ฟางหลันย่อกายลงอีกครั้ง“ฝ่าบาท ฟางหลันไม่ได้ กระทำเรื่องชั่วช้าเพียงนั้น ฝ่าบาทจะมองฟางหลันในแง่ร้ายเกินไปแล้ว”“มีเพียงเจ้าที่คิดทำเรื่องเช่นนั้นหากไม่ใช่เจ้าก็จะต้องเป็นบิดาเจ้า”เสียงเข้มดุดันต่างจากอินจิ๋นคนเดิม“ท่านพ่อซื่อตรงภักดีจะทำเรื่องที่ ผิดต่อฝ่าบาทได้อย่างไร”“เลิกโป้ปดได้แล้วบอกมา อันอันนางอยู่ไหน”“ องค์หญิงใหญ่ชิงซี มีสิ่งของติดตัวกลับไปแคว้นฉีมากมาย ฝ่าบาท ไม่ยอมให้ใครตรวจสอบขบวนเสด็จขององค์หญิงใหญ่องค์หญิงขุ่นเคืองเรื่องที่ฝ่าบาทแต่งตั้งฮองเฮายิ่งกว่าผู้ใดเกรงว่า จะเป็นองค์หญิงที่ทำเรื่องเช่นนี้ฝ่าบาทมา กล่าวโทษฟางหลันและท่านพ่อไม่ รังแกกันไปหน่อยหรือ”“ข้าไม่ไว้ใจเจ้า บิดาเจ้าแม้จะภักดีแต่เจ้าฟางหลันเจ้าคิดว่าข้าปิดหูปิดตาหรือไรเรื่องของเจ้าคิดว่าข้าไม่เคยสืบสาวราวเรื่องมาก่อนหรือไร”ฟางหลันยิ้มหยัน“ฝ่าบาทใช้เวลากับข้าที่นี่มาคอยคาดคั้นข้าที่นี่ป่านนี้องค์หญิงใหญ่มิสังหาร นายหญิงอันอันไปแล้วหรือไร”อินจิ๋นตาลุกวาวตวัดกระบี่ ลงบนลำคอขาว สะบัดมือตัดเกล้าผมยาวสลวยของฟางหลันจนขาดสะบั้น“ข้าไม่มีทางรามือหากว่าเป็นเจ้า”ฟางหลันถลาเข้ากอดรวบเอวหนา“ฝ่าบาทฟางหลัน มีใจให้
“เห็นไหมข้าน้อยบอกแล้วองค์หญิงคิดเช่นนี้ได้ใจจึงเป็นสุข ใบหน้างดงามขึ้นมาในทันที”จงเจี้ยนชมเสียตรงๆ อันอันอดขำกับท่าทีซื่อๆ ของขุนพลจงเจี้ยนเสียไม่ได้ ชิงซีค้อนประหลับประเหลือก“อันอันขอบพระทัยองค์หญิงที่เข้าใจ แต่แคว้นฉีและบิดาขององค์หญิงเล่า”“จริงด้วยข้าลืมไปเสียสนิท เช่นนั้นข้าควรรีบเดินทางกลับแคว้นฉีเพื่อห้ามปรามกองทัพของแคว้นฉีที่กำลังจะยกเข้ามาประชิดชายแดนแคว้นหาน”"องค์หญิงอันอันไปด้วยเพื่อแสดงความจริงใจ ในครั้งนี้ถือเสียว่าอันอันเดินทางมาส่งองคืหญิงด้วยตัวเอง บางที่การกระทำอาจใช้ได้ดีกว่าคำพูดอันอันอยากแสดงความจริงใจ”“แต่ อีกไม่ถึงเดือนเจ้าก็จะต้องรับตำแหน่งฮองเฮาแล้วฤกษ์ดีไม่อาจเปลี่ยนแปลง อันอันเจ้าไม่กลัวว่าจะไม่ทันกลับไปรับตำแหน่งฮองเฮาหรือไร”“เรื่องความสงบสุขและความสัมพันธ์สองแคว้นก็สำคัญไม่น้อยหากอันอันแต่งกับฝ่าบาทแล้วก่อให้เกิดสงครามอันอันก็คงไม่อาจมีความสุขบนตำแหน่งฮองเฮา“ข้าคิดไม่ออกว่าฝ่าบาทจะต้องทรมานแค่ไหนกันเมื่อพบว่าเจ้าหายไป”“นายหญิงในเมื่อท่านคิดได้เช่นนี้เช่นนั้นจงเจี้ยนจะส่งม้าเร็วบอกเล่าเรื่องราวของนายหญิงกับฝ่าบาท และจะรีบพานายหญิงเดินทางวกกลับไปยังด่
“ท่านขุนพล แม่นางจิ้งเล่า”ชิงซีอดห่วงอันอันไม่ได้“สองคนยิ่งทำให้ห่วงหน้าพะวงหลังข้าพาองค์หญิงไปยังที่ปลอดภัยแล้วกลับมาช่วยนายหญิงอันอันอีกที”“แต่ตอนนี้กำลังจะพลบค่ำ อันอันจะปลอดภัยหรือไม่”“กองทหารของข้าล้วนมีฝีมือห่วงแต่ว่าพวกท่านทั้งสองอยู่ล่อตาตาล่อใจที่นั่นเกรงว่าจะยิ่งคุ้มกันยากพาท่านออกมาเสียอย่างไรเหล่าทหารก็ไม่มีทางปล่อยให้นายหญิงอันอันได้รับอันตราย”“แล้วเราสองคนจะไปไหนนี่ก็มาไกลแล้ว”“ไม่ต้องห่วงเส้นทางสายนี้แม้ข้าจะไม่เคยสัญจรแต่ก็เคยดูแผนที่มาบ้างคงพอจะ พาองค์หญิงไปยังจุดนัดพบที่เตรียมไว้กับนายกองของข้า”กระตุกบังเหียนม้าให้หยุดลงใต้ร่มไม้หนาที่หากไม่สังเกตดีดี จะมองไม่เห็นมองเห็นปากถ้ำ“ถึงแล้วองค์หญิงจะต้องรออยู่ที่นั่นข้ากับไปช่วยนายหญิงอันอันแล้วจะกลับมาหาท่านพร้อมกับขบวนของเรา”ชิงซีสีหน้าตื่นกลัว กอดแขนจงเจี้ยนไว้แน่น“ท่านไม่ต้องไปได้ไหม”“เมื่อครู่ข้ายังเห็นว่าท่านห่วงใยนายหญิงอันอันมาคราวนี้”“อันอันนางเข้มแข็งกว่าข้า นางคงไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นอันตรายแล้วอีกอย่างนายกองของท่านและทหารนับร้อยคงไม่ปล่อยให้อันอันพบกับอันตรายแต่ข้าสิท่านเห็นไหมข้าต้องอยู่ที่นี่เพียงล
เพียงกลั้นหายใจ ทุกอย่างก็เป็นไปตามครรลองของมันชิงซียิ้มเมื่อจงเจียนพลิกร่างใหญ่ขึ้นทาบทับ เอวหนาขยับขึ้นลงรัวเร็ว เสียงครางเบาๆ เล็ดลอดออกมาแค่พองามตามจังหวะขยับกาย ทั้งๆ ที่อยากจะเปล่งเสียงร้องมากกว่านั้น แต่เกรงว่าจะไม่งาม มืออุ่นของจงเจี้ยนจับเอวบางให้พลิกขึ้นด้านบนปล่อยให้ชิงซีควบม้าเสียอย่างที่ตั้งใจ สวรรค์ลอยเด่นตรงหน้าคนทั้งคู่ แม้จะผิดที่ผิดทาง แต่ทว่าจงเจี้ยนผู้ไม่เคยผ่านหญิงใดมีหรือจะระงับใจได้ ชิงซีผู้ซึ่งในทุกวันนั่งเฝ้าตำรากามสูตรด้วยอายุที่เพิ่มขึ้นในทุกวัน หมายจะมัดใจบุรุษในการร่วมหอในครั้งแรก จึงกลายเป็นว่าการรอคอยของทั้งสองสิ้นสุดลงในทันทีเมื่อร่างสองร่าง ขย่มเขย่าจนฉุดดึงกันขึ้นสวรรค์ที่ตั้งตารอมานานแสนนาน“อ่าาาาา องค์หญิงจงเจี้ยนไม่อาจขาดท่านได้อีกแล้ว”น้ำเสียงแหบพร่า ชิงซีกดริมฝีปากกับปากอุ่นแทนคำตอบฟุบหน้าลงบนอกอวบ ที่อยากจะขย้ำขยี้เสียอีกที“ท่านขุนพลลลลล”“ท่านขุนพล”เสียงเรียกดังมาจากแมกไม้หนาทึบดังแว่วเข้ามาภายในถ้ำ ชิงซีรวบอาภรณ์ขึ้นสวมใส่ จงเจี้ยนตวัดสายรัดเอวรัดเอวกิ่วให้กับชิงซีอย่างรู้งาน ส่วนเขาสะบัดเสื้อขึ้นสวมใส่อย่างเร่งรีบขบวนทัพที่ตามมาถึงที่ ไม
องครักษ์เกราะทอง กระตุกบังเหียนม้าให้หยุดการเดินทางเร่งวันเร่งคืนจนไม่ได้พัก แม้จะเหนื่อยเพียงใดก็เข้าใจดีว่า อินจิ๋นห่วงใยว่าที่ฮองเฮายิ่งกว่าสิ่งใด“ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมจงเจี้ยนจึงเดินทางไปในเส้นทางเดียวกันกับองค์หญิงใหญ่”“ฝ่าบาทเป็นไปได้มาก ว่าท่านขุนพบจงใจอารักขาองค์หญิงใหญ่ ด้วยเส้นทางไปยังด่านปงเปียงต้องผ่านหุบเขาคนโฉดที่มีโจรดักปล้นคนเดินทางชุกชุม”“จงเจี้ยนคิดแทนข้าเพียงนั้น เชียวหรือ”“ฝ่าบาทเมื่อพบทั้งสองจึงจะกระจ่างแจ้ง”อินจิ่นถอนหายใจ ในตอนนี้คิดถึงอันอัน ที่สุดป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างกลัวเหลือเกินว่าจะต้องพบกับความลำบากและอาจถูกผู้ใดทำร้ายหากผ่านไปยังหุบเขาคนโฉดเกรงว่าจะพบเจอโจรป่าอันอันจะปลอดภัยหรือไม่ชิงซีขยับกายซุกหน้าลงบนอกกว้างของจงเจี้ยน ในกระโจมกว้าง“องค์หญิงเราสองคน ทำแบบนี้คนอื่นจะรู้กันหมดว่าเรา เรา…”ชิงซีหน้าเง้า“คิดว่าเขาไม่รู้กันหรือไรท่านไปออกตัวเพียงนั้น”“ข้าอยากให้คนเขารู้กันหมดว่าข้ารักเจ้า รักหมดใจชีวิตนี้ไม่อาจอยู่ได้ถ้าไม่มีเจ้า แต่ชิงซี ข้าอยากทำทุกอย่างให้ถูกต้อง เพียงแค่ได้เผยความในใจ และเอ่ยปากสู่ขอเจ้าต่อหน้าฝ่าบาทแคว้นฉีเสียก่อน”ชิงซีอมยิ้
อันอันตกใจไม่น้อยที่จู่ๆ ชิงซีก็มีน้ำตาบนเกี้ยวที่นั่งมาด้วยกัน“ความจริงข้าพยายามจะไม่คิดเป็นอื่นใด แต่อันอันเจ้าเห็นไหม หลายวันมานี้ท่านขุนพลเฉยชากับข้ายิ่งนัก”ยังปาดน้ำตา“อันอัน จะลองถามท่านขุนพลดูด้วยความเป็นท่านขุนพลซื่อๆ เพียงนั้นคงไม่กล้า โป้ปดว่าทำไมถึงกล้าเฉยชากับองค์หญิง”อันอันรับปากมั่นเหมาะชิงซี ยิ้มน้อยๆ“ข้าไม่ได้ห่วงเรื่องอื่นห่วงแต่ ท่านขุนพลใจไม่สู้เรื่องที่จะสู่ขอข้าต่อหน้าเสด็จพ่อ เสด็จพ่อนับว่าเป็นฮ่องเต้ที่ ห้าวหาญดุดันคนหนึ่งทีเดียว”“อันอัน สัญญาว่าจะช่วยพูดเรื่องนี้กับฝ่าบาทเชื่อว่าหากฝ่าบาทรักและปรารถนาดีต่อองค์หญิงฝ่าบาทจะต้องมองเห็นความจริงใจในตัวท่านขุนพล"ชิงซียิ้มเสียงฝีเท้าม้าควบตะบึงมาด้วยความเร็ว จงเจี้ยนและเหล่าทหารรอบเกี้ยวของอันอันและชิงซีไว้"หยุดดดดด"อินจิ๋นกระตุกบังเหียนม้า ให้หยุดกระโดดลงมายืนหน้าเกี้ยว"ขุนพล หลงจงเจี้ยนถวายพระพรฝ่าบาท"อันอันเปิดม่านแล้วกระโดดลงจากเกี้ยววิ่งเข้าไปกอดอินจิ๋นด้วยความถวิลหาอย่างที่สุดอินจิ๋นกอดรวบร่างบางแนบกายไม่ปล่อยกดริมฝีปากลงบนหน้าผาก“คิดถึงเจ้ายิ่งนัก”อันอันปาดน้ำตา“ฝ่าบาทมาช้า”“ข้าผิดเองที่มัวแต่ยุ่
“จงเจี้ยนอยากแน่ใจว่าฝ่าบาทจะเป็นธุระสู่ขอองค์หญิงให้กับจงเจี้ยน”อินจิ๋นถอนหายใจมาเป็นก้างขวางคอทั้งๆ ที่เขากำลังจะตักตวงความหอมหวานที่ไม่พบเจอมาหลายวัน“ข้ารับปาก”จงเจี้ยนประสานมือวิ่งหายลับกลับไปบอกข่าวดีกับชิงซีขบวนเสด็จของอินจิ๋น มุ่งหน้ายังวังหลวงแคว้นฉีอันอันเปิดม่านออกเพื่อชื่นชม ร้านรวงและความเป็นอยู่ของชาวแคว้นฉี ชิงซีชี้ชวนให้ดูข้างของที่ขายเกลื่อนกลาด บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างทาง รูปร่างสูงโปร่งใบหน้าคมคาย ละม้ายใบหน้าของชิงซี สายตาคมจับจ้องใบหน้าผ่องใสของอันอันไม่วางตา กระตุกยิ้มที่ริมฝีปาก“นางสวรรค์หรือไร เจ้าเห็นไหมนางคงเป็น องค์หญิงหรือพระญาติของฮ่องเต้แคว้นหานเป็นแน่”สายตายังจับจ้องอันอันไม่วางตา“ไหนคนของเราบอกว่าอินจิ๋นก็เดินทางมาด้วย”“ไท่จือ เบื้องหน้านั่นขุนพลจงเจี้ยน ถัดมาเป็นอินจิ๋นฮ่องเต้ที่แม้จะแต่งกายอำพรางทว่าใบหน้าหล่อเหลาอีกทั้งบารมีเปล่งปลั่ง ไม่เหมือนทหารนายกองหรือองครักษ์”“เจ้าแน่ใจหรือ”“ไท่จือข้างๆ อินจิ่นนั่น เป็นองครักษ์เกราะทองที่แม้จะเพียงพาม้าเดินเคียงข้างแต่พร้อมจะอารักขาสุดกำลัง”ชิงกวานยิ้มหยัน“จะฆ่าอินจิ๋นฮ่องเต้ก่อน หรือว่าชิงตัว
“แต่ฝ่าบาทจงเจี้ยนกังวลเรื่องความปลอดภัย”“ชิงซีไม่ปล่อยให้มีการเข้าใจผิด ไม่มีใครต้องไปไหนทั้งนั้น เราจะเข้าไปพร้อมกันหากครั้งนี้เกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทแคว้นหานข้าคงไม่ให้อภัยตัวเองแล้วยังจะมีหน้าไปพูดกับอันอันว่าอย่างไร”เขต วังหลวงแคว้นฉีที่ยิ่งใหญ่งดงามไม่แพ้แคว้นหาน“หยุดดดด”ทหารยามใช้ทวนในมือกางกั้นไว้ ชิงซีก้าวลงจากเกี้ยวตรงหน้าประตูวังหลวง“ถวายพระพรองค์หญิงใหญ่”“รู้ก็ดีแล้วนี่คือกองกำลังจากแคว้นหานที่อารักขาข้ามาถึงนี่ พวกเจ้ากล้าขวางอันคันตุกะที่ดี เชียวหรือ”ทหารยาม ยกมือขึ้นตรงหน้า“ข้าน้อยผิดไปแล้วเชิญองค์หญิง และแขกเมืองด้านใน”ชิงซี เดินนำคนทั้งหมดเข้าไปยัง วังหลวงแคว้นฉีที่ยอ่งใหญ่ ไม่แพ้แคว้นหานท้องพระโรงบนบัลลังก์สูง ฮ่องเต้แคว้นฉีวัยกลางคนนามชิงไฉ่ในอาภรณ์เสื้อคลุมมังกรเลื้อมลายทอง นั่งสง่าอยู่ด้านบน สนมและนางกำนัลอีกทั้งขันทีรายล้อม“อินจิ๋นฮ่องเต้ ถวายพระพรฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี”ชิงไฉ่เลิกคิ้วสูงมองไปยังอินจิ๋นด้วยความชื่นชม“ฝ่าบาท มาถึงนี่เชียวรึ”“ข้าน้อย ตั้งใจมาทูลเชิญเสด็จด้วยตัวเองในงาน สถาปนาตำแหน่งฮองเฮาของแคว้นหาน อีกทั้งยังได้นำคนอารักขาองค์หญิงใหญ่ม
“ร้ายก็รักรักที่สุด ร้ายเพราะเจ้ารักข้า ทำเพื่อข้าจะไม่รักได้อย่างไรในเมื่อใจข้ามีเพียงเจ้าคนเดียว ถึงเจ้าไม่ทำแบบนี้ข้าก้จะรักเจ้าคนเดียวทำเพื่อเจ้าคนเดียวแต่เมื่อรู้ว่าเจ้าทำเพื่อข้่าเพียงนี้ จะไม่ให้รักได้อย่างไร”โน้มตัวลงกดริมฝีปากกับปากอวบอิ่มเนิ่นนาน อันอันยิ้มสุขสมจะไม่ว่าอย่างไรสำหรับอินจิ๋นก็คือฝ่าบาทของอันอันคนเดียวเช่นกัน ที่ทำไปก็เพื่อสิ่งนี้เพื่อให้ได้ครองใจฝ่าบาทเพียงผู้เดียว “เข้าไปข้างในกันหรือยังข้าอยากได้กลิ่นเซียงเฉ่าอีกครั้ง คราวนี้ ยันเย้นยันเช้าไปเลยดีไหม”อันอันยิ้มหวาน อินจิ๋นอุ้มร่างอวบพาเดินเข้าไปในห้องบรรทม เข้าประตูไปตั้งใจจะลงกลอน “อ๋อ เสี่ยวจื้อบอกอาจารย์ไม่ต้องมาคอยแอบดู แอบฟังข้าหรอกข้าใช้ผ้าหนาบุห้องอีกทั้งยังใช้แผ่นไม่สนบุห้องกันเสียงเล็ดลอด ตามที่อาจารย์สอนมาเรียบร้อยแล้ว”ตะโกนสั่งเสี่ยวจื้อที่ปิดปากหาวตาปรือ อันอันหัวเราะคิกคัก อินจิ๋นอุ้มร่างอวบเดินเข้าไที่แท่นนนอนกลิ่นกำยานที่เป็นกลิ่นเซียงเฉ่าหอมตลบอบอวลไปทมั่ว อันอันถอนหายใจสุดดมกลิ่นแห่งความสุขกลิ่นแห่งความทรงจำแห่งความสุข ต่อไปเมื่อได้กลิ่นนี้ครั้งใดก็จะมีแต่ความสุข อินจิ่น ปลดอาภรณ์ของอ
“ก็ ห้องหออยู่ทางด้านขวา แต่นี่มันห้องทางด้านซ้าย”ชี้มือไปยังอินจิ่นที่พยุงอันอันเดินออกมาหน้าตำหนักจากห้องทางขวาให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่สนามหญ้ารับเครื่องเสวยยามสาย“ค่อยๆเดิน ระวังหน่อยอันอัน ให้ข้าช่วย”เลื่อนแท่นนั่งให้อันอันแล้วพยุงอันอันลงนั่งบนแท่นนั่งอย่างอ่อนโยน“เป็นท่านขุนพลที่ชวนข้ามาทางซ้าย”เสืี่ยวจื้อยังบ่นพึมพัม“เฮ้อ บุญมีแต่กรรมบังมาถึงนี่แต่กลับมาผิดห้องผิดฝั่ง”“อ้าว อาจารย์กับเสี่ยวจื้อสองคนมาเสียพร้อมกันอาอาจาย์ลมอะไรหอบท่านมาถึงนี่”อินจิ๋นเอ่ยทักด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ ผิดกับอันอันที่ก้มหน้าด้วยความเขินอาย“ข้ามาเดินสุดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า”จงเจี้ยน รีบแก้ตัว“แต่นี่มันสายแล้ว”เสี่ยวจื้อก้มหน้านิ่ง“ขะข้าแวะมาหาเสี่ยวจื้อ”อินจิ๋นเลิกคิ้วสูง จงเจี้ยนอยบากจะถามเรื่องที่เมื่อคืนที่ผ่านมาใจแทบขาดแต่เกรงใจอันอันยิ่งนัก“เมื่อคืน ฝ่าบาทกับฮองเอาหลหับสบายไหม”อ้อมค้อมก็เป็นอันอันหันสบตาอินจิ่นอายๆ“หลับสบายยิ่งอากาศหนาวนอนสองคนกำลังดี”เสี่ยวจื้อปิดปากหาวบ้าง“ข้ากับท่านขุนพลไม่ได้นอนทั้งคืน”บ่นเบาๆ“เสี่ยวจื้อเจ้าว่าอย่างไรนะ”“ปะปะเปล่าเสี่ยวจื้อมากับข้า”จงเจี้ยนดึงเสื่ยว
ร่างอวบอิ่มที่สวมอาภรณ์ปิดมิดไปถึงคอเสื้อ ผ้าคลุมสีแดงปิดบังใบหน้างดงามริมฝีปากอวบอิ่มแต้มชาดสีแดงสดกัดริมฝีปากเบาๆอย่างใช้ความคิดป่านี้ อินจิ๋นยังำม่ข้ามาทั้งๆที่อันอันนั่งรอตั้งแต่ฟ้ามืด“เสี่ยวจื้อเอามาให้หมด เอาทุกอย่างมารวมกันแล้วก็กินเสียทีเดียวพร้อมกันให้หมด”ฮึกเหิมยิ่งนัก“ฝะฝะฝ่าบาทแต่ ของพวกนี้เป็นยาบำรุงกำหนัดอย่างดีทั้งนั้น เกรงว่าหากกินเข้าไปเพียงนี้ฝ่าบาทจะเอาไม่ลงนะพ่ะย่ะค่ะ เสี่ยวจื้อกลัวว่าจะเกิดปัญหาตามมา” ยื้อสารพัดสารพัน ยาปลุกกำหนัดไว้ในมืออินจิ๋นถอนหายใจ“เสี่ยวจื้อข้าเป็นฮ่องเต้หรือเจ้าเป็นฮ่องเต้”“ฝ่าบาทไม่ได้ พ่ะย่ะค่ะเสี่ยวจื้อหวังที่สุดแล้ว”ล้มลงไปทับยาปลุกกำหนัดไว้ อาศัยร่างกายหนักอึ้งทับไว้“ก็ได้ ข้ากินเท่านี้”วางห่อยาลงบนโต๊ะ เสี่ยวจื้อวิ่งปู๊ดมามาคว้าห่อยา แล้ววิ่งแน่บออกจากห้องไปทิ้ง ห่อยาไว้ให้เพียงหนึ่งห่อ“เสี่ยวจื้อ กลับมานะมานี่เลยนะเสี่ยวจื้อ”“ฝ่าบาท ฮองเฮาทรง ทรง…ทรงให้ข้าน้อยมาทูลว่าหากฝ่าบาทยังไม่ไปที่ตำหนักชิงหนิงกงในตอนนี้ ฮองเอาบอกว่าจะปิดประตูเสียไม่ให้ฝ่าบาทเข้าไป”พูดรัวเร็วก่อนจะก้มหน้าด้วยความกลัวว่าอินจิ่นจะโมโห อินจิ๋นลุกพลวดวิ่ง
“จงเจี้ยน” อินจิ๋นเดินเอามือไพล่หลังเมื่อจงเจี้ยนอยู่เพียงลำพัง“จงเจี้ยนถวายพระพรฝ่าบาท”ประสานมือตรงหน้าด้วยรอยยิ้มใบหน้าอิ่มเอิบ อีกทั้งแววตายังเปล่งประกาย“ข้ามีเรื่องสำคัญ”“ฝ่าบาทหากเป็นเรื่องของฟางหลัน ข้าน้อยพิจารณาแล้วว่าควร ให้นางออกบวชสำนึกผิดบำเพ็ญตนเป็นเวลาสามเดือน ฝ่าบาทเห็นสมควรประการใดหรือคิดว่าโทษที่นางได้รับน้องไปหรือไม่”“แล้วแต่ท่านท่านขุนพล”“ฝ่าบาทวัดที่นางจะเดินทางไปบำเพ็ญเพียรสำนึกตน อยู่ห่างจากวังหลวงเกือบพันลี้ ฝ่าบาทคิดว่าใกล้ไกลเพียงใด”“แล้วแต่ท่านขุนพล”“นายหญิง อันอันขอร้องแทนนางให้นางบำเพ็ญเพียรที่วัด ตำหนักฟ้าไม่ไกลจากวังหลวงแต่ข้าน้อยอยากให้นางสำนึกผิดจนจริงจังเป็นข้าดูแลบุตรีไม่ได้จึงทำให้นายหญิงอันอันต้องพลอย ลำบากไปด้วยฝ่าบาทเห็นว่าควรไม่ควรอย่างไร”“แล้วแต่ท่านขุนพล”“ข้าน้อยเมื่อเสร็จงานสถานปนา ฮองเฮาก็จะเดินทางกลับไปที่ด่านชายแดนตามที่ประสงค์ไว้ในแต่แรก ตั้งใจปกป้องด่านชายแดนแคว้นหานเช่นเดิม”“แล้วแต่ท่านขุนพล”“ฝ่าบาท ฝ่าบาทจะเอาแต่พูดว่า แล้วแต่ข้าไม่ได้ในใจฝ่าบาทคิดเช่นไรจงเจี้ยนจะรู้ได้อย่างไร หรือว่าฝ่าบาทยังโกรธเคืองจงเจี้ยน ที่ผ่านมาไม่พู
จงเจี้ยนเปิดผ้าคลุมหน้าของชิงซี ก่อนจะรวบร่างบางกระโจนขึ้นบนแท่นนอน“ท่านพี่ท่านอย่าใจร้อนยังไม่ทันปลดแกะอาภรณ์”“ไม่จำข้าอยากจะเห็นเจ้าควบม้าเสียเต็มที่แล้ว คิดถึงท่าทีควบม้าของเจ้าครั้งใดข้าน้ำลายไหลทุกที”“ที่ชิงซีควบ เพราะว่าม้าหนุ่มงุ่นง่าน ไม่ได้ดั่งใจชิงซีอยากให้ทุกอย่างเสร็จสมจึงต้องลงทุนลงมือเอง”“นี่เจ้าตำหนิข้าหรือ ดีข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าม้าแก่เช่นข้าชำนาญศึกไกลใกล้ ไม่ยอมให้ใครดูถูก การศึกหนักหนากว่านี้ยังผ่านมาได้ เรื่องเอาใจภรรยาก็ไม่ให้น้อยหน้าใคร”ดึงเอวบางเข้าหาตัว เปิดกระโปรงขึ้นกระแทกบั้นเอวแรงสุดแรงจนชิงซีแทบจะสำลัก“ท่านขุนพลลลลล อ่าท่านขุนพลท่านขุนพลของข้าช่างองอาจเสียจริงอ่าาาา”เสียงครางระงมลั่นไปทั่วห้องแต่จะบอกไว้ก่อนอย่าหวังว่าใครจะได้ยิน ในเมื่อชิงซี ให้คนผ้าหนามาบุไปทั่วห้องอ้างว่าเพราะอากาศหนาวแล้วยังบุด้านในสุดอีกชั้นด้วยแผ่นไม้แปะทับเพื่อการนี้ ไม่ว่าจะส่งเสียงดังเพียงใด ก็หาเล็ดลอดออกไปด้านนอกได้ไม่ บทรักหฤหรรษ์ท่ามกลางความสุขสมของคนทั้งคู่จึงไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมหรือเขินอายในเมื่อเขินอายกันมามากพอแล้วควรจะตักตวงความสุขกันเสียทีที่หัวใจสองดวงตรงกัน ทุก
“พวกเจ้าไปนำตัวนางจากตำหนักข้ามา ที่นี่”สั่งคนสนิทและองครักษ์เบาๆอินจิ๋นถอนหายใจโล่งอก“อินจิ๋นขอบพระทัยฝ่าบาทที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์สองแคว้น”ชิงไฉ่โบกมือไปมา“ข้าผิดกับฝ่าบาท คนของแคว้นฉีผิดกับฝ่าบาทจึงต้องขออภัย หาใช่ดันทุรังไม่”คนสนิทมาพยุงชิงกวานให้ลุกขึ้นยืนทั้งยังก้มหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลายคล้ายกับดังถูกตบหน้าต่อธารกำนัล ร้ซึ่งคนคอยปกป้อง ชิงไฉ่ฮ่องเต้ที่เคยปกป้องมาตลอดบัดนี้กลับมีเพียงออกตัวก็เท่านั้น“ไท่จือไปเถิด”ส่ายหน้าไปมาก่อนจะทะลึ่งพลวดดึงมีดสั้นที่พกติดตัวมาตลอดออกมาจากแขนเสื้อ พุ่งตัวเข้าหา ชิงไฉ่ที่ก้าวลงมาจากบัลลังก์เพื่อให้เกียรติกับอินจิ๋น มีดในมือ จ่อที่คอหอยของชิงไฉ่ มืออีกข้างล็อกแขนไว้แน่น หลายคนในที่นั้นต่างตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก“ชิงกวาน กล้าทำเรื่องเลวทรามเพียงนี้เชียวรึ ตายไปเป็นผีจะกล้ามองหน้าบรรพบุรุษหรือไร”ชิงไฉ่ตวาดลั่นหาได้สะทกสะท้านไม่ จงเจี้ยนขยับเข้าไปช้าๆ ด้วยสัญชาตญาณของ นักรบยามคับขัน“เสด็จพ่ออย่าบีบคั้นข้า ข้าไม่ได้อยากทำแบบนี้ ข้าเป็นองค์ชายเพียงคนเดียวสิ่งที่ต้องการหรือไม่ก็คือบัลลังก์ เสด็จพ่อทำใจเถิดว่าอย่างไรบัลลังก์นี้ก็จะต้องเ
“แต่ฝ่าบาทจงเจี้ยนกังวลเรื่องความปลอดภัย”“ชิงซีไม่ปล่อยให้มีการเข้าใจผิด ไม่มีใครต้องไปไหนทั้งนั้น เราจะเข้าไปพร้อมกันหากครั้งนี้เกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทแคว้นหานข้าคงไม่ให้อภัยตัวเองแล้วยังจะมีหน้าไปพูดกับอันอันว่าอย่างไร”เขต วังหลวงแคว้นฉีที่ยิ่งใหญ่งดงามไม่แพ้แคว้นหาน“หยุดดดด”ทหารยามใช้ทวนในมือกางกั้นไว้ ชิงซีก้าวลงจากเกี้ยวตรงหน้าประตูวังหลวง“ถวายพระพรองค์หญิงใหญ่”“รู้ก็ดีแล้วนี่คือกองกำลังจากแคว้นหานที่อารักขาข้ามาถึงนี่ พวกเจ้ากล้าขวางอันคันตุกะที่ดี เชียวหรือ”ทหารยาม ยกมือขึ้นตรงหน้า“ข้าน้อยผิดไปแล้วเชิญองค์หญิง และแขกเมืองด้านใน”ชิงซี เดินนำคนทั้งหมดเข้าไปยัง วังหลวงแคว้นฉีที่ยอ่งใหญ่ ไม่แพ้แคว้นหานท้องพระโรงบนบัลลังก์สูง ฮ่องเต้แคว้นฉีวัยกลางคนนามชิงไฉ่ในอาภรณ์เสื้อคลุมมังกรเลื้อมลายทอง นั่งสง่าอยู่ด้านบน สนมและนางกำนัลอีกทั้งขันทีรายล้อม“อินจิ๋นฮ่องเต้ ถวายพระพรฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี”ชิงไฉ่เลิกคิ้วสูงมองไปยังอินจิ๋นด้วยความชื่นชม“ฝ่าบาท มาถึงนี่เชียวรึ”“ข้าน้อย ตั้งใจมาทูลเชิญเสด็จด้วยตัวเองในงาน สถาปนาตำแหน่งฮองเฮาของแคว้นหาน อีกทั้งยังได้นำคนอารักขาองค์หญิงใหญ่ม
“จงเจี้ยนอยากแน่ใจว่าฝ่าบาทจะเป็นธุระสู่ขอองค์หญิงให้กับจงเจี้ยน”อินจิ๋นถอนหายใจมาเป็นก้างขวางคอทั้งๆ ที่เขากำลังจะตักตวงความหอมหวานที่ไม่พบเจอมาหลายวัน“ข้ารับปาก”จงเจี้ยนประสานมือวิ่งหายลับกลับไปบอกข่าวดีกับชิงซีขบวนเสด็จของอินจิ๋น มุ่งหน้ายังวังหลวงแคว้นฉีอันอันเปิดม่านออกเพื่อชื่นชม ร้านรวงและความเป็นอยู่ของชาวแคว้นฉี ชิงซีชี้ชวนให้ดูข้างของที่ขายเกลื่อนกลาด บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างทาง รูปร่างสูงโปร่งใบหน้าคมคาย ละม้ายใบหน้าของชิงซี สายตาคมจับจ้องใบหน้าผ่องใสของอันอันไม่วางตา กระตุกยิ้มที่ริมฝีปาก“นางสวรรค์หรือไร เจ้าเห็นไหมนางคงเป็น องค์หญิงหรือพระญาติของฮ่องเต้แคว้นหานเป็นแน่”สายตายังจับจ้องอันอันไม่วางตา“ไหนคนของเราบอกว่าอินจิ๋นก็เดินทางมาด้วย”“ไท่จือ เบื้องหน้านั่นขุนพลจงเจี้ยน ถัดมาเป็นอินจิ๋นฮ่องเต้ที่แม้จะแต่งกายอำพรางทว่าใบหน้าหล่อเหลาอีกทั้งบารมีเปล่งปลั่ง ไม่เหมือนทหารนายกองหรือองครักษ์”“เจ้าแน่ใจหรือ”“ไท่จือข้างๆ อินจิ่นนั่น เป็นองครักษ์เกราะทองที่แม้จะเพียงพาม้าเดินเคียงข้างแต่พร้อมจะอารักขาสุดกำลัง”ชิงกวานยิ้มหยัน“จะฆ่าอินจิ๋นฮ่องเต้ก่อน หรือว่าชิงตัว
อันอันตกใจไม่น้อยที่จู่ๆ ชิงซีก็มีน้ำตาบนเกี้ยวที่นั่งมาด้วยกัน“ความจริงข้าพยายามจะไม่คิดเป็นอื่นใด แต่อันอันเจ้าเห็นไหม หลายวันมานี้ท่านขุนพลเฉยชากับข้ายิ่งนัก”ยังปาดน้ำตา“อันอัน จะลองถามท่านขุนพลดูด้วยความเป็นท่านขุนพลซื่อๆ เพียงนั้นคงไม่กล้า โป้ปดว่าทำไมถึงกล้าเฉยชากับองค์หญิง”อันอันรับปากมั่นเหมาะชิงซี ยิ้มน้อยๆ“ข้าไม่ได้ห่วงเรื่องอื่นห่วงแต่ ท่านขุนพลใจไม่สู้เรื่องที่จะสู่ขอข้าต่อหน้าเสด็จพ่อ เสด็จพ่อนับว่าเป็นฮ่องเต้ที่ ห้าวหาญดุดันคนหนึ่งทีเดียว”“อันอัน สัญญาว่าจะช่วยพูดเรื่องนี้กับฝ่าบาทเชื่อว่าหากฝ่าบาทรักและปรารถนาดีต่อองค์หญิงฝ่าบาทจะต้องมองเห็นความจริงใจในตัวท่านขุนพล"ชิงซียิ้มเสียงฝีเท้าม้าควบตะบึงมาด้วยความเร็ว จงเจี้ยนและเหล่าทหารรอบเกี้ยวของอันอันและชิงซีไว้"หยุดดดดด"อินจิ๋นกระตุกบังเหียนม้า ให้หยุดกระโดดลงมายืนหน้าเกี้ยว"ขุนพล หลงจงเจี้ยนถวายพระพรฝ่าบาท"อันอันเปิดม่านแล้วกระโดดลงจากเกี้ยววิ่งเข้าไปกอดอินจิ๋นด้วยความถวิลหาอย่างที่สุดอินจิ๋นกอดรวบร่างบางแนบกายไม่ปล่อยกดริมฝีปากลงบนหน้าผาก“คิดถึงเจ้ายิ่งนัก”อันอันปาดน้ำตา“ฝ่าบาทมาช้า”“ข้าผิดเองที่มัวแต่ยุ่