หวังหยวนไม่ได้ล่วงรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ ขณะเดียวกัน เขาก็มาถึงนอกเมืองหลวงของหมานอี๋แล้ว!หมานจิ้งรออยู่ไม่ไกลนัก“องค์หญิง ในที่สุดเราก็ได้พบกันแล้ว!”เมื่อหวังหยวนเห็นหมานจิ้ง ก็พูดด้วยรอยยิ้มทันทีพูดจบ หมานจิ้งก็หัวเราะ แล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่านไม่เป็นปกติสุขตลอดทาง โชคดีที่ท่านปลอดภัยมาจนถึงเมืองหลวงได้”หวังหยวนหัวเราะ “ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมเกรงว่าเมืองหลวงแห่งนี้จะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป!”หมานจิ้งเม้มปาก แล้วพูดว่า “อย่ากังวลไปเลย คราวนี้พวกเราหมานอี๋ ไม่ได้สนใจสถานะทางการของท่าน หากท่านต้องการให้พวกเขาสร้างสันติภาพ ท่านคงต้องพยายามอย่างหนัก!”ทันทีที่พูดจบ หวังหยวนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “พระเชษฐาของพระองค์ ช่างทุ่มเทใช้กลอุบายสุดตัวเสียจริง!”หมานจิ้งกะพริบตาโตน่ารัก แล้วอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พูดเช่นนั้นได้อย่างไร?”“พระเชษฐาของพระองค์ เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นอ๋องหมานอี๋ ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะเหล่าทหารเก่าของพระบิดาท่าน ทุกคนย่อมมีสิทธิ์ที่จะพูด”“เมื่อเขาขึ้นเป็นอ๋ององค์ใหม่ ย่อมไม่ง่ายเลยที่จะล่วงเกิน จึงให้ข้าไปปราบปรามคนเหล่านั้นให้ เป็นการวางกลยุท
โดยปกติแล้ว นักการทูตต่าง ๆ ล้วนมีคณะทูตอย่างน้อยก็สิบคน แต่ตอนนี้หวังหยวนทั้งสองคนมาถึงที่นี่ แน่นอนว่าเป็นการยั่วยุให้พวกเขาไม่พอใจ! ในสายตาของพวกเขา แสดงให้เห็นว่าต้าเย่นี้ไม่ได้มองพวกเขาอยู่ในสายตา! หวังหยวนยิ้มและกล่าวว่า “คนจำนวนมากไม่ได้แปลว่าเคารพ ยิ่งกว่านั้น เหตุใดต้าเย่ของข้าต้องมองหมานอี๋ไว้ในสายด้วยเล่า?” ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที! “ช่างกล้านัก! พูดจาสาวหาว อย่าคิดว่าเพียงเพราะท่านเป็นทูตแล้วเราจะไม่กล้าฆ่าท่าน!” เมื่อหวังหยวนได้ยินสิ่งนี้ เขาก็หัวเราะทันที “ฆ่าข้า? เช่นนั้นก็ลงมือฆ่าข้าเถอะ หากมันมีประโยชน์ต่อหมานอี๋อย่างพวกท่าน เช่นนั้นหัวของข้าก็จะเป็นของท่าน” “เพียงแต่น่าเสียดายที่การฆ่าข้าไม่มีประโยชน์อะไรต่อพวกท่านเลย ผู้อาสุโสท่านนี้ ท่านก็อายุมากแล้ว อย่าอารมณ์เสียง่าย ๆ เลย นี่จะแสดงให้เห็นว่าท่านป่วยทางจิตเท่านั้น” หวังหยวนไม่สุภาพ หลังจากพูดจบ ใบหน้าของชายชราก็เปลี่ยนไปน่าเกลียด! แน่นอนว่าเขาฟังออกว่าชายหนุ่มคนนี้พูดจาประชดประชัน ว่าเขาเป็นคนแก่หัวร้อนที่ไม่มีอำนาจในเมือง! “หวังหยวน ท่านพูดจาเฉียบคมจริง
หลังจากที่หวังหยวนพูดจบ ชายชราก็อยากจะพูดต่อ แต่กลับถูกหวังหยวนต่อต้านกลับ! “ท่านคิดว่าเมืองหวงร่วมมือกับหมานอี๋ของพวกท่าน เพื่อบุกโจมตีต้าเย่ของเราหรือ?” “ไม่พูดถึงว่าจะสู้ศึกชนะได้หรือไม่ พวกท่านเคยคำนวณหรือไม่ว่าต้องใช้ทหารจำนวนเท่าใดในการบุกโจมตีต้าเย่ของเรา?” “หากคำนวณเช่นนี้ล่ะก็ ไม่สู้เราร่วมมือกับเมืองหวงเพื่อกำจัดหมานอี๋อย่างพวกท่านให้ราบคาบ” “ใช้เวลาไม่มาก ต้าเย่ของเราก็สามารถยกดินแดนหมานอี๋สองในสามส่วนให้กับเมืองหวงแล้ว ข้าเชื่อว่าเมืองหวงจะเห็นด้วยอย่างแน่นอน!” หวังหยวนพูดโดยตรง แต่ทันใดนั้นใบหน้าของชายคนนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดง และเขารู้สึกโกรธเล็กน้อยและพูดอย่างหนักแน่นว่า “พวกเราก็สามารถยกดินแดนของต้าเย่สองในสามส่วนให้กับเมืองหวงได้เช่นกัน!” แต่หลังจากพูดเช่นนี้จบ หวังหยวนก็ยิ้มอย่างมีความสุขมากขึ้น! “ไร้สาระ! พวกท่านคิดจะสู้ศึกกับต้าเย่ของเราจริงหรือ? เช่นนั้นก็ดี มาดูกันว่าเมืองหวงจะช่วยต้าเย่ของเรา หรือจะช่วยหมานอี๋ของพวกท่าน!” หลังจากที่หวังหยวนพูดจบ เขาก็ทำท่าทางจะเดินออกไป “คุณชายหวังหยวน มันเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น เหตุใดท่านถึงต้องจริงจังด้วยเล่
“ทุกท่าน ข้ารู้ว่าในใจของพวกท่านรู้สึกไม่พอใจ และคิดจะกดขี่ต้าเย่ของเรา ข้ารู้ด้วยว่าในมุมของหมานอี๋กำลังข่มความรู้สึกโกรธที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวมานานหลายปี” “แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่ใช่เวลาที่พวกท่านจะตอบสนองต่อความปรารถนาอันแรงกล้าได้ พวกท่านด่าทอข้าเสียหาย หรือกดขี่ข้า มันก็ไร้ประโยชน์” “ข้าต้องทนทุกข์ทรมานกับความอัปยศอดสูมามาก ข้าเสียหน้าในหมานอี๋ของพวกท่าน และทำให้ต้าเย่ต้องเสื่อมเสียเกียรติ แย่ที่สุด ข้าก็แค่ถูกประหารชีวิตหลังจากกลับไป” “แต่พวกท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ ว่าพวกท่านจะได้รับอะไรจากสิ่งที่ทำเช่นนี้ลงไป คงหนีไม่พ้นอะไรมากไปกว่าความรู้สึกสำราญและโล่งใจ” “อย่างไรก็ตาม หมานอี๋นี้ยังคงเป็นหมานอี๋ และต้าเย่ก็ยังเป็นต้าเย่ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง!” “พวกท่านยังอยู่ตรงมุมเล็ก ๆ พวกท่านยังคงไม่มีทหารและม้าที่แข็งแกร่งเหมือนกับต้าเย่ นอกจากนี้ พวกท่านยังคงไม่กล้าบุกโจมตีกับต้าเย่เหมือนเดิม แทนที่จะโต้เถียงกับฝ่าบาทในข้อพิพาททางวาจาที่ไร้ความหมายนี้ ไม่สู้มุ่งความสนใจไปที่แผ่นดินตนเองดีกว่า!”“ท้ายที่สุดแล้ว พวกท่านอยู่ในตำแหน่งที่สูงศักดิ์ มีอาหารกินอิ่มหนำและเสื้อผ้
หมานต๋าถูเดินออกมาและหลังจากพูดเช่นนี้ ทุกคนก็กลับมามีสติอีกครั้ง “คาราวะ ท่านอ๋องหมานอี๋!” ทุกคนรีบทำความเคารพ และหวังหยวนก็ยกมือขึ้นโค้งคำนับเช่นกัน “ทูตต้าเย่ คาราวะท่านอ๋องหมานอี๋!” หวังหยวนเหลือบมองหมานต๋าถู เขาอายุพอ ๆ กับตัวเอง ดูเยาว์วัยมาก อย่างไรก็ตาม หวังหยวนมองเห็นความทะเยอทะยานในดวงตาของเขา! ซ้ำยังเห็นความมั่นใจของการเป็นฮ่องเต้อีกด้วย! เขาเคยเห็นท่าทางเช่นนี้บนกายของเซียวฉู่ฉู่! แต่ไม่เคยเห็นบนกายของฮ่องเต้ซิงหลงมาก่อน! “เจ้าไม่จำเป็นต้องมากพิธี ข้าเคยได้ยินมานานแล้วว่าคุณชายหมิงถันเป็นคนพิเศษ เมื่อได้พบในวันนี้ สมคำร่ำลือว่าเป็นคนไม่ธรรมดาจริง ๆ” หมานต๋าถูยิ้มแล้วมองดูทุกคนอีกครั้ง “จะก่อสงครามหรือเป็นพันธมิตรกับต้าเย่ พวกเจ้าทุกคนต่างได้ข้อสรุปแล้ว!” เขาถามคำถามนี้อีกครั้ง ผู้ที่ต้องการก่อสงครามย่อมไม่รู้จะพูดอะไรโดยปริยาย แต่คนที่ไม่ตั้งใจจะก่อสงครามตั้งแต่แรก ต่างก็เดินออกมาอย่างเร่งรีบ “อ๋องหมานอี๋ เรื่องระหว่างต้าเย่ เป็นเพียงความเข้าใจผิดเท่านั้น ดังนั้น...ย่อมไม่จำเป็นต้องสู้ศึกกัน แค่คลายความเข้าใจผิดให้ชัดเจนก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ” “ถูกต
หวังหยวนพยักหน้า “คงหนีไม่พ้นเรื่องของตระกูลเซิ่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” หลังจากที่หมานต๋าถูได้ยินคำว่า “ตระกูลเซิ่ง” สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมมากขึ้น “ตระกูลเซิ่งฝังรากลึกในการรุกรานราชวงศ์หมานอี๋ของข้า แม้แต่ผู้บัญชาการทหารหมานอี๋ของข้าก็ยังลงเรือลำเดียวกับตระกูลเซิ่ง นี่ทำให้ข้ามีโทสะมาก!” หมานต๋าถูแสดงความไม่พอใจในใจออกมา! ท้ายที่สุดแล้ว หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นก็ย่อมพอใจกับเรื่องแบบนี้! ในฐานะฮ่องเต้ผู้สง่างาม เขาจะมีความสุขได้อย่างไรที่ถูกคนนอกกำจัด! หวังหยวนยิ้มแล้วพูดว่า “ตระกูลเซิ่ง... มีความทะเยอทะยานมากจริง ๆ!” หมานต๋าถูพยักหน้า “การตายของพ่อข้าเกี่ยวข้องกับตระกูลเซิ่ง เขาคิดว่าเขาลงมืออย่างลับ ๆ แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้รวมเข้าด้วยกัน ข้าก็นึกถึงใครไม่ได้เลยนอกจากเขา!” หมานต๋าถูไม่ได้ปิดบังหวังหยวนแม้แต่เรื่องเดียว! ในสายตาของเขา หวังหยวนฉลาดมาก การพูดคุยกับเขาแม้ว่าจะซ่อนอะไรไว้ก็ตาม เกรงว่าเขาก็อาจจะสังเกตเห็น ไม่สู้พูดทุกอย่างเสียยังดีกว่า! “ตระกูลเซิ่งใช้หมานอี๋ และคิดที่จะแทนที่ฮ่องเต้ซิงหลง เรียกได้ว่าค่อนข้างมีกลอุบายเช่นกัน ทว่า...หากหมานอี๋เชื่อฟังเขาจริง ๆ
คำถามที่หมานต๋าถูถามออกมาเป็นสิ่งหวังหยวนไม่เคยคาดคิดมาก่อน อย่างไรก็ตาม หวังหยวนไม่ได้ใส่ใจและกลับเอ่ยพูดโดยตรงว่า “เพื่อความมั่นคงเท่านั้น” “มั่นคง?” หมานต๋าถูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และมองไปที่หวังหยวนอย่างลึกซึ้ง! เพียงเพื่อความมั่นคงหรือ? เขาดูไม่เหมือนมีเจตนาเช่นนั้น! หมานต๋าถูส่ายหัว “หวังหยวน แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าท่านคิดอย่างไร แต่ข้าสามารถบอกท่านได้อย่างชัดเจน ว่าสิ่งที่ท่านรู้สึก มันไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของสิ่งที่เรียกว่าความมั่นคงทั้งปวง!” หวังหยวนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ตัวเองได้พูดไปแล้ว เหตุใดเขายังไม่เชื่ออีก? “พระองค์ตรัสเช่นนี้หมายถึงอันใด? ท่านไม่เชื่อข้าเช่นนั้นหรือ?” หวังหยวนอดไม่ได้ที่จะพูด หลังจากพูดเช่นนี้ หมานต๋าถูก็พยักหน้าทันที “แน่นอน เหตุใดต้องการความมั่นคง? แม้ว่าท่านและข้าเพิ่งพบกันวันนี้ แต่ข้าเข้าใจท่าน ความมั่นคงที่ท่านพูดถึงนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับคนอื่นอย่างแน่นอน แต่กลับเป็นตัวท่านเอง!” “ตั้งแต่ที่ท่านเข้าสู่ดินแดนหมานอี๋ ข้าก็มองออกแล้วว่าท่านเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน ถึงแม้ว่าท่านไม่ต้องการทำอะไรในตอนนี้ แต่ท่านก็จะทำมันในอนาคตอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ ข้าจะฟัง” หวังหยวนไม่ได้พูดอะไรมาก แต่กลับฟังหมานต๋าถูพูด “ในเมื่อท่านอยากฟัง เช่นนั้นข้าก็จะเล่าให้ฟัง เริ่มที่ซงหนูก่อนแล้วกัน ซงหนูอยู่ในภาวะสงครามวุ่นวายตลอดและเศร้าสลดยิ่งนัก ดังนั้นภายในเวลาสิบปี พวกเขาจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอันขาด!” “อย่างไรก็ตาม ราชาหมาป่าได้ปรากฏตัวขึ้นภายในซงหนู บางทีอาจมีสักวันหนึ่ง เขาสามารถเป็นผู้นำซงหนูได้ แต่ข้าไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจนัก” “แม้ว่าท่านอาจบอกว่ากองทัพที่หยิ่งผยองจะต้องพ่ายแพ้ แต่ข้าก็ยังอยากบอกท่านว่าซงหนูจะหาเลี้ยงชีพได้ทันที คนมีความสามารถสิ้นกำลัง ไม่มีอะไรน่ากังวลเลย!” หวังหยวนก็เห็นด้วยอย่างมากกับสิ่งที่หมานต๋าถูพูด เดิมทีชาวซงหนูเคยเป็นทาส หลังจากถูกส่งไปที่นั่น พวกเขาก็ค่อย ๆ กลายเป็นแว่นแคว้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีอำนาจทางการเมืองที่สมบูรณ์ ซ้ำยังไม่มีระบบที่สมบูรณ์ บวกกับที่พวกเขายังอยู่ในดินแดนแห่งน้ำแข็งและหิมะ กล่าวได้ว่าพวกเขาไม่มีความสามารถในการช่วงชิงการปกครองใต้หล้านี้เลย! หลังจากที่หมานต๋าถูพูดถึงซงหนูเสร็จแล้ว เขาก็พูดอีกครั้ง “นอกเหนือจากดินแดนซงหนูแล้ว ยังมีเมืองหวงนี้ด้วย!” เมื่อพูดถึงเมื
“พวกเจ้าออกไปก่อน”เมื่อเห็นว่าคนเหล่านั้นหน้าดำคร่ำเครียด ซือหม่าอันจึงโบกมือให้พวกเขาออกไปในชั่วพริบตา คนเหล่านั้นก็จากไปด้วยความโล่งอกพวกเขาถึงกับกังวลว่าหานเทาจะสังหารพวกเขาเพราะความโกรธด้วยซ้ำ...“ท่านขุนพลหานไม่ต้องโมโห”“อันที่จริง เรื่องเหล่านี้ล้วนสมเหตุสมผล”“แม้ว่าจะไม่มีตำแหน่งอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าแล้ว แต่ชื่อเสียงของพวกเราก็ไม่ค่อยดีนัก พวกเขาจะเดินทางมาได้อย่างไร?”“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็สร้างหอไร้เทียมทานขึ้นมาเอง ท่านคิดเห็นเช่นไร?”ซือหม่าอันหรี่ตาลง ตอนนี้เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาจับจ้องไปที่หานเทาหานเทากลืนน้ำลาย เอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านมีความคิดดี ๆ แล้วหรือ?”ซือหม่าอันกล่าวว่า “หลายปีมานี้ ผู้คนต่างก็เกลียดชังอาณาจักรต้าเป่ย ถึงกับคิดว่าต้นตอของสงครามในดินแดนทั้งเก้าก็คืออาณาจักรต้าเป่ยของพวกเรา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากเข้าร่วมกับพวกเรา”“เช่นนั้นพวกเราก็นำยอดฝีมือจำนวนมากจากภายนอกเข้ามาเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตนเองสิ!”“ตามที่ข้ารู้ หวังหยวนมีน้องชายคนหนึ่งชื่อว่าไฉจวิ้น ทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ว่ากันว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบาน”“ไฉ
“เมื่อคืนข้าไม่ได้บอกเจ้าแล้วหรือ ว่าอีกสองวันพวกเราจะกลับไปยังหมู่บ้านต้าหวัง?”“ท่านถงและคนอื่น ๆ ล้วนอยู่ที่หมู่บ้านต้าหวัง พวกเราไม่ต้องเป็นกังวลกับเรื่องราวที่นั่น”“เมื่อพวกเรากลับไปแล้ว ก็เพียงแค่ใช้ชีวิตให้มีความสุข”หวังหยวนไม่ใช่คนไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้มีความรักชาติอันยิ่งใหญ่และคำนึงถึงปวงประชาเป็นหลัก!เขาเพียงต้องการดูแลครอบครัวของตนเอง รวมถึงสหายและพี่น้องที่อยู่เคียงข้าง!หากสามารถช่วยเหลือปวงประชาได้ ย่อมเป็นเรื่องดี แต่หากต้องเสียสละสิ่งใดจริง ๆ เกรงว่าเขาคงจะไม่ทำเช่นนั้น...แม้แต่การประชุมที่หอหลิวหลีในตอนนั้น ก็เป็นเพียงเพราะหวังหยวนต้องการความสงบสุข“ไม่ได้ ไม่ได้!”“ข้าไม่อยากกลับไปยังหมู่บ้านต้าหวัง!”“ข้าอยากจะติดตามท่านไปยังสถานที่ที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน เมื่อข้าให้กำเนิดลูกแล้ว พวกเราค่อยกลับไปก็ได้ไม่ใช่หรือ?”หลิ่วหรูเยียนฉลาดยิ่งนักเมื่อกลับไปยังหมู่บ้านต้าหวัง นางจะสามารถติดตามหวังหยวนได้ทุกวันได้อย่างไร?อย่าว่าแต่ต้องการจะมีลูกเป็นของตนเองเลย เกรงว่าแม้แต่พื้นที่ส่วนตัวของเขากับนางก็ยังแทบจะไม่มี!ในบ้านยังมีพี่สาวอีกหลายคน
หวังหยวนได้ตัดสินใจแล้ว เรื่องราวในเมืองอู่เจียงใกล้จะสิ้นสุด เขาเตรียมที่จะกลับไปยังหมู่บ้านต้าหวังในอีกสองวันครั้งนี้เขาออกมานานกว่าครึ่งปี แม้ว่าพวกหลี่ซื่อหานจะไม่ได้เร่งรัดให้เขากลับบ้าน แต่ด้วยนิสัยของพวกนาง เกรงว่าคงจะอยากมาตามหาเขาแล้วกระมัง?มีปัญหาน้อยดีกว่ามีปัญหามาก รีบกลับไปยังหมู่บ้านต้าหวังย่อมดีกว่าอีกอย่างคือเมื่อมีคนรักใหม่แล้วจะลืมคนรักเก่าได้อย่างไร!ฝนตกทั่วฟ้าถึงจะถูกต้อง!“ท่านผู้นำ มีเรื่องสำคัญที่ต้องรายงานท่านขอรับ!”“ข้าเพิ่งได้รับข่าว หานเทาและซือหม่าอันได้ก่อตั้งสถานที่ที่คล้ายกับหอไร้เทียมทาน ตอนนี้กำลังรวบรวมยอดฝีมือทั่วหล้า!”“นี่มันจงใจเป็นศัตรูกับพวกเราชัด ๆ”“ข้าจึงอยากจะถามว่า ต่อไปพวกเราต้องทำการตอบโต้หรือไม่ขอรับ?”หากเป็นเมื่อก่อน เกาเล่อย่อมต้องการความมั่นคง ไม่เคยทำเรื่องหุนหันพลันแล่นในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมไม่เลือกที่จะปะทะกับหานเทาโดยตรงแต่ยามนี้แตกต่างออกไป เมื่อก่อนหวังหยวนมีเพียงแคว้นเดียวเท่านั้น ตอนนี้แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่เผ่าทางเหนือทั้งหมดก็อยู่ภายใต้การบัญชาของหวังหยวนแล้ว และท่านไท่สื่อก็เป็นคนของพวกเขาด้วย!ประกอบก
กองทัพทั่วหล้าตกอยู่ในมือของเขาแล้ว!หากเกิดสงครามกับหวังหยวน เขาก็ต้องเป็นแนวหน้า!ซือหม่าอันหรี่ตา จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เรื่องที่ท่านขุนพลหานกังวล มีหรือที่ข้าจะไม่กังวล?”“ข้าได้กราบทูลเรื่องนี้กับฝ่าบาทแล้ว แต่ฝ่าบาทกลับไม่ได้ใส่ใจ ตอนนี้ท่านโปรดปรานการใช้ดินปืน ซ้ำยังให้คนไปคิดค้นอาวุธร้อนเพิ่มด้วย!”“เพียงแต่ว่าการจะพัฒนาอาวุธร้อนให้สมบูรณ์ ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในชั่วข้ามคืน!”หานเทาถอนหายใจยาว มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจหลักการนี้?น่าเสียดายที่ไม่สามารถพูดคุยกับฝ่าบาทให้เข้าใจได้!“เช่นนั้นตามความคิดเห็นของท่านซือหม่า ต่อไปพวกเราต้องทำอย่างไร?”หานเทาเอ่ยถามเขาเป็นเพียงขุนศึก ในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมต้องการความช่วยเหลือจากซือหม่าอันเมื่อทั้งสองปรึกษาหารือกัน อาจจะสามารถหาผลลัพธ์ที่ดีได้!ซือหม่าอันหรี่ตาลง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบา ๆ จากนั้นกล่าวว่า “หรือว่าพวกเราจะก่อตั้งสถานที่ที่คล้ายกับหอไร้เทียมทาน จากนั้นก็ป่าวประกาศเรื่องนี้ให้ทั่ว ให้ผู้คนทั่วหล้าเดินทางมา เช่นนี้แล้ว ต่อให้พวกเราไม่สามารถรวบรวมยอดฝีมือได้มากมาย อย่างน้อยก็ไม่ปล่อยให้
“เจ้านี่นะ! ถึงกับหึงหวงเพราะผู้ชายเลยหรือ? หากกลับไปยังหมู่บ้านต้าหวัง เช่นนั้นข้าจะมีความสุขได้อย่างไร?”หวังหยวนส่ายหน้าอย่างจนใจ ที่บ้านเขายังมีภรรยาสาวสวยอีกหลายคน ท่าทางของหลิ่วหรูเยียนเช่นนี้ ช่างทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นที่สำคัญที่สุดก็คือ ภรรยาในบ้านแต่ละคนล้วนไม่ใช่คนธรรมดา!โดยเฉพาะหวงเจียวเจียว นิสัยของนางร้อนแรงยิ่งกว่าไฟ นอกจากหลี่ซื่อหานและคนอื่น ๆ แล้ว ก็เกรงว่าจะไม่ยอมรับใครอีกหากสตรีทั้งสองนี้มาพบกัน ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่ในเมื่อรับพวกนางมาเป็นภรรยาแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เขาก็ต้องรับผิดชอบทั้งหมดเวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงสามวันนี้ หวังหยวนอยู่ในหอไร้เทียมทานต้องยอมรับว่าการก่อตั้งหอไร้เทียมทานได้ดึงดูดผู้มีความสามารถมากมายมาให้หวังหยวนที่สำคัญที่สุดก็คือหวังหยวนเป็นเพียงผู้ดูแล เรื่องราวทั้งหมดมอบให้เกาเล่อจัดการ โดยเพียงแค่ใช้ชื่อเสียงของหวังหยวนเท่านั้น!ต้องรู้ว่าหวังหยวนมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งดินแดนทั้งเก้า เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด แม้แต่ปวงประชาแห่งดินแดนทั้งเก้าก็เคารพหวังหยวน แล้วใครเล่าจะไม่อยากมาอยู่ใต้บัญชาของหวังหยวน?ยิ่งไป
การประลองย่อมต้องดำเนินต่อไปเพียงแต่ว่าตำแหน่งอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้านั้นมีมากมาย หวังหยวนจึงไม่ได้อยู่ดูการแข่งขันต่อคาดว่าในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า หอไร้เทียมทานคงจะคึกคักเป็นอย่างมากในไม่ช้า หวังหยวน ไฉจวิ้น และหลิ่วหรูเยียนทั้งสามก็กลับมาถึงห้อง ส่วนเรื่องภายนอกมอบให้เกาเล่อจัดการทันทีที่เดินเข้าห้อง หวังหยวนจึงรีบจับมือไฉจวิ้นมาตรวจดูอย่างละเอียด“พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอกขอรับ ข้าสบายดี!”“ต่อให้ต้องประลองต่อ ข้าก็ยังไหว!”“เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้านั่นจะยอมแพ้...”“เช่นนี้ก็ดี ทำให้ข้าไม่ต้องเปลืองแรง!”“อีกอย่าง หากต้องประลองกันต่อ เกรงว่าแม้แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่...”นี่เป็นความจริงทุกคนรู้ว่าไฉจวิ้นมีพละกำลังมหาศาล ตัวเขาเองก็รู้ดีแก่ใจ แต่ขีดจำกัดของตนอยู่ที่ใด เกรงว่าแม้แต่เขาเองก็คงจะไม่รู้“เห็นว่าเจ้าไม่เป็นอะไร ข้าก็โล่งใจ”“แต่ต่อไปเมื่อทำสิ่งใด ต้องใช้ความคิดให้มาก”“แม้ว่าเจ้าจะมีพละกำลังมหาศาล แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน เจ้าไม่มีทางรู้ได้ว่าคู่ต่อสู้ของเจ้าแข็งแกร่งเพียงใด”“ดังนั้นเมื่อทำสิ่งใด อย่าได้อวดดี เข้าใจหรือไม่?”
“ช่างมีพละกำลังมหาศาลจริง ๆ!”ขณะที่หวังหยวนกับพวกกำลังสนทนากัน สายตาของพวกเขาก็จับจ้องไปที่ดาร์เนล ซึ่งในตอนนี้ได้ยกติ่งหนักถึงเจ็ดร้อยชั่งขึ้นเหนือศีรษะบนเวทีเหลือเพียงไฉจวิ้นและดาร์เนลเมื่อดาร์เนลยกติ่งขึ้นได้ สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่ไฉจวิ้น ตอนนี้เขาคือความหวังของปวงประชาแห่งดินแดนทั้งเก้า ตำแหน่งจอมพลังอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าจะไปตกอยู่ในมือของชาวต่างชาติได้อย่างไร?เช่นนี้แล้ว ภายภาคหน้าปวงประชาแห่งดินแดนทั้งเก้าจะเชิดหน้าชูตาได้อย่างไร?ทางด้านสายตาของหวังหยวนนั้นจับจ้องไปที่ดาร์เนล ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่“ดูท่าแล้วไฉจวิ้นยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ดาร์เนลมีความสามารถจริง ๆ ข้าเห็นว่าตอนที่เขายกติ่งขึ้นเมื่อครู่ไม่ได้มีความลังเลแม้แต่น้อย ช่างมีพละกำลังมหาศาลนัก หากบอกว่าคนผู้นี้คือจอมพลังอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า นั่นไม่ถือว่าเป็นการดูหมิ่นชื่อเสียงอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า”หลิ่วหรูเยียนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยอย่างช้า ๆการกระทำทั้งหมดของดาร์เนลล้วนอยู่ในสายตาของพวกเขา นี่คือผู้ที่มีความสามารถอย่างแท้จริงหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าจะไม่มีใครทำได้อย่างเข้าไม่ใช่หรือ?
แต่ทั้งหมดนี้นั้น นับว่าเป็นความดีความชอบของปู่ของไฉจวิ้นด้วย หากไม่ใช่เพราะมีปู่ช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ และใช้ชีวิตอยู่ในป่ามาหลายปี แล้วเขาจะมีพละกำลังแข็งแกร่งเพียงนี้ได้อย่างไร?เมื่อไฉจวิ้นยกติ่งใหญ่ขึ้น ผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ก็ทยอยแสดงความสามารถของตนน่าเสียดาย ในท้ายที่สุดผู้ที่สามารถยกติ่งใหญ่ขึ้นได้ นอกจากไฉจวิ้นแล้วมีเพียงชาวต่างชาติที่มาจากต่างแดนเท่านั้นเสียงปรบมือดังกึกก้องจากข้างล่างเวที “คนผู้นี้มีความสามารถยิ่งนัก”หวังหยวนกอดอกมองชาวต่างชาติผู้นั้น พลางกวักมือเรียกเกาเล่อในชั่วพริบตา เกาเล่อก็มาอยู่ข้างกายหวังหยวน แต่สีหน้ากลับดูตึงเครียด“คนผู้นั้นคือชาวต่างชาติที่เจ้าเพิ่งพูดถึงหรือ?”หวังหยวนชี้ไปที่อีกคนบนเวที แล้วเอ่ยถามเกาเล่อพยักหน้า จากนั้นก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “คนผู้นี้มีที่มาไม่ธรรมดา ก่อนหน้านี้ข้าได้บอกข้อมูลของเขาให้ท่านทราบแล้ว คนผู้นี้มีชื่อว่าดาร์เนล ว่ากันว่ามีพละกำลังมหาศาลตั้งแต่เด็ก และเคยต่อยเสือร้ายตายด้วยหมัดเดียว!”“เดิมทีคิดว่าทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องเล่า ตอนนี้ดูเหมือนว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องโกหก...”สามารถยกติ่งใหญ่หนักห้าร้อยชั่งได้ นั่นก็
เขามีความมั่นใจในตัวน้องชายคนนี้ก่อนหน้านี้ หวังหยวนเคยเห็นความสามารถของไฉจวิ้นมาก่อน อย่าว่าแต่จะหาผู้ที่เทียบเทียมเขาในบรรดาคนรุ่นเดียวกันได้ยากเลย แม้แต่คนที่อายุมากกว่าเขาก็ยังไม่มีใครมีพละกำลังเท่าเขา!ยิ่งไปกว่านั้น หวังหยวนเองก็ยังไม่รู้ขีดจำกัดของไฉจวิ้น!ดูท่าแล้ววันนี้คงมีเรื่องสนุกให้ชมกันเกาเล่อกลับเอ่ยว่า “ข้าเห็นว่าไม่เป็นเช่นนั้น คนที่อยู่ข้างกายไฉจวิ้นล้วนไม่ใช่คนธรรมดา! หนึ่งในนั้นมาจากต่างแดน คนผู้นี้มีชื่อเสียงมานาน ว่ากันว่าสามารถยกหินใหญ่หนักสองร้อยจินได้ด้วยมือเดียว!”“หากใช้สองมือ คาดว่าของหนักห้าร้อยจินก็คงไม่คณนามือขอรับ!”นี่...หวังหยวนกลืนน้ำลาย คนเหล่านี้กินหินเป็นอาหารกันหรืออย่างไร?ฝึกฝนร่างกายจนแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เลยหรือ?อย่าว่าแต่ยกของหนักห้าร้อยจินเลย แม้แต่สองร้อยห้าสิบจิน เขาก็ยังยกไม่ขึ้น!“รอดูไปก่อน ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าศักยภาพของไฉจวิ้นมีขีดจำกัดอยู่ที่ใด”“เจ้าจำไว้ว่าต้องไปเตือนเขาด้วยว่าอย่าได้มุทะลุดุดัน!”“เขายังเด็กนัก ภายภาคหน้ายังมีโอกาสอีกมากที่จะพิสูจน์ตนเอง หากได้รับบาดเจ็บเพราะเรื่องนี้แล้วนั้น ย่อมไม่คุ้มค่า”ห