“เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าคุณป้าทำอาหารอร่อย งั้นก็กินเยอะ ๆ ก็แล้วกัน”เวินหนี่วางแก้วลงบนโต๊ะและไม่คิดจะอยู่ต่อในเมื่อเย่หนานโจวไม่อยู่ที่นี่แล้วเธอก็อยากจะออกไป โจวเสี่ยวหลินรู้สึกว่าหากไม่ถามตอนนี้ ในอนาคตก็คงไม่มีโอกาส เธอจึงพูดขัดจังหวะขึ้นก่อนที่เวินหนี่จะออกไป “ปกติคำถามที่ไม่ได้ตอบตรง ๆ แปลว่าคำตอบนั้นมีอยู่แล้ว คุณชอบประธานเย่! ที่คุณพูดกับฉันก่อนหน้านี้เพราะกลัวว่าฉันจะเป็นภัยต่อคุณใช่ไหมล่ะคะ คุณเวินมีความลำเอียงหรือเปล่า? คุณไม่อยากให้ฉันมาอยู่ที่นี่ เพราะฉันเคยมีความสัมพันธ์กับประธานเย่ มันทำให้คุณไม่พอใจใช่ไหม!”เวินหนี่ขมวดคิ้วแน่น แล้วหันกลับมาโจวเสี่ยวหลินมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ไม่เหมือนกับเด็กสาวขี้กลัวที่เธอเจอครั้งแรก“ความมั่นใจของเธอมาจากไหนกัน?” เวินหนี่ถามอย่างเรียบ ๆ “เธอแน่ใจจริง ๆ เหรอว่าเธอเคยมีความสัมพันธ์กับประธานเย่? ที่ฉันเจอเธอ มันเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ เหรอ? บนโลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นได้ยังไง?”“ที่แท้คุณก็ยังไม่เชื่อฉัน”โจวเสี่ยวหลินมองเวินหนี่แล้วลุกขึ้นยืน “ฉันต้องทำยังไง คุณถึงจะเชื่อว่าฉันเป็นคนในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ
คนที่เข้ามาเห็นบัตรคิวที่หล่นอยู่บนพื้น ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยและประหลาดใจที่เห็นเวินหนี่อยู่ที่นี่แต่เช้าเขาก้มลงหยิบบัตรคิวที่ตกลงไปขึ้นมาเห็นดังนั้น รูม่านตาของเธอก็หดเล็กลงเล็กน้อยและรีบพยายามจะหยิบมันขึ้นมาก่อนเขาแต่เขาอยู่ใกล้กว่า จึงหยิบบัตรคิวขึ้นได้ก่อน“เธอไม่สบายมากหรือเปล่า?” เขาถามด้วยความห่วงใยชายคนนั้นมองดูบัตรคิวในมือครู่หนึ่ง แล้วพบว่าเป็นเพียงการตรวจอัลตราซาวด์ธรรมดาแม้จะมีแค่ข้อมูลนี้ แต่ก็ทำให้เขารู้สึกสงสัยเวินหนี่รู้สึกสับสนเหมือนความลับใหญ่หลวงกำลังจะถูกเปิดเผย เธอรีบคว้าบัตรคิวจากมือของเขาแล้วเก็บใส่กระเป๋า รวบรวมอารมณ์ที่ว้าวุ่นของตัวเองก่อนจะพูดว่า “ฉันมาตรวจร่างกายนิดหน่อยน่ะค่ะ”เย่หนานโจวมองไปที่ใบหน้าของเธออีกครั้งก่อนจะถามต่อว่า “ไม่ใช่ว่าระบบย่อยอาหารไม่ดีหรอกเหรอ แล้วทำไมต้องมาตรวจอัลตราซาวด์?”เวินหนี่กำหมัดแน่น ไม่กล้าสบตาเขา “ก็บอกแล้วไงว่ามาตรวจร่างกายนิดหน่อย”เย่หนานโจวล้วงมือข้างหนึ่งในกระเป๋า ดูไม่พอใจกับพฤติกรรมของคนตรงหน้านัก ก่อนจะขมวดคิ้วและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทำไมมาโรงพยาบาลแล้วไม่บอกฉันสักคำ?”เวินหนี่ตอบกลับ “ก็เมื่
เรื่องนี้ทำให้เวินหนี่ตกใจไม่น้อยก่อนหน้านี้ไม่ว่าเธอจะบาดเจ็บสาหัสหรือป่วยหนักแค่ไหน เขาก็ไม่เคยสนใจเธอถึงขนาดนี้บางครั้งเขายังยุ่งกับงานจนละเลยความรู้สึกของเธอไปด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ในเวลาที่เธอไม่ต้องการให้เขาอยู่ด้วย เขากลับพยายามหาวิธีที่จะอยู่เคียงข้างเธอสิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกกังวลและอึดอัดเล็กน้อยเมื่อเย่หนานโจวเห็นว่ามีคนอื่นกำลังจะเข้าลิฟต์ เขาจึงพูดว่า “เข้าไปก่อนเถอะ มีอะไรก็ค่อยว่ากันทีหลัง”พวกเขายืนรออยู่หน้าลิฟต์สักพักหนึ่งแล้วในที่สุดเวินหนี่ก็ก้าวเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับเขามือของเธออยู่ในกระเป๋า กำแผ่นกระดาษใบนั้นไว้แน่น รู้สึกเหมือนมันร้อนจนแทบทนไม่ไหววันที่ไม่ควรเจอเขาเลยกลับเป็นวันที่เจอพอดีประธานเย่ยืนอยู่ในลิฟต์ สายตามองตรงไปข้างหน้า แต่ก็ยังคำนึงถึงความรู้สึกของเวินหนี่ “กินข้าวเช้าหรือยัง?”เวินหนี่ไม่ได้ตอบเพราะเธอกำลังจมอยู่ในความกังวล ใจคิดหาวิธีที่จะหนีจากเขาไปให้ได้เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบ เขาจึงหันมามองแล้วก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ราวกับมีเรื่องบางอย่างภายในใจ“เวินหนี่”เวินหนี่ตกใจจนสะดุ้งแล้วหันไปมองเย่หนานโจวด้วยความต
เวินหนี่รู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่ก็กล่าวทักทายอย่างสุภาพ “สวัสดีค่ะ”คุณปู่กู้แสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เพราะไม่เคยได้ยินข่าวเรื่องนี้มาก่อน แต่แล้วเขาก็หัวเราะอย่างยินดี “ดีจริง ๆ เธอนี่แน่จริง พ่อหนุ่มถึงขนาดแต่งงานแล้วเหรอเนี่ย แต่งเมื่อไหร่กันล่ะ? ทั้งเธอและปู่ของเธอเหมือนกันเปี๊ยบ เรื่องสำคัญขนาดนี้ยังไม่บอกฉัน ทำให้ฉันเพิ่งได้เจอหลานสะใภ้เอาเสียป่านนี้”คุณกู้กับคุณปู่เย่เคยเป็นเพื่อนร่วมรบกันสมัยหนุ่ม ๆพวกเขาเคยเป็นเพื่อนตายร่วมรบกันในสนามรบ ผ่านการต่อสู้ ฝ่าฟันและสร้างผลงานมากมายมาด้วยกันแต่ภายหลัง เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกเส้นทางในอนาคต พวกเขาก็เกิดความเห็นต่างคุณปู่กู้เลือกที่จะทำงานในภาครัฐ ขณะที่คุณปู่เย่หันไปทำธุรกิจ เส้นทางชีวิตจึงแยกออกจากกัน และพวกเขาก็เริ่มมีการติดต่อกันน้อยลงคุณปู่กู้มองสำรวจเวินหนี่ แล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เป็นเด็กสาวที่ดีทีเดียว หนานโจว เธอมีสายตาที่เฉียบแหลม เด็กคนนี้ดูเป็นคนอ่อนโยนนะ”ประธานเย่ตอบ “เราจัดงานแต่งงานอย่างเรียบง่าย ไม่ได้ปล่อยข่าวมากมาย และคุณปู่กู้เองก็อยู่ที่ชายแดนก็เลยไม่ได้แจ้งให้ทราบ เธอชอบความสงบ เราก็เลยใช้ชีว
ดูเหมือนพวกเขาจะไม่คาดคิดว่าจะเจอคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย แต่พวกเขาก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวทักทายว่า “คุณปู่กู้คะ หนูกับแม่มาเยี่ยมค่ะ”“คุณปู่กู้” แม่ของหวังอินกล่าวทักทายเวินหนี่เริ่มคิดถึงความสัมพันธ์นี้ เมื่อเห็นว่าเย่หนานโจวให้ความเคารพต่อผู้เฒ่าท่านนี้มาก และดูเหมือนว่าครอบครัวหวังก็รู้จักกันเป็นอย่างดี ราวกับมีความสนิทสนมกันอยู่บ้างคุณปู่กู้ยิ้มและพูดว่า “พวกเธอมากันหมดเลย”“คุณปู่ป่วย พวกเราก็ต้องมาเยี่ยมสิคะ”หวังอินจัดดอกไม้ใส่แจกันเรียบร้อย จากนั้นก็เดินไปกอดคุณปู่กู้ด้วยความสนิทสนม “แต่คุณปู่มีแขกอยู่ด้วยนี่คะ”คุณปู่กู้ตอบ “นี่คือหนานโจว หลานของเพื่อนร่วมรบของปู่ ก็เหมือนหลานของปู่เช่นกัน”หวังอินหันไปมองเย่หนานโจวด้วยความมั่นใจแล้วทักทายว่า “สวัสดีค่ะประธานเย่ เราเจอกันอีกแล้วนะคะ”คุณปู่กู้ถามว่า “หนูอยู่ต่างประเทศตลอดไม่ใช่เหรอ ไม่เคยได้ยินว่าเธอรู้จักกับหนานโจวด้วย”“ก็เมื่อสองสามวันที่แล้วค่ะ พ่อพาหนูไปพบกันแล้วเรายังทานข้าวด้วยกันกับประธานเย่ด้วยนะคะ” หวังอินไม่ปิดบังอะไร “คุณปู่กู้คะ พ่อยุ่งกับเรื่องงานที่โรงเรียน คงต้องรอถึงตอนเย็นถึงจะมาหาได้”“ไ
หวังอิงไม่ได้เรียกเขาอย่างสุภาพว่า “ประธานเย่” แต่กลับเรียกชื่อของเขาแทนเธอยืนขวางหน้า กีดขวางเส้นทางของคนทั้งสองเอาไว้ เย่หนานโจวเห็นอย่างนั้นจึงถามด้วยสีหน้าเย็นชา “คุณหวังมีธุระอะไร?”หวังอิงมองเขาด้วยความหยิ่งทะนงในตัวเอง เธอยังไม่ค่อยเชื่อ “ที่คุณพูดเมื่อกี้เป็นความจริงเหรอ คะ? คุณแต่งงานแล้วจริง ๆ เหรอ?”เธอไม่เคยได้ยินข่าวว่าเขาแต่งงานมาก่อนหวังอิงเริ่มสงสัยว่าเขาอาจพูดเพื่อเลี่ยงอะไรบางอย่าง จึงถามต่อเย่หนานโจวตอบด้วยสีหน้าเย็นชา “มีความจำเป็นต้องโกหกด้วยเหรอ?”“ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย คนอื่นก็ไม่รู้ว่าภรรยาของคุณเป็นใคร ฉันสงสัยว่าคุณอาจจะกำลังหาข้ออ้าง”“มันไม่เกี่ยวกับคุณ”ยิ่งเขาเย็นชา หวังอิงก็ยิ่งสนใจเขามากขึ้น เหมือนกับการมองเหยื่อที่เธออยากจะพิชิตหวังอิงชอบคนที่เธอไม่สามารถได้มาง่าย ๆเธอแย้มยิ้มเล็กน้อย ท่าทางและการกระทำดูทั้งกล้าหาญและไม่เกรงกลัว ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้เขาแล้วพูดว่า “แต่งงานแล้วก็ยังหย่าได้ ฉันไม่สนใจหรอกว่าคุณจะมีภรรยาหรือไม่มี”เวินหนี่ฟังแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีเย่หนานโจวไม่ชอบคนที่คิดเองเออเองและยังดื้อดึง ซึ่งหวังอิงมีครบทั้งสองอ
เขาเอาใจใส่ถึงขนาดสังเกตได้ว่าเธอปวดท้องเวลามีประจำเดือนนี่เป็นสิ่งที่เวินหนี่ไม่คาดคิดมาก่อนก่อนหน้านี้เธอคิดว่าถ้าอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต เขาอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอชอบอะไรหรือร่างกายมีปัญหาอะไรเธอเคยคิดว่าถ้าเธอป่วยหนักจนเสียชีวิต เขาก็อาจจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้แต่ตอนนี้ เวลาผ่านไปนานเข้า เขาก็ยังจำเรื่องเหล่านี้ได้แม้จะไม่อยากจดจำก็ตามเวินหนี่เป่าน้ำขิงให้เย็นลงก่อนจะดื่มรวดเดียวหมด“พักผ่อนให้เต็มที่นะ” เย่หนานโจวพูดพลางจัดผ้าห่มให้เธออย่างใส่ใจเวินหนี่จ้องมองเขาแล้วถามว่า “เดี๋ยวคุณจะไปไหนหรือเปล่า?”“อยู่บ้าน ไม่ไปไหนทั้งนั้น” เย่หนานโจวตอบเธออดคิดไม่ได้ว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมาเขาไม่อยู่บ้าน แล้ววันนี้เขาจะไปไหนอีกหรือเปล่า มีหญิงสาวมากมายรอบตัวเขา ก็คงต้องมีสักที่ที่เขาสามารถไปพักพิงได้ชายหนุ่มสังเกตเห็นความเศร้าบนใบหน้าของอีกฝ่าย เขาจึงล้มตัวลงนอนข้าง ๆ และเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกัน ก่อนจะวางมือบนหน้าท้องแบน “ยังปวดอยู่ไหม?”เวินหนี่ตัวแข็งทื่อและจ้องมองเย่หนานโจวนิ่ง “ทำไมคุณถึงมานอนด้วยล่ะ?”"อยู่เป็นเพื่อนเธอพักหนึ่ง" เย่หนานโจวพูด พร้อมกับลูบที่หน้าท้องของเธอไป
เติ้งจวนยังคงกังวลเกี่ยวกับอาการของเวินจ้าว แล้วยังมาได้ยินคนอื่นพูดวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้อีก เธอจึงพูดอย่างไม่พอใจ “จางลี่หง เธอจะพูดว่าอะไรเวินจ้าวก็ได้ แต่เธอไม่มีสิทธิ์มาพูดว่าเขาไม่สนใจดูแลเวินเซี่ยน ! หลายปีที่ผ่านมา มีตอนไหนบ้างที่เขาไม่สนใจเวินเซี่ยน? มีตอนไหนบ้างที่เขาไม่ต้องมาคอยตามล้างตามเช็ดให้? แต่พวกเธอจะมาขอความช่วยเหลือกับเขาตลอดแล้วให้เขาช่วยแก้ปัญหาทุกครั้งไม่ได้ มันเป็นปัญหาของบ้านพวกเธอไม่ใช่เหรอ?”จางลี่หงกล่าว “ตอนนี้ฉันหมดหนทางแล้ว ถ้าฉันคิดหาทางได้แล้วจะมาหาพี่ใหญ่กับพี่ทำไมกัน”เธอพูดพลางเริ่มร้องไห้“แม่คะ อย่าร้องไห้เลย มันจะต้องมีทางออกแน่ค่ะ” ลูกสาวของเธอปลอบเติ้งจวนยังไม่ทันได้ร้องไห้ แต่เธอกลับร้องก่อนเสียแล้ว สิ่งนี้ทำให้เติ้งจวนทนไม่ไหว หลายปีที่ผ่านมาครอบครัวของพวกเธอถูกทำให้ลำบากไปกับภาระของครอบครัวที่จางลี่หงโยนมาให้หลายครั้ง พอมีปัญหาก็มาหาที่บ้านเสมอ แต่พอมีเรื่องดี ๆ กลับไม่เคยนึกถึง เห็นแก่ที่เป็นญาติกันเธอจึงไม่ได้พูดอะไรมากแม้ว่าเติ้งจวนจะแอบขุ่นเคืองอยู่ในใจ แต่เธอก็ไม่ได้พูดออกมา เพราะเธอรู้ดีว่าเวินจ้าวให้ความสำคัญกับความสัมพันธุ์ เข
“ไม่ใช่ค่ะ” เวินหนี่ตอบสีหน้าของเย่หนานโจวเปลี่ยนไปและเขาก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ใกล้จะเป็นอดีตภรรยาแล้วครับ!”คุณหมอถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ยินคำตอบ เขาจึงรีบตอบไปว่า “ผู้ป่วยมีอาการกระทบกระเทือนเล็กน้อยและกระดูกมือร้าว เธอจะหายดีหลังจากพักผ่อนสักระยะหนึ่ง พวกคุณไม่ต้องกังวลมากเกินไป”นี่เป็นเรื่องที่ดี เวินหนี่ตอบไปทันที “ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ”“ด้วยความยินดีครับ”ทั้งสองตามเย่จื่อเข้าไปในวอร์ดเวินหนี่เห็นว่าริมฝีปากของเย่จื่อดูแห้งผาก ดังนั้นจึงรีบหาน้ำอุ่นมา และชุบด้วยสำลีก่อนจะเช็ดให้ชุ่มชื้นเย่หนานโจวเฝ้าดูจากด้านข้างในวอร์ดมีคนไม่มากนัก เพื่อป้องกันไม่ให้รบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วยเวินหนี่ไม่วางใจ ดังนั้นเธอจึงนั่งลงตรงข้ามเขาอีกครั้ง โดยมุ่งเน้นไปที่การเฝ้าเย่จื่อหลังจากที่เฝ้าได้สักพัก เธอก็รู้สึกง่วงจนเปลือกตาสั่น จากนั้นเธอก็เผลอฟุบหลับไปเมื่อเวินหนี่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะความตกใจ เธอฝันว่ามันมืดสนิทและอยู่ในพื้นที่แคบ ๆกลัวอะไรก็ได้อย่างนั้น แม้แต่ในความฝันก็ยังไม่ปล่อยเธอไป เธอมักจะฝันแบบนี้ซึ่งทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเอาซะเลยเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีเสื้อคลุม
หรือว่าเขาจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว?เธอเคยได้ยินเย่จื่อพูดอยู่หลายครั้ง แต่เธอก็ยังไม่ได้คิดถึงเหตุผลบางทีเย่หนานโจวอาจรู้มานานแล้ว จึงเข้าใจโดยปริยาย“เวินหนี่”ลู่เซินเข้ามาหาเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พักสักหน่อยไหม เดี๋ยวร่างกายจะทนไม่ไหวเอานะ”เวินหนี่ยืนนานแล้วและรู้สึกปวดหลัง แต่เธออยากรอให้เย่จื่อออกมา จึงนั่งลงข้าง ๆ “ฉันอยากรอจนกว่าคุณอาจะฟื้น”“ผมจะรอเป็นเพื่อนคุณเอง” ลู่เซินพูดขึ้นอีกครั้งเวินหนี่พยักหน้าไปทางเขาร่างสูงของเย่หนานโจวเอนตัวไปที่กรอบประตูและเหลือบมองความกังวลของลู่เซินที่มีต่อเวินหนี่ ดวงตานั้นแทบจะมีน้ำล้นออกมาได้ และเวินหนี่ก็ดูเหมือนพร้อมยอมรับน้ำใจของเขาคลื่นแห่งความกระสับกระส่ายโจมตีร่างกายของเย่หนานโจวอีกครั้งดวงตาของเขาเย็นขึ้นและจงใจเตะเก้าอี้ข้าง ๆ ให้มีเสียงนั่นคือเก้าอี้ที่ลู่เซินนั่งอยู่ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง เย่หนานโจวก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “โทษที บังเอิญเตะโดนเข้าน่ะ!”“ไม่เป็นไร” ลู่เซินไม่ได้ติดใจอะไรเย่หนานโจวกลับพูดขึ้นอีกว่า “ตรงนี้คือพื้นที่รอสำหรับญาติ ไม่ทราบว่าคุณลู่มาที่นี่ทำไมกัน ที่บริษัทของคุณไม่ยุ่งเหรอครับ?”
เขาไม่ได้โต้เถียงกับเธอ และเพิกเฉยต่อเสียงร้องไห้ของเธอสำหรับเขา น้ำตาของเย่ซูเฟินนั้นไร้ค่าเย่ซูเฟินในฐานะผู้หญิง เมื่อเห็นความเฉยชาของสามี มันก็ค่อย ๆ ทำลายแนวป้องกันในใจของเธอทีละน้อยและโวยวายขึ้นอย่างอารมณ์ร้อน “พูดมาสิ ทำไมถึงไม่พูดล่ะ ในสายตาของคุณ เย่จื่อสำคัญกว่าฉันใช่ไหม ฉันเป็นภรรยาของคุณนะ เย่เหว่ยถิง คุณจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้!”เธอร้องไห้จนตาแดง อยากให้สามีเอาใจใส่เธอบ้างแค่หันมามองเธอสักครั้งก็สามารถสงบความโกรธและความกังวลของเธอได้เย่เหว่ยถิงเงียบและทำเหมือนเย่ซูเฟินคือคนแปลกหน้าอย่างเย็นชาเย่หนานโจวมองการอยู่ร่วมกันของพวกเขา เขาเห็นสิ่งนี้จนชินจึงไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆสำหรับเขา พวกเขาคือพ่อแม่ของตนเพียงในนามเท่านั้นการเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ทำให้เขาชินมานานแล้วถึงขั้นทำให้เขารู้สึกไม่แยแสเย่เหว่ยถิงทนเย่ซูเฟินไม่ไหวแล้ว ดังนั้นจึงลุกขึ้นและพูดกับเย่หนานโจวว่า “ฉันจะลงไปแล้ว ถ้าเย่จื่อฟื้นค่อยบอกฉัน!”เย่หนานโจวลดสายตาลงด้วยสายตาเย็นชาและไม่ตอบอะไรเย่เหว่ยถิงเองก็ไม่ได้รอคำตอบจากเขา เขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับเย่หนานโจว เขารู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง
เมื่อเห็นความเฉยเมยของเขา เย่ซูเฟินจึงพูดขึ้นว่า “หนานโจว!”เย่หนานโจวไม่ต้องการฟังเธออีกและเดินจากไปด้วยใบหน้าที่เย็นชาเย่ซูเฟินต้องการพูดอะไรบางอย่างกับเย่หนานโจว แต่ลู่ม่านเซิงร้องไห้และถูกรังแก เธอจึงไปไหนไม่ได้ และทำได้เพียงเดินไปพยุงลู่ม่านเซิง “เซิงเซิงลุกขึ้นเถอะ หยุดร้องไห้ได้แล้ว”ลู่ม่านเซิงถูกพยุงขึ้น เธอซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเย่ซูเฟิน “คุณป้า หนูมันน่ารำคาญมากจนทุกคนไม่ชอบใช่ไหมคะ!”“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ ฉันชอบเธอ ทุกคนต่างก็ชอบเธอ”เย่ซูเฟินตบหลังลู่ม่านเซิงเพื่อปลอบเธอลู่ม่านเซิงยังคงร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของเย่ซูเฟินเห็นแบบนี้ แม้ว่าเธอจะเป็นฝ่ายผิด แต่ก็ดูเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำ ใครจะกล้าไปว่าอะไรเธอได้ ถ้าที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลและมีคนอยู่มากมาย เวินหนี่คงอยากจะฉีกหน้ากากของลู่ม่านเซิงออกเพื่อดูว่าเธอจะเสแสร้งได้สักแค่ไหน แน่นอน เธอรู้ดีว่าไม่ว่าลู่ม่านเซิงจะจริงหรือเท็จแค่ไหน เย่ซูเฟินก็จะยังคงปกป้องเธอความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอดูเหมือนไม่ชัดเจนเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้น “เย่จื่อเป็นยังไงบ้าง?”เวินหนี่เงยหน้าขึ้นมองและเห็นเย่เหว่ยถิงเดินเข้ามาเขาสวมชุดสูทแ
ขณะที่เย่ซูเฟินกำลังปกป้องลู่ม่านเซิง เวินหนี่ก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่เย็นชาเมื่อเย่ซูเฟินเห็นเวินหนี่พูดแบบนั้น เธอจึงพูดขึ้นว่า “เวินหนี่ เซิงเซิงเป็นถึงขนาดนี้แล้ว อย่าอาศัยโอกาสนี้ซ้ำเติมเธออีก!”ปฏิกิริยาแรกของเธอคือปกป้องคนที่อ่อนแอไว้เวินหนี่เดินเข้าไป เห็นลู่ม่านเซิงร้องไห้หนักและดูอ่อนแอจนเกินบรรยาย “ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ พวกคุณมีใครกังวลเกี่ยวกับคุณอาบ้าง สิ่งที่คุณกังวลคือกลัวว่าลูกชายจะไม่เอา ส่วนลู่ม่านเซิงเธอกล้วว่าถูกกล่าวโทษเลยมาเสแสร้งทำเป็นน่าสงสารที่นี่ ฉันเห็นกับตาตัวเองว่าคุณผลักคุณอาลงมา และลู่ม่านเซิงก็น่าจะเป็นผู้ที่ยุยง!”คุณอาถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส ซึ่งทำให้เวินหนี่ไม่ต้องการไว้หน้าพวกเธอ “อย่ามาพูดจาไร้สาระ!” เย่ซูเฟินตวาด “ฉันผลักเย่จื่อก็จริง แต่ฉันแค่ผลักเบา ๆ ทำไมเธอถึงไม่คิดบ้างล่ะว่าเย่จื่อจงใจล้มลงไปเอง”เวินหนี่มองไปที่เย่ซูเฟิน “แรงผลักของคุณมันไม่ได้เบา เราทุกคนต่างก็เห็น”เมื่อเย่ซูเฟินเห็นท่าทีของเวินหนี่ น้ำเสียงของเธอก็ดังมากยิ่งขึ้น “เวินหนี่ เธอมีสิทธิ์อะไรมาพูดกับฉันแบบนี้ ยังไงฉันก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโส เป็นแม่สามีขอ
“ไม่ใช่นะ…” เย่ซูเฟินกล่าว “ลูกยังเป็นลูกชายของแม่ แม่เสียใจมากและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชดใช้ให้ลูก…”“ผมไม่ต้องการมันแล้ว” ดวงตาของเย่หนานโจวเย็นชา “การเรียกคุณว่าแม่มันคือความอดทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม และคุณก็ควรจะพอใจได้แล้ว!”เย่ซูเฟินอดไม่ได้ที่จะถอยกลับไปสองสามก้าวและพูดขึ้นอย่างดุเดือด “ลูกจะทำกับแม่แบบนี้ไม่ได้นะ อย่าเป็นเหมือนพ่อของลูก ไม่อย่างนั้นแม่พาลูกกลับมามันจะมีความหมายอะไร!”เย่หนานโจวพูดอย่างเย็นชา “หากมีผม การเอาชนะใจสามีของคุณมันถึงจะมีความหมาย แต่น่าเสียดายที่ความพยายามทั้งหมดของคุณมันไร้ประโยชน์!”ทุกคำพูดเหมือนมีดที่ทิ่มแทงใจของเย่ซูเฟินในตอนนั้นการแต่งงานของเธอกับเย่เหว่ยถิงนั้นค่อนข้างน่าขัน เป็นเพียงเพราะเธอดื้อดึงที่จะแต่งงานกับเขาเย่เหว่ยถิงไม่ได้รักเธอเลย ตรงกันข้ามเขาเกลียดเธอเธอคิดว่าตราบใดที่เธอแต่งงานกับเขา เย่เหว่ยถิงก็จะเป็นของเธอเมื่อเรื่องราวมันเลยจุดที่จะเข้าไปแก้ไขได้ มีอะไรที่จะผ่านไปไม่ได้อีก?แต่เธอคิดง่ายเกินไป เย่เหว่ยถิงไม่กลับบ้านและปล่อยให้เธออยู่คนเดียวในห้องที่อ้างว่างเธอใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อเอาชนะใจสามีแม้กระทั่ง
“หนานโจว”ในระหว่างที่โต้เถียงกับเย่จื่ออยู่นั้นเย่ซูเฟินก็สังเกตเห็นเขา และเธอก็ตกใจเล็กน้อยเวินหนี่เองก็มองไปและเห็นเย่หนานโจวยืนอยู่ข้างหลัง ดวงตาของเขาเย็นชาและดูเหมือนจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่พวกเธอพูดกลับกัน เขากลับยอมรับความจริงนี้อย่างสงบนิ่งเย่จื่อตกใจเมื่อเห็นดวงตาของเย่หนานโจวในขณะนี้ สิ่งที่เธอเสียใจคือการที่เธอหุนหันพลันแล่นพูดออกไปว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเย่ซูเฟิน เพราะมันถือเป็นการโจมตีเขาเธอมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของเธอมองเพียงเย่หนานโจว “หนานโจว…”เย่หนานโจวไม่ได้พูดอะไรมากเขาเพียงแค่รู้ว่าพวกเธอมาที่สุสานและอาจจะเกิดเรื่องขึ้น เขาจึงเป็นกังวลและแวะเข้ามาดูหน่อยเท่านั้น เย่ซูเฟินโกรธมากขึ้น “เย่จื่อ เธอกำลังพูดอะไร เธอจะให้ฉันมีความสุขไม่ได้เลยใช่ไหม เธอมันสมควรตายจริง ๆ!”เธอผลักเย่จื่ออย่างแรงความสนใจของเย่จื่อมุ่งไปที่เย่หนานโจว ความโกรธของเธอลดลงมากและลดความเกรี้ยวกราดลง ในใจคิดแต่ว่ามันจะสร้างบาดแผลให้เขาหรือไม่เธอไม่ทันได้สังเกตเห็นการกระทำของเย่ซูเฟินและเธอก็ถูกผลักลงบันไดไปทันทีสติของเวินหนี่ยังไม่ทันกลับมาจากการที่เย่หนานโจวไม่ใช่ลูกแท้
“ดังนั้นเธอจึงทำทุกอย่างเพื่อทำลายครอบครัวทีละครอบครัว! เธอไม่เคยคิดถึงความผิดของตัวเองเลย!”“ฉันไม่ผิด!” เย่ซูเฟินพูดอย่างเดือดดาล “ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเธอบีบบังคับฉันเอง!”เมื่อเห็นว่าทุกคนอารมณ์ร้อน ลู่ม่านเซิงจึงเกลี้ยกล่อมจากด้านข้าง “คุณอา อย่าเถียงกับคุณป้าเลยค่ะ เธอแค่หุนหันพลันแล่นไปเท่านั้น ฉันไม่เป็นไรค่ะ และฉันก็ไม่ได้โทษคุณอาเลย คุณป้าพวกคุณต่างก็ถอยคนละก้าวเถอะนะคะ”“ไม่ใช่เรื่องของเธอ!” เย่จื่อมองไปที่ลู่ม่านเซิง และพูดขึ้นอย่างดุเดือด “ถ้าเธอไม่ได้โทษฉัน แล้วจะเล่าให้เย่ซูเฟินฟังทำไม เธออยากให้เย่ซูเฟินออกหน้าให้ไม่ใช่เหรอ? เสแสร้งแกล้งทำ ภายนอกดูใสซื่อ แต่ภายในคิดไม่ซื่อ ฉันล่ะเกลียดคนแบบเธอที่สุด!”เมื่อเห็นแบบนั้นเย่ซูเฟินก็ผลักเธอทันที “เธอกำลังดุใคร รู้ว่าเซิงเซิงสูญเสียการได้ยิน แต่ยังแอบพูดไม่ดีลับหลังเธอ เธอมันชั่วร้ายแค่ไหนกัน?!”“ถึงฉันจะชั่วร้ายแต่ก็ไม่ได้ขาดคุณธรรมเหมือนเธอ!” เย่จื่อก็ผลักกลับคืนไปเช่นกัน“เธอลงมือกับฉันงั้นเหรอ?”เย่ซูเฟินจ้องเธอด้วยความโกรธ “วันนี้มีเธอก็ไม่มีฉัน!”“ลองดูสิว่าฉันจะฉีกเธอเป็นชิ้น ๆ ไหม!”เย่จื่อไม่พูดพล่ำทำเพลงเข้าไปต
เย่จื่อไม่คาดคิดว่าเย่ซูเฟินจะโทรมาหาเธอ ซึ่งทำให้เธออารมณ์เดือดขึ้นทันที "ทำไม? หรือว่าเป็นลู่ม่านเซิงที่บอกอะไรกับเธอ ฉันจัดการเธอแล้วยังไงล่ะ!""ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?" เย่ซูเฟินพูดด้วยความโกรธ เพราะอยากจะจัดการกับเย่จื่อให้ได้"ฉันต้องบอกด้วยเหรอ? คิดว่าเธอเป็นใคร!" เย่จื่อไม่สนใจที่จะเคี้ยวเมล็ดแตงโมแล้ว ปัดมันออกไปพร้อมกับกำลังมองหาที่ระบายความโกรธเย่ซูเฟินหัวเราะเยาะ "กลัวสินะ กลัวฉันจะหาตัวเจอ ฉันรู้แล้วว่าโรงงานเสริมความงามของเธอโดนพังเสียหายหมด ตอนนี้ถึงกับต้องหลบซ่อนตัวเหมือนเต่าหดหัวแล้ว!""ฉันเนี่ยนะกลัว? ฉันเคยกลัวเธอสักครั้งไหม! ถ้าไม่ใช่เพราะเธอแต่งงานกับเย่เว่ยถิง ฉันไม่เคยนับเธอเป็นคนของตระกูลเย่ด้วยซ้ำ!" เย่จื่อตอบกลับอย่างกระแทกกระทั้น"งั้นก็ออกมาสิ มาสู้กันต่อหน้า!" เย่ซูเฟินท้าทาย"ก็ได้ ออกมาก็ออกมา เย่ซูเฟิน ถ้าเธออยากจะตัดขาดกับฉันจริง ๆ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจแล้ว!" พูดจบ เย่จื่อก็ตัดสายทิ้งและหยิบกระเป๋าขึ้น เตรียมออกไปข้างนอกทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้น เวินหนี่รีบพูดขึ้น "คุณอาคะ คุณอาจะไปไหนคะ หนูจะไปด้วย"เย่จื่อหันมามองเวินหนี่ "เธอไม่ต้องไป เย่ซูเฟิ