เรื่องนี้ทำให้เวินหนี่ตกใจไม่น้อยก่อนหน้านี้ไม่ว่าเธอจะบาดเจ็บสาหัสหรือป่วยหนักแค่ไหน เขาก็ไม่เคยสนใจเธอถึงขนาดนี้บางครั้งเขายังยุ่งกับงานจนละเลยความรู้สึกของเธอไปด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ในเวลาที่เธอไม่ต้องการให้เขาอยู่ด้วย เขากลับพยายามหาวิธีที่จะอยู่เคียงข้างเธอสิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกกังวลและอึดอัดเล็กน้อยเมื่อเย่หนานโจวเห็นว่ามีคนอื่นกำลังจะเข้าลิฟต์ เขาจึงพูดว่า “เข้าไปก่อนเถอะ มีอะไรก็ค่อยว่ากันทีหลัง”พวกเขายืนรออยู่หน้าลิฟต์สักพักหนึ่งแล้วในที่สุดเวินหนี่ก็ก้าวเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับเขามือของเธออยู่ในกระเป๋า กำแผ่นกระดาษใบนั้นไว้แน่น รู้สึกเหมือนมันร้อนจนแทบทนไม่ไหววันที่ไม่ควรเจอเขาเลยกลับเป็นวันที่เจอพอดีประธานเย่ยืนอยู่ในลิฟต์ สายตามองตรงไปข้างหน้า แต่ก็ยังคำนึงถึงความรู้สึกของเวินหนี่ “กินข้าวเช้าหรือยัง?”เวินหนี่ไม่ได้ตอบเพราะเธอกำลังจมอยู่ในความกังวล ใจคิดหาวิธีที่จะหนีจากเขาไปให้ได้เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบ เขาจึงหันมามองแล้วก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ราวกับมีเรื่องบางอย่างภายในใจ“เวินหนี่”เวินหนี่ตกใจจนสะดุ้งแล้วหันไปมองเย่หนานโจวด้วยความต
เวินหนี่รู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่ก็กล่าวทักทายอย่างสุภาพ “สวัสดีค่ะ”คุณปู่กู้แสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เพราะไม่เคยได้ยินข่าวเรื่องนี้มาก่อน แต่แล้วเขาก็หัวเราะอย่างยินดี “ดีจริง ๆ เธอนี่แน่จริง พ่อหนุ่มถึงขนาดแต่งงานแล้วเหรอเนี่ย แต่งเมื่อไหร่กันล่ะ? ทั้งเธอและปู่ของเธอเหมือนกันเปี๊ยบ เรื่องสำคัญขนาดนี้ยังไม่บอกฉัน ทำให้ฉันเพิ่งได้เจอหลานสะใภ้เอาเสียป่านนี้”คุณกู้กับคุณปู่เย่เคยเป็นเพื่อนร่วมรบกันสมัยหนุ่ม ๆพวกเขาเคยเป็นเพื่อนตายร่วมรบกันในสนามรบ ผ่านการต่อสู้ ฝ่าฟันและสร้างผลงานมากมายมาด้วยกันแต่ภายหลัง เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกเส้นทางในอนาคต พวกเขาก็เกิดความเห็นต่างคุณปู่กู้เลือกที่จะทำงานในภาครัฐ ขณะที่คุณปู่เย่หันไปทำธุรกิจ เส้นทางชีวิตจึงแยกออกจากกัน และพวกเขาก็เริ่มมีการติดต่อกันน้อยลงคุณปู่กู้มองสำรวจเวินหนี่ แล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เป็นเด็กสาวที่ดีทีเดียว หนานโจว เธอมีสายตาที่เฉียบแหลม เด็กคนนี้ดูเป็นคนอ่อนโยนนะ”ประธานเย่ตอบ “เราจัดงานแต่งงานอย่างเรียบง่าย ไม่ได้ปล่อยข่าวมากมาย และคุณปู่กู้เองก็อยู่ที่ชายแดนก็เลยไม่ได้แจ้งให้ทราบ เธอชอบความสงบ เราก็เลยใช้ชีว
ดูเหมือนพวกเขาจะไม่คาดคิดว่าจะเจอคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย แต่พวกเขาก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวทักทายว่า “คุณปู่กู้คะ หนูกับแม่มาเยี่ยมค่ะ”“คุณปู่กู้” แม่ของหวังอินกล่าวทักทายเวินหนี่เริ่มคิดถึงความสัมพันธ์นี้ เมื่อเห็นว่าเย่หนานโจวให้ความเคารพต่อผู้เฒ่าท่านนี้มาก และดูเหมือนว่าครอบครัวหวังก็รู้จักกันเป็นอย่างดี ราวกับมีความสนิทสนมกันอยู่บ้างคุณปู่กู้ยิ้มและพูดว่า “พวกเธอมากันหมดเลย”“คุณปู่ป่วย พวกเราก็ต้องมาเยี่ยมสิคะ”หวังอินจัดดอกไม้ใส่แจกันเรียบร้อย จากนั้นก็เดินไปกอดคุณปู่กู้ด้วยความสนิทสนม “แต่คุณปู่มีแขกอยู่ด้วยนี่คะ”คุณปู่กู้ตอบ “นี่คือหนานโจว หลานของเพื่อนร่วมรบของปู่ ก็เหมือนหลานของปู่เช่นกัน”หวังอินหันไปมองเย่หนานโจวด้วยความมั่นใจแล้วทักทายว่า “สวัสดีค่ะประธานเย่ เราเจอกันอีกแล้วนะคะ”คุณปู่กู้ถามว่า “หนูอยู่ต่างประเทศตลอดไม่ใช่เหรอ ไม่เคยได้ยินว่าเธอรู้จักกับหนานโจวด้วย”“ก็เมื่อสองสามวันที่แล้วค่ะ พ่อพาหนูไปพบกันแล้วเรายังทานข้าวด้วยกันกับประธานเย่ด้วยนะคะ” หวังอินไม่ปิดบังอะไร “คุณปู่กู้คะ พ่อยุ่งกับเรื่องงานที่โรงเรียน คงต้องรอถึงตอนเย็นถึงจะมาหาได้”“ไ
หวังอิงไม่ได้เรียกเขาอย่างสุภาพว่า “ประธานเย่” แต่กลับเรียกชื่อของเขาแทนเธอยืนขวางหน้า กีดขวางเส้นทางของคนทั้งสองเอาไว้ เย่หนานโจวเห็นอย่างนั้นจึงถามด้วยสีหน้าเย็นชา “คุณหวังมีธุระอะไร?”หวังอิงมองเขาด้วยความหยิ่งทะนงในตัวเอง เธอยังไม่ค่อยเชื่อ “ที่คุณพูดเมื่อกี้เป็นความจริงเหรอ คะ? คุณแต่งงานแล้วจริง ๆ เหรอ?”เธอไม่เคยได้ยินข่าวว่าเขาแต่งงานมาก่อนหวังอิงเริ่มสงสัยว่าเขาอาจพูดเพื่อเลี่ยงอะไรบางอย่าง จึงถามต่อเย่หนานโจวตอบด้วยสีหน้าเย็นชา “มีความจำเป็นต้องโกหกด้วยเหรอ?”“ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย คนอื่นก็ไม่รู้ว่าภรรยาของคุณเป็นใคร ฉันสงสัยว่าคุณอาจจะกำลังหาข้ออ้าง”“มันไม่เกี่ยวกับคุณ”ยิ่งเขาเย็นชา หวังอิงก็ยิ่งสนใจเขามากขึ้น เหมือนกับการมองเหยื่อที่เธออยากจะพิชิตหวังอิงชอบคนที่เธอไม่สามารถได้มาง่าย ๆเธอแย้มยิ้มเล็กน้อย ท่าทางและการกระทำดูทั้งกล้าหาญและไม่เกรงกลัว ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้เขาแล้วพูดว่า “แต่งงานแล้วก็ยังหย่าได้ ฉันไม่สนใจหรอกว่าคุณจะมีภรรยาหรือไม่มี”เวินหนี่ฟังแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีเย่หนานโจวไม่ชอบคนที่คิดเองเออเองและยังดื้อดึง ซึ่งหวังอิงมีครบทั้งสองอ
เขาเอาใจใส่ถึงขนาดสังเกตได้ว่าเธอปวดท้องเวลามีประจำเดือนนี่เป็นสิ่งที่เวินหนี่ไม่คาดคิดมาก่อนก่อนหน้านี้เธอคิดว่าถ้าอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต เขาอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอชอบอะไรหรือร่างกายมีปัญหาอะไรเธอเคยคิดว่าถ้าเธอป่วยหนักจนเสียชีวิต เขาก็อาจจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้แต่ตอนนี้ เวลาผ่านไปนานเข้า เขาก็ยังจำเรื่องเหล่านี้ได้แม้จะไม่อยากจดจำก็ตามเวินหนี่เป่าน้ำขิงให้เย็นลงก่อนจะดื่มรวดเดียวหมด“พักผ่อนให้เต็มที่นะ” เย่หนานโจวพูดพลางจัดผ้าห่มให้เธออย่างใส่ใจเวินหนี่จ้องมองเขาแล้วถามว่า “เดี๋ยวคุณจะไปไหนหรือเปล่า?”“อยู่บ้าน ไม่ไปไหนทั้งนั้น” เย่หนานโจวตอบเธออดคิดไม่ได้ว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมาเขาไม่อยู่บ้าน แล้ววันนี้เขาจะไปไหนอีกหรือเปล่า มีหญิงสาวมากมายรอบตัวเขา ก็คงต้องมีสักที่ที่เขาสามารถไปพักพิงได้ชายหนุ่มสังเกตเห็นความเศร้าบนใบหน้าของอีกฝ่าย เขาจึงล้มตัวลงนอนข้าง ๆ และเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกัน ก่อนจะวางมือบนหน้าท้องแบน “ยังปวดอยู่ไหม?”เวินหนี่ตัวแข็งทื่อและจ้องมองเย่หนานโจวนิ่ง “ทำไมคุณถึงมานอนด้วยล่ะ?”"อยู่เป็นเพื่อนเธอพักหนึ่ง" เย่หนานโจวพูด พร้อมกับลูบที่หน้าท้องของเธอไป
เติ้งจวนยังคงกังวลเกี่ยวกับอาการของเวินจ้าว แล้วยังมาได้ยินคนอื่นพูดวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้อีก เธอจึงพูดอย่างไม่พอใจ “จางลี่หง เธอจะพูดว่าอะไรเวินจ้าวก็ได้ แต่เธอไม่มีสิทธิ์มาพูดว่าเขาไม่สนใจดูแลเวินเซี่ยน ! หลายปีที่ผ่านมา มีตอนไหนบ้างที่เขาไม่สนใจเวินเซี่ยน? มีตอนไหนบ้างที่เขาไม่ต้องมาคอยตามล้างตามเช็ดให้? แต่พวกเธอจะมาขอความช่วยเหลือกับเขาตลอดแล้วให้เขาช่วยแก้ปัญหาทุกครั้งไม่ได้ มันเป็นปัญหาของบ้านพวกเธอไม่ใช่เหรอ?”จางลี่หงกล่าว “ตอนนี้ฉันหมดหนทางแล้ว ถ้าฉันคิดหาทางได้แล้วจะมาหาพี่ใหญ่กับพี่ทำไมกัน”เธอพูดพลางเริ่มร้องไห้“แม่คะ อย่าร้องไห้เลย มันจะต้องมีทางออกแน่ค่ะ” ลูกสาวของเธอปลอบเติ้งจวนยังไม่ทันได้ร้องไห้ แต่เธอกลับร้องก่อนเสียแล้ว สิ่งนี้ทำให้เติ้งจวนทนไม่ไหว หลายปีที่ผ่านมาครอบครัวของพวกเธอถูกทำให้ลำบากไปกับภาระของครอบครัวที่จางลี่หงโยนมาให้หลายครั้ง พอมีปัญหาก็มาหาที่บ้านเสมอ แต่พอมีเรื่องดี ๆ กลับไม่เคยนึกถึง เห็นแก่ที่เป็นญาติกันเธอจึงไม่ได้พูดอะไรมากแม้ว่าเติ้งจวนจะแอบขุ่นเคืองอยู่ในใจ แต่เธอก็ไม่ได้พูดออกมา เพราะเธอรู้ดีว่าเวินจ้าวให้ความสำคัญกับความสัมพันธุ์ เข
“จางลี่หงเธอพูดอะไรระวังปากด้วย ฉันไปพูด ‘กรอกหู’ เขาตอนไหน? พี่ใหญ่ของพวกเธอถูกพวกเธอทำร้ายจนถึงขนาดนี้ พวกเธอยังต้องการอะไรอีก?” เติ้งจวนทนกับนิสัยของจางลี่หงไม่ไหวแล้ว“ก็ได้ งั้นฉันก็จะพูดตรง ๆ เลยก็แล้วกัน” จางลี่หงพูดต่อ “พวกพี่แก้ปัญหาหนี้ 50 ล้านได้ยังไง? ครั้งที่แล้วพวกพี่ก็บอกว่าไม่มีเงิน ให้คิดหาทางออกร่วมกัน ตอนนั้นเวินเซี่ยนพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาเงินมาจนเกือบจะขายไตไปแล้ว แต่สุดท้ายทุกอย่างก็คลี่คลายใช่ไหม? พวกพี่ยังบอกอีกว่าใช้หนี้ 50 ล้านเรียบร้อยแล้วและบอกให้พวกเราไม่ต้องเป็นกังวล”พวกเขาใช้หนี้ 50 ล้านอย่างราบรื่น แม้จะไม่เคยพูดอะไรเรื่องนี้แต่เธอก็สงสัยมานานแล้วจางลี่หงคิดว่าครอบครัวพี่ชายยังมีเงินอยู่“พี่ใหญ่ พี่ไปเอาเงินมากมายมาจากไหน? เงินของพ่อแม่อยู่ที่พี่หมดเลยใช่ไหม? พี่ฮุบเงินคนเดียวทั้งหมดสินะ?” จางลี่หงถามอย่างตรงไปตรงมานี่เป็นเรื่องที่คาใจเธอมาโดยตลอดจางลี่หงเชื่อว่าครอบครัวของพวกเขาเอาเงินของพ่อแม่ไปโดยไม่บอกกับพวกเธอ และนี่ต้องไม่ใช่แค่เงินจำนวนที่แบ่งเท่า ๆ กันอย่างแน่นอนคำพูดเหล่านี้ทำให้เวินจ้าวถึงกับไอด้วยความโกรธ เขาชี้ไปที่จางลี่หงแล้วพ
เวินหนี่ถามขึ้นว่า “เธอจบจากมหาวิทยาลัยไหน?”เวินซู่ตอบ “มหาวิทยาลัยระดับหนึ่งค่ะค่ะ”“บริษัทของเรารับเฉพาะผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยระดับหัวกระทิเท่านั้น ระดับหนึ่งยังห่างไกลอีกมาก” เวินหนี่ปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเวินซู่มีสีหน้าน่าเกลียดเล็กน้อย แต่เธอก็ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “แค่มีพี่อยู่ก็พอไม่ใช่เหรอคะ? มีพี่อยู่ จะจบจากมหาวิทยาลัยไหนก็ไม่สำคัญ”เวินหนี่กล่าวอย่างเย็นชา “บริษัทที่ดีล้วนแล้วแต่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ถ้าใช้เส้นสายรับพนักงาน ไม่นานบริษัทก็คงล้ม เธอคิดว่าตัวเองจะมีหวังได้เข้าอยู่อีกไหม?”หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์หลายครั้งติดต่อกันเวินซู่ก็ไม่พอใจ “พี่คะ พี่แค่ไม่อยากช่วยฉันมากกว่าถึงได้พูดแบบนั้น”“รู้ก็ดีแล้ว หากเอาแต่พึ่งพาคนอื่น พอไม่มีคนคอยช่วยเหลือแม้แต่กับขอทานเธอก็คงเทียบไม่ได้” เวินหนี่พูดจิกกัดอย่างแรง“พี่ไม่ช่วยแล้วยังมาด่าฉันอีก! แม่คะ ได้ยินที่เธอพูดไหม?” เวินซู่ทนคำสบประมาทของเธอไม่ไหว เธอโกรธจนดวงตาแดงก่ำจางลี่หงทนเห็นลูกสาวโดนรังแกไม่ได้ จึงดุขึ้นว่า “เวินหนี่ ทำไมเธอถึงพูดกับน้องสาวแบบนั้น? ยังไงนี่ก็เป็นน้องสาวของเธอ ควรจะให้หน้ากันบ้างนี่ไม่เห็นแก่ห