“มิต้อง เป็นฮูหยินของพี่ เจ้าต้องพักห้องเดียวกับพี่ พี่จะให้เจ้าจ่ายได้อย่างไร”
“ข้าเจ็บข้อเท้าเช่นนี้ หากต้องนอนเบียดกับท่านที่บาดเจ็บเช่นกัน ข้าเกรงว่าจะไม่สะดวก อย่างไรเราพักกันคนละห้องดีหรือไม่เจ้าคะ” แค่ต้องแสร้งเป็นฮูหยินให้เขา นางก็เสียหายมากพอแล้ว หากมีใครทราบว่านอนห้องเดียวกันอีก นางมิต้องแต่งให้เขาจริงๆ เลยหรือ
“พี่เข้าใจแล้ว เจ้าคงยังโกรธเคืองพี่ เช่นนั้นพี่จะให้เวลาเจ้าทบทวน” เขาตอบรับด้วยสีหน้าท่าทางเศร้าสร้อยราวกับเด็กน้อยถูกปฏิเสธไม่ให้กินถังหู่ลู่
‘ไม่ต้องทำหน้าเช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าไม่ใจอ่อนหรอก’ บุรุษรูปงามเช่นท่านคงมีฮูหยินและอนุเต็มเรือนแล้ว
“นี่เป็นค่าห้องของข้าเจ้าค่ะ” นางยื่นตำลึงให้เขา แต่แทนที่เขาจะรับมันไว้ เขากลับเข้ามาโอบอุ้มนางเพื่อพาลงจากรถม้า
“ท่านปล่อยข้าเถิดเจ้าค่ะ ข้าเดินเองได้” มีคนมองมากมายเช่นนี้ นางรู้สึกอับอายยิ่งนัก
“ท่านหมอกล่าวว่าไม่ให้เจ้าเดินเหินจนกว่าจะหายมิใช่หรือ” ในกาลก่อนแม้จะได้สนทนากันหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยทราบว่าสตรีผู้นี้ดื้อรั้นยิ่งนัก
ดวงหน้าหวานที่ยุ่งเหยิงราวกับเด็กน้อยถูกขัดใจช่างน่ารักน่าหยิกยิ่งนัก
อา...รู้สึกเหมือนเขากำลังหลงใหลนางเพิ่มมากขึ้น
แม้จะทราบดีว่าการกระทำของตนในตอนนี้คล้ายกับไม่ให้เกียรตินาง แต่แล้วอย่างไรในเมื่อตอนนี้นางเป็นฮูหยินของเขา ส่วนเขาเป็นเพียงชายสติฟั่นเฟือน หากมัวแต่ยึดถือธรรมเนียมชายหญิงไม่ถูกเนื้อต้องตัว แล้วนางจะเชื่อได้อย่างไรว่าเขามองว่านางเป็นฮูหยินของตนจริงๆ
“แต่คนมองมากมายเช่นนี้ ข้า...”
“เจ้าอย่าได้สนใจผู้อื่นเลย พี่ดูแลฮูหยินของตนเช่นนี้ มิผิดอันใดไม่ใช่หรือ ประเดี๋ยวเราจะนั่งกินข้าวด้านล่างก่อน”
“ให้เสี่ยวเอ้อร์ยกไปให้ที่ห้องไม่ได้หรือเจ้าคะ” มีสายตาผู้อื่นจับจ้องมากมายเช่นนี้นางไม่คุ้นชินเอาเสียเลย
“นั่งกินข้าวด้านล่างก่อน เจ้าจะได้ชื่นชมวิถีชีวิตคนเมืองนี้ไปด้วย” เขากล่าวพลางวางตัวนางให้นั่งบนเก้าอี้
‘ถามข้าแล้วหรือ ข้าอยากชื่นชมวิถีชีวิตผู้อื่นหรือไม่’ สุดท้ายนางก็ไม่ได้กล่าวอันใดอีก
ดูแล้วบุรุษผู้นี้คงเป็นคุณชายที่มาจากตระกูลขุนนางชั้นสูงหรือไม่ก็คหบดีที่ร่ำรวยเอามากๆ ถึงได้เอาแต่ใจคล้ายกับถูกตามใจมาโดยตลอด
แต่เขาจะเป็นใครก็ช่างเถิด พอถึงเมืองหลวงแล้วเขากับนางก็จะกลายเป็นเพียงคนเคยรู้จักกัน
“เจ้าอยากกินอันใดก็สั่งมาเถิด สั่งเผื่อพี่ด้วย”
“เขาไม่เคยแพ้อาหารอะไรใช่หรือไม่” นางหันไปถามบุรุษชุดดำที่นั่งโต๊ะด้านหลัง
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะจำนวนผู้ติดตามที่มากหรือเป็นเพราะโรงเตี๊ยมแห่งนี้เล็กเกินไป ตอนนี้ในโรงเตี๊ยมจึงเต็มไปด้วยคนของเขา
“ไม่มีขอรับ” เจียวโจวตอบกลับฮูหยินของคุณชายอย่างนอบน้อม
เมื่อได้คำตอบจากผู้ติดตามของเขา นางจึงจัดการสั่งอาหารจำนวนสี่ห้าอย่าง แต่พอละสายตาจากเสี่ยวเอ้อร์ นางก็พบเข้ากับแววตาหวานซึ้งของบุรุษที่ตอนนี้กล่าวว่าเป็นสามีของตน
“ฮูหยินเจ้าช่างรู้ใจพี่”
‘กล่าวเช่นนี้ ข้าคงไม่ได้สั่งอาหารที่เขาชอบมาทั้งหมดหรอกนะ’ นางคิดพลางยกชาขึ้นจิบ
“ฮูหยินหากเจ้าหายโกรธพี่เมื่อใด เจ้ามีบุตรให้พี่...” เขายังกล่าวไม่ทันจบนางก็สำลักน้ำชาจนหน้าดำหน้าแดง
“แค่ก แค่ก” ซูหนิงเซียนยกมือตบอกตนเองพลางไอออกมา
“ค่อยๆ จิบน้ำชาอย่าได้เร่งรีบ”
‘เป็นท่านมิใช่หรือที่ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้’ นางคิดพลางไอออกมา
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางรับผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากพลางไออีกครั้ง
4ต่างคนต่างพึ่งพากัน หลังจากนั้นนางก็ได้แต่นั่งฟังเขากล่าววาจาวาดฝันเรื่องราวที่เขาอยากทำกับฮูหยินของเขา ซึ่งนั่นไม่ใช่นางแน่นอน “อิ่มแล้วหรือ” เขากล่าวพลางมองอาหารที่ตนคีบให้นางจนพูนชาม นางช่างกินน้อยเสียจริง... “เจ้าค่ะ” “เช่นนั้นก็กินยา” เขากล่าวพลางรับชามยามา “เจ้าค่ะ” นางตอบรับอย่างว่าง่ายก่อนจะยกชามยาขึ้นกินจนหมด “เก่งมาก” แววตาของเขามีประกายเอ็นดูพาดผ่าน “ข้ากินยาแล้ว ท่านล่ะเจ้าคะ” “พี่กินแล้ว” “กินตอนไหนเจ้าคะ” นัยน์ตาดอกท้อที่จับจ้องราวกับผู้ใหญ่กำลังจับโกหกเด็กทำให้เขายิ้ม “พี่กินก่อนที่จะพาเจ้าลงจากรถม้า” คำโกหกของเขาทำให้บรรดาผู้ติดตามลอบยิ้ม ไม่ว่าคุณชายจะเก่งกาจเพียงใดแต่สุดท้ายก็ต้องแพ้ให้กับฮูหยินน้อย “บังเอิญจริงเชียวที่เจอพวกเจ้า” บุรุษในอาภรณ์สีขาวเดินเข้ามาทักทาย “คารวะท่านหมอเจ้าค่ะ” นางลุกยืนทักทายท่านหมอ “อย่ายืนเช่นนั้น ประเดี๋ยวจะเจ็บข้อเท้าเอา” เขาใช้โอกาสนี้รั้งตัวนางให้นั่งลงบนต
“พี่อยากปรนนิบัติฮูหยินของพี่” ‘แต่ข้าไม่ใช่ฮูหยินของท่าน’ นิสัยใจคอเป็นอย่างไร จวนอยู่ที่ใด นางยังไม่ทราบเลย เป็นเพียงแค่คนบังเอิญผ่านมาเจอกัน และต่างฝ่ายต่างพึ่งพากันเพียงเท่านั้น “เท้าเป็นของต่ำ บุรุษมิควรลดตัวมาจับเท้าสตรีเช่นนี้” คุณหนูซูพยายามหาข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยง ให้บุรุษเห็นเท้าเปล่าว่าผิดจารีตแล้ว หากให้เขาจับอีก นางมิต้องเอาตนเองใส่ตะกร้าล้างน้ำเลยหรือ “ฮูหยิน เจ้าอย่าได้ยึดถือธรรมเนียมเก่าแก่เหล่านั้นให้มาก สามีเพียงอยากปรนนิบัติเจ้า” กล่าวจบเขาก็ยึดเท้าข้างที่นางไม่ได้เจ็บเอาไว้แน่นแล้วถอดรองเท้าให้ ‘ต่อจากนี้ข้าคงหาบุรุษมาแต่งงานด้วยไม่ได้’ แต่ก็ช่างเถิด หลังจากได้หวนคืนมาสิ่งที่นางให้ความสำคัญที่สุดมิใช่เป็นการเลือกแต่งกับบุรุษดีๆ สักคน แต่เป็นการแก้แค้นเอาคืนคนพวกนั้นต่างหาก “หากเจ็บให้บอกพี่” หยางซีซวนกล่าวพลางค่อยๆ แกะผ้าที่พันไว้ออก นัยน์ตาดำมีประกายเจ็บปวดพาดผ่านชั่วครู่เมื่อเห็นรอยฟกช้ำ ภาพในคืนนั้นที่เขาเห็นร่างไร้วิญญาณของนางย้อนกลับเข้ามาในหัว มือใหญ่สั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อยยามเขาควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้
“ข้าก็จะแต่งนางเป็นฮูหยินจริงๆ” “ที่ข้าถามคือเมื่อใดเจ้าจะเลิกแสร้งสติฟั่นเฟือน” อย่างไรวันหนึ่งก็ควรจะอาการดีขึ้น “เรื่องนี้ข้ายังตอบไม่ได้” “สร้างเรื่องโกหกเช่นนี้ ตอนลงหาทางลงดีๆ ด้วยล่ะ มิเช่นนั้นแทนที่จะได้แต่งฮูหยิน นางอาจจะโกรธเกลียดเจ้าจนไม่อยากพบหน้าเลยก็เป็นได้” “...” ในตอนนั้นเขาไม่ทันคิดถึงผลที่ตามมาจริงๆ เขาใช้เวลาตัดสินใจเรื่องนี้ชั่วครู่ยามสบตากับนาง ก่อนที่ปากจะเอื้อนเอ่ยเรียกนางเช่นนั้นออกมา “ชักอยากจะเห็นวันที่นางโกรธเจ้าแล้วสิ” กล่าวจบก็ลูบหัวเสี่ยวอ้ายที่เลื้อยออกมาจากแขนเสื้อ ‘ปากดีต่อหน้าแม่นางผู้นั้นไปเถิด วันใดที่โดนนางเมินเฉยข้าจะหัวเราะให้ฟันร่วง’ ลู่จื้อคิดพลางส่งยิ้มอ่อนโยนให้งูสีเหลืองของตน เสี่ยวอ้ายของเขาน่าเอ็นดูที่สุด “หากนางโกรธข้าเช่นที่เจ้ากล่าวเมื่อใด ข้าจะให้เสี่ยวช่างมาจิกเสี่ยวอ้ายของเจ้า” เสี่ยวช่างเป็นเหยี่ยวตัวใหญ่ที่เขาเลี้ยงไว้ “หยุดความคิดของเจ้าไปเลย” ท่านหมอเทวดารีบเก็บสัตว์เลี้ยงของตนเข้าในแขนเสื้อ “เจียวมิ่ง เจ้าพาคนล่วงหน้าไปยัง
เพียงแค่นางเรียกขานว่า ‘สามี’ ก็ทำหูตั้งหางส่ายไปมาราวกับเจ้าเสี่ยวโก่ว “เขาไม่ยอมกินยาเจ้าค่ะ ท่านช่วยใช้วิธีผ่าหัวเพื่อรักษาให้เขาหายจากสติฟั่นเฟือนได้หรือไม่เจ้าคะ” “คงมิได้หรอกแม่นาง ข้ายังไม่เคยผ่าหัวใครเลยสักครั้ง” “เช่นนั้นใช้เขาลองเถิดเจ้าค่ะ” นางคอยถามไถ่เรื่องกินยาด้วยความเป็นห่วงอยู่หลายวัน แต่เขากลับโกหกนาง มันน่าโมโหหรือไม่ “ฮูหยิน...” “บุรุษมากเล่ห์เช่นท่านหาใช่สามีข้า” นางเฝ้าดูแลเขามาหลายวัน แต่เขากลับไม่กินยา เช่นนี้เมื่อใดจะหายกันเล่า “ฮูหยินไม่เอา ไม่กล่าวเช่นนั้น พี่ขอโทษเจ้าหายโกรธพี่ได้หรือไม่” “ข้าไม่ได้โกรธเจ้าค่ะ ” แค่หงุดหงิดเพียงเท่านั้น “หากเจ้าไม่ได้โกรธพี่แล้วเจ้ากำลังจะเดินไปที่ใด ท่านหมอห้ามเจ้าเดินเหินมิใช่หรือ” เขากล่าวเสียงอ่อนพลางทำท่าจะลุกเดินตามนาง “ข้าหายแล้วเจ้าค่ะ และท่านหยุดเท้าอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ ข้าขออยู่คนเดียวเงียบๆ” ขอนางสงบสติอารมณ์ชั่วครู่ เขาไม่ได้เป็นสามีนางจริงๆ เสียหน่อย นางไม่ควรต้องห่วงใยเขามากถึงเพียงนี้ “เช่นนั้
5ใกล้ถึงเวลาแยกย้าย หลังจากปรนนิบัติและส่งฮูหยินเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว ท่านหมอเทวดาก็ถูกสหายลากเข้าห้องของผู้ติดตามซึ่งอยู่ไกลจากห้องของนางไม่มากนักเพื่อสอบถาม “นางสนทนาเรื่องอันใดกับเจ้า” “นางแค่สงสัยอาการเจ็บป่วยของเจ้า” “สงสัยเรื่องอันใด รีบเล่าให้ข้าฟังบัดเดี๋ยวนี้” ท่าทางร้อนรนราวกับคนร้อนตัวทำให้ท่านหมอเทวดาอมยิ้ม ดูเหมือนคุณหนูผู้นั้นจะมีความสำคัญไม่น้อย สหายของตนถึงได้ร้อนรนถึงเพียงนี้ “นางก็แค่สงสัยว่าหากเจ้าไม่เคยมีฮูหยินหรือสตรีในเรือนหลังมาก่อน แต่เหตุใดพอสติฟั่นเฟือนถึงได้เอาแต่เรียกนางว่าฮูหยิน” “แล้วเจ้าตอบว่าอย่างไร” “เลิกข่มขู่ว่าจะทำร้ายเสี่ยวอ้ายของข้าก่อน แล้วข้าจะบอก” “เจ้ากล้าต่อรอง” “ข้าเป็นหมอเทวดานะ ไม่ใช้บุตรชายของเจ้า” “ก็ได้ สหายรัก ข้าจะเอ็นดูเสี่ยวอ้ายของเจ้า” ช่างเป็นรอยยิ้มที่แผ่ไปไม่ถึงดวงตา “ข้าก็แค่บอกว่าบางทีเจ้าที่ปักใจรักและวาดฝันจะกราบไหว้ฟ้าดินกับสตรีผู้หนึ่ง อาจจะกำลังสับสนระหว่างความจริงกับความฝัน”
“ขอบคุณที่เข้าใจเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า จึงไม่ได้เห็นสายตาลุ่มลึกยากจะคาดเดาของเขา ยามค่ำคืนหยางซีซวนนั่งจิบชาราวกับเฝ้ารอคอยเรื่องบางอย่าง ใบหน้าที่มักจะส่งยิ้มออดอ้อนฮูหยินของตนบัดนี้เรียบเฉยไร้ท่าทางหยอกเย้าเช่นทุกครั้ง แต่ในสายตาของผู้ติดตามแซ่เจียวทั้งหมด ทุกคนย่อมทราบดีว่านี่เป็นนิสัยปกติของผู้เป็นนาย ยามอยู่กับฮูหยินต่างหากที่คุณชายของพวกตนดูไม่ใคร่ปกตินัก พรึ่บ! บุรุษชุดดำสองคนเข้ามาทางหน้าต่างก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นนาย “ว่ามา” คุณชายหยางกล่าวพลางหมุนจอกชาเล่น “คุณหนูหม่าลอบพบคุณชายกวางอยู่บ่อยครั้ง ทั้งสองคนสนิทสนมกันมาก ข้าน้อยจึงสืบต่อจนพบว่าทั้งสองแท้จริงเป็นเหมยเขียว
“ฮูหยิน เจ้าอดทนเห็นหน้าบุรุษที่รูปงามน้อยกว่าพี่เพียงครู่เดียวอีก ไม่นานเราก็จะถึงเมืองหลวงแล้ว” เขากล่าวพลางรินชาใส่จอกให้นางอย่างเอาใจ ‘สหายผู้นี้ปากไม่ดี มันน่าเปิดโปงความลับเสียจริง’ ทำตัวราวกับเด็กน้อยกลัวผู้อื่นมาแย่งความรักความสนใจจากมารดา “ท่านอย่าได้กล่าววาจาไม่ดีต่อท่านหมอเช่นนั้น” “...” เขาเม้มริมฝีปากราวกับอัดอั้นตันใจ ก่อนจะก้มหน้าลง “ข้าต้องขออภัยท่านหมอด้วยนะเจ้าคะ เขาสติฟั่นเฟือนอาจกล่าววาจาไม่เหมาะสมไปบ้าง” นางหันไปกล่าวกับท่านหมอ ถึงไม่ได้เห็นเบื้องหลังสีหน้าของบุรุษมากเล่ห์ ‘ดู...สหายข้าสำนึกที่ใด แสร้งทำเป็นน
“อย่าเพิ่งโอ้อวด พาตนเองให้รอดจากการโจมตีก่อนเถิด” เพราะไม่อยากให้นางตื่นกลัวกับการถูกลอบโจมตี เขาจึงผสมยานิทราลงในชาจอกนั้นให้นางดื่ม ฮี้ ม้าของผู้ติดตามที่วิ่งนำหน้าส่งเสียงร้องเมื่อมีบางอย่างขวางทาง สองขายกขึ้นตะกุยอากาศจนทำให้บุรุษชุดดำที่อยู่บนหลังม้าเกือบตกลงไป ‘พวกเจ้าท่าทางมีเงินไม่น้อย หากอยากผ่านทางเข้าเมืองหลวงอย่างราบรื่น ก็ทิ้งเงินและสตรีเอาไว้ที่นี่เสีย’ ท่าทางกักขฬะของพวกนักเลงทำให้บุรุษชุดดำยิ้มมุมปาก “รีบลงมือเสีย ข้าจะรีบไปดูจวนใหม่ของข้า” สิ้นเสียงของท่านหมอเทวดาที่อยู่ในรถม้า ผู้ติดตามแซ่เจียวทั้งสิบเจ็ดคนก็พุ่งเข้าไปจัดการนักเลงที่มีมากถึงสามสิบคน ด้านคุณชายหยางที่พาฮูหยินของตนแยก
“หากท่านอยากปีนหน้าต่างจวนข้า คิดว่าใครจะห้ามได้หรือเจ้าคะ” “ที่เจ้ากล่าวมามันก็จริง เช่นนั้นพี่ไปล่ะ กลางวันแดดร้อนไม่น้อย เอาไว้ยามพระจันทร์ฉายแสงค่อยเจอกันอีกครั้ง” กล่าวจบเขาก็กลับไปขึ้นรถม้า ‘เช่นนั้นวันนี้ท่านก็คงมาเจอข้าไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ เพราะวันนี้เป็นคืนเดือนมืด’ มุมปากหยักของซูหนิงเซียนยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าจวนของตน เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวออกจากจวนซูได้ชั่วครู่แล้ว คุณชายหยางจึงบอกกล่าวผู้ติดตามก่อนจะทะยานออกจากรถม้าไป “ลมอันใดหอบเจ้ามาที่จวนของข้า” ท่านหมอเทวดาหยอกเย้าสหายที่มีสีหน้าเรียบเฉยดั่งเช่นยามปกติ วันนี้หลอมยาถอนพิษหายากได้สำเร็จ ลู่จื้อจึงอารมณ์ดียิ่งนัก นิ้วเรียวยาวดุจลำเทียนลูบหัวงูสีเหลือง ซึ่งเจ้าเสี่ยวอ้ายคล้ายจะชอบใจยามถูกเจ้านายสัมผัส มิเช่นนั้นคงมิอยู่นิ่งให้อีกฝ่ายลูบไล้เล่น “ลมของแม่นางเซียวอ้ายช่างอย่างไรเล่า เมื่อยามเซิน (15.00-16.59) เจ้าไปที่ใด ข้ามาหาเจ้าที่จวนไม่เจอ” “เสี่ยวอ้ายร่ำร้องอยากออกไปเดินเล่นชมป่าด้านหลัง ข้าจึงตามใจ” “มัวแต่สนใจเ
18รักวุ่นวายของสหายทั้งสอง เมื่ออับจนหนทาง สตรีที่พึงใจหวาดระแวงจนอยากเลื่อนการสู่ขอออกไป เขาที่รักมั่นและรอนางมานานมีหรือจะยอม สุดท้ายจำใจต้องหักหลังสหายยอมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟัง “ที่แท้คู่หมั้นผู้นั้นก็คือท่านหมอเองหรือเจ้าคะ แล้วท่านไปสนิทกับท่านหมอได้อย่างไร มิใช่เพิ่งเจอกันยามที่เขามารักษาอาการสติฟั่นเฟือนให้ท่านหรือเจ้าคะ” คำถามของนางทำให้รอยยิ้มบางของเขาค้างแข็ง “เซียนเอ๋อร์ พี่ยอมแล้ว พี่ขอโทษที่โกหกเจ้า” “ท่านโกหกข้าเรื่องใดเจ้าคะ เรื่องที่อ้ายช่างเป็นคู่หมั้นของท่านหมอ หรือเรื่องที่ท่านสติฟั่นเฟือน” น้ำเสียงและสีหน้าที่ราบเรียบของนางช่างดูคล้ายคลึงกับมารดายามมีโทสะ “แท้จริงแล้วพี่โกหก ในตอนนั้นพี่ไม่ได้สติฟั่นเฟือน แต่พี่เพียงอยากอยู่ใกล้เจ้า เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าพี่ดีใจมากเพียงใดที่ได้พบเจอเจ้าอีกครั้ง” ท่าทางหูลู่หางตกคล้ายเจ้าเสี่ยวโก่วยามหวาดหวั่นทำให้นางรู้สึกหมั่นไส้ยิ่งนัก ช่างมากเล่ห์ มากมารยา หากตบแต่งกันไปนางเปิดโรงงิ้วให้เขาเลยดีหรือไม่ รายได้คงงอกเงยมิน้อย “เพราะดีใจที่ได้เจอ
“สบายดีหรือไม่เจ้าคะ ท่านเจ๋อคุน” “ข้าสบายดีขอรับ” “ได้ความว่าอย่างไร” “คือว่า...” เมื่อผู้ติดตามของสหายทำท่าจะเอ่ยปากรายงาน นางที่ไม่อยากเป็นคนรู้เยอะจึงรีบกล่าวคำอำลา “เจ้าคงมีเรื่องที่ต้องทำ ข้าเองก็เช่นกัน อีกสองวันข้าจะไปหาเจ้าที่จวน อย่าลืมเตรียมขนมไว้รอข้าด้วย” ซูหนิงเซียนกล่าวด้วยใบหน้าที่แต่งแต้มรอยยิ้ม นางไปอยู่เมืองซานโจวได้เพียงสามวันก็ได้ช่วยเหลืออ้ายช่างที่กำลังถูกเอารัดเอาเปรียบ สุดท้ายได้นางช่วยเหลือ จึงกลายเป็นสหายกัน แม้จะคบหากันได้เพียงสี่เดือนแต่ทว่ายิ่งสนทนากลับยิ่งคุ้นเคยราวกับรู้จักกันมานานหลายปี “ได้! ข้าจะรอเจ้า” เมื่อบอกลาสหายเสร็จเรียบร้อยนางจึงรีบเดินไปที่รถม้า แต่เมื่อถึงรถม้ากลับพบว่าหยางซีซวนยืนรออยู่แล้ว “ขออภัยเจ้าค่ะที่ข้ามาช้า ท่านมารอนานแล้วหรือ” “มินาน พี่มาถึงก่อนเจ้าเพียงชั่วครู่” คำกล่าวของคุณชายทำให้เจียวมิ่งที่แฝงกายอยู่ไม่ไกลอมยิ้ม ส่วนเจียวเจี๋ยที่กลับมาเร้นกายอยู่ข้างๆ รีบสะกิดเตือนไม่ให้พี่น้องร่วมสาบานหัวเราะออกมา
“เสร็จแล้ว ก่อนกลับแวะดูเครื่องประดับติดมือกลับจวนสักชิ้นหรือไม่” “อย่าเพิ่งดีกว่าเจ้าค่ะ ไปดูตอนนี้ข้าจะได้กลับเพียงแค่ชิ้นเดียว แต่หากพาท่านกลับจวนไปเป็นสามี เกรงว่าข้าก็จะได้เครื่องประดับทั้งหมด ความคุ้มค่าช่างแตกต่างกันนัก” “ขออภัยฮูหยิน เป็นพี่ไม่รอบคอบ เช่นนั้นพาพี่กลับจวนไปเป็นสามีตอนนี้เลยดีหรือไม่ พี่ยินดีมอบร้านฝากเงินและโรงเตี๊ยมให้เจ้าอย่างไม่อิดออด ” “หลังส่งแม่สื่อมาสู่ขอข้าแล้ว หากข้าไม่อนุญาต ห้ามท่านไปอวดร่ำอวดรวยให้สตรีที่ไหนฟังเช่นนี้เข้าใจหรือไม่เจ้าคะ ข้ามิอยากปวดหัวเรื่องสตรีในเรือนหลัง” “มิต้องห่วง ต่อจากนี้กิจการร้านค้าทุกอย่างของพี่มอบให้เจ้าดีหรือไม่ ให้เจ้าเป็นเถ้าแก่เนี้ย ส่วนพี่จะเป็นลูกจ้างทำงานให้เจ้ากับลูกแทนดีหรือไม่” “ใจป้ำยิ่งนัก หยุดหยอกเย้าข้าเถิดเจ้าค่ะ ข้าอยากกลับจวนแล้ว” “พี่นั่งหลังขดหลังแข็งตั้งใจตรวจบัญชีอยู่นาน เจ้ามิคิดจะมอบรางวัลให้พี่บ้างหรือ” เขากล่าวพลางลุกขึ้นแล้วเดินมาใกล้นาง “อยากได้อันใดเจ้าคะ” สิ้นเสียงนาง บุรุษที่ติดใจรางวัลในคืนนี้ ใช้
“ได้โปรดใจเย็นเจ้าค่ะ ให้ข้าได้แก้แค้นสองคนนั้นก่อนได้หรือไม่” “หนิงเซียน หากเจ้าแต่งกับพี่แล้ว เจ้ายังสามารถแก้แค้นคนพวกนั้นได้ พี่บอกแล้วอย่างไร ว่ายินดีจะสนับสนุนและช่วยเก็บกวาดให้เจ้า” เขารักและหวงแหนนางเหลือเกิน “หากข้าแต่งงานกับท่าน ลี่อินนางก็จะไม่มุ่งมั่นอยากแย่งชิงข้า...ซีซวน ข้าคิดออกแล้ว ท่านส่งแม่สื่อมาสู่ขอข้าเถิด” ซูหนิงเซียนตั้งใจจะปฏิเสธเช่นทุกครั้ง แต่ภาพที่สหายพยายามจะโผเข้าหาบุรุษรูปงามผู้นี้ทำให้นางคิดเรื่องบางอย่างออก “ฮูหยินของพี่ ที่เจ้ากล่าวมาเป็นเรื่องจริงหรือ” เขาที่ยังกุมมือนางเอาไว้รีบคุกเข่าลงบนพื้น นัยน์ตาดำที่จับจ้องนางฉายแววดีใจ “จริงเจ้าค่ะ ข้ายินดีจะแต่งกับท่าน เพียงแต่ท่านจะว่าอันใดหรือไม่หากข้าจะใช้เรื่องนี้ช่วยปิดบัญชีแค้นระหว่างข้ากับหม่าลี่อินและกวางเหลียงอี้” “ไม่ว่าๆ ขอเพียงเจ้ายอมแต่งกับพี่ พี่ยอมทั้งนั้น” สีหน้าที่บ่งบอกว่าดีใจของเขาทำให้นางเริ่มรู้สึกผิดจึงคิดจะเปลี่ยนใจ “แต่...” “ไม่มีแต่ พี่ยินดีร่วมมือกับเจ้า ขอเพียงการแต่งงานครั้งนี้มันกลายเป็น
17คุณหนูซูคือสตรีที่โชคดี หลังจากหยางซีซวนพานางออกจากที่ตรงนั้นแล้ว เขาพานางไปที่ร้านเป่าปินซึ่งเป็นร้านขายเครื่องประดับล้ำค่าราคาแพง โดยในกาลก่อนนางมักจะถูกสหายชักชวนให้มาเลือกซื้อเครื่องประดับที่นี่อยู่บ่อยครั้ง แน่นอนว่ายามที่หม่าลี่อินเลือกให้นางก็ต้องจ่ายตำลึงเพื่อซื้อปิ่นล้ำค่าให้สหายที่ตนคิดว่าแสนดี “คารวะคุณชาย คารวะคุณหนูขอรับ” หลงจู๊ของร้านรีบตรงเข้ามาทักทายด้วยท่าทีนอบน้อม “เตรียมขนมและน้ำชาให้คุณหนูซูด้วย” “ขอรับคุณชาย” ชายวัยกลางคนตอบรับก่อนจะเดินแยกไป “เข้าไปด้านในกันเถิด” เขากล่าวพลางจับมือนางที่กำลังมีสีหน้างุนงงให้เดินตาม ยามที่เดินผ่านคนงานของร้าน ทุกคนก็จะหยุดนิ่งก่อนจะแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม กว่านางจะจับต้นชนปลายถูก เขาก็พานางมาถึงห้องทำงานที่อยู่ด้านบนซึ่งเป็นเขตหวงห้าม “เจ้านั่งรอพี่ตรงนั้นก่อน” ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยเมื่อครู่เลือนหาย หลังที่ยืดตรงสง่าผ่าเผยเมื่อครู่งองุ้มลงเล็กน้อย สีหน้าของเขาแลดูโศกเศร้า ท่าทางคลับคล้ายคลับคลากับเสี่ยวโก่วยามถูกเจ้านายทอดทิ้งทำให
เพียะ มือเรียวของหม่าลี่อินยกขึ้นตบใบหน้าตนเอง แม้ไม่แรงมากแต่ก็สามารถดึงความสนใจของคนรอบข้างให้หันมาสนใจได้ “ข้ามันปากไม่ดี กล่าวว่าสหายเช่นเจ้า ข้าทราบว่าเจ้ามิได้คิดเช่นนั้น ข้าเพียงแต่น้อยใจที่คู่หมั้นของตนคล้ายจะสนใจเจ้ามากกว่าข้า ให้อภัยข้าเถิดนะหนิงเซียน” “ข้าไม่เคยโกรธอันใดเจ้า อย่าได้ลงโทษตนเองเช่นนั้น ที่ข้าเปลี่ยนใจไม่ไปชมดอกไม้กับเจ้าแล้วก็เพราะข้าคิดว่าการปล่อยให้เจ้าและคู่หมั้นจิบน้ำชาชมดอกไม้กันเพียงลำพังจะได้ถือโอกาสสร้างความสัมพันธ์ที่ดีงามก่อนแต่งงาน จะว่าไปฤกษ์แต่งงานของเจ้ากับมือปราบกวางคือเมื่อใดหรือ เหตุใดเจ้ายังไม่บอกกล่าวข้า” “อย่างไรข้าก็อยากให้เจ้าไปชมดอกไม้ด้วยกัน ส่วนเรื่องฤกษ์นั้นเป็นของผู้ใหญ่หากถึงเวลาเมื่อใดข้าจะบอกเจ้าเอง” จะมีฤกษ์ได้อย่างไรในเมื่อแท้จริงนางและกวางเหลียงอี้ต่างมีเป้าหมายที่ตนต้องการ “เซียนเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ขัดขวางยวนยาง ไปเที่ยวเล่นกับพี่ดีกว่า ไม่ได้เจอเจ้านาน พี่คิดถึงยิ่งนัก” หากไม่ติดว่าต้องเล่นบทงิ้วต่อหน้าสหายชั่ว นางคงกลอกตาไปมาหลายรอบ ไม่ได้เจอกันนานอย่างไร
‘ที่เป็นเช่นนั้นเพราะนางมีจิตใจที่ดีมิใช่หรือ’ คำกล่าวของบุรุษผู้นั้นทำให้สตรีที่ถูกกล่าวถึงกำมือเข้าหากันแน่นอย่างไม่พอใจ “ลี่อิน เจ้าเป็นอันใดหรือไม่ เหตุใดถึงได้หน้าแดงถึงเพียงนั้น” “คงร้อนอบอ้าว เรารีบเดินกันเถิด” พวกปากไม่มีหูรูดเอาแต่ติฉินนินทาเรื่องของผู้อื่น สนใจเรื่องของตนบ้างเถิด สวนที่พวกนางจะไปชมดอกไม้คลายร้อนกันนั้นอยู่ไม่ห่างจากโรงเตี๊ยมเลี่ยงจินเท่าใดนัก หม่าลี่อินเลือกที่จะเดินผ่านมาทางนี้ทั้งที่อีกทางต้องเดินใกล้กว่าคงคาดหวังที่จะได้พบเจอใครบางคน เรื่องราวการพาตัวบุตรชายกลับบ้านของหยางฮูหยินในวันนั้นไม่ได้มีการถูกปิดเป็นความลับแต่อย่างใด จึงไม่แปลกที่สหายชั่วของนางจะคาดหวังว่าจะได้เจอเขาเมื่อผ่านมาที่แห่งนี้ หากทราบว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นของเขา หม่าลี่อินคงแทบจะถอดอาภรณ์วิ่งเข้าใส่ บุรุษที่นอกจากจะร่ำรวยด้วยตนเองแล้วยังมีอำนาจของตระกูลหนุนหลัง สตรีใดบ้างจะไม่ปรารถนา “เซียนเอ๋อร์ เจ้ากำลังจะไปที่ใดหรือ” แม้ท่าทางจะสง่างามแต่ทว่านางกลับเห็นเหงื่อที่ผุดพรายบริเวณไรผมของเขา ‘คงร
“พี่เหลียงอี้ ท่านมาทำอันใดแถวนี้เจ้าคะ” คำกล่าวคล้ายจะเป็นความบังเอิญ แต่นางที่รู้จักคนทั้งสองมาถึงสองชาติเหตุใดจะมองแผนการตื้นเขินนี้ไม่ออก “พี่มาเดินตรวจแถวนี้ เจ้ากับคุณหนูซูจะไปที่ใดกันหรือ” “หนิงเซียนจะพาข้าไปร้านขายอาภรณ์เจ้าค่ะ ท่านไปช่วยพวกข้าเลือกอาภรณ์ได้หรือไม่” คำกล่าวของสหายชั่วทำให้นางก้มหน้าซ่อนแววตาเย้ยหยัน ‘ข้าบอกเจ้าว่าจะมาเดินเล่นนอกจวนมิใช่หรือ ร้านอาภรณ์อันใดข้ามิเคยกล่าวถึง’ “ได้สิ พี่ยินดี” กล่าวจบมือปราบหนุ่มก็จ้องมองคุณหนูซูอย่างไม่วางตา จนหม่าลี่อินชักสีหน้าไม่พอใจ ต่อให้ตนไม่คิดแต่งกับบุรุษฐานะต่ำต้อยอย่างกวางเหลียงอี้ แต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้สตรีอื่นได้ใจเขาไป “ลี่อิน เจ้าได้พบเจอคู่หมั้นแล้ว หากเจ้าอยากไปร้านอาภรณ์ให้มือปราบกวางพาไปดีหรือไม่” “แต่ข้าอยากให้เจ้าไปด้วย” เขาหรือจะสามารถจ่ายตำลึงซื้ออาภรณ์ล้ำค่าให้ตนได้ “ลี่อิน คุณหนูซูอาจจะไม่อยากไปร้านขายอาภรณ์ เจ้าอย่าได้เอาแต่ใจให้มากนัก” กล่าวจบก็หันมาจ้องมองนางด้วยแววตาหวานซึ้ง หวานซึ้งอันใดกัน ข