หวังอิงไม่ได้เรียกเขาอย่างสุภาพว่า “ประธานเย่” แต่กลับเรียกชื่อของเขาแทนเธอยืนขวางหน้า กีดขวางเส้นทางของคนทั้งสองเอาไว้ เย่หนานโจวเห็นอย่างนั้นจึงถามด้วยสีหน้าเย็นชา “คุณหวังมีธุระอะไร?”หวังอิงมองเขาด้วยความหยิ่งทะนงในตัวเอง เธอยังไม่ค่อยเชื่อ “ที่คุณพูดเมื่อกี้เป็นความจริงเหรอ คะ? คุณแต่งงานแล้วจริง ๆ เหรอ?”เธอไม่เคยได้ยินข่าวว่าเขาแต่งงานมาก่อนหวังอิงเริ่มสงสัยว่าเขาอาจพูดเพื่อเลี่ยงอะไรบางอย่าง จึงถามต่อเย่หนานโจวตอบด้วยสีหน้าเย็นชา “มีความจำเป็นต้องโกหกด้วยเหรอ?”“ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย คนอื่นก็ไม่รู้ว่าภรรยาของคุณเป็นใคร ฉันสงสัยว่าคุณอาจจะกำลังหาข้ออ้าง”“มันไม่เกี่ยวกับคุณ”ยิ่งเขาเย็นชา หวังอิงก็ยิ่งสนใจเขามากขึ้น เหมือนกับการมองเหยื่อที่เธออยากจะพิชิตหวังอิงชอบคนที่เธอไม่สามารถได้มาง่าย ๆเธอแย้มยิ้มเล็กน้อย ท่าทางและการกระทำดูทั้งกล้าหาญและไม่เกรงกลัว ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้เขาแล้วพูดว่า “แต่งงานแล้วก็ยังหย่าได้ ฉันไม่สนใจหรอกว่าคุณจะมีภรรยาหรือไม่มี”เวินหนี่ฟังแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีเย่หนานโจวไม่ชอบคนที่คิดเองเออเองและยังดื้อดึง ซึ่งหวังอิงมีครบทั้งสองอ
เขาเอาใจใส่ถึงขนาดสังเกตได้ว่าเธอปวดท้องเวลามีประจำเดือนนี่เป็นสิ่งที่เวินหนี่ไม่คาดคิดมาก่อนก่อนหน้านี้เธอคิดว่าถ้าอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต เขาอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอชอบอะไรหรือร่างกายมีปัญหาอะไรเธอเคยคิดว่าถ้าเธอป่วยหนักจนเสียชีวิต เขาก็อาจจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้แต่ตอนนี้ เวลาผ่านไปนานเข้า เขาก็ยังจำเรื่องเหล่านี้ได้แม้จะไม่อยากจดจำก็ตามเวินหนี่เป่าน้ำขิงให้เย็นลงก่อนจะดื่มรวดเดียวหมด“พักผ่อนให้เต็มที่นะ” เย่หนานโจวพูดพลางจัดผ้าห่มให้เธออย่างใส่ใจเวินหนี่จ้องมองเขาแล้วถามว่า “เดี๋ยวคุณจะไปไหนหรือเปล่า?”“อยู่บ้าน ไม่ไปไหนทั้งนั้น” เย่หนานโจวตอบเธออดคิดไม่ได้ว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมาเขาไม่อยู่บ้าน แล้ววันนี้เขาจะไปไหนอีกหรือเปล่า มีหญิงสาวมากมายรอบตัวเขา ก็คงต้องมีสักที่ที่เขาสามารถไปพักพิงได้ชายหนุ่มสังเกตเห็นความเศร้าบนใบหน้าของอีกฝ่าย เขาจึงล้มตัวลงนอนข้าง ๆ และเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกัน ก่อนจะวางมือบนหน้าท้องแบน “ยังปวดอยู่ไหม?”เวินหนี่ตัวแข็งทื่อและจ้องมองเย่หนานโจวนิ่ง “ทำไมคุณถึงมานอนด้วยล่ะ?”"อยู่เป็นเพื่อนเธอพักหนึ่ง" เย่หนานโจวพูด พร้อมกับลูบที่หน้าท้องของเธอไป
เติ้งจวนยังคงกังวลเกี่ยวกับอาการของเวินจ้าว แล้วยังมาได้ยินคนอื่นพูดวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้อีก เธอจึงพูดอย่างไม่พอใจ “จางลี่หง เธอจะพูดว่าอะไรเวินจ้าวก็ได้ แต่เธอไม่มีสิทธิ์มาพูดว่าเขาไม่สนใจดูแลเวินเซี่ยน ! หลายปีที่ผ่านมา มีตอนไหนบ้างที่เขาไม่สนใจเวินเซี่ยน? มีตอนไหนบ้างที่เขาไม่ต้องมาคอยตามล้างตามเช็ดให้? แต่พวกเธอจะมาขอความช่วยเหลือกับเขาตลอดแล้วให้เขาช่วยแก้ปัญหาทุกครั้งไม่ได้ มันเป็นปัญหาของบ้านพวกเธอไม่ใช่เหรอ?”จางลี่หงกล่าว “ตอนนี้ฉันหมดหนทางแล้ว ถ้าฉันคิดหาทางได้แล้วจะมาหาพี่ใหญ่กับพี่ทำไมกัน”เธอพูดพลางเริ่มร้องไห้“แม่คะ อย่าร้องไห้เลย มันจะต้องมีทางออกแน่ค่ะ” ลูกสาวของเธอปลอบเติ้งจวนยังไม่ทันได้ร้องไห้ แต่เธอกลับร้องก่อนเสียแล้ว สิ่งนี้ทำให้เติ้งจวนทนไม่ไหว หลายปีที่ผ่านมาครอบครัวของพวกเธอถูกทำให้ลำบากไปกับภาระของครอบครัวที่จางลี่หงโยนมาให้หลายครั้ง พอมีปัญหาก็มาหาที่บ้านเสมอ แต่พอมีเรื่องดี ๆ กลับไม่เคยนึกถึง เห็นแก่ที่เป็นญาติกันเธอจึงไม่ได้พูดอะไรมากแม้ว่าเติ้งจวนจะแอบขุ่นเคืองอยู่ในใจ แต่เธอก็ไม่ได้พูดออกมา เพราะเธอรู้ดีว่าเวินจ้าวให้ความสำคัญกับความสัมพันธุ์ เข
“จางลี่หงเธอพูดอะไรระวังปากด้วย ฉันไปพูด ‘กรอกหู’ เขาตอนไหน? พี่ใหญ่ของพวกเธอถูกพวกเธอทำร้ายจนถึงขนาดนี้ พวกเธอยังต้องการอะไรอีก?” เติ้งจวนทนกับนิสัยของจางลี่หงไม่ไหวแล้ว“ก็ได้ งั้นฉันก็จะพูดตรง ๆ เลยก็แล้วกัน” จางลี่หงพูดต่อ “พวกพี่แก้ปัญหาหนี้ 50 ล้านได้ยังไง? ครั้งที่แล้วพวกพี่ก็บอกว่าไม่มีเงิน ให้คิดหาทางออกร่วมกัน ตอนนั้นเวินเซี่ยนพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาเงินมาจนเกือบจะขายไตไปแล้ว แต่สุดท้ายทุกอย่างก็คลี่คลายใช่ไหม? พวกพี่ยังบอกอีกว่าใช้หนี้ 50 ล้านเรียบร้อยแล้วและบอกให้พวกเราไม่ต้องเป็นกังวล”พวกเขาใช้หนี้ 50 ล้านอย่างราบรื่น แม้จะไม่เคยพูดอะไรเรื่องนี้แต่เธอก็สงสัยมานานแล้วจางลี่หงคิดว่าครอบครัวพี่ชายยังมีเงินอยู่“พี่ใหญ่ พี่ไปเอาเงินมากมายมาจากไหน? เงินของพ่อแม่อยู่ที่พี่หมดเลยใช่ไหม? พี่ฮุบเงินคนเดียวทั้งหมดสินะ?” จางลี่หงถามอย่างตรงไปตรงมานี่เป็นเรื่องที่คาใจเธอมาโดยตลอดจางลี่หงเชื่อว่าครอบครัวของพวกเขาเอาเงินของพ่อแม่ไปโดยไม่บอกกับพวกเธอ และนี่ต้องไม่ใช่แค่เงินจำนวนที่แบ่งเท่า ๆ กันอย่างแน่นอนคำพูดเหล่านี้ทำให้เวินจ้าวถึงกับไอด้วยความโกรธ เขาชี้ไปที่จางลี่หงแล้วพ
เวินหนี่ถามขึ้นว่า “เธอจบจากมหาวิทยาลัยไหน?”เวินซู่ตอบ “มหาวิทยาลัยระดับหนึ่งค่ะค่ะ”“บริษัทของเรารับเฉพาะผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยระดับหัวกระทิเท่านั้น ระดับหนึ่งยังห่างไกลอีกมาก” เวินหนี่ปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเวินซู่มีสีหน้าน่าเกลียดเล็กน้อย แต่เธอก็ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “แค่มีพี่อยู่ก็พอไม่ใช่เหรอคะ? มีพี่อยู่ จะจบจากมหาวิทยาลัยไหนก็ไม่สำคัญ”เวินหนี่กล่าวอย่างเย็นชา “บริษัทที่ดีล้วนแล้วแต่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ถ้าใช้เส้นสายรับพนักงาน ไม่นานบริษัทก็คงล้ม เธอคิดว่าตัวเองจะมีหวังได้เข้าอยู่อีกไหม?”หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์หลายครั้งติดต่อกันเวินซู่ก็ไม่พอใจ “พี่คะ พี่แค่ไม่อยากช่วยฉันมากกว่าถึงได้พูดแบบนั้น”“รู้ก็ดีแล้ว หากเอาแต่พึ่งพาคนอื่น พอไม่มีคนคอยช่วยเหลือแม้แต่กับขอทานเธอก็คงเทียบไม่ได้” เวินหนี่พูดจิกกัดอย่างแรง“พี่ไม่ช่วยแล้วยังมาด่าฉันอีก! แม่คะ ได้ยินที่เธอพูดไหม?” เวินซู่ทนคำสบประมาทของเธอไม่ไหว เธอโกรธจนดวงตาแดงก่ำจางลี่หงทนเห็นลูกสาวโดนรังแกไม่ได้ จึงดุขึ้นว่า “เวินหนี่ ทำไมเธอถึงพูดกับน้องสาวแบบนั้น? ยังไงนี่ก็เป็นน้องสาวของเธอ ควรจะให้หน้ากันบ้างนี่ไม่เห็นแก่ห
เย่หนานโจวยืนอยู่ที่ประตู เขาไม่ชอบเสียงดังหนวกหูโดยเฉพาะยิ่งมาอยู่หน้าเตียงผู้ป่วยของพ่อตาแบบนี้เมื่อได้ยินเสียงเขา สองแม่ลูกก็หยุดร้องไห้และหันไปมองเย่หนานโจวเวินหนี่เงยหน้าขึ้นก่อนจะเห็นเย่หนานโจว เธอแปลกใจเล็กน้อยเพราะเธอไม่ได้บอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงถามขึ้นว่า “ทำไมคุณถึงมาที่นี่คะ?”เย่หนานโจวมองเธอ “ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโทรมาหาฉันและบอกว่าคุณพ่อไม่สบาย ฉันก็เลยรีบออกมาจากบริษัท”“พ่อครับ แม่ครับ” เขาทักทาย ก่อนจะเห็นว่ามือของเวินจ้าวใส่เฝือกอยู่ จึงถามขึ้นว่า “เป็นยังไงบ้างครับ?”เวินหนี่กล่าว “กระดูกมือร้าว ต้องพักสักสองสามวันค่ะ”เมื่อเย่หนานโจวเห็นว่าที่นี่แออัดไปด้วยผู้คนจึงขมวดคิ้วและพูดว่า “ที่นี่เสียงดังเกินไป มันส่งผลกระทบต่อการพักผ่อนของคุณพ่อ ผมจะให้คนย้ายเขาไปที่ห้องวีไอพี”“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น หนานโจว เธอไม่ต้องลำบากหรอก!”เวินจ้าวมองเย่หนานโจว แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยพอใจ แต่เย่หนานโจวก็เอาใจใส่เขาจนหาความผิดไม่เจอ เขาเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “แค่กระดูกร้าวนิดหน่อย พวกเธอจะมากันทุกคนทำไม? กลับไปเถอะ มีแม่ของพวกเธอคอยดูแลก็พอแล้ว”“พวกเราเข้าใจค่ะ
“พี่เขย”เวินซู่รู้สึกว่าขอร้องเย่หนานโจวที่มีอำนาจตัดสินใจดีกว่าไปขอร้องเวินหนี่ เธอพูดขึ้นว่า “พี่เขยคะ อีกหนึ่งเดือนฉันก็ต้องฝึกงานแล้ว ให้ฉันไปฝึกงานที่บริษัทของพี่ได้ไหมคะ? ตอนนี้ฉันยังไม่มีที่ไป แค่ได้ใบรับใบรับรองการฝึกงานก็พอค่ะ ฉันจะไม่สร้างปัญหาให้แน่นอน”จางลี่หงกล่าวเสริม “เราเป็นอาสะใภ้และลูกพี่ลูกน้องของเวินหนี่ คุณก็ช่วยน้องสาวหน่อยนะได้ไหม? เพื่อที่อนาคตเธอจะได้มีงานดี ๆ”เวินหนี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยพวกนี้คิดจะดูดเลือดจากเย่หนานโจวเพราะเขาเป็นสามีของเธอ ดูดเลือกจากครอบครัวของเธอไปยังไม่พอ นี่คิดจะมาดูดจากเย่หนานโจวอีกเธออดไม่ได้ที่จะมองไปที่เย่หนานโจว กลัวว่าเขาจะมีความรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับครอบครัวของพวกเธอ ยิ่งนี่เป็นการพบกันครั้งแรกอีกอย่างความสัมพันธ์ของเธอกับเย่หนานโจวก็ไม่ได้ใกล้ชิดกันขนาดที่เขาจะตามเก็บกวาดให้ปัญหาของทุกคนในตระกูลเวิน สิ่งนี้กำลังทำให้เธอลำบากไปด้วยเวินหนี่รู้ดีว่าเธอไม่สามารถปล่อยให้คนในครอบครัวเป็นแบบนี้ได้ ถ้ามีครั้งแรกก็จะต้องมีครั้งที่สอง เธอจึงพูดขึ้นอย่างสุภาพแต่หนักแน่นว่า “อาสะใภ้รองทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ ทุกสิ่งที่หนานโจวมีก็เป็นทรัพย์
เติ้งจวนแทบจะโมโหตายเพราะจางลี่หง แต่พอได้เห็นว่าคู่รักหนุ่มสาวมีความสัมพันธ์ที่ดี ก็อารมณ์ดีขึ้น ขอแค่ลูกสาวของเธอมีความสุขก็ไม่มีอะไรทุกข์ยากอีกแล้ว เธออยากรักษาความสัมพันธ์ของพวกเขาด้จึงบอกว่า “หนีหนี่ หนานโจวยอมช่วยเพราะเห็นแก่ลูก เขาใจดีกับลูก ลูกเองก็ควรทำดีกับหนานโจวด้วย”เมื่อได้ยินแบบนั้น เวินหนี่ก็เหลือบมองเย่หนานโจวอีกครั้ง เขาประจบแม่ของเธอจนแม่เข้าข้างเขาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?เย่หนานโจวรู้สึกยินดีมาก เขาพูดกับเติ้งจวนว่า “แม่ครับ นี่เพราะว่าแม่คอยพูดแต่เรื่องดี ๆ ของผม”เติ้งจวนยิ้มและพูดว่า “แน่นอน แม่ไม่ใช่คนตาบอด และแม่ก็มองเห็นความดีของเธอ”เธอมองไปที่เวินจ้าวเวินจ้าวจ้องมองไปที่พวกเขา รู้สึกทั้งสุขทั้งทุกข์ปะปนกัน เขามีความสุขที่เวินหนี่ดูจะมีชีวิตแต่งงานที่ดีและไม่ได้ทุกข์ใจนัก แต่เขาก็ยังห่วงเพราะไม่รู้ว่าพวกเขาจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน และลูกสาวของเขามีความสุขจริงหรือไม่พวกเขาอยู่ต่อพักหนึ่งและจัดการเรื่องขั้นตอนการรักษาของเวินจ้าวจนเรียบร้อย เขาต้องอยู่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ถึงจะสามารถกลับบ้านได้ เพราะอาการก็ไม่ได้ร้ายแ