“ก็ ห้องหออยู่ทางด้านขวา แต่นี่มันห้องทางด้านซ้าย”ชี้มือไปยังอินจิ่นที่พยุงอันอันเดินออกมาหน้าตำหนักจากห้องทางขวาให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่สนามหญ้ารับเครื่องเสวยยามสาย“ค่อยๆเดิน ระวังหน่อยอันอัน ให้ข้าช่วย”เลื่อนแท่นนั่งให้อันอันแล้วพยุงอันอันลงนั่งบนแท่นนั่งอย่างอ่อนโยน“เป็นท่านขุนพลที่ชวนข้ามาทางซ้าย”เสืี่ยวจื้อยังบ่นพึมพัม“เฮ้อ บุญมีแต่กรรมบังมาถึงนี่แต่กลับมาผิดห้องผิดฝั่ง”“อ้าว อาจารย์กับเสี่ยวจื้อสองคนมาเสียพร้อมกันอาอาจาย์ลมอะไรหอบท่านมาถึงนี่”อินจิ๋นเอ่ยทักด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ ผิดกับอันอันที่ก้มหน้าด้วยความเขินอาย“ข้ามาเดินสุดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า”จงเจี้ยน รีบแก้ตัว“แต่นี่มันสายแล้ว”เสี่ยวจื้อก้มหน้านิ่ง“ขะข้าแวะมาหาเสี่ยวจื้อ”อินจิ๋นเลิกคิ้วสูง จงเจี้ยนอยบากจะถามเรื่องที่เมื่อคืนที่ผ่านมาใจแทบขาดแต่เกรงใจอันอันยิ่งนัก“เมื่อคืน ฝ่าบาทกับฮองเอาหลหับสบายไหม”อ้อมค้อมก็เป็นอันอันหันสบตาอินจิ่นอายๆ“หลับสบายยิ่งอากาศหนาวนอนสองคนกำลังดี”เสี่ยวจื้อปิดปากหาวบ้าง“ข้ากับท่านขุนพลไม่ได้นอนทั้งคืน”บ่นเบาๆ“เสี่ยวจื้อเจ้าว่าอย่างไรนะ”“ปะปะเปล่าเสี่ยวจื้อมากับข้า”จงเจี้ยนดึงเสื่ยว
“ร้ายก็รักรักที่สุด ร้ายเพราะเจ้ารักข้า ทำเพื่อข้าจะไม่รักได้อย่างไรในเมื่อใจข้ามีเพียงเจ้าคนเดียว ถึงเจ้าไม่ทำแบบนี้ข้าก้จะรักเจ้าคนเดียวทำเพื่อเจ้าคนเดียวแต่เมื่อรู้ว่าเจ้าทำเพื่อข้่าเพียงนี้ จะไม่ให้รักได้อย่างไร”โน้มตัวลงกดริมฝีปากกับปากอวบอิ่มเนิ่นนาน อันอันยิ้มสุขสมจะไม่ว่าอย่างไรสำหรับอินจิ๋นก็คือฝ่าบาทของอันอันคนเดียวเช่นกัน ที่ทำไปก็เพื่อสิ่งนี้เพื่อให้ได้ครองใจฝ่าบาทเพียงผู้เดียว “เข้าไปข้างในกันหรือยังข้าอยากได้กลิ่นเซียงเฉ่าอีกครั้ง คราวนี้ ยันเย้นยันเช้าไปเลยดีไหม”อันอันยิ้มหวาน อินจิ๋นอุ้มร่างอวบพาเดินเข้าไปในห้องบรรทม เข้าประตูไปตั้งใจจะลงกลอน “อ๋อ เสี่ยวจื้อบอกอาจารย์ไม่ต้องมาคอยแอบดู แอบฟังข้าหรอกข้าใช้ผ้าหนาบุห้องอีกทั้งยังใช้แผ่นไม่สนบุห้องกันเสียงเล็ดลอด ตามที่อาจารย์สอนมาเรียบร้อยแล้ว”ตะโกนสั่งเสี่ยวจื้อที่ปิดปากหาวตาปรือ อันอันหัวเราะคิกคัก อินจิ๋นอุ้มร่างอวบเดินเข้าไที่แท่นนนอนกลิ่นกำยานที่เป็นกลิ่นเซียงเฉ่าหอมตลบอบอวลไปทมั่ว อันอันถอนหายใจสุดดมกลิ่นแห่งความสุขกลิ่นแห่งความทรงจำแห่งความสุข ต่อไปเมื่อได้กลิ่นนี้ครั้งใดก็จะมีแต่ความสุข อินจิ่น ปลดอาภรณ์ของอ
“อันอัน อันอันๆๆๆๆ เข้ามานี่เดี๋ยวนี้”ร่างเล็กในอาภรณ์ดั่งขันทีแต่มิได้สวมหมวกบนศีรษะเหมือนขันที วิ่งเข้ามาข้างในห้องบรรทมของอินจิ๋น ร่างบางของนางในคนหนึ่งกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น ดวงแววตาแดงซ้ำถูกผลักเข้าหาอันอัน ที่รับร่างนางไว้ล้มลุกคลุกคลานไปด้วยกัน“พานางออกไป”ตวาดลั่น“ฝ่าบาทเหตุใดกัน”อดที่จะถามไม่ได้ก็นางถูกต้องตามที่อินจิ๋นปรารถนาทุกประการ ฉุกใจเมื่อเห็นรอยน้ำตาหรือว่า ตายแล้วอันอันเจ้าพลาดแล้ว“ข้าไม่ชอบใจ ทำมาร้องไห้ ต่อหน้าดั่งเช่นข้าจะฆ่าจะแกงนางทั้งๆ ที่ข้าเป็นฮ่องเต้ จะหาความสำราญกับเรือนร่างของนาง แต่นางกลับมาร้องไห้ดุจกำลังไว้ทุกข์”อันอันถอนหายใจดึงมือนางในที่ยังอ่อนเยาว์ให้ลุกขึ้น ร้อยนางร้อยวัน ไม่เคยพลาดวันนี้อันอันกลับมองผิดไป“วันนี้เจ้าทำงานพลาดพรุ่งนี้จะต้องหานางในคนใหม่ที่ถูกใจมาปรนนิบัติข้า ปกติเป็นเจ้าที่รู้ใจข้าที่สุดอันอัน อย่าให้บกพร่องเช่นนี้อีก”น้ำเสียงตำหนิอย่างชัดเจนอันอันประสานมือในชุดขันทีรุ่มร่ามแม้จะมองขัดตาทว่ากลับกลายเป็นสิ่งที่คุ้นตาของอินจิ๋นไปเสียแล้วดึงมือนางในที่ร้องไห้ไม่หยุดออกมาข้างนอก“นี่เงินของเจ้าแล้วไปเสีย.. กลับไปใช้ชีวิตนอกวัง
รู้ดีว่าถึงแม้อยากจะรับเพียงใดอันอันก็ไม่มีทางทำผิดต่ออินจิ๋นก็ในเมื่อสิ่งที่ได้มาจากอินจิ๋นมากจนไม่ควรรับจากคนอื่นอีก“นายหญิง แต่ท่านขุนพล”อึกอักด้วยความลำบากใจ“เขาให้เจ้าเท่าไหร่ จึงอาสามาพูดแทนท่านขุนพล ข้าไม่รับสินบนแต่นำคำพูดของข้าไปบอกเขา เผื่อว่าโอกาสหน้าอันอันจะได้ พึ่งพาท่านขุนพลบ้าง”ขันทีหนุ่มน้อยนามเสี่ยวจื้อก้มหน้ามองพื้น“ขอรับนายหญิง”อ้อมแอ้ม“อืมบอกเขาว่า ฝ่าบาทนิยมหญิงงามที่ชดช้อยยามเยื้องย่างเหมือนไม่ได้ก้าวเดิน สะโพกกลมกลึง แต่ไม่ต้องผายออกจนเกินงาม ถันต้องเต่งตึงดันอาภรณ์ขึ้นมาอวดโฉมและที่สำคัญที่สุด จะต้องอ่อนหวานเขินอายแต่จะต้องปรนิบัติฝ่าบาทด้วยความเต็มใจยิ่ง แค่นี้หวังว่าท่านขุนพลจะจัดการให้บุตรีของเขา เป็นอย่างคำพูดของข้าที่ฝากบอกไป สักวันข้าก็คงส่งนางเข้าปรนิบัติฝ่าบาท หากจัดการตามที่ข้าบอกไม่ได้ข้าเองก็จนปัญญา”เสี่ยวจื้อถอนหายใจประสานมือ ก้าวเดินจากไปในทันที อันอันถอนหายใจหญิงที่ฝ่าบาทนิยม และต้องการในทุกคืนมีบุคลิกคล้ายกันแทบทุกคนแต่ที่สำคัญที่สุดจะต้องมีท่าทียั่วยวนที่ไม่ยั่วยวน อันอันอาศัยสายตาผู้หญิงด้วยกันจึงมองออกว่าใครที่พร้อมจะยั่วยวนฝ่าบาทด้วยควา
อันอันหันมาอ้าปากค้าง อินจิ๋นเองก็อ้าปากค้างเช่นกันเมื่อเห็นว่าใบหน้างดงามของอันอันที่เขาเคยมองข้าม อีกทั้งริมฝีปากที่เคยเป็นเพียงสีชมพูซีดจางบัดนี้กลับเป็นสีชมพูเข้ม อินจิ๋นเผลอขบเม้มริมฝีปากอย่างลืมตัว เรือนผมยาวสลวยไม่ได้เกล้ามัด ยาวลงมาตัดกับผิวขาวเนียน สายตาคมจ้องมองต่ำลงมายังมือบางที่กุมขมวดผ้าที่อกอิ่ม ยอดประทุมถันดันผ้าผืนน้อยขึ้นมาอวดโฉมสล้างไม่ได้ตกย้อยด้วยอกอิ่มที่หากสัมผัสคงเต็มไม้เต็มมือเต็มปากเต็มคำ ผิวขาวสะอาดตาต่ำลงมาเป็นเรียวขางามที่โผล่พ้นผ้าผืนน้อยที่ปิดไว้เพียงสิ่งสงวน เนื้อเนียนของขาขาวโผล่ออกมาขาวจนอินจิ๋นต้องกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ ชุดขันทีรุ่มร่ามที่เคยคิดว่าขัดตา บัดนี้อินจิ๋นกับรู้สึกว่าผ้าผืนน้อยนั่นขัดตายิ่งกว่า หากมีกระบี่ในมือเขาคงฟันมันขาดยับไปแล้ว สะบัดพับผ้าอาภรณ์ในมือห่มคลุมร่างโป๊ให้อันอันเสียก่อนจะเบือนหน้าหนี อันอันใจหล่นลงไปที่ตาตุ่มคงอุจาดตาไม่อยากมองจึงทำเช่นนี้ อินจิ๋นเอามือไพล่หลังหันหลังให้อันอัน“ข้านำอาภรณ์ชุดใหม่มาให้เจ้า เดิมจะให้นางกำนัลนำมาแต่เห็นว่าเรียกหาพวกนางแล้วต่างเงียบงันคงหลับกันจนสิ้น …อีกอย่างข้านอนไม่หลับ”ยิ่งมาเห็นอันอันแบบนี้เ
เสี่ยวจื้อทำสีหน้างงงัน“อาภรณ์ชุดไหนกันฝ่าบาท”จึงถามเพื่อความกระจ่าง“ชุดฮั่นฝูสีขาวขลิบฟ้าตัวนั้น” อันอันถอนหายใจ“ฝ่าบาทอาภรณ์นั่น เป็นผ้าเนื้อดีจากทางเหนืออีกอย่างราคาค่อนข้างสูง”“ข้าบอกให้เผาก็เผา”อันอันไม่ได้รู้สึกอะไร หลายอย่างที่อินจิ๋นทำมักไร้เหตุผลเสมอ เสี่ยวจื้อหันประกระซิบกับนางกำนัลก่อนที่นางจะออกจากท้องพระโรงซึ่งไม่ต้องสงสัยว่าไปทำอะไรนางก็คงนำอาภรณ์งดงามยั่วยวนตัวนั้นไปเผาเสียตามบัญชาของคนไร้เหตุผลนามอินจิ๋น“ขบวนราชทูตแคว้นฉี เดินทางมาถึงแล้วววววว”เสียงขันทีพิธีการขานขึ้นดังๆ ขุนนางที่กำลังจับกลุ่มคุยกันกลับเงีบยเสียงหันหน้ามายังทางเดินทอดยาว มุ่งสู่ใจกลางท้องพระโรงที่ด้านบนสุดเป็นบัลลังก์มังกรสูงสง่า“อือหือ อ่าาาา”เสียงแซ่ซ้องเมื่อเห็นว่า ขบวนราชทูตที่เดินเข้ามามีหญิงงามราวเทพีสวรรค์ สวมใส่อาภรณ์สีแดงบ่งบอกถึงความนัยย์บางอย่าง ชุดฮั่นฝูที่สวมใส่ พลิ้วไหวงดงามรับกับใบหน้า ริมฝีปากแต้มด้วยชาดสีแดงเข้ม อวบอิ่มจนน่าจุมพิตยิ่ง อกอวบถูกดันออกมาล้ำหน้ากว่าสิ่งอื่นใด เอวคอดกิ่ว สะโพกกลมมนบั้นท้ายงอนงามจนสะดุดตา อินจิ๋นเหลือบตามององค์หญิงใหญ่แคว้นฉี อันอันยิ้ม แบบนี้ช่า
“เจ้า วันนี้ เข้าถวายตัว”อันอันชี้มือยังร่างบางทว่าหน้าอกหน้าใจบะเริ่มเทิ่มอีกทั้งสะโพกงอนงามเพียงแต่ใบหน้านางไม่ได้งดงามเท่าที่ควร แต่ว่าก็พอที่จะถูไถ ในเมื่อวันนี้อันอันยุ่งกับการมาของคณะราชทูตและเครื่องบรรณาการแม้อินจิ่นจะอนุญาตให้อันอันไปทำเรื่องที่ต้องทำ ไม่ต้องไปยุ่งเรื่องพิธีการ“นายหญิง ขอบคุณเจ้าค่ะ”สาวน้อยน้ำตาปริ่มขอบตา การแข่งขันเรื่องการถวายตัวเข้มข้นยิ่งนัก บางคนถึงกับตบตีวางยา แต่สุดท้ายก็อยู่ที่อันอันเพียงคนเดียว ว่าวันนี้จะส่งใครเข้าไปในห้องบรรทมของอินจิ๋น“ต่อไปอาจเป็นข้าที่ต้องเรียกเจ้าว่านายหญิงหากฝ่าบาทพึงใจเจ้า ทำให้เต็มที่ตั้งใจปรนนิบัติฝ่าบาท แค่นี้ที่ข้าอยาจะบอกไว้ ความจริงข้าอยากจะส่งพวกเจ้าเข้าไปทุกคน แต่พวกเจ้าต้องเข้าใจ ฝ่าบาทหากวันไหนเหนื่อยล้าหรือราชกิจมากหน่อยก็ไม่รับนางใน วันไหนทรงมีอากาศร้อนก็ไม่รับนางใน วันไหนที่ เมามายมากหน่อยก็ไม่รับนางใน มีเพียงวันที่อากาศหนาวหรือวันที่ดื่มสุราเพียงแค่ปลุกกำหนัด และ…”จะบอกว่าหื่น …ก็กระดากปากวันไหนที่อินจิ๋นพบนางในคนไหนถูกใจเป็นพิเศษจะมากระซิบกับอันอันว่าคืนนี้ ส่งนางในคนนั้นเข้ามาให้เขา วันนั้นเป็นวันที่อันอัน
หันไปถามนางในที่ร้องไห้กระซิกๆ“ฝ่าบาทให้ข้าน้อยกินกล้วยจนอิ่มจนจุก กินกล้วยหมดไปทั้งหวียังไม่พอพระทัย”พูดไปสะอื้นไป“ช่างกล้าฟ้องนาง เจ้ามันไร้สามารถแค่เพียงข้าให้กินกล้วยหอมลูกใหญ่ราดน้ำผึ้งเจ้าก็ยังไม่อาจทำให้ข้าพึงใจได้ แล้วเรื่องอื่นเจ้าจะได้เรื่องหรือไหนเจ้าบอกข้าว่าจัดว่าเด็ด”หันไปทางอันอันที่ส่ายหน้าไปมาด้วยความระอาใจ“อันอันพานางกลับไปก่อน”“ไม่ เจ้าต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ในเมื่อเจ้าเป็นคนจัดหานางมา อีกทั้งยังเป็นคนที่เสี้ยมสอนพวกนางให้ข้าพึงใจ เจ้าจะไม่แสดงให้นางดูหน่อยหรือว่ากินกล้วยหอมอย่างไรให้ข้าพึงใจพวกนาง”อันอันถอนหายใจ“เจ้ากินแบบไหน”หันไปถาม นางในที่ยังสะอื้นแต่ไม่มีน้ำตาแล้ว“ฝ่าบาทให้กินกล้วยข้าน้อยก็กิน กัดกินทั้งลูกจนหมดแต่ฝ่าบาทก็บอกว่ายังไม่พึงใจท่าทางการกินกล้วยราดน้ำผึ้งของข้าน้อย ข้าน้อยจึงกินไปอีกหลายลูกเพื่อเอาใจฝ่าบาท ในที่สุดฝ่าบาทก็ทรงกริ้วเรียกหานายหญิง”อินจิ๋น ลอยหน้าลอยตาทำท่าทีว่าไม่พอใจอย่างที่สุดอันอันเหลือบตามองไหน้ำผึ้งกับกล้วยหอมอีกหวีหนึ่งที่วางไว้ตรงหน้าไปเอามาตอนไหน ห้องบรรทมมีของแบบนี้ด้วยหรือ เหมือนจัดเตรียมไว้เพื่อสิ่งใดกัน“เจ้าดูข้า
“ร้ายก็รักรักที่สุด ร้ายเพราะเจ้ารักข้า ทำเพื่อข้าจะไม่รักได้อย่างไรในเมื่อใจข้ามีเพียงเจ้าคนเดียว ถึงเจ้าไม่ทำแบบนี้ข้าก้จะรักเจ้าคนเดียวทำเพื่อเจ้าคนเดียวแต่เมื่อรู้ว่าเจ้าทำเพื่อข้่าเพียงนี้ จะไม่ให้รักได้อย่างไร”โน้มตัวลงกดริมฝีปากกับปากอวบอิ่มเนิ่นนาน อันอันยิ้มสุขสมจะไม่ว่าอย่างไรสำหรับอินจิ๋นก็คือฝ่าบาทของอันอันคนเดียวเช่นกัน ที่ทำไปก็เพื่อสิ่งนี้เพื่อให้ได้ครองใจฝ่าบาทเพียงผู้เดียว “เข้าไปข้างในกันหรือยังข้าอยากได้กลิ่นเซียงเฉ่าอีกครั้ง คราวนี้ ยันเย้นยันเช้าไปเลยดีไหม”อันอันยิ้มหวาน อินจิ๋นอุ้มร่างอวบพาเดินเข้าไปในห้องบรรทม เข้าประตูไปตั้งใจจะลงกลอน “อ๋อ เสี่ยวจื้อบอกอาจารย์ไม่ต้องมาคอยแอบดู แอบฟังข้าหรอกข้าใช้ผ้าหนาบุห้องอีกทั้งยังใช้แผ่นไม่สนบุห้องกันเสียงเล็ดลอด ตามที่อาจารย์สอนมาเรียบร้อยแล้ว”ตะโกนสั่งเสี่ยวจื้อที่ปิดปากหาวตาปรือ อันอันหัวเราะคิกคัก อินจิ๋นอุ้มร่างอวบเดินเข้าไที่แท่นนนอนกลิ่นกำยานที่เป็นกลิ่นเซียงเฉ่าหอมตลบอบอวลไปทมั่ว อันอันถอนหายใจสุดดมกลิ่นแห่งความสุขกลิ่นแห่งความทรงจำแห่งความสุข ต่อไปเมื่อได้กลิ่นนี้ครั้งใดก็จะมีแต่ความสุข อินจิ่น ปลดอาภรณ์ของอ
“ก็ ห้องหออยู่ทางด้านขวา แต่นี่มันห้องทางด้านซ้าย”ชี้มือไปยังอินจิ่นที่พยุงอันอันเดินออกมาหน้าตำหนักจากห้องทางขวาให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่สนามหญ้ารับเครื่องเสวยยามสาย“ค่อยๆเดิน ระวังหน่อยอันอัน ให้ข้าช่วย”เลื่อนแท่นนั่งให้อันอันแล้วพยุงอันอันลงนั่งบนแท่นนั่งอย่างอ่อนโยน“เป็นท่านขุนพลที่ชวนข้ามาทางซ้าย”เสืี่ยวจื้อยังบ่นพึมพัม“เฮ้อ บุญมีแต่กรรมบังมาถึงนี่แต่กลับมาผิดห้องผิดฝั่ง”“อ้าว อาจารย์กับเสี่ยวจื้อสองคนมาเสียพร้อมกันอาอาจาย์ลมอะไรหอบท่านมาถึงนี่”อินจิ๋นเอ่ยทักด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ ผิดกับอันอันที่ก้มหน้าด้วยความเขินอาย“ข้ามาเดินสุดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า”จงเจี้ยน รีบแก้ตัว“แต่นี่มันสายแล้ว”เสี่ยวจื้อก้มหน้านิ่ง“ขะข้าแวะมาหาเสี่ยวจื้อ”อินจิ๋นเลิกคิ้วสูง จงเจี้ยนอยบากจะถามเรื่องที่เมื่อคืนที่ผ่านมาใจแทบขาดแต่เกรงใจอันอันยิ่งนัก“เมื่อคืน ฝ่าบาทกับฮองเอาหลหับสบายไหม”อ้อมค้อมก็เป็นอันอันหันสบตาอินจิ่นอายๆ“หลับสบายยิ่งอากาศหนาวนอนสองคนกำลังดี”เสี่ยวจื้อปิดปากหาวบ้าง“ข้ากับท่านขุนพลไม่ได้นอนทั้งคืน”บ่นเบาๆ“เสี่ยวจื้อเจ้าว่าอย่างไรนะ”“ปะปะเปล่าเสี่ยวจื้อมากับข้า”จงเจี้ยนดึงเสื่ยว
ร่างอวบอิ่มที่สวมอาภรณ์ปิดมิดไปถึงคอเสื้อ ผ้าคลุมสีแดงปิดบังใบหน้างดงามริมฝีปากอวบอิ่มแต้มชาดสีแดงสดกัดริมฝีปากเบาๆอย่างใช้ความคิดป่านี้ อินจิ๋นยังำม่ข้ามาทั้งๆที่อันอันนั่งรอตั้งแต่ฟ้ามืด“เสี่ยวจื้อเอามาให้หมด เอาทุกอย่างมารวมกันแล้วก็กินเสียทีเดียวพร้อมกันให้หมด”ฮึกเหิมยิ่งนัก“ฝะฝะฝ่าบาทแต่ ของพวกนี้เป็นยาบำรุงกำหนัดอย่างดีทั้งนั้น เกรงว่าหากกินเข้าไปเพียงนี้ฝ่าบาทจะเอาไม่ลงนะพ่ะย่ะค่ะ เสี่ยวจื้อกลัวว่าจะเกิดปัญหาตามมา” ยื้อสารพัดสารพัน ยาปลุกกำหนัดไว้ในมืออินจิ๋นถอนหายใจ“เสี่ยวจื้อข้าเป็นฮ่องเต้หรือเจ้าเป็นฮ่องเต้”“ฝ่าบาทไม่ได้ พ่ะย่ะค่ะเสี่ยวจื้อหวังที่สุดแล้ว”ล้มลงไปทับยาปลุกกำหนัดไว้ อาศัยร่างกายหนักอึ้งทับไว้“ก็ได้ ข้ากินเท่านี้”วางห่อยาลงบนโต๊ะ เสี่ยวจื้อวิ่งปู๊ดมามาคว้าห่อยา แล้ววิ่งแน่บออกจากห้องไปทิ้ง ห่อยาไว้ให้เพียงหนึ่งห่อ“เสี่ยวจื้อ กลับมานะมานี่เลยนะเสี่ยวจื้อ”“ฝ่าบาท ฮองเฮาทรง ทรง…ทรงให้ข้าน้อยมาทูลว่าหากฝ่าบาทยังไม่ไปที่ตำหนักชิงหนิงกงในตอนนี้ ฮองเอาบอกว่าจะปิดประตูเสียไม่ให้ฝ่าบาทเข้าไป”พูดรัวเร็วก่อนจะก้มหน้าด้วยความกลัวว่าอินจิ่นจะโมโห อินจิ๋นลุกพลวดวิ่ง
“จงเจี้ยน” อินจิ๋นเดินเอามือไพล่หลังเมื่อจงเจี้ยนอยู่เพียงลำพัง“จงเจี้ยนถวายพระพรฝ่าบาท”ประสานมือตรงหน้าด้วยรอยยิ้มใบหน้าอิ่มเอิบ อีกทั้งแววตายังเปล่งประกาย“ข้ามีเรื่องสำคัญ”“ฝ่าบาทหากเป็นเรื่องของฟางหลัน ข้าน้อยพิจารณาแล้วว่าควร ให้นางออกบวชสำนึกผิดบำเพ็ญตนเป็นเวลาสามเดือน ฝ่าบาทเห็นสมควรประการใดหรือคิดว่าโทษที่นางได้รับน้องไปหรือไม่”“แล้วแต่ท่านท่านขุนพล”“ฝ่าบาทวัดที่นางจะเดินทางไปบำเพ็ญเพียรสำนึกตน อยู่ห่างจากวังหลวงเกือบพันลี้ ฝ่าบาทคิดว่าใกล้ไกลเพียงใด”“แล้วแต่ท่านขุนพล”“นายหญิง อันอันขอร้องแทนนางให้นางบำเพ็ญเพียรที่วัด ตำหนักฟ้าไม่ไกลจากวังหลวงแต่ข้าน้อยอยากให้นางสำนึกผิดจนจริงจังเป็นข้าดูแลบุตรีไม่ได้จึงทำให้นายหญิงอันอันต้องพลอย ลำบากไปด้วยฝ่าบาทเห็นว่าควรไม่ควรอย่างไร”“แล้วแต่ท่านขุนพล”“ข้าน้อยเมื่อเสร็จงานสถานปนา ฮองเฮาก็จะเดินทางกลับไปที่ด่านชายแดนตามที่ประสงค์ไว้ในแต่แรก ตั้งใจปกป้องด่านชายแดนแคว้นหานเช่นเดิม”“แล้วแต่ท่านขุนพล”“ฝ่าบาท ฝ่าบาทจะเอาแต่พูดว่า แล้วแต่ข้าไม่ได้ในใจฝ่าบาทคิดเช่นไรจงเจี้ยนจะรู้ได้อย่างไร หรือว่าฝ่าบาทยังโกรธเคืองจงเจี้ยน ที่ผ่านมาไม่พู
จงเจี้ยนเปิดผ้าคลุมหน้าของชิงซี ก่อนจะรวบร่างบางกระโจนขึ้นบนแท่นนอน“ท่านพี่ท่านอย่าใจร้อนยังไม่ทันปลดแกะอาภรณ์”“ไม่จำข้าอยากจะเห็นเจ้าควบม้าเสียเต็มที่แล้ว คิดถึงท่าทีควบม้าของเจ้าครั้งใดข้าน้ำลายไหลทุกที”“ที่ชิงซีควบ เพราะว่าม้าหนุ่มงุ่นง่าน ไม่ได้ดั่งใจชิงซีอยากให้ทุกอย่างเสร็จสมจึงต้องลงทุนลงมือเอง”“นี่เจ้าตำหนิข้าหรือ ดีข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าม้าแก่เช่นข้าชำนาญศึกไกลใกล้ ไม่ยอมให้ใครดูถูก การศึกหนักหนากว่านี้ยังผ่านมาได้ เรื่องเอาใจภรรยาก็ไม่ให้น้อยหน้าใคร”ดึงเอวบางเข้าหาตัว เปิดกระโปรงขึ้นกระแทกบั้นเอวแรงสุดแรงจนชิงซีแทบจะสำลัก“ท่านขุนพลลลลล อ่าท่านขุนพลท่านขุนพลของข้าช่างองอาจเสียจริงอ่าาาา”เสียงครางระงมลั่นไปทั่วห้องแต่จะบอกไว้ก่อนอย่าหวังว่าใครจะได้ยิน ในเมื่อชิงซี ให้คนผ้าหนามาบุไปทั่วห้องอ้างว่าเพราะอากาศหนาวแล้วยังบุด้านในสุดอีกชั้นด้วยแผ่นไม้แปะทับเพื่อการนี้ ไม่ว่าจะส่งเสียงดังเพียงใด ก็หาเล็ดลอดออกไปด้านนอกได้ไม่ บทรักหฤหรรษ์ท่ามกลางความสุขสมของคนทั้งคู่จึงไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมหรือเขินอายในเมื่อเขินอายกันมามากพอแล้วควรจะตักตวงความสุขกันเสียทีที่หัวใจสองดวงตรงกัน ทุก
“พวกเจ้าไปนำตัวนางจากตำหนักข้ามา ที่นี่”สั่งคนสนิทและองครักษ์เบาๆอินจิ๋นถอนหายใจโล่งอก“อินจิ๋นขอบพระทัยฝ่าบาทที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์สองแคว้น”ชิงไฉ่โบกมือไปมา“ข้าผิดกับฝ่าบาท คนของแคว้นฉีผิดกับฝ่าบาทจึงต้องขออภัย หาใช่ดันทุรังไม่”คนสนิทมาพยุงชิงกวานให้ลุกขึ้นยืนทั้งยังก้มหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลายคล้ายกับดังถูกตบหน้าต่อธารกำนัล ร้ซึ่งคนคอยปกป้อง ชิงไฉ่ฮ่องเต้ที่เคยปกป้องมาตลอดบัดนี้กลับมีเพียงออกตัวก็เท่านั้น“ไท่จือไปเถิด”ส่ายหน้าไปมาก่อนจะทะลึ่งพลวดดึงมีดสั้นที่พกติดตัวมาตลอดออกมาจากแขนเสื้อ พุ่งตัวเข้าหา ชิงไฉ่ที่ก้าวลงมาจากบัลลังก์เพื่อให้เกียรติกับอินจิ๋น มีดในมือ จ่อที่คอหอยของชิงไฉ่ มืออีกข้างล็อกแขนไว้แน่น หลายคนในที่นั้นต่างตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก“ชิงกวาน กล้าทำเรื่องเลวทรามเพียงนี้เชียวรึ ตายไปเป็นผีจะกล้ามองหน้าบรรพบุรุษหรือไร”ชิงไฉ่ตวาดลั่นหาได้สะทกสะท้านไม่ จงเจี้ยนขยับเข้าไปช้าๆ ด้วยสัญชาตญาณของ นักรบยามคับขัน“เสด็จพ่ออย่าบีบคั้นข้า ข้าไม่ได้อยากทำแบบนี้ ข้าเป็นองค์ชายเพียงคนเดียวสิ่งที่ต้องการหรือไม่ก็คือบัลลังก์ เสด็จพ่อทำใจเถิดว่าอย่างไรบัลลังก์นี้ก็จะต้องเ
“แต่ฝ่าบาทจงเจี้ยนกังวลเรื่องความปลอดภัย”“ชิงซีไม่ปล่อยให้มีการเข้าใจผิด ไม่มีใครต้องไปไหนทั้งนั้น เราจะเข้าไปพร้อมกันหากครั้งนี้เกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทแคว้นหานข้าคงไม่ให้อภัยตัวเองแล้วยังจะมีหน้าไปพูดกับอันอันว่าอย่างไร”เขต วังหลวงแคว้นฉีที่ยิ่งใหญ่งดงามไม่แพ้แคว้นหาน“หยุดดดด”ทหารยามใช้ทวนในมือกางกั้นไว้ ชิงซีก้าวลงจากเกี้ยวตรงหน้าประตูวังหลวง“ถวายพระพรองค์หญิงใหญ่”“รู้ก็ดีแล้วนี่คือกองกำลังจากแคว้นหานที่อารักขาข้ามาถึงนี่ พวกเจ้ากล้าขวางอันคันตุกะที่ดี เชียวหรือ”ทหารยาม ยกมือขึ้นตรงหน้า“ข้าน้อยผิดไปแล้วเชิญองค์หญิง และแขกเมืองด้านใน”ชิงซี เดินนำคนทั้งหมดเข้าไปยัง วังหลวงแคว้นฉีที่ยอ่งใหญ่ ไม่แพ้แคว้นหานท้องพระโรงบนบัลลังก์สูง ฮ่องเต้แคว้นฉีวัยกลางคนนามชิงไฉ่ในอาภรณ์เสื้อคลุมมังกรเลื้อมลายทอง นั่งสง่าอยู่ด้านบน สนมและนางกำนัลอีกทั้งขันทีรายล้อม“อินจิ๋นฮ่องเต้ ถวายพระพรฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี”ชิงไฉ่เลิกคิ้วสูงมองไปยังอินจิ๋นด้วยความชื่นชม“ฝ่าบาท มาถึงนี่เชียวรึ”“ข้าน้อย ตั้งใจมาทูลเชิญเสด็จด้วยตัวเองในงาน สถาปนาตำแหน่งฮองเฮาของแคว้นหาน อีกทั้งยังได้นำคนอารักขาองค์หญิงใหญ่ม
“จงเจี้ยนอยากแน่ใจว่าฝ่าบาทจะเป็นธุระสู่ขอองค์หญิงให้กับจงเจี้ยน”อินจิ๋นถอนหายใจมาเป็นก้างขวางคอทั้งๆ ที่เขากำลังจะตักตวงความหอมหวานที่ไม่พบเจอมาหลายวัน“ข้ารับปาก”จงเจี้ยนประสานมือวิ่งหายลับกลับไปบอกข่าวดีกับชิงซีขบวนเสด็จของอินจิ๋น มุ่งหน้ายังวังหลวงแคว้นฉีอันอันเปิดม่านออกเพื่อชื่นชม ร้านรวงและความเป็นอยู่ของชาวแคว้นฉี ชิงซีชี้ชวนให้ดูข้างของที่ขายเกลื่อนกลาด บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างทาง รูปร่างสูงโปร่งใบหน้าคมคาย ละม้ายใบหน้าของชิงซี สายตาคมจับจ้องใบหน้าผ่องใสของอันอันไม่วางตา กระตุกยิ้มที่ริมฝีปาก“นางสวรรค์หรือไร เจ้าเห็นไหมนางคงเป็น องค์หญิงหรือพระญาติของฮ่องเต้แคว้นหานเป็นแน่”สายตายังจับจ้องอันอันไม่วางตา“ไหนคนของเราบอกว่าอินจิ๋นก็เดินทางมาด้วย”“ไท่จือ เบื้องหน้านั่นขุนพลจงเจี้ยน ถัดมาเป็นอินจิ๋นฮ่องเต้ที่แม้จะแต่งกายอำพรางทว่าใบหน้าหล่อเหลาอีกทั้งบารมีเปล่งปลั่ง ไม่เหมือนทหารนายกองหรือองครักษ์”“เจ้าแน่ใจหรือ”“ไท่จือข้างๆ อินจิ่นนั่น เป็นองครักษ์เกราะทองที่แม้จะเพียงพาม้าเดินเคียงข้างแต่พร้อมจะอารักขาสุดกำลัง”ชิงกวานยิ้มหยัน“จะฆ่าอินจิ๋นฮ่องเต้ก่อน หรือว่าชิงตัว
อันอันตกใจไม่น้อยที่จู่ๆ ชิงซีก็มีน้ำตาบนเกี้ยวที่นั่งมาด้วยกัน“ความจริงข้าพยายามจะไม่คิดเป็นอื่นใด แต่อันอันเจ้าเห็นไหม หลายวันมานี้ท่านขุนพลเฉยชากับข้ายิ่งนัก”ยังปาดน้ำตา“อันอัน จะลองถามท่านขุนพลดูด้วยความเป็นท่านขุนพลซื่อๆ เพียงนั้นคงไม่กล้า โป้ปดว่าทำไมถึงกล้าเฉยชากับองค์หญิง”อันอันรับปากมั่นเหมาะชิงซี ยิ้มน้อยๆ“ข้าไม่ได้ห่วงเรื่องอื่นห่วงแต่ ท่านขุนพลใจไม่สู้เรื่องที่จะสู่ขอข้าต่อหน้าเสด็จพ่อ เสด็จพ่อนับว่าเป็นฮ่องเต้ที่ ห้าวหาญดุดันคนหนึ่งทีเดียว”“อันอัน สัญญาว่าจะช่วยพูดเรื่องนี้กับฝ่าบาทเชื่อว่าหากฝ่าบาทรักและปรารถนาดีต่อองค์หญิงฝ่าบาทจะต้องมองเห็นความจริงใจในตัวท่านขุนพล"ชิงซียิ้มเสียงฝีเท้าม้าควบตะบึงมาด้วยความเร็ว จงเจี้ยนและเหล่าทหารรอบเกี้ยวของอันอันและชิงซีไว้"หยุดดดดด"อินจิ๋นกระตุกบังเหียนม้า ให้หยุดกระโดดลงมายืนหน้าเกี้ยว"ขุนพล หลงจงเจี้ยนถวายพระพรฝ่าบาท"อันอันเปิดม่านแล้วกระโดดลงจากเกี้ยววิ่งเข้าไปกอดอินจิ๋นด้วยความถวิลหาอย่างที่สุดอินจิ๋นกอดรวบร่างบางแนบกายไม่ปล่อยกดริมฝีปากลงบนหน้าผาก“คิดถึงเจ้ายิ่งนัก”อันอันปาดน้ำตา“ฝ่าบาทมาช้า”“ข้าผิดเองที่มัวแต่ยุ่