“อย่าเพิ่งโอ้อวด พาตนเองให้รอดจากการโจมตีก่อนเถิด” เพราะไม่อยากให้นางตื่นกลัวกับการถูกลอบโจมตี เขาจึงผสมยานิทราลงในชาจอกนั้นให้นางดื่ม
ฮี้ ม้าของผู้ติดตามที่วิ่งนำหน้าส่งเสียงร้องเมื่อมีบางอย่างขวางทาง สองขายกขึ้นตะกุยอากาศจนทำให้บุรุษชุดดำที่อยู่บนหลังม้าเกือบตกลงไป
‘พวกเจ้าท่าทางมีเงินไม่น้อย หากอยากผ่านทางเข้าเมืองหลวงอย่างราบรื่น ก็ทิ้งเงินและสตรีเอาไว้ที่นี่เสีย’ ท่าทางกักขฬะของพวกนักเลงทำให้บุรุษชุดดำยิ้มมุมปาก
“รีบลงมือเสีย ข้าจะรีบไปดูจวนใหม่ของข้า” สิ้นเสียงของท่านหมอเทวดาที่อยู่ในรถม้า ผู้ติดตามแซ่เจียวทั้งสิบเจ็ดคนก็พุ่งเข้าไปจัดการนักเลงที่มีมากถึงสามสิบคน
ด้านคุณชายหยางที่พาฮูหยินของตนแยกออกมาในช่วงชุลมุนได้เข้าพักชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมเลี่ยงจิน ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมที่สูงสามชั้น ใหญ่โตและมีจำนวนห้องที่มากที่สุดในแคว้นแห่งนี้
“หากฮูหยินตื่น รีบให้คนไปแจ้งข้า” เขาสั่งการสาวใช้
“เจ้าค่ะคุณชาย” สาวใช้ตอบรับอย่างนอบน้อม
ร่างสูงเดินออกจากห้องนอน ที่ตอนนี้ยกให้เป็นห้องของซูหนิงเซียน เขาตรงไปยังห้องทำงานของตนซึ่งอยู่ในชั้นเดียวกัน
ใช่แล้ว...โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นหนึ่งในกิจการของเขา ยามอยู่เมืองหลวงเขาเลือกที่จะนอนที่นี่มากกว่ากลับจวนของตระกูล
เดินทางออกจากเมืองหลวงครั้งนี้มิคาดคิดว่าจะได้สิ่งล้ำค่ากลับมาด้วย การเดินทางครั้งนี้ช่างคุ้มค่า
เมื่อได้รับโอกาสอีกครั้ง เขาไม่มีทางยอมให้ใครหน้าไหนเข้าใกล้นาง
หยางซีซวนนั่งตรวจบัญชีอยู่นานจนตะวันลาลับสับเปลี่ยนให้พระจันทร์สาดส่องแสงนวลลออแทน
พรึ่บ บุรุษชุดดำคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นนาย กลิ่นคาวเลือดที่มาพร้อมกับลูกน้องของตน ทำให้นัยน์ตาดำของเขาราบเรียบจนยากจะคาดเดา
“ว่ามา”
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ แต่นักเลงพวกนั้นไม่ยอมเปิดปากเลยแม้แต่คำเดียวว่าใครเป็นผู้ว่าจ้าง”
“ในเมื่อไม่อยากเอ่ยวาจา ก็จงทำให้นักเลงพวกนั้นอย่าได้มีโอกาสเจรจากับใครอีกเลย สืบหาคนที่มีความสำคัญของนักเลงพวกนั้นแล้วข่มขู่”
“ขอรับ”
“ลู่จื้ออยู่ที่ใด”
“ข้าน้อยส่งท่านหมอเทวดากลับจวนที่คุณชายมอบให้เรียบร้อยแล้วขอรับ”
“อืม...ไปจัดการตามที่ข้าสั่งได้ คราวหน้าหากจะมาพบข้ายามที่อยู่กับฮูหยินเจ้าอย่าได้มาในสภาพนี้” เดี๋ยวฮูหยินของเขาจะมองว่าเขาเป็นคนไม่ดี
เมื่อบุรุษชุดดำที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจากไป บุรุษร่างสูงจึงลุกยืนขึ้นเพื่อยืดเส้นยืดสาย นัยน์ตาดำมองด้านนอกหน้าต่างที่บัดนี้มืดมิด
“หรือข้าจะใส่ยานิทรามากไป นางจึงยังไม่ตื่น” เขากล่าวกับตนเองก่อนจะไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ในห้องที่ไม่มีคนเข้าพักชั้นล่าง
เมื่ออยู่ในอาภรณ์ชุดใหม่แล้วบุรุษที่ถูกสหายเรียกว่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์โบกมือไล่สาวใช้ให้ออกไปจากห้อง นัยน์ตาดำมองสตรีที่นอนหลับอยู่บนเตียงด้วยแววตาล้ำลึก
เขารู้ว่าสิ่งที่ตนทำเป็นการเอารัดเอาเปรียบนาง แต่ในตอนนั้นด้วยความรู้สึกที่ล้นเปี่ยมเขาอยากรั้งนางเข้ามากอดไว้ไม่อยากให้หายไปอีก สิ่งเดียวที่จะทำให้เขาสามารถทำได้อย่างชอบธรรมก็มีเพียงการเอ่ยเรียกนางว่าฮูหยินเพียงเท่านั้น สุดท้ายจึงปล่อยเลยตามเลย ยิ่งเห็นนางคิดตีจากเขาทันทีที่ถึงเมืองหลวง เขายิ่งไม่อยากบอกกล่าวความจริงออกไป ได้แต่แสร้งทำหน้าหนาหน้าทนออดอ้อนนาง
เขารักและปรารถนาครอบครองนางไปชั่วชีวิต อย่างไรเขาจะรีบส่งข่าวให้บิดามารดารับสมอ้างรีบส่งแม่สื่อมาสู่ขอนางเป็นฮูหยินจริงๆ เพราะเข้าใจผิดและยึดติดกับคำว่า ‘บุญคุณ’ จึงต้องพลัดพรากจากนางอย่างไม่มีวันหวนคืน
ครานี้ได้โอกาสอีกครั้งเขาจะไม่ยอมสูญเสียนางไปอีก..
โครก...เสียงท้องของสตรีที่นอนอยู่บนเตียงดังขึ้น ทำให้สายตาหวานซึ้งเมื่อครู่แปรเปลี่ยนฉายแววขบขัน
“ฮูหยิน หากเจ้าหิวก็ตื่นขึ้นมากินข้าวเถิด แล้วค่อยนอนต่อ” ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติโน้มเข้าไปใกล้ก่อนจะกล่าวเสียงเบาที่ข้างหูนาง
“...” สตรีที่ยังอยู่ในห้วงนิทรายังคงนอนนิ่งไม่ตอบรับ
“ฮูหยิน ตื่นเถิดพี่เตรียมอาหารไว้ให้เจ้ามากมาย”
“...”
“ฮูหยิน”
“ข้าขอนอนต่ออีกนิดนะเจ้าคะ” นางส่งเสียงตอบก่อนจะพลิกตัวหนีอย่างรำคาญ
“ฮูหยิน หากเจ้าอยากนอนต่อ เจ้าต้องบอกมาก่อนว่าพี่เป็นใคร”
“ท่านโง่งมหรือไม่ คนที่จะเรียกข้าว่าฮูหยินได้ก็มีเพียงแค่สามีของข้า หากท่านไม่ใช่ก็อย่ามาเรียกข้าว่าฮูหยิน เลิกยุ่งกับข้าเสียทีข้าจะนอน” ซูหนิงเซียนกล่าววาจายืดยาวทั้งที่ยังหลับตาอยู่
“สามีขออภัยที่รบกวนเวลานอนของฮูหยิน” กล่าวจบนัยน์ตาดำของเขาก็ต้องเบิกกว้างเมื่อสตรีที่นอนตะแคงเมื่อครู่พลิกตัวหันกลับมา ทำให้เขาที่ยื่นใบหน้าเข้าใกล้เพื่อฟังสิ่งที่นางกล่าวต้องตกใจ เมื่อริมฝีปากของนางแตะอยู่บริเวณริมฝีปากของเขา ดวงใจที่แห้งผากมานานก็เต้นระรัวแรง
เพียงแค่ริมฝีปากแตะกันยังหวานล้ำถึงเพียงนี้ หากเขาจุมพิตนางจะไม่หวานล้ำไปถึงก้นบึ้งของหัวใจเลยหรือ ฉับพลันเขารู้สึกว่าตนชั่วช้ายิ่งนัก ที่เริ่มจะไม่พอใจเพียงแค่ได้กอดหรือโอบอุ้มนาง
“หากท่านยอมขอโทษข้าก็จะให้อภัย” นางกล่าวจบมือเรียวก็โอบรั้งคอของเขาที่ยังไม่ได้ผละออกห่างก่อนจะกดริมฝีปากลงบนปากของเขาชั่วครู่ก่อนจะกลับไปนอนต่อ
หยางซีซวนนิ่งค้างอยู่เช่นนั้นเกือบหนึ่งเค่อ ก่อนที่แววตาที่จับจ้องนางจะแปรเปลี่ยนเป็นหวานซึ้งแฝงความปรารถนาอยากครอบครอง แม้จะอยากปีนเตียงขึ้นไปนอนกอดนาง แต่เพราะกลัวนางจะโกรธ จึงต้องยับยั้งตนเอาไว้ก่อนจะเดินไปนอนบนตั่งที่เขามักจะเอาไว้นอนอ่านตำรา
เมื่อเทียนถูกดับลงภายในห้องจึงมืดสนิท แสงจันทร์ด้านนอกไม่อาจลอดผ่านเข้ามาได้เนื่องจากหน้าต่างถูกปิดแน่นหนา ท่ามกลางความมืด ดวงหน้าหวานของสตรีปรากฏรอยยิ้ม
อีกไม่นานต้องแยกจาก ขอเก็บเกี่ยวความสุขก่อนที่จะต้องเผชิญหน้ากับความจริงและการแก้แค้น ทุกอย่างเกี่ยวกับบุรุษผู้นี้จะกลายเป็นความทรงจำที่ดีที่สุด
‘ขอให้ท่านได้สมหวังกับสตรีที่ท่านรัก หยางซีซวน’
6เร่งเร้าความริษยาของสหาย เสียงนกร้องและเสียงผู้คนสนทนาดังแว่วเข้ามาในหูปลุกซูหนิงเซียนให้ตื่นขึ้น ร่างระหงลุกขึ้นนั่งพลางบิดขี้เกียจก่อนจะนิ่งค้างเช่นนั้นเมื่อดวงตาดอกท้อสบเข้ากับนัยน์ตาดำที่ฉายแววหวานซึ้ง “ขออภัยเจ้าค่ะ” “มิเป็นไร ในสายตาพี่ เจ้างดงามเสมอ ต่อให้แคะขี้มูกพี่ก็ยังมองว่าน่าเอ็นดู” ‘ปากหวานเสียจนทำให้ข้าพาลกินข้าวไม่ลง’ แม้เขาจะดูคล้ายบุรุษเจ้าสำราญ ปากหวานกับนาง แต่พอได้อยู่ร่วมกันหลายวัน นางก็ได้เห็นว่าแท้จริงเขาเป็นเช่นนี้กับนางเพียงคนเดียว จนบางครั้งทำให้นางรู้สึกอิจฉาสตรีผู้นั้นที่เขารักปักใจ
‘คุณชายของข้าช่างเกี้ยวพาสตรีได้ไม่เหมือนผู้อื่น’ คบหาดูใจไม่คิดจะทำ แต่กลับคิดรวบหัวรวบหางนางเป็นฮูหยินราวกับกลัวจะมีคนแย่งนางไป แต่เมื่อลงมาถึงด้านล่างของโรงเตี๊ยมหยางซีซวนก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นรถม้าที่มีตราสัญลักษณ์ตระกูลหยางจอดอยู่ด้านหน้า มีสตรีผู้งดงาม ดวงหน้าแลดูอ่อนเยาว์ยืนอยู่ด้านข้าง “ท่านแม่?” “ยังจำได้อยู่หรือว่าข้าเป็นแม่เจ้า” เฟยเจียงหงเอ่ยถามพลางส่งยิ้มหวานให้กับบุตรชาย แม้สตรีผู้นี้จะเลยวัยสาวมานานพอสมควร แต่ทว่าก็ยังมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หันมามองพลางขวยเขินเมื่อเห็นสตรีงามล่มเมืองแย้มยิ้ม “ท่านมาได้อย่างไร ท่านพ่อไม่ว่าหรือขอรับ” ด้วยความงามของมารดา บิดาจึงหวงแหนจนแทบไม่อยากให้ออกจากจวน หากมีงานเลี้ยงจวนใด
“ประเดี๋ยวก่อน แม่หนูลี่อินน่ะหรือ ส่งจดหมายแจ้งเจ้าว่าพ่อป่วยหนัก” “เจ้าค่ะ เสียดายข้าทำจดหมายนั่นหายไปแล้ว จึงไม่อาจนำมายืนยันได้” กล่าวจบก็จ้องมองบิดาด้วยความคิดถึง คิดถึงท่านพ่อยิ่งนัก ดีเหลือเกินที่นางได้รับโอกาสให้หวนคืนกลับมา “แต่พ่อไม่ได้เป็นอันใด ป่วยหนักสุดก็เห็นจะเป็นหวัดเมื่อสามวันก่อนเพียงเท่านั้น” “แล้วเหตุใดลี่อินถึงโกหกข้าเช่นนั้น ด้วยความร้อนใจและเป็นห่วงท่านพ่อ ข้ารีบเร่งเดินทางไม่หยุดพักจนถึงเมืองหลวงเลยนะเจ้าคะ” ละเว้นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ร่วมทางไปสักเล็กน้อยคงจะดีกว่า อย่างไรท่านพ่อก็ควรสงสัยเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลของบุตรสาว
ริษยาข้าให้มากจะได้รีบลงมือเร็วๆ นางจะได้รีบจบเรื่องแล้วพาบิดาย้ายไปอยู่เมืองซานโจว ‘เจ้าควรรู้ไว้ว่า เพียงแค่ฐานะจวนซูมันไม่ได้ทำให้ข้ามีเงินทองใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายมากมาย’ การเป็นหลานสาวของคหบดีจากเมืองซานโจวต่างหากที่ทำให้นางร่ำรวยมีเงินทองเหลือใช้ ท่านลุงก็ยังหาเงินเก่ง ท่านป้าก็ใจดีและเอ็นดูนาง ไปเมืองซานโจวเมื่อใดนางมักจะได้ตั๋วเงินกลับมาด้วย และเคยได้มากถึงหนึ่งพันตำลึงทอง “เจ้าช่างใจดี แต่ก็ดีแล้วที่เดินทางปลอดภัย” ‘คงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันที่แผนการพลาด’ “วันนี้เจ้าว่างหรือไม่ อยากจะชวนเจ้าออกไปซื้อเครื่องประดับเสียหน่อย” อีกไม่กี่วันจะมีงานเลี้ยงแสดงความยินดีที่จวนหยาง เพื่อเป็นการแสดงความยินดีที่คุณชายรองจวนหยางได้รั
7คารวะท่านพ่อตา “ซูหนิงเซียน เหตุใดกลับมาเมืองหลวงแล้วไม่ให้คนไปแจ้งข้า” เสียงทุ้มของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น ทำให้บทสนทนาที่นางไม่อยากจะตอบจบลงในทันที “หมิงอี้เฉิน เจ้ามาได้อย่างไร” คุณหนูซูเอ่ยถามบุรุษผู้มาเยือนพลางปรายตามองดวงตาที่ฉายแววโทสะของสตรีที่นั่งด้านข้าง “ถามได้ ข้าก็เดินมาสิ ไปซานโจวได้ไม่นาน ลืมแล้วหรือจวนข้าอยู่ที่ใด” คุณชายหมิง เป็นบุตรชายของเจ้ากรมยุติธรรมสหายของบิดา จวนของเขาอยู่ตรงข้ามจวนนางทำให้ในวัยเด็กนางสนิทกับบุรุษผู้นี้ และด้วยความที่นางช่างเจรจากว่านางจึงกลายเป็นที่รักของจวนหมิงมากกว่าบุตรชายของตระกูล “ไม่ได้พบเจอกันนานมิคาดคิดว่าเจ้ายังปากคอเราะร้าย[1] ระวังจะหาสตรีมาแต่งด้วยไม่ได้” “หากข้าหาสตรีมาแต่งด้วยไม่ได้ ข้าจะแต่งกับเจ้านี่แหละ ชอบสาปแช่งข้าดีนัก” ซือเย่แห่งสำนักศึกษาไท่เสวียนกล่าวพลางทรุดตัวนั่ง มือใหญ่หงายจอกชาแล้วรินใส่เองโดยไม่ต้องมีคนเชิญ “อย่าเลยเจ้าค่ะคุณชายหมิง หากข้าแต่งกับเจ้า มีหวังเจ้าคงโดนท่านลุงกับท่านป้าไล่ออกจากจวนเพราะเอาแต่รังแกข้า” “เจ้ามันจิ้งจอกห่มหน
“เจ้าบอกข้าก่อน ว่านางทำเช่นไรกับเจ้า เจ้าถึงได้รังเกียจนางมากเช่นนี้” “หากข้าบอก เจ้าอย่าได้เอามาล้อเลียนข้าเข้าใจหรือไม่” “อืม ข้าจะไม่ล้อเลียนเจ้า เล่ามาเถิด” “จำตอนนั้นที่จวนข้ามีงานเลี้ยงแล้วข้าทำร้ายนางจนบิดามารดาข้าต้องไปขอโทษเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพถึงจวนได้หรือไม่” “อืม” “ตอนนั้นแท้จริงหม่าลี่อินเข้ามากอดข้าพยายามดึงทึ้งเสื้อผ้าข้า ทั้งยังบอกว่าชื่นชอบข้าอยากเป็นฮูหยินของข้า แต่ข้าที่ตัวใหญ่กว่าไม่ยินยอมจึงผลักนางให้ออกห่างสุดท้ายนางล้มลง พอดีกับมีคนเข้ามาเห็นพอดี ข้าจึงกระจ่างแจ้งในใจว่าแท้จริงทั้งหมดเป็นเล่ห์กลชั่วร้ายของหม่าลี่อิน” “เรื่องใหญ่เพียงนี้เหตุใดถึงไม่คิดบอกกล่าวข้า” “ตอนนั้นเจ้ายังมองข้าด้วยแววตาผิดหวังอยู่มิใช่หรือ” ท่าทางแง่งอนของซือเย่แห่งสำนักศึกษาทำให้นางยกยิ้ม “ข้าขอโทษ เจ้าให้อภัยข้าได้หรือไม่” นางกล่าวพลางออดอ้อนสหาย ดวงหน้าหวานคลอเคลียถูไถบริเวณต้นแขนแกร่ง “ได้ แต่ต้องแลกกับการไปงานเลี้ยงจวนหยางเป็นเพื่อนข้า” ออกงานกับสหายผู้งดงาม จะได้เกิ
“เป็นข้าเองขอรับท่านพ่อตา” บุรุษรูปงามเดินเข้าจวนผู้อื่นอย่างถือวิสาสะกล่าวก่อนจะรีบสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้นางที่ตกตะลึงอยู่ ‘ข้าไม่เคยบอกชื่อแซ่แก่เขา แล้วเขาทราบได้อย่างไรว่าข้าคือซูหนิงเซียน’ พลันสายตานางก็สบเข้ากับสายตาขอโทษขอโพยของพี่ใหญ่แซ่เจียว ซึ่งน่าจะเป็นคนพาคุณชายของตนมาที่นี่ พอเข้าใจอยู่หรอกว่าความสามารถของคนพวกนี้ไม่ธรรมดา สามารถสืบเสาะหานางได้ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ แต่มันก็ไม่ควรจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ นางกลับจวนได้เพียงสามวันเขาก็ตามนางมาถึงจวน แล้วคราวนี้นางจะหลบเลี่ยงอย่างไรต่อ ตอนเดินทางที่ต้องรับสมอ้างเป็นฮูหยินของเขาก็เพราะนางต้องพึ่งพาให้เขาพานางเข้าเมืองอย่างปลอดภัย แต่บัดนี้ทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว เหตุใดนางจะต้องรับสมอ้างเป็นฮูหยินของเขาให้ตนหวั่นไหวอีกเล่า “เจ้าเป็นใครเหตุใดถึงมาเรียกข้าว่าพ่อตา” “นางเป็นฮูหยินของข้า ท่านเป็นบิดาของนางก็ต้องเป็นพ่อตาของข้าสิขอรับ” เขากล่าวจบก็ปรายตามองบุรุษที่นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับสองพ่อลูกชั่วครู่ ‘บุรุษผู้นี้ คงเป็นหมิงอี้เฉินสินะ’ ในกาลก่อนไม่ได้เคยร
“นายท่านได้โปรดช่วยเหลือคุณชายของข้าน้อยด้วยเถิดขอรับ” ผู้ติดตามต่างพากันคุกเข่าตามคุณชาย ฮูหยินกล่าวว่าต้องเล่นบทงิ้วให้สมจริง มิเช่นนั้นจะโดนหักเบี้ยหวัด “เช่นนั้นให้ไปพักจวนข้าดีหรือไม่” คุณชายหมิงเสนอ “ดี...” เจ้ากรมอาญากล่าวยังไม่ทันจบบุรุษรูปงามก็เอ่ยแทรกขึ้นก่อน “ไม่ดีขอรับ ท่านพ่อตา นกยวนยางต้องอยู่เป็นคู่ ท่านจะใจร้ายถือไม้ไล่หวดยวนยางให้แยกออกจากกันหรือขอรับ” ‘เหตุใดทางเลือกของข้าในครานี้ถึงได้แลดูวุ่นวายเช่นนี้’ นางคิดว่าเรื่องราวจะจบลงเมื่อเดินทางถึงเมืองหลวงแล้วแยกย้ายไปคนละทาง “แต่เจ้าไม่ใช่สามีของบุตรสาวข้า” “ฮูหยิน ท่านพ่อไม่ยอมรับการแต่งงานของเราใช่หรือไม่ ถึงได้พยายามแยกพี่จากเจ้าเช่นนี้” “แต่งงานอันใดกัน กล่าวเช่นนี้นางเสียหายรู้หรือไม่” “ขออภัยท่านพ่อตาหากทำให้ท่านไม่พอใจ แต่ตัวข้านั้นจริงใจกับหนิงเซียนจริงๆ ได้โปรดเห็นใจพวกเราเถิดนะขอรับ” กล่าวจบก็โขกศีรษะกับพื้น ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้ติดตามแซ่เจียว และซูหนิงเซียน ‘คุณชายทุ่มเทกับงิ้วฉากนี้เป็
“เรื่องนั้นท่านอย่าได้ห่วงเลยเจ้าค่ะ พี่เหลียงอี้ เขาไปลาดตระเวนตรวจตราที่บริเวณจวนของนางอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นนางปลอดภัยไม่มีอันตรายแน่นอน” ‘สตรีโง่ ข้าอยากจะบอกเจ้าเหลือเกินว่า คู่หมั้นข้านางผู้นั้นมีของล้ำค่ามากกว่าปิ่นที่เจ้าจะซื้อให้อีก’ ยิ่งได้เห็นความใสซื่อของซูหนิงเซียน ความสนใจในตัวคู่หมั้นก็เริ่มลดลง หากไม่ติดที่ว่ามีบุญคุณช่วยชีวิตเขาก็คงไม่คิดสนใจไยดีแล้ว น่าแปลกที่เขาเชื่อวาจาที่ซูหนิงเซียนบอกกล่าวออกมามากกว่าที่ได้รับฟังจากหม่าลี่อิน “ข้าเลือกชิ้นนี้เจ้าค่ะ ลี่อินนางชอบไข่มุก ข้าว่านางต้องดีใจมากแน่นอนเจ้าค่ะที่ได้ปิ่นนี้” “อืม” รอยยิ้มจริงใจของคุณหนูซูทำให้เขาเอ่ยวาจาไม่ออก “คุณหนูซูท่านช่างโชคดีเหลือเกินขอรับ วันนี้นายท่านของร้านเราใจดี สั่งลดราคาเครื่องประดับให้กับลูกค้าคนที่สิบเก้า ซึ่งคือท่าน” “ลดราคาเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” “ใช่ขอรับ เพื่อเป็นการแสดงความยินดีที่ม้าตัวโปรดของนายท่านคลอดลูกม้า นายท่านสั่งลดราคาเครื่องประดับให้ลูกค้าคนที่สิบเก้าครึ่งราคา นั่นเท่ากับว่าวันนี้คุณหน
ดวงหน้าหวานที่โผล่ออกมาจากรถม้าทำให้ใจของเขาสั่นไหว เมื่อนางเผยรอยยิ้มเขาแทบจะกระโดดลงจากชั้นสองของโรงเตี๊ยมเพื่อไปหานาง “แม่นางหนิงเซียน” เสียงทุ้มของบุรุษที่ดังขึ้นดึงความสนใจของซูหนิงเซียนให้หันไปมอง “คารวะคุณชายซวนเจ้าค่ะ” ยามเห็นหน้ากากจึงจดจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคู่หมั้นของสหาย “ท่านมาคนเดียวหรือ” “เจ้าค่ะ วันนี้ข้าจะมาหาซื้อผ้าไปตัดชุดให้สาวใช้คนสนิท จึงตั้งใจมาด้วยตัวเองไม่ได้ชวนลี่อินมาด้วย” นางเข้าใจว่าเขาถามหาสตรีในดวงใจ “ข้ามีความรู้เรื่องผ้าไม่น้อย ให้ข้าช่วยเลือกดีหรือไม่ ไม่แน่เจ้าอาจจะได้ผ้าเนื้อดีที่ราคาถูก” “หากมิรบกวนคุณชายซวนเกินไป…” ซูหนิงเซียนยังกล่าวไม่ทันจบเขาก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นก่อน “เรื่องนี้มิได้เหลือบ่ากว่าแรง จะถือว่ารบกวนข้าได้อย่างไร” “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” นางตอบรับแล้วยกยิ้มเล็กน้อย บุรุษสวมหน้ากากช่วยนางเลือกผ้าได้หลายพับ แต่เมื่อจ่ายเงินนางกลับพบว่านางได้ของดีแต่ราคาถูกอย่างเหลือเชื่อ “ท่านหลงจู๊ ลองคิดเงินใหม่อีกครั้งดีหรือไม่
ในกาลก่อนที่ข้ารักเจ้า บริเวณชั้นบนของโรงเตี๊ยมเลี่ยงจิน บุรุษสวมหน้ากากจ้องมองคู่หมั้นของตนที่กำลังเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน ดวงหน้าหวานแต่งแต้มรอยยิ้มสดใสพาลทำให้บุรุษรอบตัวต่างหันมามอง แต่เขากลับถูกสตรีนางหนึ่งดึงดูดสายตาให้จ้องมอง สตรีนางนั้นคล้ายจะเป็นสหายของคุณหนูหม่า แม้ดวงหน้านางจะแต่งแต้มรอยยิ้มบาง แต่ทว่ากลับดึงดูดเขาได้อย่างน่าประหลาด และดูเหมือนว่าแท้จริงบุรุษเหล่านั้นจะจ้องมองนางเสียมากกว่า พลันในอกรู้สึกไม่ชอบใจอย่างประหลาด ความรู้สึกหวงแหนก่อตัวขึ้นในใจของเขาอย่างไม่รู้ตัว เหตุใดกับคู่หมั้นตน เขาถึงไม่รู้สึกเช่นนี้ พรึ่บ ไวกว่าความคิดร่างสูงโปร่งของบุรุษรูปงามก็ปรากฏตัวด้านหลังสตรีทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยทักทาย “ลี่อินเจ้ามาเดินเที่ยวเล่นหรือ” เขาทราบว่ามันเป็นคำถามที่ดูโง่งม แต่เขาไม่รู้จะเอ่ยถามอันใดออกไป “คารวะคุณชายซวนเจ๋อเจ้าค่ะ” สายตาที่มีประกายรังเกียจพาดผ่านทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่คู่หมั้นจะแสดงความเคารพเขา หลายครั้งที่นางมองเขาเช่นนี้ คงเพราะหวาดกลัวหน้ากากที่ปกปิดบนใบหน้าเขา การเป
“คนของเจ้าสืบได้ละเอียดถึงเพียงนั้น” หมิงอี้เฉินหรี่ตามองอย่างจับผิด “เรื่องที่คิดกำจัดนางกับท่านพ่อตา คนของข้าได้ยินหม่าลี่อินวาดฝันกับกวางเหลียงอี้ เมื่อเห็นว่าเป็นภัยต่อนาง คนของข้าจึงนำมารายงานข้าด้วย” “...” “เบื้องต้นข้ามีหลักฐานที่กลุ่มนักเลงพวกนั้นสารภาพ เจ้าอยากดูหรือไม่” “อืม” เขายกชามสุราขึ้นจิบก่อนจะตอบรับ “นี่คือจดหมายรับสารภาพของนักเลงที่ดักปล้นรถม้าแต่ถูกข้าซ้อนแผนจับเป็นทั้งหมด ก่อนจะนำมาทรมานเพื่อเค้นความจริง” หยางซีซวนยื่นจดหมายที่เพิ่งนำออกมาจากอกเสื้อให้เขา “หม่าลี่อินชั่วช้ายิ่งนัก คิดจะให้พวกนักเลงข่มเหงนาง” จากคำสารภาพของนักเลง กวางเหลียงอี้เพียงแต่ตั้งใจทำให้นางตกใจ แต่หม่าลี่อินกลับซ้อนแผนให้นักเลงพวกนั้นข่มเหงนางก่อนที่กวางเหลียงอี้จะไปช่วย คงกลัวว่าหากเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ของตนได้พบเจอนางจะเปลี่ยนใจ จึงสร้างมลทินให้ซูหนิงเซียน “เพราะเหตุนี้ข้าจึงแสร้งสติฟั่นเฟือนเพื่อจะได้อยู่ในจวนตระกูลซูต่อไป เพื่อจะได้ปกป้องนางและบิดาด้วยตนเอง” “เรื่องนี้เจ้าสามารถใช้ผ
คุณชายหมิงอี้เฉิน เมื่อได้รับข่าวว่าสหายในวัยเด็กเดินทางกลับมาจากเมืองซานโจวแล้ว เขาจึงรีบไปหา แต่ใครจะคิดเล่าว่าการพบเจอครั้งนี้จะพ่วงบุรุษผู้นั้นมาด้วย ชายที่มองอย่างไรก็ไม่คล้ายคนสติฟั่นเฟือน ท่าทางออดอ้อนนั้นแลดูเหมือนบุรุษเจ้ามารยาเสียมากกว่า คุณชายหมิงเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืน แล้วยืนนิ่งราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง “คุณชายขอรับ นี่ก็เป็นปลายยามไฮ่ (21.00-22.59) แล้ว น้ำค้างก็ลงมากแล้วอย่างไร...” บ่าวรับใช้คนสนิทยังกล่าวไม่ทันจบ คุณชายเจ้าของจวนก็เอ่ยวาจาแทรกขึ้นก่อน “เจ้าไปนอนก่อนเถิด ข้าจะยืนชมดาวอีกสักหน่อยก็จะไปนอนแล้ว” “ขอรับ” เมื่อคุณชายกล่าวเช่นนั้น บ่าวรับใช้คนสนิทก็ได้แต่เดินจากไป พรึ่บ บุรุษชุดดำกระโดดลงมาตรงหน้าเขาหลังจากบ่าวรับใช้เดินหายไปไม่นาน “มาแล้วหรือ” คุณชายหมิงเอ่ยวาจาทักทายผู้มาเยือน “เจ้าอยากพบข้าด้วยเหตุใด” หากบุรุษผู้นี้ไม่ค้นพบการมีตัวตนของผู้ติดตาม เขาก็คงคิดว่า ซือเย่ผู้นี้เป็นเพียงบัณฑิตอ่อนปวกเปียกที่ไม่กล้าฆ่าแม้แต่ไก่ “ท่านควรแจ้งถึงจุดประสงค์ในก
“พี่ไม่ได้รังแกเจ้า พี่มอบความโปรดปรานให้เจ้า” “หน้าอกท่านแน่นเสียจริง” “หากเจ้าอยากลูบไล้ยามไร้อาภรณ์ ก็จงรีบกลับจวนกับพี่” “ไม่เอา ข้ายังไม่อยากกลับ กว่าจะได้ออกมาเที่ยวเช่นนี้ไม่ง่ายเลย ต้องขอบคุณท่านแม่นะเจ้าคะ ที่เมตตาข้า” “มิเป็นไรๆ เจ้าอยู่สนุกกับเหล่าชายงามต่อเถิด แม่ต้องกลับไปรับโทษ...ไม่ใช่ แม่ต้องรีบกลับแล้ว” กล่าวจบหยางฮูหยินก็หันไปมองใบหน้าบึ้งตึงของสามี ‘ครั้งนี้นางคงหยอกเย้าบุตรชายมากเกินไป จึงทำให้ฟูจวิน ของนางโกรธขึ้นมาจริงๆ’ ต่อจากนี้คงต้องทนปวดเอวเพื่อง้อท่านแม่ทัพใหญ่หลายคืนอีกแล้ว “ได้เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะสนุกกับพี่ชายคนงามแทนท่านแม่เองเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินโซซัดโซเซไปหากลุ่มชายงาม แต่กลับโดนสามีโอบรั้งเอวคอดกิ่วเอาไว้ “พี่ชายคนงามพวกนี้ อยากกลับไปพักผ่อนแล้ว เจ้าอย่าได้รบกวนพวกเขาเลย” น้ำเสียงที่เอ่ยกับฮูหยินตนช่างอ่อนโยนยิ่งนัก ต่างจากสายตาที่จ้องมองคล้ายจะเข้าขย้ำเหยื่อตรงหน้าของราชสีห์ “จริงหรือเจ้าคะพี่ชาย” “จริงขอรับ”
“ท่านพ่อ คราวนี้ท่านแม่ทำเกินไปขอรับ” เขารีบฟ้องบิดาในทันที มารดาพาฮูหยินของเขามาเที่ยวหอชายงามเช่นนี้ เกิดนางติดใจเข้าจะทำเช่นไร “อย่าได้ห่วง พ่อจะจัดการลงโทษนางตามกฎของพ่อ เข้าไปด้านในกันเถิด” เพียงแค่คิดถึงบทลงโทษที่จะได้ใช้กับฮูหยินตนแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่ก็คล้ายจะอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอจะก้าวเท้าเข้าหอชายงาม ผู้ติดตามที่ถูกสั่งให้กีดกันคุณชายก็โผล่ออกมาขัดขวางตามคำสั่งของหยางฮูหยิน “พวกเจ้ากล้าขัดขวางข้าหรือ” น้ำเสียงที่ไม่คล้ายจะพอใจทำให้ผู้ติดตามของหยางฮูหยินรีบคุกเข่า “มิได้ขอรับ แต่พวกข้าน้อยถูกสั่งให้ขัดขวางคุณชายไม่ให้เข้าไปในที่แห่งนี้ขอรับ” กลิ่นอายสังหารของท่านแม่ทัพใหญ่ทำให้บุรุษชุดดำทั้งหมดหวั่นเกรงยิ่งนัก “พวกเจ้ากล้าขัดขวางบุตรชายข้าหรือ นายที่แท้จริงของพวกเจ้าคือใครจำได้หรือไม่” “ท่านแม่ทัพขอรับ” บรรดาผู้ติดตามพร้อมใจกันตอบรับ หากเทียบกันแล้วหยางฮูหยินนั้นรับมือง่ายกว่าท่านแม่ทัพมากนัก ‘ต้องขออภัยฮูหยินแล้วขอรับที่พวกข้าต้องเลือกฝั่งท่านแม่ทัพใหญ่’ บรรดาผู้ติดตามได้แต่แสร้
ท่านแม่กำลังไปตามหาน้องให้ สิ่งแรกที่เขามักจะมองหาเมื่อกลับถึงจวนคือฮูหยินของเขาที่มักจะมายืนส่งยิ้มให้ แต่วันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น นัยน์ตาดำกวาดมองไปทั่วบริเวณ จึงพบเด็กชายตัวน้อยกำลังนั่งเล่นตัวต่อไม้โดยมีแม่นมและสาวใช้คอยดูแลอยู่ ไร้เงาของผู้เป็นมารดา “หนิงเฉิง กำลังเล่นอันใดอยู่หรือลูก” เขาโบกมือไล่แม่นมและสาวใช้ออกไป ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงสนทนากับบุตรชายวัยสามขวบที่คล้ายฉลาดเกินวัย “ตัวต่อไม้ขอรับท่านพ่อ” “นี่คืออันใด” หยางซีซวนชี้ไปยังตัวต่อที่ถูกต่อขึ้นมาคล้ายเรือนหลังเล็ก “เรือนของน้องชายขอรับ” “เรือนของหนิงเฉินหรือ น่าอยู่ไม่น้อย” เพราะบุตรชายคนเล็กอายุเพียงเจ็ดเดือน จึงต้องอยู่กับแม่นมไม่สามารถมาเล่นกับพี่ชายได้ “อืม...หรือเก็บไว้ให้น้องสาวดี” เด็กน้อยทำท่าครุ่นคิด “จะน้องชายหรือน้องสาว ก็เป็นน้องของเจ้าทั้งนั้น อย่าได้ลำเอียง เข้าใจหรือไม่” “ขอรับท่านพ่อ” “ท่านแม่ของเจ้าไปไหน เหตุใดพ่อจึงไม่เห็น” “ทะ ท่านแม่หรือขะ ขอรับ น่าจะนอนอยู่ระ เรือนนะขอรั
ยามอยู่ในงานเลี้ยงองค์ชายห้าเกาะติดนางไม่ห่าง ทำให้นางรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก “เจ้ากินเซาปิ่งมากถึงเพียงนี้ ระวังจะกินอาหารเลิศรสจานอื่นไม่ได้” “เซาปิ่งของจวนเสิ่นอร่อยถูกปากข้ามากเลยเจ้าค่ะ” ท่าทางกินของนางทำให้มุมปากหยักของเขายกยิ้มอย่างเอ็นดู “พี่ไม่แย่งเจ้าหรอก ค่อยๆ กินประเดี๋ยวติดคอ” “ข้า...” เซาปิ่งที่เซียวอ้ายช่างจับอยู่ตกลงบนพื้น สองมือของนางกุมอกเอาไว้ ท่าทางคล้ายจะขาดใจตายของนางทำให้เขาร้อนรน “อ้ายช่าง อ้ายช่างเจ้าเป็นอันใด เซาปิ่งติดคอใช่หรือไม่” หวงหลี่จื้อช่วยตบหลังให้นาง “ลี่จึ...ในเซาปิ่งมี อึกๆ” ท่าทางทุรนทุรายของคุณหนูเซียวและสีหน้าตื่นตระหนกขององค์ชายห้า ทำให้ผู้นำตระกูลเสิ่นรีบเข้ามาดูนางพร้อมกับเสิ่นฮูหยิน “เจ้าพยายามกินยานี้เข้าไปเร็วเข้า” “อึกๆ อึก” เพราะหายใจไม่ออก นางจึงดิ้นทุรนทุราย หวงหลี่จื้อเห็นท่าไม่ดี จึงเอายาใส่ปากแล้วป้อนให้นางด้วยปาก เขาบังคับให้นางกลืนยาลงไป การกระทำขององค์ชายคล้ายจะทำให้เกิดเสียงฮือฮา แต่มีหรือเขาจะสนใจ การช่วยช