หวังหยวนกับต้าหู่ควบม้าไปข้างหน้า ขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการใหญ่เหมิงคั่วก็ได้รับข่าวแล้ว!หัวหน้าเผ่าใหญ่ของเผ่าไท่ถ่าล้มเหลว ทั้งยังทำให้ผู้คนรู้ว่าพวกเขามีความเกี่ยวพันกันอีก!เรื่องนี้ทำให้เหมิงคั่วโกรธมาก!“ไม่ได้เรื่อง! เปล่าประโยชน์อะไรเช่นนี้!”เหมิงคั่วโกรธจนหน้าเขียว เรื่องง่าย ๆ กลับกลายเป็นเรื่องยุ่งเหยิง!ยิ่งกว่านั้น ยังเปิดโปงเขาอีก!หากเป็นเช่นนี้ จะไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือ?หวังหยวนรู้แล้วว่าเขาจะโจมตี จะต้องเตรียมรับมือแล้วเป็นแน่!ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขากำลังแกว่งเท้าหาเสี้ยน!เดิมทีอ๋องหมานอี๋ก็สงสัยในตัวเขาอยู่แล้ว เขาไม่ต้องการทำตัวเด่นชัดเกินไปนึกว่าสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ใครจะคิดว่ามันจะออกมาเป็นเช่นนี้!“ผู้บัญชาการใหญ่ เราควรทำอย่างไรดีขอรับ? ไม่เช่นนั้น... ก็แค่ส่งกองทัพไปสังหารเขาซะ!”คนสนิทที่อยู่ด้านข้างรีบพูด เมื่อพูดจบ เหมิงคั่วก็ขมวดคิ้ว ในตอนนี้เขาเองก็อยากส่งกองทัพไปสังหารหวังหยวนมาก!แต่ถึงจะอยากทำเช่นนั้นในตอนนี้ ก็ทำไม่ได้อยู่ดี!หากทำเช่นนั้นจริง ๆ จะเป็นโอกาสให้อ๋องหมานอี๋ได้กำจัดเสี้ยนหนามที่อยู่ข้างกายออกไป!ถึงตอนนั้น ตระกูลเซิ่งก
“ท่านพ่อ แต่หวังหยวนผู้นี้ไม่ได้มีค่าสำหรับราชวงศ์ต้าเย่ ต้าเย่จะยอมต่อสู้กับหมานอี๋เพราะเขาหรือขอรับ?”ทั้งสองไม่เข้าใจ คิดไม่ตกเซิ่งฟางสี่ยิ้มเยาะอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พ่อบอกแล้วว่าในโลกนี้ ผลประโยชน์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่มีความเกลียดชังอย่างแท้จริง ไม่มีความรังเกียจที่แท้จริง!”“ตราบใดที่ผลประโยชน์สามารถขับเคลื่อนไปได้ จากสงครามก็แปรเปลี่ยนเป็นสันติภาพได้ แม้แต่ความเกลียดชังก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นความรักใคร่สมัครสมานได้!”คำพูดนี้อาจฟังดูเหมือนจะผิด แต่หากวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง!ในโลกนี้ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร!อย่างน้อย เซิ่งฟางสี่ก็ไม่มี!“พวกเจ้าคงจะสับสนสินะ ครั้งก่อนในราชสำนัก หวังหยวนถูกปฏิบัติเหมือนเป็นคนถูกทอดทิ้ง และถูกส่งไปเป็นทูต ฮ่องเต้ซิงหลงยังบอกอีกว่าเขาจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ ดังนั้นพ่อเชื่อว่าราชสำนักจะไม่สนใจว่าหวังหยวนจะอยู่หรือตาย!”“แต่พวกเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ ว่าพวกพ้องของหวังหยวนจะทำเช่นไร หากหวังหยวนตายด้วยน้ำมือของหมานอี๋จริง?”“หากไม่เหลืออะไรแล้ว ทหารและพวกโจรเหล่านั้น จะต้องล้างแค้นให้หวังหยวนใช่หรือไม่
เซิ่งฟางสี่ออกเดินทางอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มาถึงตำหนักของเสียนกุ้ยเฟยใบหน้าของเซิ่งฟางสี่เคร่งขรึมมาก หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “น้องรอง ถึงเวลาที่เราต้องดำเนินการแล้ว”“ตระกูลไป๋ได้ดำเนินการไปแล้ว หากเราไม่รีบดำเนินการตามแผน ปล่อยให้ตระกูลไป๋ยึดครอง โอกาสในการชนะของเราก็จะหายไปหมดสิ้น!”เซิ่งฟางสี่มองเสียนกุ้ยเฟยด้วยท่าทางลนลาน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “น้องรอง เราไม่อาจล่าช้าได้อีกต่อไปแล้ว”“พรุ่งนี้เช้า เจ้าต้องหาทางวางยาพิษฝ่าบาทให้จงได้”“ยา... ยาพิษหรือเจ้าคะ?”เสียนกุ้ยเฟยเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก นางกระซิบด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล “เรา... เราต้องทำเช่นนี้จริงหรือ ไม่มีทางอื่นเลยหรือเจ้าคะ?”“ไม่มี!”เซิ่งฟางสี่พูดเสียงแผ่วเบา “ข้าบอกเจ้าเรื่องการเดิมพันครั้งนี้ชัดเจนแล้ว หากเจ้าไม่ทำและพลาดโอกาสครั้งนี้ สิ่งที่รอเราอยู่ก็คือความตาย!”“คนทั้งตระกูลของเราจะต้องตาย เจ้าอยากเห็นชีวิตทั้งชีวิตของหย่งเอ๋อร์ ถูกทำลายด้วยมือของเจ้าหรือ?”คำพูดของเซิ่งฟางสี่ ทำให้ใบหน้าของเสียนกุ้ยเฟยเริ่มไม่สบายใจอีกครั้งหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นา
“หม่อมฉันไม่ได้เรียกหาหมอหลวงเพคะ...”ก่อนที่เสียนกุ้ยเฟยจะพูดจบ นางก็เห็นสีหน้าฮ่องเต้ดูจริงจังขึ้นทันที ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ “เหลวไหล!”“เรื่องร้ายแรงถึงเพียงนี้ เจ้าจะไม่เรียกหาหมอหลวงได้อย่างไร เรียกหมอหลวงเดี๋ยวนี้!”เมื่อได้ยินดังนั้น เสียนกุ้ยเฟยก็จับมือฮ่องเต้ไว้ทันที แล้วพูดเบา ๆ ว่า “ฝ่าบาท พระองค์เสด็จมาที่นี่เพื่อพบหม่อมฉัน หม่อมฉันก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้วเพคะ”“หากพระองค์ประสงค์ที่จะอยู่กับหม่อมฉันที่นี่ คงดีกว่าหมอหลวงหรือยาดีใด ๆ มากเพคะ”เสียนกุ้ยเฟยมองฮ่องเต้ด้วยสายตาอ่อนโยนราวกับสายน้ำ แล้วพูดเบา ๆ“ฮ่าฮ่า ที่แท้ก็ป่วยเพราะคิดถึงข้านี่เอง เอาเถิด คืนนี้ข้าจะอยู่กับเจ้าที่นี่ก่อน แล้วค่อยกลับ”นัยน์ตาของเสียนกุ้ยเฟยฉายแววกังวล แม้จะยิ้มแย้มอยู่ก็ตาม แม้ว่าแผนของนางจะสำเร็จ แต่นางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอวันรุ่งขึ้นฮ่องเต้เสด็จออกไปแต่เช้าตรู่เสียนกุ้ยเฟยใส่ยาที่เซิ่งฟางสี่มอบให้นางในมื้อเช้าของฮ่องเต้ วิธีนี้จะช่วยไม่ให้ฮ่องเต้ประชวรทันที เมื่ออยู่ในตำหนักของนาง ความสงสัยก็จะมุ่งไปยังผู้อื่นแทนตามที่คาดไว้ภายในเพียงวันครึ่ง พระพักตร์ของฮ่องเต้ก็เริ่มหมองคล้
หวังหยวนไม่ได้ล่วงรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ ขณะเดียวกัน เขาก็มาถึงนอกเมืองหลวงของหมานอี๋แล้ว!หมานจิ้งรออยู่ไม่ไกลนัก“องค์หญิง ในที่สุดเราก็ได้พบกันแล้ว!”เมื่อหวังหยวนเห็นหมานจิ้ง ก็พูดด้วยรอยยิ้มทันทีพูดจบ หมานจิ้งก็หัวเราะ แล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่านไม่เป็นปกติสุขตลอดทาง โชคดีที่ท่านปลอดภัยมาจนถึงเมืองหลวงได้”หวังหยวนหัวเราะ “ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมเกรงว่าเมืองหลวงแห่งนี้จะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป!”หมานจิ้งเม้มปาก แล้วพูดว่า “อย่ากังวลไปเลย คราวนี้พวกเราหมานอี๋ ไม่ได้สนใจสถานะทางการของท่าน หากท่านต้องการให้พวกเขาสร้างสันติภาพ ท่านคงต้องพยายามอย่างหนัก!”ทันทีที่พูดจบ หวังหยวนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “พระเชษฐาของพระองค์ ช่างทุ่มเทใช้กลอุบายสุดตัวเสียจริง!”หมานจิ้งกะพริบตาโตน่ารัก แล้วอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พูดเช่นนั้นได้อย่างไร?”“พระเชษฐาของพระองค์ เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นอ๋องหมานอี๋ ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะเหล่าทหารเก่าของพระบิดาท่าน ทุกคนย่อมมีสิทธิ์ที่จะพูด”“เมื่อเขาขึ้นเป็นอ๋ององค์ใหม่ ย่อมไม่ง่ายเลยที่จะล่วงเกิน จึงให้ข้าไปปราบปรามคนเหล่านั้นให้ เป็นการวางกลยุท
โดยปกติแล้ว นักการทูตต่าง ๆ ล้วนมีคณะทูตอย่างน้อยก็สิบคน แต่ตอนนี้หวังหยวนทั้งสองคนมาถึงที่นี่ แน่นอนว่าเป็นการยั่วยุให้พวกเขาไม่พอใจ! ในสายตาของพวกเขา แสดงให้เห็นว่าต้าเย่นี้ไม่ได้มองพวกเขาอยู่ในสายตา! หวังหยวนยิ้มและกล่าวว่า “คนจำนวนมากไม่ได้แปลว่าเคารพ ยิ่งกว่านั้น เหตุใดต้าเย่ของข้าต้องมองหมานอี๋ไว้ในสายด้วยเล่า?” ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที! “ช่างกล้านัก! พูดจาสาวหาว อย่าคิดว่าเพียงเพราะท่านเป็นทูตแล้วเราจะไม่กล้าฆ่าท่าน!” เมื่อหวังหยวนได้ยินสิ่งนี้ เขาก็หัวเราะทันที “ฆ่าข้า? เช่นนั้นก็ลงมือฆ่าข้าเถอะ หากมันมีประโยชน์ต่อหมานอี๋อย่างพวกท่าน เช่นนั้นหัวของข้าก็จะเป็นของท่าน” “เพียงแต่น่าเสียดายที่การฆ่าข้าไม่มีประโยชน์อะไรต่อพวกท่านเลย ผู้อาสุโสท่านนี้ ท่านก็อายุมากแล้ว อย่าอารมณ์เสียง่าย ๆ เลย นี่จะแสดงให้เห็นว่าท่านป่วยทางจิตเท่านั้น” หวังหยวนไม่สุภาพ หลังจากพูดจบ ใบหน้าของชายชราก็เปลี่ยนไปน่าเกลียด! แน่นอนว่าเขาฟังออกว่าชายหนุ่มคนนี้พูดจาประชดประชัน ว่าเขาเป็นคนแก่หัวร้อนที่ไม่มีอำนาจในเมือง! “หวังหยวน ท่านพูดจาเฉียบคมจริง
หลังจากที่หวังหยวนพูดจบ ชายชราก็อยากจะพูดต่อ แต่กลับถูกหวังหยวนต่อต้านกลับ! “ท่านคิดว่าเมืองหวงร่วมมือกับหมานอี๋ของพวกท่าน เพื่อบุกโจมตีต้าเย่ของเราหรือ?” “ไม่พูดถึงว่าจะสู้ศึกชนะได้หรือไม่ พวกท่านเคยคำนวณหรือไม่ว่าต้องใช้ทหารจำนวนเท่าใดในการบุกโจมตีต้าเย่ของเรา?” “หากคำนวณเช่นนี้ล่ะก็ ไม่สู้เราร่วมมือกับเมืองหวงเพื่อกำจัดหมานอี๋อย่างพวกท่านให้ราบคาบ” “ใช้เวลาไม่มาก ต้าเย่ของเราก็สามารถยกดินแดนหมานอี๋สองในสามส่วนให้กับเมืองหวงแล้ว ข้าเชื่อว่าเมืองหวงจะเห็นด้วยอย่างแน่นอน!” หวังหยวนพูดโดยตรง แต่ทันใดนั้นใบหน้าของชายคนนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดง และเขารู้สึกโกรธเล็กน้อยและพูดอย่างหนักแน่นว่า “พวกเราก็สามารถยกดินแดนของต้าเย่สองในสามส่วนให้กับเมืองหวงได้เช่นกัน!” แต่หลังจากพูดเช่นนี้จบ หวังหยวนก็ยิ้มอย่างมีความสุขมากขึ้น! “ไร้สาระ! พวกท่านคิดจะสู้ศึกกับต้าเย่ของเราจริงหรือ? เช่นนั้นก็ดี มาดูกันว่าเมืองหวงจะช่วยต้าเย่ของเรา หรือจะช่วยหมานอี๋ของพวกท่าน!” หลังจากที่หวังหยวนพูดจบ เขาก็ทำท่าทางจะเดินออกไป “คุณชายหวังหยวน มันเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น เหตุใดท่านถึงต้องจริงจังด้วยเล่
“ทุกท่าน ข้ารู้ว่าในใจของพวกท่านรู้สึกไม่พอใจ และคิดจะกดขี่ต้าเย่ของเรา ข้ารู้ด้วยว่าในมุมของหมานอี๋กำลังข่มความรู้สึกโกรธที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวมานานหลายปี” “แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่ใช่เวลาที่พวกท่านจะตอบสนองต่อความปรารถนาอันแรงกล้าได้ พวกท่านด่าทอข้าเสียหาย หรือกดขี่ข้า มันก็ไร้ประโยชน์” “ข้าต้องทนทุกข์ทรมานกับความอัปยศอดสูมามาก ข้าเสียหน้าในหมานอี๋ของพวกท่าน และทำให้ต้าเย่ต้องเสื่อมเสียเกียรติ แย่ที่สุด ข้าก็แค่ถูกประหารชีวิตหลังจากกลับไป” “แต่พวกท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ ว่าพวกท่านจะได้รับอะไรจากสิ่งที่ทำเช่นนี้ลงไป คงหนีไม่พ้นอะไรมากไปกว่าความรู้สึกสำราญและโล่งใจ” “อย่างไรก็ตาม หมานอี๋นี้ยังคงเป็นหมานอี๋ และต้าเย่ก็ยังเป็นต้าเย่ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง!” “พวกท่านยังอยู่ตรงมุมเล็ก ๆ พวกท่านยังคงไม่มีทหารและม้าที่แข็งแกร่งเหมือนกับต้าเย่ นอกจากนี้ พวกท่านยังคงไม่กล้าบุกโจมตีกับต้าเย่เหมือนเดิม แทนที่จะโต้เถียงกับฝ่าบาทในข้อพิพาททางวาจาที่ไร้ความหมายนี้ ไม่สู้มุ่งความสนใจไปที่แผ่นดินตนเองดีกว่า!”“ท้ายที่สุดแล้ว พวกท่านอยู่ในตำแหน่งที่สูงศักดิ์ มีอาหารกินอิ่มหนำและเสื้อผ้