เช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนที่หวังหยวนจะตื่น จู่ ๆ เสียงตะโกนของต้าหู่ก็ดังขึ้น!“พี่หยวน! แย่แล้ว! เกิดเรื่องแล้ว!”หวังหยวนงุนงง เมื่อคืนนี้เขากับหัวหน้าเผ่าอาวุโสร่ำสุราด้วยกันหนัก จึงยังปวดหัวอยู่เล็กน้อย เขาลุกขึ้นนั่ง แล้วถามอย่างสับสน“เกิดเรื่องหรือ? มีเรื่องอะไร?”ต้าหู่รีบพูด “หัวหน้าเผ่าอาวุโส... ตายแล้ว!”“อะไรนะ!”หวังหยวนตกตะลึงทันที!หัวหน้าเผ่าอาวุโสตายแล้ว!เมื่อคืนนี้ยังดื่มและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานแท้ ๆ!เหตุใดตอนเช้าเขาจึงตายแล้วล่ะ!“เกิดอะไรขึ้น?”หวังหยวนเริ่มตั้งสติได้ สีหน้าบึ้งตึง เพราะเขาเดาได้ว่านี่อาจเป็นแผนการร้าย!“ถูกดาบแทงร่าง...”ต้าหู่หายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดอย่างรีบร้อนพูดจบ เขาก็รีบพูดต่อ “พี่หยวน หัวหน้าเผ่าใหญ่กับคนอื่น ๆ กำลังมา พวกเขาคงคิดว่าเราเป็นฆาตกรเป็นแน่ รีบไปกันเถอะ!”ต้าหู่รู้ดีว่ามีบางอย่างไม่สมเหตุสมผล เรื่องเช่นนี้ไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้ อีกฝ่ายต้องรู้ข้อนี้แน่นอน จึงกล้าทำเช่นนี้!“ยืมดาบสังหารคน! เป็นกลยุทธ์ที่ดี!”หวังหยวนตะคอกอย่างเย็นชา!หัวหน้าเผ่าอาวุโสคนนี้เป็นคนมีเหตุผล หวังหยวนรู้สึกเสียใจเพราะการเสียชีวิตข
พูดจบ ทุกคนก็พยักหน้าหลังจากที่หวังหยวนมาถึงที่นี่เพียงแค่วันเดียว หัวหน้าเผ่าก็เสียชีวิต แน่นอนว่าหวังหยวนคือผู้ต้องสงสัยมากที่สุด!“ที่แท้ก็แทงใจดำท่านหัวหน้าเผ่าใหญ่นี่เอง ข้าไม่มีแรงจูงใจให้ต้องสังหารหัวหน้าเผ่า ไม่ว่าจะเพื่อชื่อเสียงหรือผลประโยชน์ ข้าไม่มีเหตุผลที่จะต้องสังหารเขา!”“ยิ่งไปกว่านั้น... หากข้าสังหารหัวหน้าเผ่าจริง ก็คงหนีไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว เหตุใดข้าต้องรอจนถึงวันนี้ เพื่อให้พวกเจ้ามาล้อมจับด้วย?”ทันทีที่คนฉลาดเห็น ย่อมรู้ว่าเขาถูกใส่ร้ายหัวหน้าเผ่าใหญ่คนนี้ก็น่าจะรู้เหมือนกัน!สีหน้าของหัวหน้าเผ่ารองและหัวหน้าเผ่าสามไม่ค่อยดีนัก แม้ว่าพวกเขาจะเข้าใจสิ่งที่หวังหยวนพูด และไม่เชื่อว่าหวังหยวนจะเป็นฆาตกร แต่หวังหยวนก็ยังคงเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุดอยู่ดี!“ฮึ่ม! เจ้าเป็นคนมีคารมคมคาย ย่อมต้องคิดคำแก้ตัวมาก่อนแล้ว ส่วนสาเหตุที่เจ้าสังหารหัวหน้าเผ่าอาวุโส พวกข้าจะได้รู้หลังพาตัวเจ้าไปทรมาน!”หัวหน้าเผ่าใหญ่สูดหายใจอย่างรุนแรง แล้วเริ่มดุด่าเขาทันทีหวังหยวนถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ข้ากับท่านหัวหน้าเผ่าอาวุโส พูดคุยกันอย่างสนุกสนานมาก ข้าไม่มีเหตุผลที่จะต้องสัง
เมื่อหวังหยวนพูดจบ ก็กวาดสายตามองคนอื่น โดยไม่รอให้หัวหน้าเผ่าใหญ่พูดต่อ“พวกเจ้าทั้งหลาย หวังหยวนผู้นี้เป็นคนเช่นไร พวกเจ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นอะไร หากพวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด ที่น่าจะสังหารหัวหน้าเผ่าอาวุโส ข้าก็จะไม่ตำหนิพวกเจ้า!”“แต่ว่า... หากข้าสังหารเขาจริง ข้าคงไม่รออยู่ที่นี่ให้พวกเจ้ามาฆ่าหรอก!”“ชีวิตข้านั้นไม่สำคัญ แม้จะต้องสละชีวิตให้แก่หัวหน้าเผ่าอาวุโสก็ตาม แต่... พวกเจ้าอยากปล่อยฆาตกรให้ลอยนวลจริงหรือ?”“วันนี้ข้าต้องสอบสวนเรื่องนี้ สอบสวนทุกคน อย่างที่ข้าได้พูดไปแล้ว ใครที่ไม่ได้สังหารท่านหัวหน้าเผ่าอาวุโส ย่อมไม่กลัวการถูกสอบสวน หากกังวลว่าจะถูกสอบสวน ต้องมีอะไรปิดบังไว้ในใจแน่!”หวังหยวนมองทุกคนบางทีอาจเป็นเพราะเขาดูมีอำนาจมากไป หรือบางทีหวังหยวนอาจพูดด้วยความจริงใจเพียงพอ หลายคนที่เคยมองหวังหยวนด้วยสายตาสงสัย ก็คลายความสงสัยลงมาก!หัวหน้าเผ่ารองและหัวหน้าเผ่าสามก็พยักหน้า“หวังหยวนพูดถูก ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ เช่นนั้นเรามาดูกันว่าจะใครกันแน่ที่เป็นฆาตกรตัวจริง!”“แต่หวังหยวน เหตุใดเจ้าถึงอยากตรวจสอบหัวหน้าเผ่าใหญ่กับพวกเราล่ะ? เจ้าคิดว่าคนในเผ่าไท่
ไม่เช่นนั้น วันนี้คงต้องฝ่าฟันการปิดล้อมนี้ออกไป ถึงแม้จะหนีไปได้ ก็เกรงว่าต้าหู่จะต้องอยู่จัดการที่นี่ชนเผ่าไท่ถ่ามีจำนวนหลายร้อยคน ต้าหู่จะเอาชนะพวกเขาได้อย่างไร!อีกทั้งพวกเขายังไม่รู้ด้วยว่า อาวุธชิ้นนี้ของเขามีกระสุนราวสิบสองนัดเท่านั้น ตอนนี้เหลือเพียงเจ็ดหรือแปดนัดแล้วหากถูกรุมโจมตี ต้องตายแน่!แต่โชคดีที่เทคโนโลยีไม่เท่ากัน ทำให้ยังควบคุมสถานการณ์ตรงหน้าได้ และมีโอกาสหลบหนีไปได้!ต้าหู่และสมาชิกเผ่าไท่ถ่าสองคนหายเข้าไปไม่ถึงห้านาที ต้าหู่ก็กลับออกมาด้วยสีหน้าเย้ยหยัน“พวกเจ้าลองดูสิ!”พูดจบ ก็ทิ้งกองจดหมายลงบนพื้นทั้งหมดนี้เป็นจดหมายระหว่างหัวหน้าเผ่าใหญ่กับผู้บัญชาการใหญ่!ชายผู้นี้ประมาทมากจนไม่ได้เผาหลักฐานเช่นนี้ด้วยซ้ำ!แท้จริงแล้วเขาจะประมาทก็ไม่แปลก เพราะจดหมายพวกนี้ถือว่าเป็นของมีค่า เขายังต้องการใช้จดหมายเหล่านี้ แสวงหาผลประโยชน์จากผู้บัญชาการใหญ่อยู่!แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะทำให้ชื่อเสียงและเกียรติยศของตนถูกทำลาย!หัวหน้าเผ่ารองและหัวหน้าเผ่าสามหยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปมาก!“เจ้าคนสารเลว! เดรัจฉาน!”พวกเขาโกรธจัดทันที ไม่คาดคิดว่าหัวหน้า
หวังหยวนกับต้าหู่ควบม้าไปข้างหน้า ขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการใหญ่เหมิงคั่วก็ได้รับข่าวแล้ว!หัวหน้าเผ่าใหญ่ของเผ่าไท่ถ่าล้มเหลว ทั้งยังทำให้ผู้คนรู้ว่าพวกเขามีความเกี่ยวพันกันอีก!เรื่องนี้ทำให้เหมิงคั่วโกรธมาก!“ไม่ได้เรื่อง! เปล่าประโยชน์อะไรเช่นนี้!”เหมิงคั่วโกรธจนหน้าเขียว เรื่องง่าย ๆ กลับกลายเป็นเรื่องยุ่งเหยิง!ยิ่งกว่านั้น ยังเปิดโปงเขาอีก!หากเป็นเช่นนี้ จะไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือ?หวังหยวนรู้แล้วว่าเขาจะโจมตี จะต้องเตรียมรับมือแล้วเป็นแน่!ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขากำลังแกว่งเท้าหาเสี้ยน!เดิมทีอ๋องหมานอี๋ก็สงสัยในตัวเขาอยู่แล้ว เขาไม่ต้องการทำตัวเด่นชัดเกินไปนึกว่าสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ใครจะคิดว่ามันจะออกมาเป็นเช่นนี้!“ผู้บัญชาการใหญ่ เราควรทำอย่างไรดีขอรับ? ไม่เช่นนั้น... ก็แค่ส่งกองทัพไปสังหารเขาซะ!”คนสนิทที่อยู่ด้านข้างรีบพูด เมื่อพูดจบ เหมิงคั่วก็ขมวดคิ้ว ในตอนนี้เขาเองก็อยากส่งกองทัพไปสังหารหวังหยวนมาก!แต่ถึงจะอยากทำเช่นนั้นในตอนนี้ ก็ทำไม่ได้อยู่ดี!หากทำเช่นนั้นจริง ๆ จะเป็นโอกาสให้อ๋องหมานอี๋ได้กำจัดเสี้ยนหนามที่อยู่ข้างกายออกไป!ถึงตอนนั้น ตระกูลเซิ่งก
“ท่านพ่อ แต่หวังหยวนผู้นี้ไม่ได้มีค่าสำหรับราชวงศ์ต้าเย่ ต้าเย่จะยอมต่อสู้กับหมานอี๋เพราะเขาหรือขอรับ?”ทั้งสองไม่เข้าใจ คิดไม่ตกเซิ่งฟางสี่ยิ้มเยาะอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พ่อบอกแล้วว่าในโลกนี้ ผลประโยชน์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่มีความเกลียดชังอย่างแท้จริง ไม่มีความรังเกียจที่แท้จริง!”“ตราบใดที่ผลประโยชน์สามารถขับเคลื่อนไปได้ จากสงครามก็แปรเปลี่ยนเป็นสันติภาพได้ แม้แต่ความเกลียดชังก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นความรักใคร่สมัครสมานได้!”คำพูดนี้อาจฟังดูเหมือนจะผิด แต่หากวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง!ในโลกนี้ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร!อย่างน้อย เซิ่งฟางสี่ก็ไม่มี!“พวกเจ้าคงจะสับสนสินะ ครั้งก่อนในราชสำนัก หวังหยวนถูกปฏิบัติเหมือนเป็นคนถูกทอดทิ้ง และถูกส่งไปเป็นทูต ฮ่องเต้ซิงหลงยังบอกอีกว่าเขาจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ ดังนั้นพ่อเชื่อว่าราชสำนักจะไม่สนใจว่าหวังหยวนจะอยู่หรือตาย!”“แต่พวกเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ ว่าพวกพ้องของหวังหยวนจะทำเช่นไร หากหวังหยวนตายด้วยน้ำมือของหมานอี๋จริง?”“หากไม่เหลืออะไรแล้ว ทหารและพวกโจรเหล่านั้น จะต้องล้างแค้นให้หวังหยวนใช่หรือไม่
เซิ่งฟางสี่ออกเดินทางอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มาถึงตำหนักของเสียนกุ้ยเฟยใบหน้าของเซิ่งฟางสี่เคร่งขรึมมาก หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “น้องรอง ถึงเวลาที่เราต้องดำเนินการแล้ว”“ตระกูลไป๋ได้ดำเนินการไปแล้ว หากเราไม่รีบดำเนินการตามแผน ปล่อยให้ตระกูลไป๋ยึดครอง โอกาสในการชนะของเราก็จะหายไปหมดสิ้น!”เซิ่งฟางสี่มองเสียนกุ้ยเฟยด้วยท่าทางลนลาน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “น้องรอง เราไม่อาจล่าช้าได้อีกต่อไปแล้ว”“พรุ่งนี้เช้า เจ้าต้องหาทางวางยาพิษฝ่าบาทให้จงได้”“ยา... ยาพิษหรือเจ้าคะ?”เสียนกุ้ยเฟยเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก นางกระซิบด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล “เรา... เราต้องทำเช่นนี้จริงหรือ ไม่มีทางอื่นเลยหรือเจ้าคะ?”“ไม่มี!”เซิ่งฟางสี่พูดเสียงแผ่วเบา “ข้าบอกเจ้าเรื่องการเดิมพันครั้งนี้ชัดเจนแล้ว หากเจ้าไม่ทำและพลาดโอกาสครั้งนี้ สิ่งที่รอเราอยู่ก็คือความตาย!”“คนทั้งตระกูลของเราจะต้องตาย เจ้าอยากเห็นชีวิตทั้งชีวิตของหย่งเอ๋อร์ ถูกทำลายด้วยมือของเจ้าหรือ?”คำพูดของเซิ่งฟางสี่ ทำให้ใบหน้าของเสียนกุ้ยเฟยเริ่มไม่สบายใจอีกครั้งหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นา
“หม่อมฉันไม่ได้เรียกหาหมอหลวงเพคะ...”ก่อนที่เสียนกุ้ยเฟยจะพูดจบ นางก็เห็นสีหน้าฮ่องเต้ดูจริงจังขึ้นทันที ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ “เหลวไหล!”“เรื่องร้ายแรงถึงเพียงนี้ เจ้าจะไม่เรียกหาหมอหลวงได้อย่างไร เรียกหมอหลวงเดี๋ยวนี้!”เมื่อได้ยินดังนั้น เสียนกุ้ยเฟยก็จับมือฮ่องเต้ไว้ทันที แล้วพูดเบา ๆ ว่า “ฝ่าบาท พระองค์เสด็จมาที่นี่เพื่อพบหม่อมฉัน หม่อมฉันก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้วเพคะ”“หากพระองค์ประสงค์ที่จะอยู่กับหม่อมฉันที่นี่ คงดีกว่าหมอหลวงหรือยาดีใด ๆ มากเพคะ”เสียนกุ้ยเฟยมองฮ่องเต้ด้วยสายตาอ่อนโยนราวกับสายน้ำ แล้วพูดเบา ๆ“ฮ่าฮ่า ที่แท้ก็ป่วยเพราะคิดถึงข้านี่เอง เอาเถิด คืนนี้ข้าจะอยู่กับเจ้าที่นี่ก่อน แล้วค่อยกลับ”นัยน์ตาของเสียนกุ้ยเฟยฉายแววกังวล แม้จะยิ้มแย้มอยู่ก็ตาม แม้ว่าแผนของนางจะสำเร็จ แต่นางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอวันรุ่งขึ้นฮ่องเต้เสด็จออกไปแต่เช้าตรู่เสียนกุ้ยเฟยใส่ยาที่เซิ่งฟางสี่มอบให้นางในมื้อเช้าของฮ่องเต้ วิธีนี้จะช่วยไม่ให้ฮ่องเต้ประชวรทันที เมื่ออยู่ในตำหนักของนาง ความสงสัยก็จะมุ่งไปยังผู้อื่นแทนตามที่คาดไว้ภายในเพียงวันครึ่ง พระพักตร์ของฮ่องเต้ก็เริ่มหมองคล้
ทันใดนั้นซูหนานอันก็รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างอ่อนแรง ร่างกายเสียหลักทรุดลงคุกเข่ากับพื้น...“ท่าน...”“ท่านคือหวังหยวน!”ชื่อเสียงของหวังหยวนเลื่องลือไปทั่วหล้า!แม้เขาจะไม่เคยพบหน้าหวังหยวน แต่ก็รู้จักอาวุธลับที่หวังหยวนใช้!เพราะทั่วทั้งใต้หล้านี้ไม่มีอาวุธเช่นนี้อีกแล้ว!ซูหนานอันเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าเหตุใดคนของตระกูลเฉินจึงรีบรุดมาช่วยเหลือราวกับสุนัขรับใช้!ที่แท้ก็เพื่อเอาใจหวังหยวนนี่เอง...บัดนี้เฉินเจิ้นหนานแทบอยากจะตบหน้าตนเอง เหตุใดเขาจึงโง่งมถึงเพียงนี้!“เจ้าหนุ่ม สิ่งนั้นมันอะไรกัน?”“ประทัดหรือ?”ซูอวิ่นอู่ไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีของพ่อ กลับชี้หน้าหวังหยวนแล้วพูดขึ้นคนของตระกูลซูหลายคนต่างหัวเราะเยาะหัวเราะไปเถิด ให้เจ้าหัวเราะให้เต็มที่!“อีกสักพักเจ้าจะร้องไห้กันไม่ทัน!”เฉินเทียนสบถในใจ“บังอาจ!”“หุบปากเน่า ๆ ของเจ้าเดี๋ยวนี้!”“เจ้ามันช่างไร้ประโยชน์ รีบคุกเข่าขอขมาท่านหวังเดี๋ยวนี้!”ซูหนานอันตวาดซูอวิ่นอู่ เหตุใดเขาจึงมีลูกชายโง่เขลาเช่นนี้?ไม่เห็นหรือว่าเขากำลังคุกเข่าอยู่!ยังกล้าพูดจาอวดดีกับหวังหยวน ช่างไม่รู้จักกลัวตายเอาเสียเลย!“ท่านพ่อ ท
ทว่าเฉินเจิ้นหนานไม่ได้สนใจซูหนานอัน กลับรีบวิ่งเข้าไปหาหวังหยวนด้วยท่าทางประจบสอพลอนี่เป็นโอกาสอันดี!หากสามารถสร้างความสัมพันธ์กับหวังหยวนได้ ประกอบกับการกระทำอันอุกอาจของตระกูลซู ต่อไปในเมืองอู่เจียง เขาย่อมเหนือกว่าตระกูลซู!เปรียบได้กับปลากระโดดลงน้ำเลยทีเดียว!เฉินเจิ้นหนานจะไม่รู้จักฉวยโอกาสเช่นนี้ได้อย่างไร?“เฉินเจิ้นหนาน!”“ท่านไม่ได้ยินที่พ่อข้าพูดหรือไร?”“เหตุใดต้องแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด!”ซูอวิ่นอู่เห็นเฉินเจิ้นหนานเมินเฉยต่อพ่อของตนจึงตะโกนด้วยความโกรธแม้แต่ตงฟางฮั่นที่ยืนอยู่ข้างหวังหยวนก็เกือบหลุดหัวเราะ ทั้งเฉินเจิ้นหนานและซูหนานอันล้วนเป็นวีรบุรุษแห่งยุค!เขารู้จักทั้งสองคนเป็นอย่างดี ครั้งหนึ่งคนทั้งสองต่างสร้างฐานะของตระกูลขึ้นมาด้วยสองมือของตนเอง ทั้งยังไต่เต้าขึ้นมาจนมีบทบาทสำคัญในเมืองอู่เจียง!น่าเสียดาย...แม้สุภาษิตจะกล่าวว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น แต่ทายาทของพวกเขากลับเทียบไม่ได้กับบรรพบุรุษ!ไม่สิ!ต้องบอกว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว!“ซูอวิ่นอู่!”“ที่ผ่านมาข้าอดทนกับเจ้าก็มากพอแล้ว วันนี้เจ้ายังกล้าด่าทอพ่อข้าต่อหน้าข้าอีกหรือ?”“เจ้าคนสารเลว!”
ซูหนานอันผ่านพบผู้คนมากมาย ย่อมมีวิจารณญาณที่แตกต่างจากคนทั่วไปขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หวังหยวนก็เอื้อมมือไปตบบ่าเขา กิริยาเช่นนี้ทำให้พี่น้องตระกูลซูต่างไม่พอใจ“ช่างบังอาจ!”“รีบเอามือสกปรกของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้!”ซูอวิ่นอู่ขึ้นชื่อเรื่องความบุ่มบ่ามอยู่แล้ว ผู้คนในเมืองอู่เจียงต่างรู้ถึงนิสัยใจร้อนของเขา แม้แต่บุตรหลานของอีกสามตระกูลใหญ่ก็ยังไม่กล้าต่อกรกับเขาซึ่งหน้าด้วยซ้ำไม่เพียงแต่มีนิสัยใจร้อนเท่านั้น เขายังมีพละกำลังมหาศาล มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ชายธรรมดาที่จะเข้าใกล้เขาได้ แม้แต่คนสี่ห้าคนก็ยังเข้าใกล้ได้ยาก!ช่างเป็นตัวปัญหายิ่งนัก!“เจ้าจำข้าไม่ได้จริงหรือ?”หวังหยวนจ้องมองซูหนานอัน แม้จะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ก็แผ่รังสีความกดดันที่มองไม่เห็นออกมา!ซูหนานอันส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว แต่สมองกลับครุ่นคิดอย่างหนัก พยายามนึกถึงใบหน้าของหวังหยวน...แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเคยพบเจอหวังหยวนที่ใดมาก่อน!“ตระกูลซูของเจ้านี่ช่างน่าเกรงขามนัก”“คนที่ไม่รู้คงนึกว่าเมืองอู่เจียงนี้ตกเป็นของตระกูลซูเข้าแล้ว”หวังหยวนพึมพำกับตนเองซูหนานอันยิ่งงุนงง
“หากไม่อยากตายก็หลีกทางให้ข้า”หวังหยวนเป่าควันดำที่ลอยขึ้นจากปืนคาบศิลา ทอดสายตามองคนทั้งสองอย่างเย็นชาองครักษ์เฝ้าประตูทั้งสองสบตากัน ก่อนจะรีบหลีกทางให้หวังหยวนด้วยความหวาดหวั่น จะกล้าขวางทางต่อไปได้อย่างไร?เพราะพวกเขาไม่เคยพบเห็นอาวุธลับที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้มาก่อน!หากถูกอาวุธนี้เล่นงานคงต้องสิ้นชีพอย่างแน่นอน...หวังหยวนและตงฟางฮั่นเดินเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลซูอย่างองอาจ ในชั่วพริบตา ทั้งสองก็มาถึงลานกว้างภายในคฤหาสน์เสียงดังจากหน้าประตูทำให้ผู้คนในตระกูลซูแตกตื่น ทุกคนต่างกรูกันออกมา ขณะนี้พวกเขากำลังยืนล้อมรอบลานบ้าน ใบหน้าบึ้งตึงหวังหยวนและตงฟางฮั่นถูกล้อมไว้ทุกทิศทาง“ให้หัวหน้าตระกูลของพวกเจ้าออกมาพบข้า”หวังหยวนกล่าวเสียงเรียบครู่ต่อมาฝูงชนก็แยกออกเพื่อเปิดทาง เผยให้เห็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมหรูหราเดินออกมาจากด้านหลังแม้จะมีอายุมากแล้ว แต่ก็ยังคงมีสง่าราศีน่าเกรงขามชายผู้นั้นกวาดสายตามองหวังหยวน ก่อนจะเอ่ยปากอย่างเย็นชา “เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงบังอาจบุกรุกคฤหาสน์ตระกูลซู”“หรือเจ้าอยากรนหาที่ตาย?”ข้างกายซูหนานอันมีชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ บุตรชายทั้งสองของเขาต
สายตาของหวังหยวนจับจ้องไปยังตงฟางฮั่นพลางเอ่ยถามขึ้นแม้เขาจะได้รับฟังเรื่องราวของเมืองอู่เจียงจากเกาเล่อมาบ้าง แต่ก็รู้เพียงผิวเผินเท่านั้นในเมืองอู่เจียงมีสี่ตระกูลใหญ่ ทั้งตระกูลเฉินและตระกูลซูล้วนรวมอยู่ในนั้น!แม้ทั้งสองตระกูลไม่ใช่ตระกูลที่รุ่งเรืองที่สุด แต่ก็มีบทบาทสำคัญในเมืองอู่เจียง!“ท่านหวังทราบหรือไม่ว่าตระกูลซูทำธุรกิจด้านใด?”ตงฟางฮั่นเอ่ยถามอย่างเชื่องช้า“ข้าได้ยินเกาเล่อรายงานว่าตระกูลซูทำธุรกิจขนส่งทางบก”“ว่ากันว่าในอดีต ซูหนานอัน หัวหน้าตระกูลซู เริ่มต้นจากการใช้รถเข็นสามล้อ แล้วค่อย ๆ สร้างฐานะขึ้นมา”“ต่อมาตระกูลซูก็เจริญรุ่งเรืองจนมีอำนาจดังเช่นทุกวันนี้”ทันใดนั้นหวังหยวนก็ตบหน้าผากตนเองอย่างแรง ราวกับนึกอะไรบางอย่างออกธุรกิจขนส่งทางบก!หากมีการสร้างเขื่อนกั้นน้ำ ผลประโยชน์ของตระกูลซูย่อมเสียหาย พวกเขาจึงเป็นผู้ที่ต้องการขัดขวางโครงการนี้มากที่สุด!“ท่านตงฟางช่างเฉียบแหลมนัก!”หวังหยวนเอ่ยชมตงฟางฮั่นส่ายหน้ากล่าวว่า “บัดนี้ยังไม่อาจยืนยันได้ว่าสิ่งที่ข้าคิดนั้นถูกต้องหรือไม่”“แต่ก็ควรไปดูให้เห็นกับตาสักครั้ง”“ยิ่งไปกว่านั้น ท่านเป็นถึงเจ้า
“ข้าคิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เราควรพิจารณาว่าการสร้างเขื่อนกั้นน้ำไปขัดผลประโยชน์ของผู้ใด”“หากไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ อีกฝ่ายคงไม่ลงมือเช่นนี้”“เช่นนั้นพวกเราก็จะพบเป้าหมายได้โดยเร็ว”สมแล้วที่ตงฟางฮั่นเป็นบุคลากรที่ใคร ๆ ก็ต้องการ คำพูดของเขาทำให้หวังหยวนรู้สึกกระจ่าง!“เช่นนั้นเอง”“ตอนนี้พวกเราแบ่งเป็นสองกลุ่ม!”“กลุ่มแรกให้ฉุนอวี๋อันไปสืบหาตัวคนที่แอบเข้าใกล้บ่อน้ำเมื่อคืน!”“เพื่อตามหาตัวคนวางยา แล้วเค้นถามข้อมูลจากมันให้ได้!”“อีกกลุ่มหนึ่งต้องไปสืบในเมือง ดูว่าใครได้รับผลกระทบ ก็จะทำให้เรามุ่งเป้าหมายได้ถูกต้อง!”“ตอนนี้สิ่งสำคัญคือต้องปลอบขวัญชาวบ้าน หากไม่สามารถให้คำตอบที่น่าพอใจแก่พวกเขา พวกเขาก็คงจะอ้างเรื่องศาลเจ้ามังกรแล้วหยุดการทำงาน!”“เช่นนั้นจะทำให้การก่อสร้างล่าช้า!”ความคิดของหวังหยวนตรงกับคนอื่น ๆเพราะแท้จริงแล้วสิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างเส้นทางคมนาคมทางน้ำเพื่อให้เมืองอู่เจียงพัฒนาจากนั้นก็จะสามารถพัฒนาเมืองหลิงได้!“ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้นหรอก!”“ที่จริงข้าพอจะเดาออกแล้วว่าเป็นใคร”“ไม่ทราบว่าท่านหวังจะไปกับข้าหรือไม่?”ตงฟางฮั่นมองหวั
ช่างเป็นเรื่องเหลวไหล!สิ่งที่เรียกว่าศรัทธาและเทพเจ้าก็เป็นเพียงที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เชื่อก็มี ไม่เชื่อก็ไม่มีสรรพสิ่งล้วนมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ มีที่มาที่ไป หากมีเทพเจ้าและศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นจริง เหตุใดจึงมีผู้คนอดอยากยากไร้อยู่ทั่วทุกหนแห่ง?“ไร้สาระ!”หวังหยวนตำหนิ ฉุนอวี๋อันจึงไม่กล้าพูดต่อ“เรื่องนี้ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเป็นแน่”“หรือไม่ทุกคนติดโรคระบาดจึงเป็นเช่นนี้!”“รอข้าไปถึงแล้วค่อยว่ากัน!”หวังหยวนหลับตา ไม่พูดกับฉุนอวี๋อันอีกเพื่อไม่ให้ตนเองโมโหฉุนอวี๋อันงุนงง เขาเคยได้ยินชื่อโรคมากมาย แต่ไม่เคยได้ยินเรื่องโรคระบาดมาก่อน!หรือจะเป็นโรคประหลาด?เมื่อเห็นหวังหยวนไม่สนใจ เขาก็เช็ดเหงื่อ ไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่นั่งเงียบไม่นานพวกหวังหยวนก็มาถึงเขตก่อสร้าง ชาวบ้านที่ได้ยินข่าวต่างมามุงดู สถานที่แห่งนี้ช่างคึกคักทางด้านตงฟางฮั่นอยู่ท่ามกลางฝูงชน กำลังตรวจสอบอะไรบางอย่างตงฟางฮั่นเห็นหวังหยวนเดินเข้ามาจึงลุกขึ้นเดินไปหาหวังหยวน“ท่านตงฟาง ข้าได้ยินเรื่องที่นี่แล้วจึงรีบมา”“ท่านมาก่อน พบเบาะแสอะไรหรือไม่?”ตงฟางฮั่นส่ายหน้า พลางขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ข้าให้
ยามตะวันโด่งฟ้า หวังหยวนกับภรรยายังคงนอนหลับอยู่บนเตียง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบ“ท่าน!”“เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!”“ท่านรีบออกมาเถิดขอรับ!”เสียงของฉุนอวี๋อันเต็มไปด้วยความร้อนใจ เขาเคาะประตูไม่หยุดปกติฉุนอวี๋อันเป็นคนรอบคอบ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ต้องชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียก่อนเสมอด้วยเหตุนี้ฉุนอวี๋อันจึงถูกมองว่าอ่อนแอ ไร้ความสามารถ เมืองอู่เจียงไม่เคยได้รับการจัดการอย่างดี และสี่ตระกูลใหญ่ก็มีอำนาจอยู่เหนือเขา!วันนี้เขากลับกล้ามาหาหวังหยวนถึงห้อง ทั้งยังมารบกวนการนอนของพวกเขา แสดงว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริง ๆ!หวังหยวนค่อย ๆ ยืดตัวบิดขี้เกียจ จากนั้นสวมเสื้อผ้าแล้วเปิดประตูมองไปที่ฉุนอวี๋อันเมื่อเห็นเขามีสีหน้าร้อนรนก็ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ฟ้าถล่มหรืออย่างไร?”อย่างไรเสียฉุนอวี๋อันก็เคยเป็นผู้ว่าราชการเมือง จึงจำเป็นต้องสงบนิ่ง ไม่หวั่นไหว แม้ภูผาจะถล่มก็ตามไม่เช่นนั้นหากเกิดเรื่องใดขึ้นมา ฉุนอวี๋อันจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้!แต่น่าเสียดายที่ฉุนอวี๋อันไม่ได้รับการฝึกฝน!โชคดีที่เขาเห็นข้อนี้ จึงให้ฉุนอวี๋อันลาออกจากตำแหน่ง เพื่อไม่ให้เป็นการทำร้า
“ต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว”เกาเล่อรีบพยักหน้า“อีกอย่าง”“เจ้าไปเมืองผีครั้งนี้ต้องระวังตัวด้วย”“คำพูดของหลิ่วหรูเยียนเชื่อได้ แต่ก็ไม่ควรเชื่อทั้งหมด”“เมืองผีอาจไม่ใช่สถานที่ที่เราจะอยู่ได้ง่าย ๆ...”“หากพบเจอเรื่องยุ่งยากก็ปรึกษาข้าได้ตลอด อย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่าม!”หวังหยวนกำชับอีกสองสามประโยคเกาเล่อเป็นมือขวาของเขา เขาย่อมไม่อยากให้เกาเล่อเป็นอันตราย ไม่เช่นนั้นหวังหยวนจะรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากบ่ายวันนั้น เกาเล่อเดินทางไปเมืองผีด้วยตัวเองส่วนหวังหยวนก็กลับไปที่พักหลี่ซื่อหานรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นหวังหยวนเดินเข้ามา นางก็ยิ้มหวานเดินเข้ามาหา แล้วควงแขนหวังหยวนขณะกล่าวว่า “ข้าได้ยินเรื่องที่ท่านกำลังทำอยู่ในช่วงนี้”“จะรับอนุภรรยาอีกแล้วหรือ?”หวังหยวนถึงกับหน้าเสียใครปากมาก เอาเรื่องนี้ไปบอกหลี่ซื่อหาน?ที่เขาไปหอนางโลมนั้นไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อสถานการณ์บ้านเมืองต่างหาก!“ในสายตาเจ้า ข้าเป็นผู้ชายที่เห็นผู้หญิงแล้วอดใจไม่ได้หรือ?”หวังหยวนจิบชา และกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์หลี่ซื่อหานยิ้มก่อนกล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน แต่คนอื่นไม่รู้จักนิสัยของท่าน อาจทำให้เกิด