืออีกครั้งในงานเลี้ยงที่จวนหลิน โดยมีหลินอี้เฟยให้ความร่วมมือด้วย” แม้เป็นเพียงบุตรสาวของฮูหยินรอง แต่เขาก็ไม่คิดว่าบุตรสาวที่มีบิ
ช่างเป็นการเจรจาสู่ขอที่ใช้คำว่า ‘ร่ำรวย’ ได้สิ้นเปลืองเสียจริง ซูหนิงเซียนจิบชาพลางลอบมองสหายชั่วช้าที่นั่งเอ่ยวาจาเจื้อยแจ้วอยู่ตรงหน้า “หนิงเซียนเจ้าออกไปร้านผ้ากับข้าเถิดนะ ข้าอยากไปดูอาภรณ์ใส่ไปงานเลี้ยงที่จวนคหบดีหลิน” “เจ้าไปเถิด ท่านพ่อสั่งให้ข้าเก็บเนื้อเก็บตัว หากไม่จำเป็นไม่ให้ออกไปไหนมาไหนจนกว่าจะถึงวันงาน” แท้จริงแล้วนางคิดว่าต้องเป็นเขาเสนอบิดาของนางเช่นนั้นแน่นอน ซึ่งพักหลังมานี้ท่านพ่อก็คล้ายจะสนทนาถูกคอกับว่าที่บุตรเขย “หนิงเซียนไปเถิดนะ เจ้าเป็นสหายคนเดียวของข้า หากเจ้าไม่ไปข้าก็ไม่รู้จะไปชักชวนใครแล้ว” “กล่าวถึงงานเลี้ยงจวนคหบดีหลิน เจ้าได้เทียบเชิญด้วยหรือ” “ข้าเคยช่วยเหลือคุณหนูรองตระกูลหลินเอาไว้ นางจึงส่งเทียบเชิญให้ข้าไปร่วมงานเลี้ยง” ก็แค่ทำให้รถม้าของหลินอี้เฟยมีปัญหาแล้วยื่นมือเข้าช่วย สตรีผู้นั้นก็ซาบซึ้งใจและขอเป็นสหายกับตนแล้ว “ในเมื่อเจ้าคุ้นเคยกับนาง เหตุใดไม่ลองชวนคุณหนูรองหลินออกไปเลือกซื้ออาภรณ์ ในภายหน้าหากข้าแต่งเข้าจวนหยางแล้ว เจ้าจะได้ไม่เหงา” คำกล่าวข
“นั่นมันหยกจันทร์กระจ่างใช่หรือไม่เจ้าคะ” แม่สื่อที่อดรนทนไม่ไหวเอ่ยปากถาม มือที่จับพัดออกแรงพัดดวงตาที่คล้ายจะร้อนขึ้นมาหวังจะทำให้เย็นลง “ใช่แล้วท่านแม่สื่อ” “แล้วนั่นไข่มุกอันใดหรือเจ้าคะ ช่างแปลกตายิ่งนัก” แม่สื่อซักถามต่อ แม้การกระทำของแม่สื่อจะดูเป็นการเสียมารยาทแต่เพื่อสร้างข่าวลือที่น่าริษยา หยางฮูหยินก็ยินดีที่จะทำตามคำขอของบุตรชายอย่างสุดความสามารถ จะให้เสียชื่อจอมยุทธ์เจ้ามารยาแห่งยุทธภพได้อย่างไร “ไข่มุกเลือดเจ้าค่ะ ส่วนนั่นเป็นไข่มุกทะเลตงไห่เจ้าค่ะ” “ช่างเป็นบุญตาข้ายิ่งนัก ที่ได้มีโอกาสเห็นหยกจันทร์กระจ่างก้อนใหญ่เช่นนี้ ทั้งยังไข่มุกเลือดอีก” ว่ากันว่าของสองสิ่งนี่เป็นของที่หาได้ยากยิ่ง หากตระกูลใดมีไว้ครอบครองบ่งบอกถึงความมั่งคั่งร่ำรวยไม่แพ้ฮ่องเต้ผู้ครองแคว้น “หยางฮูหยินของล้ำค่าเช่นนี้ ท่านนำมามอบเป็นสินสอดเช่นนี้ไม่เหมาะสมกระมัง” “ท่านเจ้ากรมอาญาอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเจ้าค่ะ สินสอดที่ข้าเตรียมมาในวันนี้ ท่านแม่ทัพและข้าล้วนไตร่ตรองดีแล้ว คุณหนูซูเป็
19รับหน้าที่เป็นผู้เฒ่าจันทรา เมื่อเซียวอ้ายช่างได้ทราบถึงเรื่องราวที่สหายต้องการให้ตนไปเป็นพยานร่วมรับรู้ว่าต่อจากนี้ คุณชายเล็กแห่งจวนตระกูลหยางจะไม่สร้างเรื่องโกหกซูหนิงเซียนอีก ก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ แต่เมื่อเห็นหน้าคนรักของนาง สหายก็แทบจะรักษากิริยามารยาทเอาไว้ไม่ได้ “แท้จริงคนรักของเจ้าก็เป็นคุณชายผู้นี้” “ใช่แล้ว และเขาก็รับปากแล้วว่าเมื่อเจ้าช่วยเหลือเรื่องที่ข้าขอ เขาก็ยินดีจะช่วยเหลือในสิ่งที่เจ้าต้องการ” “เช่นนั้นก็ดี แต่เจ้าไม่กลัวตนเองจะช้ำใจหรือ บุรุษผู้นี้ปลิ้นปล้อนยิ่งนัก ข้ากลัวว่าเจ้าจะเสียใจ” คุณหนูเซียวทำทีป้องปากกล่าวเสียงเบา แต่ผู้ฝึกยุทธ์เช่นเขามีหรือจะไม่ได้ยิน ‘สตรีผู้นี้ คิดจะเอาคืนข้าที่เคยขัดขวางวาสนายวนยางใช่หรือไม่’ “ข้าเชื่อมั่นในตัวเขา” คำกล่าวของนางทำให้หยางซีซวนยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี “เอาล่ะ จะให้ข้าเป็นพยานอย่างไร” ในเมื่อสหายยืนยันเช่นนี้ ตนจะทำอันใดได้นอกจากยินดี “หากต่อจากนี้เขาผิดสัญญา กล้าโกหกข้าอีกไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ ข้าอ