“ไปเมืองหลวงหรือเจ้าคะ” เช่นนั้นก็ดีมากไม่ใช่หรือ เดินทางกับคนพวกนี้เข้าเมืองหลวง นางจะได้ปลอดภัยจากแผนการชั่วร้ายของอดีตสหายและอดีตสามี
“อืม” เขารับคำสั้นๆ
“เช่นนั้นท่านก็ให้ท่านหมอตรวจสักหน่อยเถิด” ในเมื่อต้องพึ่งพาเขาในการเดินทางไปเมืองหลวง อย่างไรนางก็ควรจะดูแลเขาเพื่อเป็นการตอบแทน
“พี่ได้กลิ่นลูกท้อจากตัวเจ้า”
“ข้าลืมไปเสียสนิทนี่เจ้าค่ะลูกท้อ ข้าเกรงว่าท่านจะหิวจึงออกไปเก็บลูกท้อมาให้” ซูหนิงเซียนล้วงเอาลูกท้อออกมาจากอกเสื้อ
“ฮูหยินของพี่ช่างน่ารักน่าเอ็นดู”
“อะแฮ่ม...จะตรวจอยู่หรือไม่ ข้ามิได้ว่างมาดูพวกเจ้าหยอกเย้าเอาอกเอาใจกัน”
“ขออภัยเจ้าค่ะ ท่านรีบมานั่งตรงนี้เถิดท่านหมอเทวดาจะได้ตรวจให้ท่านบ้าง”
“เจ้าอย่าได้ลุกขึ้น หมอปีศาจผู้นี้สั่งไว้ว่าเจ้าไม่ควรเดินเหินพักใหญ่”
“ข้าเป็นหมอเทวดา นั่งลงได้แล้วจะได้รีบตรวจ” คนป่วยเช่นนี้น่าเอายาพิษกรอกปากเสียจริง ปากหรือก็เอ่ยแต่วาจาไม่น่าฟังออกมา
“ข้าขอกินลูกท้อของเจ้าก่อนได้หรือไม่” วาจากำกวมของเขาทำให้ดวงหน้าหวานแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย
“ท่านนั่งให้ท่านหมอตรวจนิ่งๆ ข้าจะช่วยถือลูกท้อให้ท่านกินดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ดียิ่ง ฮูหยินของพี่ช่างเฉลียวฉลาด”
“หลอกบุรุษสติฟั่นเฟือนจะต้องใช้ความคิดอันใดให้มาก” ลู่จื้อรำพึงรำพันกับตนเอง
ท่านหมอเทวดาใช้เวลาตรวจเพียงลูกท้อสามลูก ซึ่งหมายความว่า ในระหว่างที่ท่านหมอตรวจ เขาก็กินผลท้อไปด้วย จนผลท้อหมดไปสามลูกจึงตรวจเสร็จสิ้น
“นอกจากบาดแผลภายนอกก็ไม่มีอันใดต้องห่วง ท่านเป็นคนทำแผลให้เขาหรือ”
“เจ้าค่ะ”
“ท่านทำได้ดีมาก แผลสะอาดเรียบร้อยดี”
“แล้วที่เขาเลอะเลือนเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ”
“เลอะเลือนอย่างไร”
“คือแท้จริงข้าไม่ใช่ฮูหยินของเขาเจ้าค่ะ ข้าเพียงช่วยเหลือเขาที่นอนบาดเจ็บ แต่พอเขาเห็นหน้าข้า เขาก็เอาแต่เรียกข้าเช่นนั้น ข้าจนใจไม่รู้จะทำเช่นไรเจ้าค่ะ”
“เจ้าเป็นฮูหยินของพี่”
“หัวเขาคงกระแทกกับโขดหินจนฟั่นเฟือน เลอะเลือน”
“เช่นนั้นต้องทำเช่นไรเจ้าคะ ท่านรักษาได้หรือไม่”
“ดูจากอาการของเขาแล้ว คงมีเพียงเจ้าที่จะทำให้เขาหาย”
“ข้าหรือเจ้าคะ”
“ใช่ เพราะเจ้าช่วยเหลือเขา เขาจึงไว้ใจเจ้า หากเจ้าคอยดูแลพูดคุยและให้คนที่รู้จักเขาพาไปในที่ที่เขาคุ้นเคย บางทีความทรงจำเขาอาจกลับมาและไม่เลอะเลือนเช่นนี้”
“หมายความว่าข้าต้องแสร้งเป็นฮูหยินของเขาเพื่อช่วยให้เขาฟื้นความทรงจำเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” นางยื่นใบหน้าไปใกล้เพื่อกล่าวเสียงเบาให้ได้ยินแค่นางกับท่านหมอ
“อย่าเข้าใกล้บุรุษอื่นพี่หวง” เขากล่าวพลางรั้งตัวนางให้ออกห่างจากท่านหมอหน้าตาน่ารังเกียจ
“เป็นเช่นที่แม่นางกล่าว” คำตอบของท่านหมอทำให้นางอยากยกมือขึ้นมากุมหัว
นี่สวรรค์คิดว่านางว่างมากเช่นนั้นหรือ ส่งนางกลับมาเพื่อแก้แค้น แต่เหตุใดนางถึงต้องมาดูแลบุรุษผู้นี้ แม้จะรูปงามอยู่บ้าง ทว่านางที่ต้องแก้แค้นไม่มีเวลาจะมาสนใจผู้อื่นหรอก
“ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
“มี”
“เช่นนั้นใช้วิธีนั้น...”
“แต่ข้ายังไม่ค่อยชำนาญในการใช้มีดผ่าหัวคน เกรงว่าเขาอาจจะทนความเจ็บปวดไม่ไหวตายเสียก่อน”
“ฮูหยินได้โปรดช่วยเหลือคุณชายของพวกเราด้วยขอรับ” สิ้นเสียงบุรุษที่เป็นดั่งหัวหน้า ทุกคนก็คุกเข่าลงบนพื้นเพื่อขอร้องนาง
“ท่านหมอบอกข้าได้หรือไม่เจ้าคะว่าต้องใช้เวลานานเพียงใดเขาถึงจะกลับมาเป็นปกติ”
“คงไม่นาน อาจจะเจ็ดวัน หนึ่งเดือน หรือสามเดือน”
“ได้โปรดช่วยคุณชายของพวกเราด้วยขอรับ” บุรุษชุดดำเกือบยี่สิบคนพร้อมใจกันตะโกน
“ฮูหยิน เจ้าลำบากใจที่จะดูแลพี่หรือ” ท่าทางน่าสงสารราวกับเสี่ยวโก่วถูกทิ้งทำให้นางอดใจอ่อนไม่ได้
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ”
“พี่เข้าใจ เจ้าคงโกรธพี่ที่ไม่ปกป้องเจ้า...”
“ก็ได้ๆ ข้ายอมแพ้ ต้องมียาอันใดให้กินหรือไม่เจ้าคะ” นางหันไปถามท่านหมออย่างรวดเร็วจึงทันได้เห็นแววตาที่คล้ายจะขบขัน
“มี ประเดี๋ยวข้าจะเขียนเทียบยาให้” คอยดูเขาจะจัดยาที่ขมที่สุดให้บุรุษปากเสียผู้นี้
“ฮูหยินให้ท่านหมอกลับไปเถิด พี่ไม่อยากเห็นหน้าเขาแล้ว”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านหมอ” นางกล่าวพลางจับมือเขาที่พยายามยุ่งกับการทัดผมที่หู
“มิเป็นไร ประเดี๋ยวพวกเจ้าไปรับยากับข้าด้วย”
“ขอรับท่านหมอ” เจียวมิ่งตอบรับก่อนจะเดินตามท่านหมอออกไปนอกถ้ำ
“ข้าน้อยจะไปเตรียมรถม้า แต่ว่ากลางป่าเช่นนี้...”
“พวกเจ้าเตรียมรถม้าจอดไว้ริมทางที่ใกล้ที่นี่ที่สุด ข้าจะพาฮูหยินไปเอง”
“ขอรับคุณชาย” เมื่อบุรุษชุดดำตอบรับ คุณชายที่แม้จะมีบาดแผลหลายแห่งแต่ทว่าร่างกายยังแข็งแรง ก้มตัวแล้วโอบอุ้มซูหนิงเซียนก่อนจะใช้วิชาตัวเบาพานางออกจากป่า
‘ข้าจะถามใครได้ ว่านี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น’ เหตุใดเรื่องราวถึงเป็นเช่นนี้ แต่เอาเถิดอย่างน้อยการเดินทางกลับเมืองหลวงกับคนพวกนี้ก็ปลอดภัยกว่าที่นางต้องเดินทางเพียงลำพัง
..........................................
น้องคงอยากถามว่าเจ้าบุรุษผู้นี้มันเป็นใครกัน
เหตุใดถึงอ้อนเก่งเช่นนี้
3ความในใจของซีซวน เฮือก...เขาฝันร้ายอีกแล้ว นี่นับเป็นครั้งที่เท่าใดไม่ทราบที่เขาฝันถึงเรื่องราวในครั้งนั้น เขาไปช่วยนางไม่ทัน ภาพของสตรีที่นอนหมดลมหายใจอยู่บนพื้นคุกใต้ดินทำให้เขาแทบคลั่ง มือที่กำกระบี่สั่นสะท้านอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ หากในตอนนั้นเขาเลือกที่จะเชื่อหัวใจตนเอง นางก็คงไม่ต้องมีจุดจบเช่นนี้ เพราะยึดมั่นเกี่ยวกับเรื่องราวในหนหลัง เขาจึงเลือกที่จะตอบแทนผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือชีวิตของเขาด้วยการขอหมั้นหมาย ชีวิตนางคล้ายจะลำบากเขาจึงปรารถนาอยากให้นางได้มีชีวิตที่ดี แต่แล้วในวันหนึ่งที่ได้เจอสหายของคู่หมั้น เขากลับจิตใจสั่นไหว รอยยิ้มของนางทำให้ใจดวงน้อยของเขาเต้นระรัว ‘คารวะคุณชายซวนเจ้าค่ะ’ นางทักทายและส่งยิ้มให้เขา ในยามนั้นแม้จะรู้สึกคุ้นเคยกับรอยยิ้มตรงหน้า แต่เขาก็เลือกที่จะปัดความรู้สึกนั้นทิ้ง เพราะอย่างไรนางก็เป็นสหายของคู่หมั้น และที่สำคัญคือนางกำลังจะกราบไหว้ฟ้าดินกับบุรุษผู้หนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ได้สนทนากับนางอีกหลายครั้งยามบังเอิญเจอกันที่ตลาด นางส่งยิ้มจริงใจและไม่เคยมองเขาอย่างหวาดกลัวเมื่อสวมใส่หน้า
“ฮูหยินของข้า นางหายไปไหน” “ฮูหยินไปเก็บผลท้อแล้วเดินไปทางลำธารขอรับ” “มีใครตามนางไปหรือไม่” “เจียวหวงติดตามฮูหยินไปแล้วขอรับ” “อืม ดูเหมือนนางจะเจ็บข้อเท้า ส่งคนไปรับลู่จื้อมาด้วย” “ขอรับ” “หากนางกลับมาหาข้าแล้วพวกเจ้าแสร้งทำเป็นมาตามหาข้าแล้วสั่งคนไปพาหมอมา บอกลู่จื้อให้เออออตามข้าอย่าได้ขัดแย้งมิเช่นนั้นข้าจะให้เสี่ยวช่างไปกินเสี่ยวอ้ายของเขา” คำขู่ของผู้เป็นนายทำให้เจียวโจวซึ่งเป็นพี่ใหญ่ในบรรดาลูกน้องแซ่เจียวทั้งหมดอยากยกมือปาดเหงื่อ หากได้ยินคำข่มขู่เช่นนี้ท่านหมอเทวดาคงจะเดือดดาลจนสาดยาพิษใส่พวกเขาเป็นแน่ ในหมู่พวกเขาใครบ้างจะไม่ทราบว่าเสี่ยวอ้ายคืองูสีเหลืองที่ท่านหมอลู่จื้อรักดุจดวงใจ หวิ้ว เสียงสัญญาณที่ใช้กันในหมู่ผู้ติดตามของเขาดังแว่วมา บ่งบอกว่ากำลังมีคนมา เขาจึงพยักหน้าสั่งให้ผู้ติดตามนับสิบไปซ่อนตัว เมื่ออยู่ตามลำพัง เขาที่ยังคลุมเสื้อตัวนอกของนางอยู่ กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่แสนคุ้นเคยทำให้นัยน์ตาดำหม่นแสงลง ในครานั้นหากเขาเชื่อความรู้สึกของตนเอง ทุกอย่างคงไม
บุรุษตัวโตปล่อยให้แม่นางน้อยตรงหน้าดึงรั้งตามใจ ตรงซอกหินที่นางพาเข้าไปหลบช่างดีเหลือเกิน มันทำให้เขาได้แนบชิดกับนาง เสียงหัวใจเต้นระรัวของนางเกือบทำให้เขาเผลอจ้องมองนางด้วยแววตาลึกซึ้ง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยอย่างพยายามล่อล่วงนาง ‘คุณชายขอรับ คุณชาย’ “คนพวกนั้นใช่คนของท่านหรือไม่” “ข้าไม่ทราบ” เขาทำหน้าใสซื่อพลางส่ายหน้า ‘นี่มันอาภรณ์ของคุณชาย คุณชายต้องอยู่แถวนี้แน่นอน พวกเจ้าแยกย้ายกันไปหาคุณชาย เจียวมิ่งเจ้ารีบไปนำตัวท่านหมอเทวดามาที่นี่ มีคราบเลือดจางๆ บนอาภรณ์ เกรงว่าตอนนี้คุณชายอาจจะกำลังได้รับบาดเจ็บ’ ‘ขอรับ’ เสียงเจ้าของชื่อตอบรับก่อนที่นางจะได้ยินเสียงคนอื่นค้นหาต่อ “คนพวกนั้นน่าจะเป็นคนของท่าน เราออกไป...” นางยังกล่าวไม่ทันจบมือใหญ่ก็รั้งศีรษะนางแล้วกดใบหน้านางลงบนอกแกร่ง เพื่อไม่ให้นางเห็นดวงตาของเขาวาวโรจน์หลังจากคิดบางอย่างได้ บัดซบ! นางสวมอาภรณ์แค่ตัวใน คนพวกนั้นต้องจ้องมองฮูหยินของเขาเป็นแน่ “คุณชายท่านอยู่ที่นี่เอง” ชายชุดดำส่งเสียง แต่เขาส่งสายตาดุคนพวกนั้นให้หันหน้า
“มิต้อง เป็นฮูหยินของพี่ เจ้าต้องพักห้องเดียวกับพี่ พี่จะให้เจ้าจ่ายได้อย่างไร” “ข้าเจ็บข้อเท้าเช่นนี้ หากต้องนอนเบียดกับท่านที่บาดเจ็บเช่นกัน ข้าเกรงว่าจะไม่สะดวก อย่างไรเราพักกันคนละห้องดีหรือไม่เจ้าคะ” แค่ต้องแสร้งเป็นฮูหยินให้เขา นางก็เสียหายมากพอแล้ว หากมีใครทราบว่านอนห้องเดียวกันอีก นางมิต้องแต่งให้เขาจริงๆ เลยหรือ “พี่เข้าใจแล้ว เจ้าคงยังโกรธเคืองพี่ เช่นนั้นพี่จะให้เวลาเจ้าทบทวน” เขาตอบรับด้วยสีหน้าท่าทางเศร้าสร้อยราวกับเด็กน้อยถูกปฏิเสธไม่ให้กินถังหู่ลู่ ‘ไม่ต้องทำหน้าเช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าไม่ใจอ่อนหรอก’ บุรุษรูปงามเช่นท่านคงมีฮูหยินและอนุเต็มเรือนแล้ว “นี่เป็นค่าห้องของข้าเจ้าค่ะ” นางยื่นตำลึงให้เขา แต่แทนที่เขาจะรับมันไว้ เขากลับเข้ามาโอบอุ้มนางเพื่อพาลงจากรถม้า “ท่านปล่อยข้าเถิดเจ้าค่ะ ข้าเดินเองได้” มีคนมองมากมายเช่นนี้ นางรู้สึกอับอายยิ่งนัก “ท่านหมอกล่าวว่าไม่ให้เจ้าเดินเหินจนกว่าจะหายมิใช่หรือ” ในกาลก่อนแม้จะได้สนทนากันหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยทราบว่าสตรีผู้นี้ดื้อรั้นยิ่งนัก ดวง
4ต่างคนต่างพึ่งพากัน หลังจากนั้นนางก็ได้แต่นั่งฟังเขากล่าววาจาวาดฝันเรื่องราวที่เขาอยากทำกับฮูหยินของเขา ซึ่งนั่นไม่ใช่นางแน่นอน “อิ่มแล้วหรือ” เขากล่าวพลางมองอาหารที่ตนคีบให้นางจนพูนชาม นางช่างกินน้อยเสียจริง... “เจ้าค่ะ” “เช่นนั้นก็กินยา” เขากล่าวพลางรับชามยามา “เจ้าค่ะ” นางตอบรับอย่างว่าง่ายก่อนจะยกชามยาขึ้นกินจนหมด “เก่งมาก” แววตาของเขามีประกายเอ็นดูพาดผ่าน “ข้ากินยาแล้ว ท่านล่ะเจ้าคะ” “พี่กินแล้ว” “กินตอนไหนเจ้าคะ” นัยน์ตาดอกท้อที่จับจ้องราวกับผู้ใหญ่กำลังจับโกหกเด็กทำให้เขายิ้ม “พี่กินก่อนที่จะพาเจ้าลงจากรถม้า” คำโกหกของเขาทำให้บรรดาผู้ติดตามลอบยิ้ม ไม่ว่าคุณชายจะเก่งกาจเพียงใดแต่สุดท้ายก็ต้องแพ้ให้กับฮูหยินน้อย “บังเอิญจริงเชียวที่เจอพวกเจ้า” บุรุษในอาภรณ์สีขาวเดินเข้ามาทักทาย “คารวะท่านหมอเจ้าค่ะ” นางลุกยืนทักทายท่านหมอ “อย่ายืนเช่นนั้น ประเดี๋ยวจะเจ็บข้อเท้าเอา” เขาใช้โอกาสนี้รั้งตัวนางให้นั่งลงบนต
“พี่อยากปรนนิบัติฮูหยินของพี่” ‘แต่ข้าไม่ใช่ฮูหยินของท่าน’ นิสัยใจคอเป็นอย่างไร จวนอยู่ที่ใด นางยังไม่ทราบเลย เป็นเพียงแค่คนบังเอิญผ่านมาเจอกัน และต่างฝ่ายต่างพึ่งพากันเพียงเท่านั้น “เท้าเป็นของต่ำ บุรุษมิควรลดตัวมาจับเท้าสตรีเช่นนี้” คุณหนูซูพยายามหาข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยง ให้บุรุษเห็นเท้าเปล่าว่าผิดจารีตแล้ว หากให้เขาจับอีก นางมิต้องเอาตนเองใส่ตะกร้าล้างน้ำเลยหรือ “ฮูหยิน เจ้าอย่าได้ยึดถือธรรมเนียมเก่าแก่เหล่านั้นให้มาก สามีเพียงอยากปรนนิบัติเจ้า” กล่าวจบเขาก็ยึดเท้าข้างที่นางไม่ได้เจ็บเอาไว้แน่นแล้วถอดรองเท้าให้ ‘ต่อจากนี้ข้าคงหาบุรุษมาแต่งงานด้วยไม่ได้’ แต่ก็ช่างเถิด หลังจากได้หวนคืนมาสิ่งที่นางให้ความสำคัญที่สุดมิใช่เป็นการเลือกแต่งกับบุรุษดีๆ สักคน แต่เป็นการแก้แค้นเอาคืนคนพวกนั้นต่างหาก “หากเจ็บให้บอกพี่” หยางซีซวนกล่าวพลางค่อยๆ แกะผ้าที่พันไว้ออก นัยน์ตาดำมีประกายเจ็บปวดพาดผ่านชั่วครู่เมื่อเห็นรอยฟกช้ำ ภาพในคืนนั้นที่เขาเห็นร่างไร้วิญญาณของนางย้อนกลับเข้ามาในหัว มือใหญ่สั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อยยามเขาควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้
“ข้าก็จะแต่งนางเป็นฮูหยินจริงๆ” “ที่ข้าถามคือเมื่อใดเจ้าจะเลิกแสร้งสติฟั่นเฟือน” อย่างไรวันหนึ่งก็ควรจะอาการดีขึ้น “เรื่องนี้ข้ายังตอบไม่ได้” “สร้างเรื่องโกหกเช่นนี้ ตอนลงหาทางลงดีๆ ด้วยล่ะ มิเช่นนั้นแทนที่จะได้แต่งฮูหยิน นางอาจจะโกรธเกลียดเจ้าจนไม่อยากพบหน้าเลยก็เป็นได้” “...” ในตอนนั้นเขาไม่ทันคิดถึงผลที่ตามมาจริงๆ เขาใช้เวลาตัดสินใจเรื่องนี้ชั่วครู่ยามสบตากับนาง ก่อนที่ปากจะเอื้อนเอ่ยเรียกนางเช่นนั้นออกมา “ชักอยากจะเห็นวันที่นางโกรธเจ้าแล้วสิ” กล่าวจบก็ลูบหัวเสี่ยวอ้ายที่เลื้อยออกมาจากแขนเสื้อ ‘ปากดีต่อหน้าแม่นางผู้นั้นไปเถิด วันใดที่โดนนางเมินเฉยข้าจะหัวเราะให้ฟันร่วง’ ลู่จื้อคิดพลางส่งยิ้มอ่อนโยนให้งูสีเหลืองของตน เสี่ยวอ้ายของเขาน่าเอ็นดูที่สุด “หากนางโกรธข้าเช่นที่เจ้ากล่าวเมื่อใด ข้าจะให้เสี่ยวช่างมาจิกเสี่ยวอ้ายของเจ้า” เสี่ยวช่างเป็นเหยี่ยวตัวใหญ่ที่เขาเลี้ยงไว้ “หยุดความคิดของเจ้าไปเลย” ท่านหมอเทวดารีบเก็บสัตว์เลี้ยงของตนเข้าในแขนเสื้อ “เจียวมิ่ง เจ้าพาคนล่วงหน้าไปยัง
เพียงแค่นางเรียกขานว่า ‘สามี’ ก็ทำหูตั้งหางส่ายไปมาราวกับเจ้าเสี่ยวโก่ว “เขาไม่ยอมกินยาเจ้าค่ะ ท่านช่วยใช้วิธีผ่าหัวเพื่อรักษาให้เขาหายจากสติฟั่นเฟือนได้หรือไม่เจ้าคะ” “คงมิได้หรอกแม่นาง ข้ายังไม่เคยผ่าหัวใครเลยสักครั้ง” “เช่นนั้นใช้เขาลองเถิดเจ้าค่ะ” นางคอยถามไถ่เรื่องกินยาด้วยความเป็นห่วงอยู่หลายวัน แต่เขากลับโกหกนาง มันน่าโมโหหรือไม่ “ฮูหยิน...” “บุรุษมากเล่ห์เช่นท่านหาใช่สามีข้า” นางเฝ้าดูแลเขามาหลายวัน แต่เขากลับไม่กินยา เช่นนี้เมื่อใดจะหายกันเล่า “ฮูหยินไม่เอา ไม่กล่าวเช่นนั้น พี่ขอโทษเจ้าหายโกรธพี่ได้หรือไม่” “ข้าไม่ได้โกรธเจ้าค่ะ ” แค่หงุดหงิดเพียงเท่านั้น “หากเจ้าไม่ได้โกรธพี่แล้วเจ้ากำลังจะเดินไปที่ใด ท่านหมอห้ามเจ้าเดินเหินมิใช่หรือ” เขากล่าวเสียงอ่อนพลางทำท่าจะลุกเดินตามนาง “ข้าหายแล้วเจ้าค่ะ และท่านหยุดเท้าอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ ข้าขออยู่คนเดียวเงียบๆ” ขอนางสงบสติอารมณ์ชั่วครู่ เขาไม่ได้เป็นสามีนางจริงๆ เสียหน่อย นางไม่ควรต้องห่วงใยเขามากถึงเพียงนี้ “เช่นนั้
“สบายดีหรือไม่เจ้าคะ ท่านเจ๋อคุน” “ข้าสบายดีขอรับ” “ได้ความว่าอย่างไร” “คือว่า...” เมื่อผู้ติดตามของสหายทำท่าจะเอ่ยปากรายงาน นางที่ไม่อยากเป็นคนรู้เยอะจึงรีบกล่าวคำอำลา “เจ้าคงมีเรื่องที่ต้องทำ ข้าเองก็เช่นกัน อีกสองวันข้าจะไปหาเจ้าที่จวน อย่าลืมเตรียมขนมไว้รอข้าด้วย” ซูหนิงเซียนกล่าวด้วยใบหน้าที่แต่งแต้มรอยยิ้ม นางไปอยู่เมืองซานโจวได้เพียงสามวันก็ได้ช่วยเหลืออ้ายช่างที่กำลังถูกเอารัดเอาเปรียบ สุดท้ายได้นางช่วยเหลือ จึงกลายเป็นสหายกัน แม้จะคบหากันได้เพียงสี่เดือนแต่ทว่ายิ่งสนทนากลับยิ่งคุ้นเคยราวกับรู้จักกันมานานหลายปี “ได้! ข้าจะรอเจ้า” เมื่อบอกลาสหายเสร็จเรียบร้อยนางจึงรีบเดินไปที่รถม้า แต่เมื่อถึงรถม้ากลับพบว่าหยางซีซวนยืนรออยู่แล้ว “ขออภัยเจ้าค่ะที่ข้ามาช้า ท่านมารอนานแล้วหรือ” “มินาน พี่มาถึงก่อนเจ้าเพียงชั่วครู่” คำกล่าวของคุณชายทำให้เจียวมิ่งที่แฝงกายอยู่ไม่ไกลอมยิ้ม ส่วนเจียวเจี๋ยที่กลับมาเร้นกายอยู่ข้างๆ รีบสะกิดเตือนไม่ให้พี่น้องร่วมสาบานหัวเราะออกมา
“เสร็จแล้ว ก่อนกลับแวะดูเครื่องประดับติดมือกลับจวนสักชิ้นหรือไม่” “อย่าเพิ่งดีกว่าเจ้าค่ะ ไปดูตอนนี้ข้าจะได้กลับเพียงแค่ชิ้นเดียว แต่หากพาท่านกลับจวนไปเป็นสามี เกรงว่าข้าก็จะได้เครื่องประดับทั้งหมด ความคุ้มค่าช่างแตกต่างกันนัก” “ขออภัยฮูหยิน เป็นพี่ไม่รอบคอบ เช่นนั้นพาพี่กลับจวนไปเป็นสามีตอนนี้เลยดีหรือไม่ พี่ยินดีมอบร้านฝากเงินและโรงเตี๊ยมให้เจ้าอย่างไม่อิดออด ” “หลังส่งแม่สื่อมาสู่ขอข้าแล้ว หากข้าไม่อนุญาต ห้ามท่านไปอวดร่ำอวดรวยให้สตรีที่ไหนฟังเช่นนี้เข้าใจหรือไม่เจ้าคะ ข้ามิอยากปวดหัวเรื่องสตรีในเรือนหลัง” “มิต้องห่วง ต่อจากนี้กิจการร้านค้าทุกอย่างของพี่มอบให้เจ้าดีหรือไม่ ให้เจ้าเป็นเถ้าแก่เนี้ย ส่วนพี่จะเป็นลูกจ้างทำงานให้เจ้ากับลูกแทนดีหรือไม่” “ใจป้ำยิ่งนัก หยุดหยอกเย้าข้าเถิดเจ้าค่ะ ข้าอยากกลับจวนแล้ว” “พี่นั่งหลังขดหลังแข็งตั้งใจตรวจบัญชีอยู่นาน เจ้ามิคิดจะมอบรางวัลให้พี่บ้างหรือ” เขากล่าวพลางลุกขึ้นแล้วเดินมาใกล้นาง “อยากได้อันใดเจ้าคะ” สิ้นเสียงนาง บุรุษที่ติดใจรางวัลในคืนนี้ ใช้
“ได้โปรดใจเย็นเจ้าค่ะ ให้ข้าได้แก้แค้นสองคนนั้นก่อนได้หรือไม่” “หนิงเซียน หากเจ้าแต่งกับพี่แล้ว เจ้ายังสามารถแก้แค้นคนพวกนั้นได้ พี่บอกแล้วอย่างไร ว่ายินดีจะสนับสนุนและช่วยเก็บกวาดให้เจ้า” เขารักและหวงแหนนางเหลือเกิน “หากข้าแต่งงานกับท่าน ลี่อินนางก็จะไม่มุ่งมั่นอยากแย่งชิงข้า...ซีซวน ข้าคิดออกแล้ว ท่านส่งแม่สื่อมาสู่ขอข้าเถิด” ซูหนิงเซียนตั้งใจจะปฏิเสธเช่นทุกครั้ง แต่ภาพที่สหายพยายามจะโผเข้าหาบุรุษรูปงามผู้นี้ทำให้นางคิดเรื่องบางอย่างออก “ฮูหยินของพี่ ที่เจ้ากล่าวมาเป็นเรื่องจริงหรือ” เขาที่ยังกุมมือนางเอาไว้รีบคุกเข่าลงบนพื้น นัยน์ตาดำที่จับจ้องนางฉายแววดีใจ “จริงเจ้าค่ะ ข้ายินดีจะแต่งกับท่าน เพียงแต่ท่านจะว่าอันใดหรือไม่หากข้าจะใช้เรื่องนี้ช่วยปิดบัญชีแค้นระหว่างข้ากับหม่าลี่อินและกวางเหลียงอี้” “ไม่ว่าๆ ขอเพียงเจ้ายอมแต่งกับพี่ พี่ยอมทั้งนั้น” สีหน้าที่บ่งบอกว่าดีใจของเขาทำให้นางเริ่มรู้สึกผิดจึงคิดจะเปลี่ยนใจ “แต่...” “ไม่มีแต่ พี่ยินดีร่วมมือกับเจ้า ขอเพียงการแต่งงานครั้งนี้มันกลายเป็น
17คุณหนูซูคือสตรีที่โชคดี หลังจากหยางซีซวนพานางออกจากที่ตรงนั้นแล้ว เขาพานางไปที่ร้านเป่าปินซึ่งเป็นร้านขายเครื่องประดับล้ำค่าราคาแพง โดยในกาลก่อนนางมักจะถูกสหายชักชวนให้มาเลือกซื้อเครื่องประดับที่นี่อยู่บ่อยครั้ง แน่นอนว่ายามที่หม่าลี่อินเลือกให้นางก็ต้องจ่ายตำลึงเพื่อซื้อปิ่นล้ำค่าให้สหายที่ตนคิดว่าแสนดี “คารวะคุณชาย คารวะคุณหนูขอรับ” หลงจู๊ของร้านรีบตรงเข้ามาทักทายด้วยท่าทีนอบน้อม “เตรียมขนมและน้ำชาให้คุณหนูซูด้วย” “ขอรับคุณชาย” ชายวัยกลางคนตอบรับก่อนจะเดินแยกไป “เข้าไปด้านในกันเถิด” เขากล่าวพลางจับมือนางที่กำลังมีสีหน้างุนงงให้เดินตาม ยามที่เดินผ่านคนงานของร้าน ทุกคนก็จะหยุดนิ่งก่อนจะแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม กว่านางจะจับต้นชนปลายถูก เขาก็พานางมาถึงห้องทำงานที่อยู่ด้านบนซึ่งเป็นเขตหวงห้าม “เจ้านั่งรอพี่ตรงนั้นก่อน” ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยเมื่อครู่เลือนหาย หลังที่ยืดตรงสง่าผ่าเผยเมื่อครู่งองุ้มลงเล็กน้อย สีหน้าของเขาแลดูโศกเศร้า ท่าทางคลับคล้ายคลับคลากับเสี่ยวโก่วยามถูกเจ้านายทอดทิ้งทำให
เพียะ มือเรียวของหม่าลี่อินยกขึ้นตบใบหน้าตนเอง แม้ไม่แรงมากแต่ก็สามารถดึงความสนใจของคนรอบข้างให้หันมาสนใจได้ “ข้ามันปากไม่ดี กล่าวว่าสหายเช่นเจ้า ข้าทราบว่าเจ้ามิได้คิดเช่นนั้น ข้าเพียงแต่น้อยใจที่คู่หมั้นของตนคล้ายจะสนใจเจ้ามากกว่าข้า ให้อภัยข้าเถิดนะหนิงเซียน” “ข้าไม่เคยโกรธอันใดเจ้า อย่าได้ลงโทษตนเองเช่นนั้น ที่ข้าเปลี่ยนใจไม่ไปชมดอกไม้กับเจ้าแล้วก็เพราะข้าคิดว่าการปล่อยให้เจ้าและคู่หมั้นจิบน้ำชาชมดอกไม้กันเพียงลำพังจะได้ถือโอกาสสร้างความสัมพันธ์ที่ดีงามก่อนแต่งงาน จะว่าไปฤกษ์แต่งงานของเจ้ากับมือปราบกวางคือเมื่อใดหรือ เหตุใดเจ้ายังไม่บอกกล่าวข้า” “อย่างไรข้าก็อยากให้เจ้าไปชมดอกไม้ด้วยกัน ส่วนเรื่องฤกษ์นั้นเป็นของผู้ใหญ่หากถึงเวลาเมื่อใดข้าจะบอกเจ้าเอง” จะมีฤกษ์ได้อย่างไรในเมื่อแท้จริงนางและกวางเหลียงอี้ต่างมีเป้าหมายที่ตนต้องการ “เซียนเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ขัดขวางยวนยาง ไปเที่ยวเล่นกับพี่ดีกว่า ไม่ได้เจอเจ้านาน พี่คิดถึงยิ่งนัก” หากไม่ติดว่าต้องเล่นบทงิ้วต่อหน้าสหายชั่ว นางคงกลอกตาไปมาหลายรอบ ไม่ได้เจอกันนานอย่างไร
‘ที่เป็นเช่นนั้นเพราะนางมีจิตใจที่ดีมิใช่หรือ’ คำกล่าวของบุรุษผู้นั้นทำให้สตรีที่ถูกกล่าวถึงกำมือเข้าหากันแน่นอย่างไม่พอใจ “ลี่อิน เจ้าเป็นอันใดหรือไม่ เหตุใดถึงได้หน้าแดงถึงเพียงนั้น” “คงร้อนอบอ้าว เรารีบเดินกันเถิด” พวกปากไม่มีหูรูดเอาแต่ติฉินนินทาเรื่องของผู้อื่น สนใจเรื่องของตนบ้างเถิด สวนที่พวกนางจะไปชมดอกไม้คลายร้อนกันนั้นอยู่ไม่ห่างจากโรงเตี๊ยมเลี่ยงจินเท่าใดนัก หม่าลี่อินเลือกที่จะเดินผ่านมาทางนี้ทั้งที่อีกทางต้องเดินใกล้กว่าคงคาดหวังที่จะได้พบเจอใครบางคน เรื่องราวการพาตัวบุตรชายกลับบ้านของหยางฮูหยินในวันนั้นไม่ได้มีการถูกปิดเป็นความลับแต่อย่างใด จึงไม่แปลกที่สหายชั่วของนางจะคาดหวังว่าจะได้เจอเขาเมื่อผ่านมาที่แห่งนี้ หากทราบว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นของเขา หม่าลี่อินคงแทบจะถอดอาภรณ์วิ่งเข้าใส่ บุรุษที่นอกจากจะร่ำรวยด้วยตนเองแล้วยังมีอำนาจของตระกูลหนุนหลัง สตรีใดบ้างจะไม่ปรารถนา “เซียนเอ๋อร์ เจ้ากำลังจะไปที่ใดหรือ” แม้ท่าทางจะสง่างามแต่ทว่านางกลับเห็นเหงื่อที่ผุดพรายบริเวณไรผมของเขา ‘คงร
“พี่เหลียงอี้ ท่านมาทำอันใดแถวนี้เจ้าคะ” คำกล่าวคล้ายจะเป็นความบังเอิญ แต่นางที่รู้จักคนทั้งสองมาถึงสองชาติเหตุใดจะมองแผนการตื้นเขินนี้ไม่ออก “พี่มาเดินตรวจแถวนี้ เจ้ากับคุณหนูซูจะไปที่ใดกันหรือ” “หนิงเซียนจะพาข้าไปร้านขายอาภรณ์เจ้าค่ะ ท่านไปช่วยพวกข้าเลือกอาภรณ์ได้หรือไม่” คำกล่าวของสหายชั่วทำให้นางก้มหน้าซ่อนแววตาเย้ยหยัน ‘ข้าบอกเจ้าว่าจะมาเดินเล่นนอกจวนมิใช่หรือ ร้านอาภรณ์อันใดข้ามิเคยกล่าวถึง’ “ได้สิ พี่ยินดี” กล่าวจบมือปราบหนุ่มก็จ้องมองคุณหนูซูอย่างไม่วางตา จนหม่าลี่อินชักสีหน้าไม่พอใจ ต่อให้ตนไม่คิดแต่งกับบุรุษฐานะต่ำต้อยอย่างกวางเหลียงอี้ แต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้สตรีอื่นได้ใจเขาไป “ลี่อิน เจ้าได้พบเจอคู่หมั้นแล้ว หากเจ้าอยากไปร้านอาภรณ์ให้มือปราบกวางพาไปดีหรือไม่” “แต่ข้าอยากให้เจ้าไปด้วย” เขาหรือจะสามารถจ่ายตำลึงซื้ออาภรณ์ล้ำค่าให้ตนได้ “ลี่อิน คุณหนูซูอาจจะไม่อยากไปร้านขายอาภรณ์ เจ้าอย่าได้เอาแต่ใจให้มากนัก” กล่าวจบก็หันมาจ้องมองนางด้วยแววตาหวานซึ้ง หวานซึ้งอันใดกัน ข
มิได้! คนเช่นหม่าลี่อินจะไม่ยอมถูกบุรุษเมินเด็ดขาด นางต้องโดดเด่นเหนือซูหนิงเซียน “แต่ข้าว่ามันจืดชืด” “เจ้าไม่ชอบโดดเด่นจนสะดุดตาผู้อื่นมิใช่หรือ” “เจ้ากล่าวถูกแล้ว แต่ข้ารับปากกับท่านพ่อไว้ว่ายามออกไปนอกจวนจะต้องแต่งกายให้ดี มิเช่นนั้นจะขายหน้าท่านพ่อ อย่างไรข้าขอไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้เพียงครู่เดียว” “อืม” หม่าลี่อินรับคำพลางเก็บสีหน้าไม่ชอบใจ ซูหนิงเซียนหายไปไม่นานก็เดินกลับมาหาอดีตสหาย นางยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นประกายริษยาพาดผ่านในดวงตาของสหาย ‘ริษยาข้ามากหรือไม่’ อาภรณ์ชุดนี้บุรุษมากเล่ห์ให้คนนำมาส่งให้นางตั้งแต่ปลายยามเหม่า (05.00-07.00) กล่าวว่านางต้องงดงามยามสวมใส่ “เจ้าได้อาภรณ์ชุดนี้มาตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดข้าถึงไม่ทราบ” “คุณชายหยางมอบให้ข้ายามที่เขาเกี้ยวพาข้า เห็นว่าเป็นอาภรณ์ที่ตัดจากผ้าเนื้อดี สีของอาภรณ์จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เช่นหากวันนี้อากาศเย็น อาภรณ์ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้า แต่หากวันนี้อากาศร้อนมันจะกลายเป็นสีเหลืองกึ่งส้ม แต่หากวันไหนอากาศสบายม
16เจ้ามารยา หลายวันมานี้แม้จะรู้สึกรำคาญใจแต่ทว่านางก็ต้องแสร้งยิ้มตอบรับและนั่งสนทนากับหม่าลี่อินที่มาหาถึงจวนทุกวัน “เจ้าอยู่แต่ในจวนเช่นนี้ ไม่เบื่อหน่ายบ้างหรือไร” คำกล่าวของหม่าลี่อินทำให้มุมปากนางยกยิ้มเล็กน้อย “ข้าจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อมีเจ้า อยู่สนทนาด้วยทุกวัน” แท้จริงหากสตรีผู้นี้ไม่มารบกวนทุกวัน นางคงนั่งอ่านตำราที่หมิงอี้เฉินนำมาให้ยืมมากมาย ช่างเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ไม่น้อย “ช่วงนี้เจ้าได้เจอคุณชายเล็ก ตระกูลหยางบ้างหรือไม่” “เขาคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับกิจการที่มีมากมายทั่วแคว้น ในบางคราข้ายังอดสงสัยไม่ได้ว่าจวนหยางไม่ได้มอบเบี้ยหวัดรายเดือนให้กับเขาหรืออย่างไร เหตุใดเขาถึงได้เปิดร้านค้ามากมายเพียงนั้น” กล่าวจบนางก็ปรายตามองอดีตสหาย และก็ไม่ผิดหวังเมื่อนางได้เห็นประกายยินดีพาดผ่านในดวงตาคู่นั้นยามได้ยินนางกล่าวถึงความร่ำรวยของหยางซีซวน “เจ้าอยากรู้ เหตุใดถึงไม่เอ่ยปากถามเขา” “เรื่องเช่นนี้ข้าจะกล้าถามได้อย่างไร ยังไม่ได้คบหาดูใจกัน เรื่องเงินๆ ทองๆ ของเขาข้าไม่อยากก้าว