“ขอบคุณที่เข้าใจเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า จึงไม่ได้เห็นสายตาลุ่มลึกยากจะคาดเดาของเขา
ยามค่ำคืนหยางซีซวนนั่งจิบชาราวกับเฝ้ารอคอยเรื่องบางอย่าง ใบหน้าที่มักจะส่งยิ้มออดอ้อนฮูหยินของตนบัดนี้เรียบเฉยไร้ท่าทางหยอกเย้าเช่นทุกครั้ง แต่ในสายตาของผู้ติดตามแซ่เจียวทั้งหมด ทุกคนย่อมทราบดีว่านี่เป็นนิสัยปกติของผู้เป็นนาย ยามอยู่กับฮูหยินต่างหากที่คุณชายของพวกตนดูไม่ใคร่ปกตินัก
พรึ่บ! บุรุษชุดดำสองคนเข้ามาทางหน้าต่างก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นนาย
“ว่ามา” คุณชายหยางกล่าวพลางหมุนจอกชาเล่น
“คุณหนูหม่าลอบพบคุณชายกวางอยู่บ่อยครั้ง ทั้งสองคนสนิทสนมกันมาก ข้าน้อยจึงสืบต่อจนพบว่าทั้งสองแท้จริงเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่กันขอรับ”
“กวางเหลียงอี้ล่ะ”
“มือปราบกวางนอกจากไปมาหาสู่กับคุณหนูหม่า ยังติดต่อกับกลุ่มนักเลงเพื่อให้ลงมือกับคุณหนูซูในวันนี้ขอรับ”
แต่คงลงมือไม่ได้สินะ เพราะเขาจงใจถ่วงเวลาด้วยการพานางแวะกินของอร่อยอยู่หลายครั้งทำให้การเดินทางล่าช้ากว่าเดิมเกือบสองวัน
“ใครเป็นคนวางแผน”
“คุณหนูหม่าขอรับ นางเป็นคนส่งจดหมายเรียกให้คุณหนูซูเร่งรีบกลับเมืองหลวง โดยอ้างว่าเจ้ากรมอาญาซูป่วยหนัก”
“เปิดทางให้พวกนั้นลงมือ”
“ขอรับ”
“อย่าลืมตามเก็บหลักฐานเอาไว้ให้ครบ” เขากล่าวพลางยกชาขึ้นจิบ
“เหตุใดเจ้าถึงปล่อยให้พวกมันลงมือ ไม่กลัวนางเป็นอันตรายหรืออย่างไร” ลู่จื้อเอ่ยถามสหาย
“เพราะข้ามั่นใจว่าข้าปกป้องนางได้ อีกอย่างหากไม่ปล่อยให้พวกนั้นลงมือในตอนนี้ อย่างไรพวกมันก็ต้องหาโอกาสลงมืออยู่ดี มิสู้ปล่อยให้พวกมันทำแล้วคอยเก็บหลักฐานเอาไว้ไม่ดีกว่าหรือ”
“เจ้าจะปล่อยให้พวกนั้นได้ใจแล้วค่อยจัดการเช่นนั้นหรือ”
“อืม ข้าจะเก็บหลักฐานทั้งหมดเอาไว้จัดการในคราวเดียว” หากคิดลงมือต้องทำให้คนพวกนั้นมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย
“ในฐานะที่ข้าเป็นสหายของเจ้า ข้าขอถามหน่อยเถิด เจ้าไปรู้จักสตรีผู้นั้นตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดเจ้าถึงได้หลงใหลนางมากถึงเพียงนี้” รักตั้งแต่แรกพบหน้าก็คงจะไม่ใช่
“เจ้ารู้เพียงว่าข้ารักและปรารถนาเพียงนางก็พอแล้ว ส่วนจะเพราะเหตุใดนั้น ไปคิดกันเอาเอง” คำตอบของคุณชายหยางทำให้สหายสะบัดหน้าหนี
“คิดว่าข้าอยากรู้มากหรือไร”
“ในตอนนี้มีพวกมันจับตาดูเราหรือไม่”
“มีขอรับ พวกมันซุ่มดูอยู่ด้านนอกไม่กล้าเข้ามาในโรงเตี๊ยม”
“อืม คุ้มกันไว้ให้ดีอย่าให้พลาด พรุ่งนี้เราค่อยลดการคุ้มกันเพื่อให้มันได้โจมตีขบวนรถม้าของเรา” หยางซีซวนกล่าวกับผู้ติดตามของตน
“ข้าต้องเตรียมตัวด้วยใช่หรือไม่” แม้จะเป็นเพียงหมอเทวดาผู้หนึ่งแต่ทว่าด้วยชาติกำเนิดเขาจึงต้องร่ำเรียนวรยุทธ์มาบ้าง แม้จะไม่นับว่าเก่งกาจแต่ก็พอเอาตัวรอดได้
“ใช่ เพราะรถม้าที่จะถูกโจมตีคือรถม้าเจ้า”
“เหตุใดต้องเป็นข้า” ลู่จื้อทำท่าจะโอดครวญ
“แลกกับจวนในเมืองหลวง”
“ใหญ่หรือไม่”
“ก็เลี้ยงสตรีได้ราวๆ สิบนาง”
“เหตุใดต้องเลี้ยงสตรีไว้มากมายเช่นนั้น” เปลี่ยนเป็นเลี้ยงงูหรือสัตว์มีพิษสักสามสิบสี่สิบชนิดไม่ดีกว่าหรือ
“ข้ามอบจวนให้เป็นชื่อเจ้าแล้ว เจ้าจะเลี้ยงสตรีหรือสัตว์มีพิษอันใดของเจ้าก็แล้วแต่ ตกลงหรือไม่” หยางซีซวนถามย้ำ ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติบ่งบอกว่ารำคาญท่าทีลังเลของสหายไม่น้อย
“ตกลง แล้วเจ้าจะทำอย่างไรให้รถม้าข้ากลายเป็นเป้าโจมตี”
“ทิ้งรถม้าคันที่เจ้านั่งไว้ที่นี่ เราจะแสร้งนั่งรถม้าคันเดียวกัน เจ้ามียาสงบใจหรือยานิทราหรือไม่”
“มี”
“เช่นนั้นดีเลย” เขายิ้มก่อนจะเล่าแผนการให้สหายผู้รับชะตากรรมฟัง
วันต่อมากลุ่มของคุณชายหยางก็ออกเดินทางด้วยรถม้าหนึ่งคันพร้อมกับผู้ติดตามที่ควบม้าตาม
“รถม้าคันนั้นพวกเราคงต้องฝากเถ้าแก่เอาไว้ก่อนนะขอรับ” บุรุษแซ่เจียวกล่าวกับเถ้าแก่ของร้านแล้วส่งก้อนตำลึงเงินให้อีกฝ่ายสองสามก้อน
“มิเป็นไรๆ พวกท่านอย่าได้ห่วง ข้าจะหาคนมาซ่อมรถม้าให้”
“เช่นนั้นฝากด้วยนะขอรับ พวกข้าไปล่ะ” เจียวโจวกล่าวก่อนจะขึ้นควบม้า
แม้ภายในรถม้าจะกว้างขวางไม่น้อย แต่พอต้องมานั่งรวมกันสามคนแล้วมันก็ดูคับแคบลงเป็นอย่างมาก
“ฮูหยิน เจ้าอดทนเห็นหน้าบุรุษที่รูปงามน้อยกว่าพี่เพียงครู่เดียวอีก ไม่นานเราก็จะถึงเมืองหลวงแล้ว” เขากล่าวพลางรินชาใส่จอกให้นางอย่างเอาใจ
“ฮูหยิน เจ้าอดทนเห็นหน้าบุรุษที่รูปงามน้อยกว่าพี่เพียงครู่เดียวอีก ไม่นานเราก็จะถึงเมืองหลวงแล้ว” เขากล่าวพลางรินชาใส่จอกให้นางอย่างเอาใจ ‘สหายผู้นี้ปากไม่ดี มันน่าเปิดโปงความลับเสียจริง’ ทำตัวราวกับเด็กน้อยกลัวผู้อื่นมาแย่งความรักความสนใจจากมารดา “ท่านอย่าได้กล่าววาจาไม่ดีต่อท่านหมอเช่นนั้น” “...” เขาเม้มริมฝีปากราวกับอัดอั้นตันใจ ก่อนจะก้มหน้าลง “ข้าต้องขออภัยท่านหมอด้วยนะเจ้าคะ เขาสติฟั่นเฟือนอาจกล่าววาจาไม่เหมาะสมไปบ้าง” นางหันไปกล่าวกับท่านหมอ ถึงไม่ได้เห็นเบื้องหลังสีหน้าของบุรุษมากเล่ห์ ‘ดู...สหายข้าสำนึกที่ใด แสร้งทำเป็นน
“อย่าเพิ่งโอ้อวด พาตนเองให้รอดจากการโจมตีก่อนเถิด” เพราะไม่อยากให้นางตื่นกลัวกับการถูกลอบโจมตี เขาจึงผสมยานิทราลงในชาจอกนั้นให้นางดื่ม ฮี้ ม้าของผู้ติดตามที่วิ่งนำหน้าส่งเสียงร้องเมื่อมีบางอย่างขวางทาง สองขายกขึ้นตะกุยอากาศจนทำให้บุรุษชุดดำที่อยู่บนหลังม้าเกือบตกลงไป ‘พวกเจ้าท่าทางมีเงินไม่น้อย หากอยากผ่านทางเข้าเมืองหลวงอย่างราบรื่น ก็ทิ้งเงินและสตรีเอาไว้ที่นี่เสีย’ ท่าทางกักขฬะของพวกนักเลงทำให้บุรุษชุดดำยิ้มมุมปาก “รีบลงมือเสีย ข้าจะรีบไปดูจวนใหม่ของข้า” สิ้นเสียงของท่านหมอเทวดาที่อยู่ในรถม้า ผู้ติดตามแซ่เจียวทั้งสิบเจ็ดคนก็พุ่งเข้าไปจัดการนักเลงที่มีมากถึงสามสิบคน ด้านคุณชายหยางที่พาฮูหยินของตนแยก
6เร่งเร้าความริษยาของสหาย เสียงนกร้องและเสียงผู้คนสนทนาดังแว่วเข้ามาในหูปลุกซูหนิงเซียนให้ตื่นขึ้น ร่างระหงลุกขึ้นนั่งพลางบิดขี้เกียจก่อนจะนิ่งค้างเช่นนั้นเมื่อดวงตาดอกท้อสบเข้ากับนัยน์ตาดำที่ฉายแววหวานซึ้ง “ขออภัยเจ้าค่ะ” “มิเป็นไร ในสายตาพี่ เจ้างดงามเสมอ ต่อให้แคะขี้มูกพี่ก็ยังมองว่าน่าเอ็นดู” ‘ปากหวานเสียจนทำให้ข้าพาลกินข้าวไม่ลง’ แม้เขาจะดูคล้ายบุรุษเจ้าสำราญ ปากหวานกับนาง แต่พอได้อยู่ร่วมกันหลายวัน นางก็ได้เห็นว่าแท้จริงเขาเป็นเช่นนี้กับนางเพียงคนเดียว จนบางครั้งทำให้นางรู้สึกอิจฉาสตรีผู้นั้นที่เขารักปักใจ
‘คุณชายของข้าช่างเกี้ยวพาสตรีได้ไม่เหมือนผู้อื่น’ คบหาดูใจไม่คิดจะทำ แต่กลับคิดรวบหัวรวบหางนางเป็นฮูหยินราวกับกลัวจะมีคนแย่งนางไป แต่เมื่อลงมาถึงด้านล่างของโรงเตี๊ยมหยางซีซวนก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นรถม้าที่มีตราสัญลักษณ์ตระกูลหยางจอดอยู่ด้านหน้า มีสตรีผู้งดงาม ดวงหน้าแลดูอ่อนเยาว์ยืนอยู่ด้านข้าง “ท่านแม่?” “ยังจำได้อยู่หรือว่าข้าเป็นแม่เจ้า” เฟยเจียงหงเอ่ยถามพลางส่งยิ้มหวานให้กับบุตรชาย แม้สตรีผู้นี้จะเลยวัยสาวมานานพอสมควร แต่ทว่าก็ยังมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หันมามองพลางขวยเขินเมื่อเห็นสตรีงามล่มเมืองแย้มยิ้ม “ท่านมาได้อย่างไร ท่านพ่อไม่ว่าหรือขอรับ” ด้วยความงามของมารดา บิดาจึงหวงแหนจนแทบไม่อยากให้ออกจากจวน หากมีงานเลี้ยงจวนใด
“ประเดี๋ยวก่อน แม่หนูลี่อินน่ะหรือ ส่งจดหมายแจ้งเจ้าว่าพ่อป่วยหนัก” “เจ้าค่ะ เสียดายข้าทำจดหมายนั่นหายไปแล้ว จึงไม่อาจนำมายืนยันได้” กล่าวจบก็จ้องมองบิดาด้วยความคิดถึง คิดถึงท่านพ่อยิ่งนัก ดีเหลือเกินที่นางได้รับโอกาสให้หวนคืนกลับมา “แต่พ่อไม่ได้เป็นอันใด ป่วยหนักสุดก็เห็นจะเป็นหวัดเมื่อสามวันก่อนเพียงเท่านั้น” “แล้วเหตุใดลี่อินถึงโกหกข้าเช่นนั้น ด้วยความร้อนใจและเป็นห่วงท่านพ่อ ข้ารีบเร่งเดินทางไม่หยุดพักจนถึงเมืองหลวงเลยนะเจ้าคะ” ละเว้นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ร่วมทางไปสักเล็กน้อยคงจะดีกว่า อย่างไรท่านพ่อก็ควรสงสัยเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลของบุตรสาว
ริษยาข้าให้มากจะได้รีบลงมือเร็วๆ นางจะได้รีบจบเรื่องแล้วพาบิดาย้ายไปอยู่เมืองซานโจว ‘เจ้าควรรู้ไว้ว่า เพียงแค่ฐานะจวนซูมันไม่ได้ทำให้ข้ามีเงินทองใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายมากมาย’ การเป็นหลานสาวของคหบดีจากเมืองซานโจวต่างหากที่ทำให้นางร่ำรวยมีเงินทองเหลือใช้ ท่านลุงก็ยังหาเงินเก่ง ท่านป้าก็ใจดีและเอ็นดูนาง ไปเมืองซานโจวเมื่อใดนางมักจะได้ตั๋วเงินกลับมาด้วย และเคยได้มากถึงหนึ่งพันตำลึงทอง “เจ้าช่างใจดี แต่ก็ดีแล้วที่เดินทางปลอดภัย” ‘คงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันที่แผนการพลาด’ “วันนี้เจ้าว่างหรือไม่ อยากจะชวนเจ้าออกไปซื้อเครื่องประดับเสียหน่อย” อีกไม่กี่วันจะมีงานเลี้ยงแสดงความยินดีที่จวนหยาง เพื่อเป็นการแสดงความยินดีที่คุณชายรองจวนหยางได้รั
7คารวะท่านพ่อตา “ซูหนิงเซียน เหตุใดกลับมาเมืองหลวงแล้วไม่ให้คนไปแจ้งข้า” เสียงทุ้มของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น ทำให้บทสนทนาที่นางไม่อยากจะตอบจบลงในทันที “หมิงอี้เฉิน เจ้ามาได้อย่างไร” คุณหนูซูเอ่ยถามบุรุษผู้มาเยือนพลางปรายตามองดวงตาที่ฉายแววโทสะของสตรีที่นั่งด้านข้าง “ถามได้ ข้าก็เดินมาสิ ไปซานโจวได้ไม่นาน ลืมแล้วหรือจวนข้าอยู่ที่ใด” คุณชายหมิง เป็นบุตรชายของเจ้ากรมยุติธรรมสหายของบิดา จวนของเขาอยู่ตรงข้ามจวนนางทำให้ในวัยเด็กนางสนิทกับบุรุษผู้นี้ และด้วยความที่นางช่างเจรจากว่านางจึงกลายเป็นที่รักของจวนหมิงมากกว่าบุตรชายของตระกูล “ไม่ได้พบเจอกันนานมิคาดคิดว่าเจ้ายังปากคอเราะร้าย[1] ระวังจะหาสตรีมาแต่งด้วยไม่ได้” “หากข้าหาสตรีมาแต่งด้วยไม่ได้ ข้าจะแต่งกับเจ้านี่แหละ ชอบสาปแช่งข้าดีนัก” ซือเย่แห่งสำนักศึกษาไท่เสวียนกล่าวพลางทรุดตัวนั่ง มือใหญ่หงายจอกชาแล้วรินใส่เองโดยไม่ต้องมีคนเชิญ “อย่าเลยเจ้าค่ะคุณชายหมิง หากข้าแต่งกับเจ้า มีหวังเจ้าคงโดนท่านลุงกับท่านป้าไล่ออกจากจวนเพราะเอาแต่รังแกข้า” “เจ้ามันจิ้งจอกห่มหน
“เจ้าบอกข้าก่อน ว่านางทำเช่นไรกับเจ้า เจ้าถึงได้รังเกียจนางมากเช่นนี้” “หากข้าบอก เจ้าอย่าได้เอามาล้อเลียนข้าเข้าใจหรือไม่” “อืม ข้าจะไม่ล้อเลียนเจ้า เล่ามาเถิด” “จำตอนนั้นที่จวนข้ามีงานเลี้ยงแล้วข้าทำร้ายนางจนบิดามารดาข้าต้องไปขอโทษเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพถึงจวนได้หรือไม่” “อืม” “ตอนนั้นแท้จริงหม่าลี่อินเข้ามากอดข้าพยายามดึงทึ้งเสื้อผ้าข้า ทั้งยังบอกว่าชื่นชอบข้าอยากเป็นฮูหยินของข้า แต่ข้าที่ตัวใหญ่กว่าไม่ยินยอมจึงผลักนางให้ออกห่างสุดท้ายนางล้มลง พอดีกับมีคนเข้ามาเห็นพอดี ข้าจึงกระจ่างแจ้งในใจว่าแท้จริงทั้งหมดเป็นเล่ห์กลชั่วร้ายของหม่าลี่อิน” “เรื่องใหญ่เพียงนี้เหตุใดถึงไม่คิดบอกกล่าวข้า” “ตอนนั้นเจ้ายังมองข้าด้วยแววตาผิดหวังอยู่มิใช่หรือ” ท่าทางแง่งอนของซือเย่แห่งสำนักศึกษาทำให้นางยกยิ้ม “ข้าขอโทษ เจ้าให้อภัยข้าได้หรือไม่” นางกล่าวพลางออดอ้อนสหาย ดวงหน้าหวานคลอเคลียถูไถบริเวณต้นแขนแกร่ง “ได้ แต่ต้องแลกกับการไปงานเลี้ยงจวนหยางเป็นเพื่อนข้า” ออกงานกับสหายผู้งดงาม จะได้เกิ
“ข้านี่ไม่ได้เรื่องเลย เชิญคุณชายหยางคุณหนูซูไปนั่งที่โต๊ะทางนั้นก่อนเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนเตรียมขนมและน้ำชามาขึ้นโต๊ะ” “รบกวนคุณหนูรองหลินแล้วเจ้าค่ะ” นางตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานก่อนจะก้าวเดินด้วยท่วงท่าสง่างาม บุรุษรูปงามสตรีงดงามอ่อนหวานเดินเคียงข้างกันเรียกสายตาของผู้อื่นให้หันมามองได้ไม่ยาก เมื่อถึงที่นั่งหลินอี้เฟยแจ้งว่างานเลี้ยงนี้แบ่งที่นั่งชายหญิง ดังนั้นบุรุษรูปงามจึงไม่อาจนั่งเคียงข้างคู่หมั้นได้ “คุณชายหยางเจ้าคะ ที่นั่งฝ่ายชายอยู่ด้านโน้น ให้ข้าได้นำทางท่านไปเถิดเจ้าค่ะ” “หนิงเซียนงานเลี้ยงที่แบ่งแยกเช่นนี้ พี่ไม่อยากอยู่ร่วมแล้ว หากเจ้าไม่อาจนั่งกับพี่ พี่ไม่อาจนั่งกับเจ้าได้ เราก็กลับจวนกันเถิด” เพื่อป้องกันความผิดพลาดหยางซีซวนไม่มีทางยอมแยกกับนางจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม “หากท่านอยากกลับข้าก็จะ...” “อี้เฟย ยกเว้นคุณชายหยางไว้สักคนเถิด เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ให้คุณชายหยางกับหนิงเซียนสหายข้าไปนั่งตรงโน้น จะได้ไม่เป็นที่สังเกตมาก” “แต่ว่า...” “นะอี้เฟย ถือว่า
“ต่อจากนี้หากต้องไปร่วมงานเลี้ยงจวนใดอีก เจ้าต้องบอกกล่าวพี่ด้วย พี่จะได้ไปร่วมงานกับเจ้า” สายตาของบุรุษพวกนั้นไม่น่าไว้ใจยิ่ง เขากลัวจะมาล่อลวงนาง “เจ้าค่ะ เราเข้าไปด้านในเถิด” นางและหยางซีซวนเดินไปทักทายนายท่านหลินก่อนจะเดินตามสาวใช้ที่เดินนำไปยังที่นั่งซึ่งได้ถูกจัดเอาไว้แล้ว ‘เป็นสตรีในห้องหอ แต่จ้องมองบุรุษของข้าราวกับหญิงนางโลม’ ซูหนิงเซียนเผลอจ้องมองสตรีรอบตัวด้วยสายตาไม่ชอบใจ “พี่ไม่สนใจสตรีเหล่านั้นหรอก เซียนเอ๋อร์อย่าได้มีโทสะเลย” น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยคล้ายกับกำลังกลั้นหัวเราะ ทำให้นางตวัดสายตาหันไปมอง “แม้ท่านจะมากมารยา แต่ท่านก็อย่าได้ดูถูกมารยาสตรีนะเจ้าคะ หากวันใดท่านพลาดพลั้งจนต้องรับสตรีอื่นเข้าจวน ข้าคงได้แต่เขียนหนังสือหย่ามอบให้ท่านแล้วจากไป” “จะไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นแน่นอน” เพราะหากวันหนึ่งเขาเกิดพลาดพลั้งขึ้นมาจริง สตรีผู้นั้นเกรงว่าจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและไร้ชีวิต เฝ้ารอนางเพื่อให้ได้ครองคู่มานานถึงเพียงนี้ เขาไม่มีทางปล่อยให้เรื่องใดหรือใครมาขัดขวางได้
20คืนสนอง ซูหนิงเซียนซ่อนความเอือมระอาเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มบางอย่างแนบเนียน นางส่งเสียงตอบรับวาจาของสหายชั่วช้าเป็นครั้งคราว “ข้าได้ยินอี้เฟยกล่าวว่าเจ้าตอบรับเทียบเชิญจากจวนหลินแล้ว” “อืม คราแรกข้าคิดว่าจะไม่ไป แต่เป็นซีซวน เอ่อ...ข้าหมายถึงคุณชายเล็กหยางเอ่ยวาจาโน้มน้าวจนข้ายินยอมไปร่วมงานในฐานะว่าที่ฮูหยินของเขา” “ดียิ่งนักที่เจ้าไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนหลิน ข้าจะได้มานอนที่จวนเจ้า รุ่งเช้าเราจะได้ช่วยกันเลือกสรรอาภรณ์ แต้มหน้าทาปาก...” “ลี่อิน คุณชายเล็กหยางจะมารับข้าที่จวนและเราจะนั่งรถม้าไปด้วยกัน คงไม่ดีแน่หากเจ้าจะไปพร้อมข้า” “เช่นนั้นเจ้าก็นั่งรถม้าคันเดียวกับคุณชายเล็กหยาง ส่วนข้าก็นั่งรถม้าของจวนซูตามหลังเจ้าไป” “ลี่อิน เราค่อยเจอกันที่จวนหลินเลยดีหรือไม่ แต่หากเจ้าอยากได้สหายช่วยแต่งตัว เหตุใดเจ้าไม่ไปขอค้างที่จวนหลิน จะได้ไม่ต้องเดินทางให้เหนื่อย ข้าว่าคุณหนูหลินต้องยินดีที่เจ้าจะไปนอนค้างที่จวนกับนาง” จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร หลินอี้เฟยหรือจะยอมให้ตนหยิบยืมอาภรณ์และเครื่องประดับล้
‘ถึงคราวต้องใช้เจ้าแล้ว หลินอี้เฟย’ สตรีที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จเดินออกจากหลังฉากกั้น กลิ่นหอมกรุ่นโชยเข้าจมูกของบุรุษที่มานั่งจิบชารอนางในดวงใจ “ท่านคงไม่ได้ปีนหน้าต่างเรือนของข้าเพื่อมานั่งจิบชาใช่หรือไม่เจ้าคะ” “ฮูหยินของพี่ช่างเก่งกาจไม่แพ้พี่ แท้จริงพี่มีเรื่องสำคัญจะมาบอกกล่าวเจ้า” “เช่นนั้นก็บอกมาเถิดเจ้าค่ะ” “ในครานั้นที่ท่านพ่อตาโดนคนร้ายทำร้าย เป็นฝีมือของกวางเหลียงอี้จริง และวันนี้สหายของเจ้าและกวางเหลียงอี้ ก็มีแผนจะลงมือกับเจ้า เพียงแต่เมื่อเจ้าปฏิเสธที่จะออกจากจวนแผนของพวกนั้นจึงพัง” เรื่องราวเหล่านั้นเขาได้เก็บหลักฐานเอาไว้หมดแล้ว เมื่อซูหนิงเซียนยินยอมให้ลงดาบ เขาจึงจะนำมันออกมาใช้ “การกระทำของหม่าลี่อินวันนี้ดูรีบร้อนไม่รอบคอบ คงเป็นเพราะข่าวลือที่ข้าขอให้ท่านปล่อยออกไป” ถึงได้เก็บอาการไม่อยู่ พยายามเร่งเร้าให้นางออกจากเรือนด้วยจนน่าสงสัย “นางจะลงมืออีกครั้งในงานเลี้ยงที่จวนหลิน โดยมีหลินอี้เฟยให้ความร่วมมือด้วย” แม้เป็นเพียงบุตรสาวของฮูหยินรอง แต่เขาก็ไม่คิดว่าบุตรสาวที่มีบิ
ช่างเป็นการเจรจาสู่ขอที่ใช้คำว่า ‘ร่ำรวย’ ได้สิ้นเปลืองเสียจริง ซูหนิงเซียนจิบชาพลางลอบมองสหายชั่วช้าที่นั่งเอ่ยวาจาเจื้อยแจ้วอยู่ตรงหน้า “หนิงเซียนเจ้าออกไปร้านผ้ากับข้าเถิดนะ ข้าอยากไปดูอาภรณ์ใส่ไปงานเลี้ยงที่จวนคหบดีหลิน” “เจ้าไปเถิด ท่านพ่อสั่งให้ข้าเก็บเนื้อเก็บตัว หากไม่จำเป็นไม่ให้ออกไปไหนมาไหนจนกว่าจะถึงวันงาน” แท้จริงแล้วนางคิดว่าต้องเป็นเขาเสนอบิดาของนางเช่นนั้นแน่นอน ซึ่งพักหลังมานี้ท่านพ่อก็คล้ายจะสนทนาถูกคอกับว่าที่บุตรเขย “หนิงเซียนไปเถิดนะ เจ้าเป็นสหายคนเดียวของข้า หากเจ้าไม่ไปข้าก็ไม่รู้จะไปชักชวนใครแล้ว” “กล่าวถึงงานเลี้ยงจวนคหบดีหลิน เจ้าได้เทียบเชิญด้วยหรือ” “ข้าเคยช่วยเหลือคุณหนูรองตระกูลหลินเอาไว้ นางจึงส่งเทียบเชิญให้ข้าไปร่วมงานเลี้ยง” ก็แค่ทำให้รถม้าของหลินอี้เฟยมีปัญหาแล้วยื่นมือเข้าช่วย สตรีผู้นั้นก็ซาบซึ้งใจและขอเป็นสหายกับตนแล้ว “ในเมื่อเจ้าคุ้นเคยกับนาง เหตุใดไม่ลองชวนคุณหนูรองหลินออกไปเลือกซื้ออาภรณ์ ในภายหน้าหากข้าแต่งเข้าจวนหยางแล้ว เจ้าจะได้ไม่เหงา” คำกล่าวข
“นั่นมันหยกจันทร์กระจ่างใช่หรือไม่เจ้าคะ” แม่สื่อที่อดรนทนไม่ไหวเอ่ยปากถาม มือที่จับพัดออกแรงพัดดวงตาที่คล้ายจะร้อนขึ้นมาหวังจะทำให้เย็นลง “ใช่แล้วท่านแม่สื่อ” “แล้วนั่นไข่มุกอันใดหรือเจ้าคะ ช่างแปลกตายิ่งนัก” แม่สื่อซักถามต่อ แม้การกระทำของแม่สื่อจะดูเป็นการเสียมารยาทแต่เพื่อสร้างข่าวลือที่น่าริษยา หยางฮูหยินก็ยินดีที่จะทำตามคำขอของบุตรชายอย่างสุดความสามารถ จะให้เสียชื่อจอมยุทธ์เจ้ามารยาแห่งยุทธภพได้อย่างไร “ไข่มุกเลือดเจ้าค่ะ ส่วนนั่นเป็นไข่มุกทะเลตงไห่เจ้าค่ะ” “ช่างเป็นบุญตาข้ายิ่งนัก ที่ได้มีโอกาสเห็นหยกจันทร์กระจ่างก้อนใหญ่เช่นนี้ ทั้งยังไข่มุกเลือดอีก” ว่ากันว่าของสองสิ่งนี่เป็นของที่หาได้ยากยิ่ง หากตระกูลใดมีไว้ครอบครองบ่งบอกถึงความมั่งคั่งร่ำรวยไม่แพ้ฮ่องเต้ผู้ครองแคว้น “หยางฮูหยินของล้ำค่าเช่นนี้ ท่านนำมามอบเป็นสินสอดเช่นนี้ไม่เหมาะสมกระมัง” “ท่านเจ้ากรมอาญาอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเจ้าค่ะ สินสอดที่ข้าเตรียมมาในวันนี้ ท่านแม่ทัพและข้าล้วนไตร่ตรองดีแล้ว คุณหนูซูเป็
19รับหน้าที่เป็นผู้เฒ่าจันทรา เมื่อเซียวอ้ายช่างได้ทราบถึงเรื่องราวที่สหายต้องการให้ตนไปเป็นพยานร่วมรับรู้ว่าต่อจากนี้ คุณชายเล็กแห่งจวนตระกูลหยางจะไม่สร้างเรื่องโกหกซูหนิงเซียนอีก ก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ แต่เมื่อเห็นหน้าคนรักของนาง สหายก็แทบจะรักษากิริยามารยาทเอาไว้ไม่ได้ “แท้จริงคนรักของเจ้าก็เป็นคุณชายผู้นี้” “ใช่แล้ว และเขาก็รับปากแล้วว่าเมื่อเจ้าช่วยเหลือเรื่องที่ข้าขอ เขาก็ยินดีจะช่วยเหลือในสิ่งที่เจ้าต้องการ” “เช่นนั้นก็ดี แต่เจ้าไม่กลัวตนเองจะช้ำใจหรือ บุรุษผู้นี้ปลิ้นปล้อนยิ่งนัก ข้ากลัวว่าเจ้าจะเสียใจ” คุณหนูเซียวทำทีป้องปากกล่าวเสียงเบา แต่ผู้ฝึกยุทธ์เช่นเขามีหรือจะไม่ได้ยิน ‘สตรีผู้นี้ คิดจะเอาคืนข้าที่เคยขัดขวางวาสนายวนยางใช่หรือไม่’ “ข้าเชื่อมั่นในตัวเขา” คำกล่าวของนางทำให้หยางซีซวนยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี “เอาล่ะ จะให้ข้าเป็นพยานอย่างไร” ในเมื่อสหายยืนยันเช่นนี้ ตนจะทำอันใดได้นอกจากยินดี “หากต่อจากนี้เขาผิดสัญญา กล้าโกหกข้าอีกไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ ข้าอ
“หากท่านไป ข้าก็จะไปเช่นเดียวกัน” เพราะได้เขาช่วยเหลือในวันนั้น นางจึงเกิดความประทับใจและเฝ้ามีใจให้เขา และในงานวันนั้นเองที่นางได้รับรู้ความจริงแล้วว่าแท้จริงบุรุษที่ตนพึงใจนั้นชื่นชอบคุณหนูกวนผู้นั้น ยามที่กวนฮวาเหมยปรากฏตัว เขามักจะลืมนางทุกครั้งไปทำให้นางเกิดความไม่พอใจ เช่นเดียวกับบิดาและพี่ชายทั้งห้าของนาง บิดาที่ทนเห็นนางนั่งเศร้าไม่ออกไปวิ่งเล่นหลายวันอดรนทนไม่ไหว รีบบากหน้าขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เพื่อขอสมรสพระราชทานให้เซียวอ้ายช่างได้เป็นพระชายาเอกในองค์ชายห้า หวงหลี่จื้อ แม้นางจะยังงุนงงที่จู่ๆ สมรสพระราชทานตกใส่หัว แต่ด้วยความดีใจนางจึงรีบไปหาเขาที่จวนเชิงเขา แต่กลับได้พบเขากำลังปลอบใจคุณหนูกวนผู้นั้น ‘หม่อมฉันมาวุ่นวายกับพระองค์เช่นนี้คุณหนูเซียวคงมิพอใจ ถึงได้ขอให้บิดาเข้าวังไปขอสมรสพระราชทาน’ ‘นางกล้าดีอย่างไร มาบังคับองค์ชายอย่างข้า’ ‘นางคงปักใจรักองค์ชาย จึงทำเช่นนั้น ต่อจากนี้หม่อมฉันคงมาเจอองค์ชายไม่ได้อีก หม่อมฉันไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นสตรีไร้ยางอายคิดแย่งบุรุษของผู้อื่น’ ‘ข้า
“โอ๊ย! งูกัดข้า” เด็กน้อยวัยสิบขวบส่งเสียงร้องพลางทรุดตัวลงนั่งกุมข้อเท้าของตน “เจ้างูบ้า กัดข้ามาได้ ถ้าข้าตายไปข้าจะตามหลอกหลอนเจ้า” นางก่นด่างูตัวนั้นที่เลื้อยหนีไป น้ำตาเริ่มคลอเบ้าก่อนจะร่วงหล่น “ฮือๆ ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชาย ข้าผิดไปแล้ว ข้ามิน่าออกมาเล่นนอกจวนตามลำพัง ข้าน่าจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของพวกท่าน ฮึก” เซียวอ้ายช่างกล่าวพลางยกมือปาดน้ำตาที่ยังคงไหลเป็นสาย “ฮือ...ใครก็ได้เจ้าค่ะ ได้โปรดช่วยข้าด้วย ข้าโดนงูกัด” นางส่งเสียงร้องแม้จะรู้ดีว่าในป่าเช่นนี้จะมีใครโผล่มาช่วยเหลือ สุดท้ายนางก็คงต้องตายจากโดยไม่ได้ร่ำลา “ฮือๆ” เมื่อรู้สึกสิ้นหวัง เด็กน้อยชันเข่าแล้วซบหน้าลงบนแขนตนพลางร้องไห้ออกมาอย่างสุดเสียง “ฮือ...ข้าผิดไปแล้ว ข้ามิน่าลอบหนีออกมาเที่ยวเล่นตามลำพัง ข้าขอโทษเจ้าค่ะท่านพ่อท่านแม่ พี่ชาย” สวบสาบ เสียงฝีเท้าของอะไรบางอย่างเดินใกล้เข้ามา แต่เพราะนางกำลังร้องไห้เสียงดังจึงไม่ได้ยิน “หนูน้อย เหตุใดเจ้าถึงมานั่งร้องไห้กลางป่าเช่นนี้” “ท่าน! เป็นคนไม่ดีใช่หรือไม่ อย่า