เติ้งจวนยังคงกังวลเกี่ยวกับอาการของเวินจ้าว แล้วยังมาได้ยินคนอื่นพูดวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้อีก เธอจึงพูดอย่างไม่พอใจ “จางลี่หง เธอจะพูดว่าอะไรเวินจ้าวก็ได้ แต่เธอไม่มีสิทธิ์มาพูดว่าเขาไม่สนใจดูแลเวินเซี่ยน ! หลายปีที่ผ่านมา มีตอนไหนบ้างที่เขาไม่สนใจเวินเซี่ยน? มีตอนไหนบ้างที่เขาไม่ต้องมาคอยตามล้างตามเช็ดให้? แต่พวกเธอจะมาขอความช่วยเหลือกับเขาตลอดแล้วให้เขาช่วยแก้ปัญหาทุกครั้งไม่ได้ มันเป็นปัญหาของบ้านพวกเธอไม่ใช่เหรอ?”จางลี่หงกล่าว “ตอนนี้ฉันหมดหนทางแล้ว ถ้าฉันคิดหาทางได้แล้วจะมาหาพี่ใหญ่กับพี่ทำไมกัน”เธอพูดพลางเริ่มร้องไห้“แม่คะ อย่าร้องไห้เลย มันจะต้องมีทางออกแน่ค่ะ” ลูกสาวของเธอปลอบเติ้งจวนยังไม่ทันได้ร้องไห้ แต่เธอกลับร้องก่อนเสียแล้ว สิ่งนี้ทำให้เติ้งจวนทนไม่ไหว หลายปีที่ผ่านมาครอบครัวของพวกเธอถูกทำให้ลำบากไปกับภาระของครอบครัวที่จางลี่หงโยนมาให้หลายครั้ง พอมีปัญหาก็มาหาที่บ้านเสมอ แต่พอมีเรื่องดี ๆ กลับไม่เคยนึกถึง เห็นแก่ที่เป็นญาติกันเธอจึงไม่ได้พูดอะไรมากแม้ว่าเติ้งจวนจะแอบขุ่นเคืองอยู่ในใจ แต่เธอก็ไม่ได้พูดออกมา เพราะเธอรู้ดีว่าเวินจ้าวให้ความสำคัญกับความสัมพันธุ์ เข
“จางลี่หงเธอพูดอะไรระวังปากด้วย ฉันไปพูด ‘กรอกหู’ เขาตอนไหน? พี่ใหญ่ของพวกเธอถูกพวกเธอทำร้ายจนถึงขนาดนี้ พวกเธอยังต้องการอะไรอีก?” เติ้งจวนทนกับนิสัยของจางลี่หงไม่ไหวแล้ว“ก็ได้ งั้นฉันก็จะพูดตรง ๆ เลยก็แล้วกัน” จางลี่หงพูดต่อ “พวกพี่แก้ปัญหาหนี้ 50 ล้านได้ยังไง? ครั้งที่แล้วพวกพี่ก็บอกว่าไม่มีเงิน ให้คิดหาทางออกร่วมกัน ตอนนั้นเวินเซี่ยนพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาเงินมาจนเกือบจะขายไตไปแล้ว แต่สุดท้ายทุกอย่างก็คลี่คลายใช่ไหม? พวกพี่ยังบอกอีกว่าใช้หนี้ 50 ล้านเรียบร้อยแล้วและบอกให้พวกเราไม่ต้องเป็นกังวล”พวกเขาใช้หนี้ 50 ล้านอย่างราบรื่น แม้จะไม่เคยพูดอะไรเรื่องนี้แต่เธอก็สงสัยมานานแล้วจางลี่หงคิดว่าครอบครัวพี่ชายยังมีเงินอยู่“พี่ใหญ่ พี่ไปเอาเงินมากมายมาจากไหน? เงินของพ่อแม่อยู่ที่พี่หมดเลยใช่ไหม? พี่ฮุบเงินคนเดียวทั้งหมดสินะ?” จางลี่หงถามอย่างตรงไปตรงมานี่เป็นเรื่องที่คาใจเธอมาโดยตลอดจางลี่หงเชื่อว่าครอบครัวของพวกเขาเอาเงินของพ่อแม่ไปโดยไม่บอกกับพวกเธอ และนี่ต้องไม่ใช่แค่เงินจำนวนที่แบ่งเท่า ๆ กันอย่างแน่นอนคำพูดเหล่านี้ทำให้เวินจ้าวถึงกับไอด้วยความโกรธ เขาชี้ไปที่จางลี่หงแล้วพ
เวินหนี่ถามขึ้นว่า “เธอจบจากมหาวิทยาลัยไหน?”เวินซู่ตอบ “มหาวิทยาลัยระดับหนึ่งค่ะค่ะ”“บริษัทของเรารับเฉพาะผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยระดับหัวกระทิเท่านั้น ระดับหนึ่งยังห่างไกลอีกมาก” เวินหนี่ปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเวินซู่มีสีหน้าน่าเกลียดเล็กน้อย แต่เธอก็ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “แค่มีพี่อยู่ก็พอไม่ใช่เหรอคะ? มีพี่อยู่ จะจบจากมหาวิทยาลัยไหนก็ไม่สำคัญ”เวินหนี่กล่าวอย่างเย็นชา “บริษัทที่ดีล้วนแล้วแต่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ถ้าใช้เส้นสายรับพนักงาน ไม่นานบริษัทก็คงล้ม เธอคิดว่าตัวเองจะมีหวังได้เข้าอยู่อีกไหม?”หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์หลายครั้งติดต่อกันเวินซู่ก็ไม่พอใจ “พี่คะ พี่แค่ไม่อยากช่วยฉันมากกว่าถึงได้พูดแบบนั้น”“รู้ก็ดีแล้ว หากเอาแต่พึ่งพาคนอื่น พอไม่มีคนคอยช่วยเหลือแม้แต่กับขอทานเธอก็คงเทียบไม่ได้” เวินหนี่พูดจิกกัดอย่างแรง“พี่ไม่ช่วยแล้วยังมาด่าฉันอีก! แม่คะ ได้ยินที่เธอพูดไหม?” เวินซู่ทนคำสบประมาทของเธอไม่ไหว เธอโกรธจนดวงตาแดงก่ำจางลี่หงทนเห็นลูกสาวโดนรังแกไม่ได้ จึงดุขึ้นว่า “เวินหนี่ ทำไมเธอถึงพูดกับน้องสาวแบบนั้น? ยังไงนี่ก็เป็นน้องสาวของเธอ ควรจะให้หน้ากันบ้างนี่ไม่เห็นแก่ห
เย่หนานโจวยืนอยู่ที่ประตู เขาไม่ชอบเสียงดังหนวกหูโดยเฉพาะยิ่งมาอยู่หน้าเตียงผู้ป่วยของพ่อตาแบบนี้เมื่อได้ยินเสียงเขา สองแม่ลูกก็หยุดร้องไห้และหันไปมองเย่หนานโจวเวินหนี่เงยหน้าขึ้นก่อนจะเห็นเย่หนานโจว เธอแปลกใจเล็กน้อยเพราะเธอไม่ได้บอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงถามขึ้นว่า “ทำไมคุณถึงมาที่นี่คะ?”เย่หนานโจวมองเธอ “ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโทรมาหาฉันและบอกว่าคุณพ่อไม่สบาย ฉันก็เลยรีบออกมาจากบริษัท”“พ่อครับ แม่ครับ” เขาทักทาย ก่อนจะเห็นว่ามือของเวินจ้าวใส่เฝือกอยู่ จึงถามขึ้นว่า “เป็นยังไงบ้างครับ?”เวินหนี่กล่าว “กระดูกมือร้าว ต้องพักสักสองสามวันค่ะ”เมื่อเย่หนานโจวเห็นว่าที่นี่แออัดไปด้วยผู้คนจึงขมวดคิ้วและพูดว่า “ที่นี่เสียงดังเกินไป มันส่งผลกระทบต่อการพักผ่อนของคุณพ่อ ผมจะให้คนย้ายเขาไปที่ห้องวีไอพี”“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น หนานโจว เธอไม่ต้องลำบากหรอก!”เวินจ้าวมองเย่หนานโจว แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยพอใจ แต่เย่หนานโจวก็เอาใจใส่เขาจนหาความผิดไม่เจอ เขาเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “แค่กระดูกร้าวนิดหน่อย พวกเธอจะมากันทุกคนทำไม? กลับไปเถอะ มีแม่ของพวกเธอคอยดูแลก็พอแล้ว”“พวกเราเข้าใจค่ะ
“พี่เขย”เวินซู่รู้สึกว่าขอร้องเย่หนานโจวที่มีอำนาจตัดสินใจดีกว่าไปขอร้องเวินหนี่ เธอพูดขึ้นว่า “พี่เขยคะ อีกหนึ่งเดือนฉันก็ต้องฝึกงานแล้ว ให้ฉันไปฝึกงานที่บริษัทของพี่ได้ไหมคะ? ตอนนี้ฉันยังไม่มีที่ไป แค่ได้ใบรับใบรับรองการฝึกงานก็พอค่ะ ฉันจะไม่สร้างปัญหาให้แน่นอน”จางลี่หงกล่าวเสริม “เราเป็นอาสะใภ้และลูกพี่ลูกน้องของเวินหนี่ คุณก็ช่วยน้องสาวหน่อยนะได้ไหม? เพื่อที่อนาคตเธอจะได้มีงานดี ๆ”เวินหนี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยพวกนี้คิดจะดูดเลือดจากเย่หนานโจวเพราะเขาเป็นสามีของเธอ ดูดเลือกจากครอบครัวของเธอไปยังไม่พอ นี่คิดจะมาดูดจากเย่หนานโจวอีกเธออดไม่ได้ที่จะมองไปที่เย่หนานโจว กลัวว่าเขาจะมีความรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับครอบครัวของพวกเธอ ยิ่งนี่เป็นการพบกันครั้งแรกอีกอย่างความสัมพันธ์ของเธอกับเย่หนานโจวก็ไม่ได้ใกล้ชิดกันขนาดที่เขาจะตามเก็บกวาดให้ปัญหาของทุกคนในตระกูลเวิน สิ่งนี้กำลังทำให้เธอลำบากไปด้วยเวินหนี่รู้ดีว่าเธอไม่สามารถปล่อยให้คนในครอบครัวเป็นแบบนี้ได้ ถ้ามีครั้งแรกก็จะต้องมีครั้งที่สอง เธอจึงพูดขึ้นอย่างสุภาพแต่หนักแน่นว่า “อาสะใภ้รองทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ ทุกสิ่งที่หนานโจวมีก็เป็นทรัพย์
เติ้งจวนแทบจะโมโหตายเพราะจางลี่หง แต่พอได้เห็นว่าคู่รักหนุ่มสาวมีความสัมพันธ์ที่ดี ก็อารมณ์ดีขึ้น ขอแค่ลูกสาวของเธอมีความสุขก็ไม่มีอะไรทุกข์ยากอีกแล้ว เธออยากรักษาความสัมพันธ์ของพวกเขาด้จึงบอกว่า “หนีหนี่ หนานโจวยอมช่วยเพราะเห็นแก่ลูก เขาใจดีกับลูก ลูกเองก็ควรทำดีกับหนานโจวด้วย”เมื่อได้ยินแบบนั้น เวินหนี่ก็เหลือบมองเย่หนานโจวอีกครั้ง เขาประจบแม่ของเธอจนแม่เข้าข้างเขาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?เย่หนานโจวรู้สึกยินดีมาก เขาพูดกับเติ้งจวนว่า “แม่ครับ นี่เพราะว่าแม่คอยพูดแต่เรื่องดี ๆ ของผม”เติ้งจวนยิ้มและพูดว่า “แน่นอน แม่ไม่ใช่คนตาบอด และแม่ก็มองเห็นความดีของเธอ”เธอมองไปที่เวินจ้าวเวินจ้าวจ้องมองไปที่พวกเขา รู้สึกทั้งสุขทั้งทุกข์ปะปนกัน เขามีความสุขที่เวินหนี่ดูจะมีชีวิตแต่งงานที่ดีและไม่ได้ทุกข์ใจนัก แต่เขาก็ยังห่วงเพราะไม่รู้ว่าพวกเขาจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน และลูกสาวของเขามีความสุขจริงหรือไม่พวกเขาอยู่ต่อพักหนึ่งและจัดการเรื่องขั้นตอนการรักษาของเวินจ้าวจนเรียบร้อย เขาต้องอยู่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ถึงจะสามารถกลับบ้านได้ เพราะอาการก็ไม่ได้ร้ายแ
หนทางนักแสดงของเธอไม่ได้มากมายนักในตอนแรก ในงานเลี้ยงของตระกูลเย่ เย่หนานโจวขีดเส้นความสัมพันธ์ของเขากับเธออย่างชัดเจนต่อหน้าสาธารณชน ทำให้เธอเสียหน้าไม่น้อย วงการบันเทิงนั้นเต็มไปด้วยคนปากหวานก้นเปรี้ยว จึงมีคนหัวเราะเยาะเย้ยเธอในเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ลู่ม่านเซิงเป็นคนฉลาด เธอรู้ว่าเย่หนานโจวจะปกป้องเธอ และเขาจะกลายเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินที่แข็งแกร่งที่สุดของเธอในอนาคต หลังจากเกลี้ยกล่อมเย่หนานโจวได้ ทรัพยากรของเธอก็จะมั่งคั่งขึ้นอีกครั้งเธอยุ่งอยู่กับการถ่ายทำ ดังนั้นจึงไม่มีเวลามาหาเรื่องทะเลาะกับเวินหนี่ ชึ่งทำให้ชีวิตเวินหนี่เงียบสงบลงไปมาก เธออยากเอาเวลามาสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ เพราะยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้เธอไม่มีความสุขเช่นนั้นก็อย่าคิดเยอะเลยดีกว่าแต่หลี่ถิงที่อยู่ข้าง ๆ เวินหนี่มองไปรอบ ๆ ก่อนจะกระซิบ “พี่เวิน ครั้งนี้ฉันดูผิดไป พี่อย่าใส่ใจเลยนะคะ ฉันจะไม่นินทาพี่กับประธานเย่อีกแล้วค่ะ”เวินหนี่มองเธอ “หมายความว่าอะไร?”หลี่ถิงขมวดคิ้ว “ประธานเย่มีภรรยาแล้ว แถมยังซุกบ้านน้อยอยู่ข้างนอกอีก แสดงว่าประธานเย่ไม่ใช่คนซื่อสัตย์ ก่อนนี้ฉันเคยเดาว่าประธานเย่ชอบพี่
แผนกต้อนรับเห็นเธอมาหลายวันแล้ว เธอช่างดื้อรั้นจริง ๆ แผนกต้อนรับตอบเธอไปว่า “ฉันจะโทรไปถามให้ค่ะ รอสักครู่นคะ”ตราบเท่าที่ยังมีความหวัง โจวเสี่ยวหลินก็มีความคาดหวัง “ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ”แผนกต้อนรับโทรไปถาม ก่อนจะตอบโจวเสี่ยวหลินอย่างสุภาพ “คุณผู้หญิงคะ ประธานเย่ไม่อยู่ในบริษัทค่ะ รบกวนกลับมาใหม่คราวหน้านะคะ”มาเมื่อไหร่เขาก็ไม่อยู่ จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ได้ยังไง? ครั้งนี้โจวเสี่ยวหลินไม่เชื่อนัก และถามกลับไปอย่างไม่ย่อท้อว่า “คุณช่วยโทรไปหาประธานเย่โดยตรงได้ไหมคะ? แค่บอกว่าเสี่ยวหลินทำอาหารจานพิเศษมาให้ อยากให้เขาได้ลองชิม หากเขาชิมแล้วฉันก็จะกลับค่ะ”แผนกต้อนรับเคยเห็นผู้หญิงที่ต้องการประจบประแจงเย่หนานโจวมามากมาย และเธอก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้น จึงตอบกลับไปส่ง ๆ ว่า “ประธานเย่ยุ่งมาก เขาไม่พบกับบุคคลภายนอกค่ะ”“ฉันไม่ใช่คนนอก ฉัน...” โจวเสี่ยวหลินเกือบจะร้องไห้ แต่เธอก็ไม่สามารถพูดได้ว่าตัวเองเป็นอะไรกับเย่หนานโจว“คุณผู้หญิง ได้โปรดอย่ารบกวนการทำงานของฉันเลยค่ะ” แผนกต้อนรับตำหนิขึ้นอีกครั้งโจวเสี่ยวหลินรอมาหลายวันแล้ว เธอไม่สามารถอยู่ในวิลล่าต่อไปได้อย่างสบายใจจึงพูดขึ้นว่า
อาจ้านตอบว่า “ช้าอีกหน่อยแล้วกัน สถานที่เดิม”หญิงผมแดงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ได้เลย ฉันจะรอคุณตรงเวลานะ”พูดจบหญิงผมแดงก็รีบเดินออกจากบริเวณของเขาไป พอเธอจากไปแล้ว อาจ้านก็ค่อย ๆ เอาหัวใจของสัตว์กลับใส่ที่เดิม จากนั้นเขาก็เย็บปิดแผลอย่างประณีต แม้ว่าเมื่อครู่จะดูโหดร้ายเลือดสาดสักแค่ไหน แต่ในตอนนี้หัวใจของสัตว์นั้นก็ยังสามารถเต้นได้อีกครั้งเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว อาจ้านถอดถุงมือที่เปื้อนเลือดออก ล้างมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและสบู่หลายรอบ จนกระทั่งไม่เหลือกลิ่นใด ๆ แล้วจึงออกไป เขาขับรถมุ่งหน้าไปยังฟาร์มที่หน้าประตูมีคนยืนเฝ้าอยู่ พอเห็นรถของอาจ้านเข้ามาก็รีบเปิดประตูให้เข้าไป ด้านในฟาร์มมีการปลูกดอกไม้บางชนิดตกแต่งไว้ แต่มีเพียงสตรอเบอร์รีเท่านั้นที่เป็นพืชหลักของฟาร์มสตรอเบอร์รีในแปลงไม่ได้ถูกเก็บไปขาย หลายลูกปล่อยให้เน่าอยู่บนพื้น อาจ้านลงจากรถ สายตาเขาเหลือบมองทุ่งสตรอเบอร์รีที่ได้รับการดูแลมาอย่างดีอย่างพอใจ บนใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มจาง ๆผู้คุมหน้าประตูส่งตะกร้าให้ อาจ้านรับตะกร้ามาแล้วเดินตรงเข้าสู่แปลงสตรอเบอร์รี ทุ่งเบื้องหน้าเต็มไปด้วยผลสตรอเบอร์รีที่สุกงอมจนเป็นส
[ฉันว่าคุณพูดถูกนะ เทียบกันแล้วฉันชอบคลิปสั้นของจางจื่อฉีมากกว่า ชอบบทของเธอในละครเรื่องนั้นจริงๆ!]ใบหน้าของลู่ม่านเซิงแทบเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธคนพวกนี้พูดบ้าอะไรกัน! บอกว่าจางจื่อฉีถ่ายได้ดีกว่าเธออย่างนั้นหรือ? เป็นไปได้ยังไง! เธอหน้าตาสวยกว่าจางจื่อฉีตั้งเยอะผู้ช่วยของเธอที่อยู่ข้าง ๆ เห็นยอดไลค์ในคลิปสั้นของจางจื่อฉีพุ่งทะลุสิบล้านแล้ว จึงพูดจาดูถูกขึ้นมาทันที “พวกชาวเน็ตเขียนอะไรกัน เห็น ๆ อยู่ว่าคุณเซิงสวยกว่า จางจื่อฉีน่ะอาศัยแค่กระแสความทรงจำ ไม่ได้มีความสามารถจริงจังอะไรเลย แถมดันไปถ่ายคลิปสั้นแบบนี้อีก มันเป็นสิ่งที่คนธรรมดาเขาเล่นกันทั้งนั้น ดาราจะไปโพสต์คลิปบนแอปแบบนี้ได้ยังไง ไร้เกียรติมาก!”ผู้ช่วยของเธอดูถูกวิธีการนี้มาก เพราะส่วนใหญ่ดาราที่โพสต์บนแอปสั้นมักจะเป็นพวกที่ไม่ค่อยดัง พยายามหารายได้จากตรงนี้ เธอจึงไม่สนใจสิ่งนี้เลย“อ๊า!” ลู่ม่านเซิงโมโหถึงกับปามือถือลงพื้น!ผู้ช่วยที่ตอนแรกตั้งใจจะปลอบเธอ ถึงกับหน้าซีดเมื่อเห็นลู่ม่านเซิงปามือถือด้วยความโกรธ “คุณเซิง…”ลู่ม่านเซิงโกรธจนตาแดงก่ำ “ทำไมยอดไลค์ของจางจื่อฉีถึงได้ถึงสิบล้าน มีคนชอบเธอตั้งมา
ทางด้านลู่ม่านเซิงก็กำลังถ่ายทำเช่นกันเธอแต่งกายสไตล์ย้อนยุคแบบเดียวกับจางจื่อฉี“ดีมากเลย เซิงเซิง สวยมาก!” ช่างภาพกล่าวพลางถ่ายจากหลายมุม“มุมนี้ดูดีมาก ได้ภาพสวยเลย!”ช่างภาพชมเธอไม่หยุดระหว่างถ่ายทำลู่ม่านเซิงเองก็มั่นใจในตัวเองสูง เธอตั้งใจถ่ายมาก เพราะรู้ดีว่าเสน่ห์และความงามของเธอเหนือกว่าจางจื่อฉี ซึ่งในวงการบันเทิงแล้ว ความงามถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่ง หลายคนดังได้จากเพียงรูปลักษณ์เธอเองก็แสดงละครได้ดี แถมยังมีหน้าตาที่โดดเด่น จึงมั่นใจว่าจะเอาชนะจางจื่อฉีได้แน่นอนจริง ๆ แล้วเป้าหมายของเธอไม่ใช่จางจื่อฉี แต่เป็นเวินหนี่เธอจงใจไม่ให้ความร่วมมือกับจางจื่อฉีเพื่อโค่นล้มเวินหนี่ หากเธอชนะจางจื่อฉีได้ ก็จะถือว่าชนะเวินหนี่ด้วยและหากชนะครั้งนี้ก็จะมีครั้งต่อไปเมื่อดูภาพถ่ายของตัวเอง เธอก็พึงพอใจมาก เชื่อมั่นว่าจะขึ้นเทรนด์ในโลกออนไลน์ได้“รีบปล่อยภาพนี้ไปให้เร็วที่สุดนะ ใช้ความร้อนแรงของงานในวันนี้ให้เต็มที่” ลู่ม่านเซิงสั่ง“แน่นอนครับ คาดว่าค่ำนี้น่าจะได้เห็นกันแล้ว!”ริมฝีปากของลู่ม่านเซิงเผยรอยยิ้มมั่นใจ คิดว่าความสำเร็จอยู่ในมือเธอแล้วค่ำวันนั้น สื่อ
เธอยังคงเป็นคนของบริษัทเย่หนานโจว หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น บริษัทก็ย่อมต้องคุ้มครองเธออยู่แล้ว ช่วงนี้ยังมีข่าวมากมายที่ออกมาช่วยลบล้างข่าวเสียของลู่ม่านเซิงอีกด้วยเวินหนี่มองลู่ม่านเซิงในชุดนี้อย่างเย้ยหยัน “เลียนแบบจนได้ดี มันสนุกมากไหม?”คำพูดนี้จี้จุดของลู่ม่านเซิง แต่คราวนี้เธอไม่สนใจ เธอต้องการชนะเสียครั้งหนึ่ง จึงยิ้มตอบอย่างมั่นใจ “เวินหนี่ เธอไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิง จะไปรู้ได้ยังไงว่าอะไรที่คนดูชอบ คนที่สวยก็ย่อมมีคนติดตามมากกว่า หรือเธอว่าไม่จริง?”ความหมายก็คือเธอเชื่อว่าตัวเองสวยกว่าจางจื่อฉี แต่แม้ว่าลู่ม่านเซิงจะพูดอย่างนั้น จางจื่อฉีก็มีฝีมือการแสดงที่เหนือกว่า ความเป็นนักแสดงมืออาชีพทำให้ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันเรื่องความสวยจางจื่อฉียืนอยู่อย่างสงบ สีหน้าเยือกเย็น ไม่คิดจะโต้เถียงใด ๆ กับลู่ม่านเซิง ราวกับไม่อยากเสียเวลาถกเถียงกับเธอเลยเวินหนี่ก็ไม่ได้สนใจจะโต้แย้งอะไรในเรื่องนี้ เธอเอ่ยขึ้นเพื่อให้ลู่ม่านเซิงเข้าใจอย่างชัดเจนว่า การพึ่งพาคนอื่นนั้นไม่ได้ยั่งยืน “ในเมื่อเธอชอบนัก ก็เอาไปเถอะ จางจื่อฉีไม่ใช่ว่าจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่ได้ใช้ที่นี่”พอเห็นเวินหนี่รู
เวินหนี่ถ่ายรูปให้จางจื่อฉีไปหลายรูป แม้เธอจะไม่ใช่คนที่โดดเด่นเพราะความสวยงาม แต่ด้วยฝีมือการแสดงของเธอที่ยอดเยี่ยม ก็ทำให้นักแสดงชายหลายคนมีชื่อเสียงได้เช่นกัน ความไม่ถือตัวและความเป็นกันเองของจางจื่อฉีเป็นสิ่งที่เวินหนี่ชื่นชมเมื่อการแสดงแฟชั่นโชว์เกือบสิ้นสุดลง เวินหนี่เดินหาช่างภาพเพื่อนำไปถ่ายภาพเสร็จสมบูรณ์พอเสี่ยวอิ่งเห็นจางจื่อฉี เธอก็ร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตื่นเต้น “จางจื่อฉี! ฉันได้เจอตัวจริงแล้ว!”เวินหนี่เห็นเสี่ยวอิ่งมีปฏิกิริยาขนาดนี้ก็อดแซวไม่ได้ “ตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ?”เสี่ยวอิ่งตอบอย่างไม่ลังเล “แน่นอนสิ! ฉันดูละครที่เธอเล่นมาตั้งหลายเรื่อง นี่มันเหมือนฝันไปเลย ฉันได้เจอไอดอลของฉัน ฉันชอบเธอมาก ๆ เลยล่ะ!”จางจื่อฉียิ้มแล้วเดินเข้ามาทักทาย “สวัสดี ฉันคือจางจื่อฉีค่ะ” เธอเอื้อมมือออกไปจับมือกับเสี่ยวอิ่งเสี่ยวอิ่งมองมือของจางจื่อฉีด้วยความตื่นเต้น ราวกับอยู่ในความฝัน เธอจับมือจางจื่อฉีแล้วพูดอย่างซาบซึ้งจนแทบร้องไห้ “นี่ฉันฝันไปหรือเปล่า? ฉันดูละครที่คุณแสดงมาทุกเรื่องเลยนะคะ ฉันรู้ประวัติของคุณด้วย คุณมาจากต่างจังหวัดแล้วต่อสู้ในวงการบันเทิงตั้งนาน ฉ
เมื่อเปรียบเทียบความสามารถของลู่ม่านเซิงในการสร้างกระแสดังในทางลบ กับความหยิ่งในศักดิ์ศรีของจางจื่อฉีที่ปฏิเสธไม่รับเล่นบทละครที่ไม่ได้คุณภาพแล้ว เวินหนี่ก็รู้สึกได้ถึงความจริงที่ว่าในวงการบันเทิงยุคนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นและดับลงอย่างรวดเร็ว นักแสดงหน้าใหม่ผลัดเปลี่ยนมาแทนที่อย่างรวดเร็ว ขณะที่คนเก่าก็ถูกลืมไปได้ง่ายบางคนอาจโด่งดังจากละครเรื่องเดียว แต่ถ้าไม่มีผลงานต่อไปคอยสนับสนุนจากคนดังแถวหน้าก็อาจตกไปเป็นระดับล่างได้ในพริบตา การแข่งขันในวงการนี้โหดร้ายและไร้ปรานี ต่อให้เวินหนี่ไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงเอง เธอก็ยังเห็นความเป็นจริงเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนแม้การเล่นละครที่ด้อยคุณภาพจะทำให้ชื่อเสียงไม่ดี แต่ถ้ามันสามารถเรียกความสนใจจากผู้คนได้ นักแสดงคนนั้นก็สามารถนับเป็น ‘สินค้าทางการตลาด’ ที่ประสบความสำเร็จแล้วเวินหนี่มองจางจื่อฉีและพูดว่า “คุณเป็นนักแสดงที่ดีค่ะ ไม่ใช่แค่ฝีมือการแสดงที่ดี แต่ยังไม่ยอมตามกระแสแบบทั่วไป คนที่เป็นแบบนี้หาได้ยากมาก ขอให้เชื่อเถอะค่ะว่าสักวันคุณจะต้องโด่งดังแน่นอน”จางจื่อฉีรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินคำชมจากเวินหนี่ เธอจึงยิ้มและพูดด้วยความขอบคุณ “ตอนน
นักข่าวที่มางานนี้ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเธอ เพราะสื่อออนไลน์พัฒนาไปไว ทุกคนต่างก็พยายามเป็นคนแรกในการปล่อยข่าว รายงานแรกที่แม่นยำที่สุดย่อมได้เรตติ้งดีที่สุดแม้งานเดินแบบเวทีทีสเตจนี้จะไม่ใช่ข่าวใหญ่ แต่การถ่ายทอดสดก็ทำให้ทุกสื่อแข่งกันเพื่อเป็นอันดับหนึ่งของกระแสบนรันเวย์ตอนนี้มีนางแบบเดินอยู่บ้างแล้ว บรรดาดาราหลายคนก็อยู่ที่นั่งฝั่งผู้ชม เวินหนี่กำลังมองหามุมที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพ“คุณเวิน”ทันใดนั้นเสียงเรียกเธอก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เวินหนี่หันกลับไปก็พบว่าจางจื่อฉีกำลังยืนอยู่ตรงนั้น เธอเหลือบมองไปรอบ ๆ เห็นแต่ทีมงานและดาราที่อยู่ด้านใน“คุณจาง ทำไมคุณถึงออกมาอยู่ตรงนี้คะ?”จางจื่อฉีตอบอย่างเป็นกันเอง “ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณจางหรอก เรียกว่าจื่อฉีก็พอ”เวินหนี่รู้สึกดีกับอีกฝ่ายอยู่แล้ว “ทำไมคุณถึงออกมาอยู่ตรงนี้ล่ะคะ? เข้าไปด้านในเถอะนะ ตรงนี้มีแต่ทีมงาน เดี๋ยวถ้าโดนนักข่าวรุมถ่ายจะลำบากเอานะคะ!”เวินหนี่รู้ดีว่าพวกนักข่าวนั้นดุดันแค่ไหน การที่จางจื่อฉีออกมาแบบนี้อาจทำให้เธอเสี่ยงต่ออันตรายได้จางจื่อฉีไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร เธอมองไปยังพวกนักข่าวและช่างภาพที่กำล
เย่หนานโจวหัวเราะเย็นชา “เคยเห็นการยินยอมพร้อมใจแบบนี้ด้วยหรือไง?”ปลายสายถึงกับเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็ในเมื่อทุกคนเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ก็ควรจะรับผิดชอบตัวเอง ไม่ถึงกับถูกหลอกกันง่าย ๆ เขารู้สึกว่าเย่หนานโจวกังวลเกินไปแต่พอคิดอีกที คงเป็นเพราะความห่วงใยที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ จึงเข้าใจได้ว่าความกังวลของเย่หนานโจวก็มีเหตุผลอยู่เย่หนานโจวเปิดม่านหน้าต่างออก มองออกไปข้างนอก ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความกังวลใจ "เธอแทบไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนเลย ถ้ามีใครสักคนเข้ามาหว่านล้อมไม่กี่คำแล้วเธอดันหลงเชื่อขึ้นมาล่ะ? มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย"ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น เขาจะประมาทไม่ได้เลยแม้แต่น้อยหลังจากวางสาย เย่หนานโจวเดินกลับไปที่ห้องเปลี่ยนชุด เวินหนี่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยและเดินออกมาพอดี เห็นเขาเดินเข้ามาตรงเวลา เธอจึงหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมา “ฉันจัดการเองได้”เย่หนานโจวไม่คัดค้าน แต่จ้องมองเธอแล้วกล่าวว่า “ฉันต้องไปทำธุระสักพัก คราวหน้าค่อยมาใหม่แล้วกัน”“ค่ะ” เวินหนี่พูดขณะเป่าผม โดยไม่หันไปมองเขาเมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อย เวินหนี่เดินออกมาพร้อมกับเย่หนานโจว“หน
เย่หนานโจวมองเวินหนี่ด้วยสายตาที่จับจ้องไปยังเธอไม่วางตาโดนมองแบบนี้แล้ว เวินหนี่ก็เริ่มรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย “ว่ายน้ำเสร็จแล้วหรือยังคะ? ถ้าเสร็จแล้ว ช่วยปล่อยให้ฉันออกไปจะได้ไหม?”เย่หนานโจวสบตาเธอด้วยแววตาที่ลึกล้ำขึ้นทุกที “เธอไม่ได้โกหกฉันแน่นะ?”เวินหนี่ใจเต้นแรง รู้สึกเหมือนร่างกายถูกพันธนาการไว้ด้วยเส้นเชือกที่มองไม่เห็น เธอจึงเงยหน้าขึ้นจ้องตาเขากลับ “ฉันไม่ได้โกหก”เย่หนานโจวขมวดคิ้วเล็กน้อย ค่อย ๆ คลายมือที่จับเธอไว้ แล้วพูดเสียงต่ำ “เธอโกหกฉันมาแล้วครั้งหนึ่ง ฉันจะไม่ยอมให้เธอโกหกอีกเป็นครั้งที่สอง”เวินหนี่นิ่งเงียบ ตอนนี้ในสถานการณ์ระหว่างพวกเขา ไม่ว่ามันจะเป็นการโกหกหรือไม่ ก็แทบไม่มีความสำคัญอะไรอีกแล้ว การปกป้องตัวเองด้วยการโกหกก็เป็นเรื่องหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เย่หนานโจวไม่ทำให้เธอลำบากใจไปมากกว่านี้ เขาปล่อยให้เธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเปลี่ยนชุดที่เตรียมไว้ให้เวินหนี่เดินเข้าไปข้างในทันที แล้วเลขาหญิงก็ตามเข้ามาพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่ในมือ เป็นชุดกีฬาที่สวมใส่สบายและโปร่ง “คุณเวินคะ นี่เป็นชุดที่ท่านประธานเตรียมไว้ให้ค่ะ”เวินหนี่ทั้งตัวเปียกชุ่มไปหม