ในขณะที่ถิงถิงกำลังไปยกคันฉ่องมาให้นาง เซี่ยซินหยานก็พยายามใช้ความคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่บนเตียง เธอจำได้ว่า ล่าสุดเธอทะเลาะกับพ่อจึงวิ่งออกจากบ้านมา จากนั้น..ก็มีฝนตกหนัก และถ้าหากความจำของเธอยังดีอยู่ ดูเหมือนว่า..เธอจะโดนฟ้าผ่าเข้าอย่างจังในขณะที่กำลังเดินตากฝนอยู่บนถนนทางออกจากหมู่บ้าน
แล้วจู่ ๆ เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แถมตอนนั้นก็กำลังจมน้ำจนเกือบตาย..ไหนจะโดนจับไปเฆี่ยนเพราะถูกเข้าใจผิดว่ามีเจตนาฆ่าผู้อื่น นี่มันเรื่องอะไรกันแน่
"คันฉ่องมาแล้วเจ้าค่ะ" ถิงถิงยกกระจกบานใหญ่มาตั้งไว้ข้างเตียงอย่างเหนื่อยหอบ แววตาของนางเต็มไปด้วยความห่วงใย คุณหนูคงจะกังวลว่าแผลจะทิ้งรอยเอาไว้สินะ..
เซี่ยซินหยานพยายามออกแรงดันตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่ง แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะพยุงร่างกายขึ้นมาได้ ถิงถิงเห็นเช่นนั้นจึงพยายามเข้าไปประคองผู้เป็นนายของตน ให้ลุกขึ้นมานั่งอย่างช้า ๆ
"ขอบใจนะ"เซี่ยซินหยานเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจก ภาพที่ปรากฏทำให้นางต้องตกใจถึงกับเบิกตาโพลง
ภายในกระจกบานนั้นสะท้อนภาพผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเปลือยท่อนบน ด้วยเพราะบาดแผลที่กลางหลังทำให้นางมิสามารถสวมอาภรณ์ได้ตามปกติ และแม้ตอนนี้ใบหน้าของนางจะดูซีดเซียวไร้เรี่ยวแรง ทว่านางก็ยังคงงดงาม
เซี่ยซินหยานได้แต่นั่งมองเงาที่สะท้อนอยู่ในนั้นตาปริบ ๆ กระจกบานนี้ไม่ได้ฉายภาพของเธอ.. บัดนี้เธอไม่สามารถขยับร่างกายได้เลย เธอรู้สึกสับสนไปหมด นี่มันเกิดอะไรขึ้น ที่จริงแล้วเธอตายไปแล้วหรือยัง แล้วผู้หญิงในกระจกนี่เป็นใคร
หรือว่า จ้าวเยี่ยนฟาง..จะเป็นเจ้าของร่างนี้ และความทรงจำต่าง ๆ ที่เธอได้รับ ล้วนเป็นของสตรีที่ชื่อว่าจ้าวเยี่ยนฟางอย่างนั้นหรือ..
ในความทรงจำที่เธอได้รับมานั้น สตรีที่เธอเห็นอยู่ในกระจกตอนนี้ มีชื่อเดิมว่าจ้าวเยี่ยนฟาง ก่อนจะเปลี่ยนเป็น ฮูหยินหวงเยี่ยนฟาง ภรรยาเพียงในนามของแม่ทัพหวงตงหยาง ทั้งคู่แต่งงานกันมาเป็นเวลาสามปี โดยที่ยังไม่เคยร่วมหอกันเลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว เพราะว่าหวงตงหยางรังเกียจภรรยาในนามของตนเป็นอย่างมาก
จ้าวเยี่ยนฟางเป็นบุตรีของเสนาบดีจ้าวซีฮัน และเป็นหลานสาวสุดที่รักขององค์ฮองเฮาคนปัจจุบันอีกด้วย และด้วยเหตุนี้ นางจึงขอร้องฮองเฮาผู้เป็นป้า ให้ทูลขอสมรสพระราชทานจากองค์ฮ่องเต้ ให้นางได้แต่งงานกับแม่ทัพหวงตงหยาง
หวงตงหยางไม่สามารถขัดพระราชโองการของฮ่องเต้ได้ จึงจำใจรับจ้าวเยี่ยนฟางมาเป็นฮูหยินของตน และแม้ว่าจะแต่งงานกันมาถึงสามปี เขาก็ไม่คิดทำหน้าที่สามีเลยสักครั้ง
และเมื่อหนึ่งปีก่อน หวงตงหยางก็ได้สนิทสนมกับสตรีคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพียงลูกขุนนางชั้นผู้น้อย สตรีผู้นั้นมีชื่อว่าเหรินหลานเฟิง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จ้าวเยี่ยนฟางรู้สึกหึงหวงสามีของตนเป็นอย่างมาก นางไม่ยอมให้สตรีใดเข้าใกล้สามีของตน และเกือบทุกครั้งที่จ้าวเยี่ยนฟางเห็นว่า เหรินหลานเฟิงอยู่ใกล้หวงตงหยาง นางก็จะไม่ยอมอยู่เฉย และมักเข้าไปทำร้ายร่างกายเหรินหลานเฟิงเสมอ
มิใช่แค่เหรินหลานเฟิงเท่านั้น หากมีสตรีหน้าไหนกล้าส่งสายตายั่วยวนให้หวงตงหยาง นางก็จะไม่ยอมไว้หน้า และตรงปรี่เข้าไปทำร้ายร่างกาย หรือด่าทอในทันที หากสาวใช้คนใดที่หน้าตาดี นางก็มักจะไล่ออกจากจวนอย่างไม่ปรานี เพราะกลัวว่าสาวใช้คนนั้นจะมายั่วยวนสามีของตน และด้วยเหตุนี้จึงทำให้หวงตงหยางเอือมระอาภรรยาในนามเป็นอย่างมาก
นางเป็นสตรีที่เข้ามาทำให้ชีวิตของเขาวุ่นวายและต้องอับอายผู้อื่น
เซี่ยซินหยานที่เห็นความทรงจำชัดเจนเช่นนั้น จึงเข้าใจได้ทันที ว่าเพราะเหตุใด ในครั้งแรกที่ได้เจอกัน บุรุษที่ชื่อว่าหวงตงหยางถึงได้มีท่าทีรังเกียจเธอเช่นนั้น ที่แท้เรื่องมันก็เป็นมาอย่างนี้นี่เอง.. และถ้าหากว่านั่นมันเป็นเพียงแค่เรื่องของคนอื่นคงจะดี ทว่าจ้าวเยี่ยนฟางที่ว่านั้นก็คือเจ้าของร่างที่เธอมาอาศัยอยู่ในขณะนี้
แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการสวมร่างของคนอื่นก็คือ เธอได้เข้ามาสวมร่างของนางร้ายในนิยายที่ต้องตายในตอนจบ ด้วยน้ำมือของคนที่นางรักสุดหัวใจอย่าง หวงตงหยาง! เธอเข้ามาอยู่ในร่างของนางร้ายจริง ๆ จ้าวเยี่ยนฟาง..หวงตงหยาง..เหรินหลานเฟิง ล้วนเป็นชื่อและนามสกุลของตัวละครในนิยายที่เธอเคยอ่านในชีวิตก่อน
"ฮะ ฮะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ" เซี่ยซินหยานหัวเราะออกมาอย่างเสียสติ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
ตายแน่ ข้าตายแน่ ๆ ชีวิตนี้จบสิ้นแล้ว ทำไมข้าต้องเข้ามาอยู่ในร่างของนางร้ายที่โง่เขลาที่ต้องตายในตอนจบด้วย
ในนิยายกล่าวไว้ว่า สุดท้ายแล้วจ้าวเยี่ยนฟาง ภรรยาผู้โง่เขลาและร้ายกาจ ก็ต้องตายด้วยน้ำมือสามีของตน เหตุผลเพราะว่านางวางแผนสังหารสตรีในดวงใจของผู้เป็นสามี แต่กลับถูกเขาจับได้ แผนการของนางจึงพังไม่เป็นท่า
และด้วยความโกรธของพระเอก ทำให้เขาลงมือสังหารจ้าวเยี่ยนฟางผู้เป็นฮูหยินเอกของเขาอย่างไร้ความปรานี ส่วนศพของนางก็ถูกทิ้งลงแม่น้ำอย่างไม่ไยดี สุดท้ายตอนจบในนิยาย หวงตงหยางและเหรินหลานเฟิงก็ครองคู่กันอย่างสมใจ
และนิยายเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่พระเอกและนางเอกโดนวิจารณ์อย่างหนัก เพราะพระเอกก็ชั่วช้า ส่วนนางเอกก็แย่งสามีคนอื่น จ้าวเยี่ยนฟางที่รับบทตัวร้ายก็เป็นเพียงสตรีโง่เขลา หาได้ร้ายกาจไม่..
นี่เราต้องมาสวมร่างสตรีโง่เขลา ในนิยายเรื่องที่เราเคยสาปหรอเนี่ย..
"ฮูหยินท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ" ถิงถิงที่เห็นว่าเจ้านายของตนหัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติถึงเอ่ยถามออกไปด้วยความห่วงใย ชั่วชีวิตนี้ฮูหยินมิเคยต้องลำบากเลยสักครั้ง แต่กลับมาถูกสามีสั่งโบยเช่นนี้ จิตใจของท่านจะเป็นเยี่ยงไร ท่านคงจะเสียใจไม่น้อยเลยใช่หรือไม่
"ถิงถิง ขอบคุณที่วันนั้นเจ้าพยายามปกป้องข้า" เซี่ยซินหยานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ถิงถิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ฮูหยินรักมั่นท่านแม่ทัพเพียงใดมีเพียงนางที่รู้
"ถิงถิงจะคอยช่วยเหลือและปกป้องท่านจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ฮูหยิน..บ่าวขอโทษนะเจ้าคะ ที่บ่าวไร้ประโยชน์ ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรท่านได้เลย" สาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ก้มหน้าผากจรดพื้น เซี่ยซินหยานเห็นเช่นนั้นก็ทำตัวไม่ถูก
"เงยหน้าขึ้นมาเถิด ความภักดีของเจ้า..ข้าจะจำใส่ใจเอาไว้"
เซี่ยซินหยานใช้เวลาเป็นเดือน กว่าแผลที่หลังจะหายดี หลังจากวันที่นางถูกโบยนางก็มีไข้ขึ้นสูง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็มีเพียงถิงถิงที่คอยดูแลนาง ส่วนหวงตงหยางผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีนั้นไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นแม้แต่ครั้งเดียว แต่นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะนางก็ไม่อยากเห็นหน้าเขาเช่นกัน
บุรุษชั่วช้าและหูเบาผู้นั้น ข้าไม่อยากจะได้ยินแม้กระทั่งชื่อ!
เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่เซี่ยซินหยานใช้ชีวิตเป็นฮูหยินในนามของแม่ทัพหวง นางใช้ชีวิตอยู่เพียงในบริเวณเรือนและห้องของตนเอง ซึ่งตอนนี้มิต่างจากตำหนักเย็น
เซี่ยซินหยานทำใจยอมรับได้แล้วว่า ต่อจากนี้ไปนางคงต้องใช้ชีวิตเป็นจ้าวเยี่ยนฟาง และนางก็จะไม่ยอมให้ตอนจบมันเป็นไปตามต้นฉบับนิยาย เพราะหากเป็นเช่นนั้น นั่นก็หมายความว่านางต้องตายอีกครั้งน่ะสิ!
หนึ่งเดือนก่อน
เพล้ง!! เสียงแจกันกระทบกับพื้นห้องจนแตกกระจายตามแรงปัดของคนที่กำลังกระฟัดกระเฟียด
"ฉันบอกแกแล้วใช่มั้ย ไม่ว่าจะยังไง แกต้องเรียนหมอให้จบ" คนเป็นพ่อตวาดลั่นชี้หน้าลูกสาวด้วยความโกรธด้วยความผิดหวัง
"ครอบครัวเราเป็นข้าราชการ มีหน้ามีตากันหมด แกช่วยดูพี่ชายแกเป็นตัวอย่างได้มั้ย แกจะทำให้ฉันอับอายขายหน้าไปถึงไหน" เสียงของชายวัยห้าสิบเศษยังคงต่อว่าลูกสาวอย่างไม่ลดละ
"ทำไมพ่อต้องเอาพี่มาเปรียบเทียบกับหนูตลอดเลย หนูเคยบอกพ่อไปแล้วว่าหนูไม่ชอบ หนูไม่อยากเป็นหมอ ทำไมพ่อกับแม่ไม่เคยฟังหนูเลย" เซี่ยซินหยานตอบกลับผู้เป็นพ่อทั้งน้ำตา เธอไม่เคยมีความคิดที่อยากจะเป็นหมอเลยสักนิด เมื่อครั้งที่เรียนจบมัธยมปลาย เธอมีความคิดที่จะไปเรียนเกี่ยวกับการวาดรูป เธอชื่นชอบในการวาดรูปเป็นอย่างมาก
แต่ทว่าที่บ้านของเธอกลับคัดค้านอย่างหนัก ซึ่งตอนนั้นเธอทะเลาะกับพ่อแม่เสียจนใหญ่โต แต่สุดท้ายเซี่ยซินหยานก็ยอมอ่านหนังสือ เรียนพิเศษอย่างหนักเพื่อที่จะสอบเข้าขณะแพทย์ในมหาวิทยาลัยชื่อดังตามที่พ่อแม่ของเธอต้องการ
เซี่ยซินหยานใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเรียนพิเศษและอ่านหนังสือ จนร่างกายเริ่มทรุดโทรม ในวันที่เธอรู้ผลการสอบว่าตัวเองสอบติด เธอก็อดที่จะภูมิใจในตัวเองไม่ได้ แม้ว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่เธอนั้นชอบ แต่ว่าเธอก็พยายามจนสามารถสอบติดคณะแพทยศาสตร์ได้สมความตั้งใจ
เซี่ยซินหยานหวังอยู่ในใจลึก ๆ ว่าพ่อและแม่คงจะดีใจกับเธอ ท่านทั้งสองคงจะเอ่ยชมเธอบ้าง แต่สิ่งที่เธอได้ยินจากปากผู้เป็นพ่อและแม่ คือคำว่า "แกทำได้ดีแค่นี้เองหรือ รู้มั้ยว่าฉันเสียเงินส่งแกเรียนพิเศษไปมากแค่ไหน แต่กลับสอบติดในอันดับท้าย ๆ ช่างน่าผิดหวังเสียจริง"
เซี่ยซินหยานเก็บความเสียใจไว้ในใจเสมอมา หากนางพยายามมากกว่านี้อีก คงมีสักวันที่พ่อแม่รู้สึกภูมิใจในตัวเธอเป็นแน่ เธอได้แต่พร่ำบอกและให้กำลังใจตัวเองแบบนั้น..
แต่เมื่อคืนวันผ่านไป ความเหนื่อยล้าก็ยิ่งถาโถม เซี่ยซินหยานอดทนเรียนในสิ่งที่ตนเองไม่ได้ชอบมาเป็นเวลาสองปีกว่า เกรดที่ออกมาก็อยู่ในเกณฑ์ที่ถือว่าดี แต่มันก็ยังคงดีไม่พอในสายตาของพ่อกับแม่
คำชมเล็ก ๆ ว่า เก่งมาก พ่อแม่ภูมิใจในตัวลูกนะ มันเป็นคำที่หาฟังได้ยากที่สุดในชีวิตของเธอ
เซี่ยซินหยานใช้ชีวิตอยู่ใต้เงาของผู้เป็นพี่ชาย ที่ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็สามารถทำออกมาได้ดีเสมอ ต่างกับเธอ ที่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ พ่อและแม่ก็ไม่เคยภูมิใจในตัวเธอเลยสักครั้ง
"หนูเหนื่อย หนูท้อ หนูเครียด หนูทนเรียนต่อไปไม่ไหวแล้วค่ะ ไม่ว่าหนูจะพยายามเท่าไหร่ มันก็คงดีไปกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะค่ะ" เซี่ยซินหยานพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พลางใช้หลังมือปาดน้ำตาอย่างลวก ๆ
"เหนื่อยหรือ แกเหนื่อยอะไรห๊ะ! ฉันเหนื่อยกว่าแกตั้งเยอะ ใครกันที่เป็นคนส่งเสียให้แกเรียนมาจนป่านนี้ แกยังกล้าพูดคำว่าเหนื่อยกับฉันอีกหรือ แค่ไปเรียนแล้วกลับบ้านเนี่ยนะ มันเหนื่อยอะไรนักหนา!!!" ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของเซี่ยซินหยานตวาดลั่น ไม่รู้ว่าทำไมลูกสาวคนนี้ถึงได้ทำให้เขาผิดหวังอยู่เรื่อยเลย หากเธอเป็นเหมือนพี่ชายสักเสี้ยวหนึ่งก็คงดี!!
"หนูก็เหนื่อยกับทุกอย่างนั่นแหละ เอะอะพ่อกับแม่ก็จะให้หนูเป็นอย่างพี่ให้ได้ ทำไมล่ะคะ หนูก็เป็นลูกของพ่อกับแม่เหมือนกันนะ หนูถามจริง ๆ เถอะ ตั้งแต่หนูเกิดมา นอกจากคำชมครั้งแรกในตอนที่หนูพูดได้ พ่อกับแม่เคยคิดจะชมอะไรหนูบ้างมั้ย"
"นี่แกอิจฉาพี่ชายของตัวเองหรือ ก็แกไม่ได้ทำเรื่องอะไรให้ฉันรู้สึกชื่นชม ทำไมฉันต้องชมแกด้วย" ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อตอบกลับทันควัน คำพูดนั้นราวกับถูกน้ำเย็นสาดใส่หน้า เซี่ยซินหยานรู้สึกชาไปทั้งตัว
มันจริงอยู่ที่เธอรู้สึกอิจฉาพี่ชายของตัวเอง แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นคนเรียนเก่งหรือได้มีอาชีพเป็นหมอ แต่เธอรู้สึกอิจฉาพี่ชายเสมอ ที่ไม่ว่าพี่ชายจะทำอะไรพ่อกับแม่ก็ยังคงชื่นชมและให้กำลังใจ เขาเป็นที่รักของพ่อแม่เสมอต่างจากเธอที่รู้สึกว่าตนเองเป็นคนไร้ค่า พอกันทีจากนี้เธอจะไม่ยอมอีกต่อไป
"พ่อรู้มั้ยคะว่าหนูเหนื่อยกับอะไรที่สุด ก็การมีชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้ไงที่มันเหนื่อยที่สุด!!" ใจดวงน้อยแสนเจ็บปวดรวดร้าว เธอเข้าใจดีว่าพ่อกับแม่รักพี่ชายมาก แต่เธอก็ไม่รู้ว่าท่านทั้งสองจะไม่เหลือเศษเสี้ยวความรักให้เธอเลยสักนิด
"เซี่ยซินหยาน!!!!"
"ซินหยานทำไมพูดแบบนั้นล่ะลูก ไม่น่ารักเลย ขอโทษคุณพ่อเดี๋ยวนี้เลยนะ" หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นด้วยสุ้มเสียงตำหนิ เธอคนนั้นคือแม่แท้ ๆ ของเซี่ยซินหยานเอง
"พ่อกับแม่รู้อะไรมั้ย หนูเองก็ผิดหวังเหมือนกัน! ทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่เหมือนพ่อแม่คนอื่นบ้าง ทำไมถึงพูดดี ๆ ไม่เป็น พ่อกับแม่รักหนูบ้างไหม? ทำไมไม่สนใจความรู้สึกของหนูเลย หนูก็ผิดหวังในตัวพ่อกับแม่เหมือนกัน"
เพี๊ยะ!!! สิ้นคำตัดพ้อ ใบหน้างามก็สะบัดไปตามแรงฝ่ามือของบิดา มือเรียวยกขึ้นมากุมแก้มด้านที่โดนตบไว้ด้วยความเจ็บปวด ความน้อยใจ เสียใจ ฉายชัดในแววตา แผลภายนอกมันไม่เท่าไหร่ แต่แผลในใจนี้มันคงใหญ่เกินกว่าจะรักษาและเยียวยา
"ถ้าแกผิดหวังนัก ก็ไปอยู่ที่อื่น ไปเลย อยากไปวาดรูป ไปขอทาน ไปทำอะไรที่ไหนก็ไป!!!" เขายังคงชี้หน้าด่าเธอด้วยความโกรธเกรี้ยว แม้ว่าลูกสาวจะร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยนแลดูน่าสงสารแล้วก็ตาม
"คุณคะ ใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ ซินหยานรีบขอโทษพ่อสิลูก" ผู้เป็นแม่รีบห้ามปรามก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายไปมากกว่านี้
"ได้!! นับจากนี้เป็นต้นไป หนูจะไม่กลับมาเหยียบบ้านหลังนี้อีก!" เมื่อพูดจบเซี่ยซินหยานก็เปิดประตูบ้านและวิ่งออกไปอยากรวดเร็ว
เซี่ยซินหยานไม่สามารถทนฟังคำพูดที่แสนจะเลวร้ายจากผู้เป็นพ่อได้อีกต่อไป ขนาดแม่ก็ยังไม่เคยเข้าข้างเธอ ที่ผ่านมามีแต่เออออเห็นด้วยกับพ่อ ไม่ว่าคำพูดของพ่อจะรุนแรงแค่ไหน ควรหรือไม่ควรพูดอย่างไร แม่ก็ไม่เคยห้ามปรามพ่อ มีแต่ความเงียบ กับสายตาที่มองมาด้วยความผิดหวัง
ครืนนน ครืนนน
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นตามด้วยฝนห่าใหญ่ที่ตกลงมา ราวกับว่ากลั่นแกล้งเซี่ยซินหยาน เธอโอบกอดร่างกายของตัวเองและค่อย ๆ เดินไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย ข้างนอกตอนนี้ก็เป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกแล้ว แสงสว่างเดียวที่เธอมองเห็นคือแสงจากไฟสาธารณะตามข้างทาง
ฝนเม็ดใหญ่ตกลงมากระทบใบหน้างามจนรู้สึกเจ็บแสบ ร่างกายก็เริ่มสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บ เซี่ยซินหยานวิ่งออกจากบ้านมาด้วยตัวเปล่า นอกจากเสื้อผ้าที่สวมใส่เธอก็มิมีสิ่งใดติดตัวมาเลยสักชิ้นเดียว แม้แต่เงินสักบาทก็ไม่มี ร่างบางเดินสั่นเทาท่ามกลางสายฝนอย่างไร้จุดหมาย เธอร้องไห้ออกมาจนรู้สึกอ่อนล้า
"โอ๊ย!! ไอ้ฝนบ้านี่มึงจะตกอีกนานมั้ยวะ!!! โลกใบนี้คนที่เกิดมาซวย มันมีแค่กูคนเดียวหรือไง" สารพัดคำด่าทอและคำตัดพ้อถูกพ่นออกมาจากปากคนที่ปกติพูดน้อยจนแทบจะนับคำได้
ครืนน ครืนนน
"เอ้อ มึงก็ผ่ามาเลยสิวะ กูก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกเฮงซวยนี้แล้วเหมือนกัน!!"
เสียงฟ้ายังคงร้องดังอยู่อย่างนั้นอย่างต่อเนื่อง เซี่ยซินหยานชูนิ้วกลางขึ้นบนท้องฟ้าก่อนจะสบถด่าอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ชีวิตของนางไม่มีสิ่งใดให้ต้องกลัวอีกแล้ว อย่างน้อยโดนฟ้าผ่าก็คงไม่ทรมานเท่าไหร่ อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้ฆ่าตัวตาย หากฟ้าผ่าลงมาจริง ๆ ก็คงจะไม่ถือว่าเธอทำบาปหรอก
เปรี้ยงงงง!!
เมื่อเซี่ยซินหยานพูดจบ อสนีบาตก็ผ่าฟาดลงมายังร่างเล็ก ๆ ของเซี่ยซินหยาน ก่อให้เกิดเสียงดังกัมปนาทไปทั่วบริเวณ
"นี่ฉันคงจะตายแล้วสินะ.. ตายไปอย่างคนไร้ค่า.. แต่ดีแล้วล่ะ ดีจริงๆ .."
ภาพสุดท้ายที่เซี่ยซินหยานเห็นคือแสงสว่างวาบทำให้ทุกอย่างขาวโพลนไปหมดจนไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้ ก่อนที่ภาพนั้นจะค่อย ๆ เลือนรางลง จนมืดสนิท..
แสงแดดสาดส่องผ่านหน้าต่างมากระทบลงบนใบหน้างดงามของสตรีนางหนึ่ง ที่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียงไม้หรูหรา ประดับไปด้วยผ้าม่านสีขาวพลิ้วไหว นางเป็นคนที่งดงามราวกับเทพธิดา ใบหน้ารูปไข่ไร้ฝ้ากระ ผมสีดำขลับยาวสลวย คิ้วโกงโค้งดุจคันศร จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเป็นกระจับสีชมพูระเรื่อ รวมถึงผิวพรรณที่ขาวนวลผ่องดุจมุกเม็ดงาม ดั่งสวรรค์ตั้งใจสรรค์สร้างขึ้นมาจ้าวเยี่ยนฟางลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ นางพยายามปรับสายตารับกับแสงให้มองเห็นภาพเบื้องหน้าให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เมื่อตั้งสติได้จึงพยายามกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ทั้งเตียง เพดาน รวมถึง เฟอร์นิเจอร์ ทุกอย่างล้วนดูแปลกตา และไม่ว่าจะตื่นมาเห็นเช่นนี้อีกกี่ครั้ง นางก็ยังรู้สึกไม่คุ้นชินหลังจากวันแรกที่มาอยู่ในร่างนี้ นางก็พยายามคิดหาหนทางเพื่อเอาชีวิตรอดอยู่เสมอ แผนการที่ทำให้พระเอกหลงรักเพื่อที่ตนจะได้ไม่ถูกฆ่านั้น คือแผนการที่นางปัดตกไปเป็นอันดับแรกเพราะตัวนางนั้นรู้ดีว่าหวงตงหยางรังเกียจนางเพียงใด คงไม่มีทางที่เขาจะหันมาสนใจนางอย่างแน่นอน วิธีเดียวที่จะทำให้นางมีชีวิตรอดในตอนนี้ คือการอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว และพยายามเป็นภรรยาในนามที่ดี เผื่อหวงตงหยางจะร
"กลับจวนกับข้า"ในขณะที่นางกำลังจะแนะนำตัว ก็มีเสียงทุ้มต่ำพูดขัดขึ้นอยู่ทางด้านข้าง ดวงตาดุดันเหมือนฆ่าคนได้ตวัดมองนางอย่างไม่พอใจ จ้าวเยี่ยนฟางไม่ทันได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าหวงตงหยางเดินมาหานางตั้งแต่ตอนไหน เหตุใดเขาถึงมายืนอยู่ตรงนี้.."ทำไมข้าต้องกลับกับท่าน" นางเอ่ยถามกลับด้วยความไม่เข้าใจ จู่ ๆ หวงตงหยางเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา"ข้าบอกให้กลับจวนกับข้า" เสียงทุ้มของเขามีร่องรอยสะกดกลั้นอารมณ์ หวงตงหยางคว้าข้อมือเล็กของนางพร้อมออกแรงดึงให้นางลุกขึ้น อันที่จริงเขาเห็นนางตั้งแต่นางเดินเข้ามานั่งตรงนี้แล้ว เพียงแต่ว่าเขามิได้ใส่ใจก็เท่านั้น"ปล่อยนะ ข้าบอกให้ปล่อยไง" จ้าวเยี่ยนฟางขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจ เขาถือดีอย่างไรมากระชากแขนคนอื่นตามใจชอบ ทุกแรงกระชากของเขา ไม่มีความเบามือเลยสักนิด นี่หวงตงหยางยังเห็นนางเป็นคนอยู่หรือไม่ เหตุใดจึงได้ใจร้ายกับนางนัก"หวงตงหยาง ข้าเจ็บนะ ปล่อยข้า.. บอกให้ปล่อยไง!!!" นางตะคอกด้วยน้ำเสียงโกรธขึ้ง ที่ผ่านมานางก็พยายามอยู่ในที่ของตน ไม่ไปก่อเรื่องให้เขาต้องขุ่นเคืองใจ แต่เหตุใดเขาถึงเป็นฝ่ายมาก่อเรื่องให้นางรำคาญใจเสียเอง"นี่ท่านเป็นใคร ถึงได้มาบังคับให
"ท่านจงสัญญากับข้าว่า ท่านจะไม่มีวันคิดทำร้ายหรือสังหารข้า นี่คือเรื่องเดียวที่ข้าอยากขอร้องท่าน"นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและแววตาแฝงไปด้วยความสั่นไหว บอกตามตรงว่านางหวาดกลัวโลกใบใหม่แห่งนี้เหลือเกิน เพราะมันเป็นสถานที่ ที่ชะตาชีวิตของนางถูกกำหนดไว้แล้ว ด้วยปลายปากกาของคนเพียงหนึ่งมันเป็นโลกของนิยายที่นักเขียนได้สร้างขึ้นมาให้ จ้าวเยี่ยนฟาง ถูกสามีที่นางรักยิ่งกว่าสิ่งใด ลงมือสังหารนางได้อย่างเลือดเย็น..หวงตงหยางมองหน้าภรรยาที่เขานั้นแสนจะเกลียดชังด้วยความรู้สึกบางอย่าง ภายในใจของเขารู้สึกสับสนอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน การที่ภรรยามาขอร้องเขาว่าอย่าสังหารนาง สำหรับสามีแล้ว เขาควรรู้สึกอย่างไรดีนี่เขาชั่วช้าในสายตานางถึงเพียงนั้นเชียวหรือ.."ได้สิข้าสัญญา"หวงตงหยางตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ แววตาของเขาวูบไหวเพียงครู่หนึ่งก่อนจะกลับมานิ่งเฉยดังเดิม หรือว่าเป็นเพราะเหตุการณ์ในวันนั้น.. นางถึงได้แปลกไปจากเดิมหลังจากวันนั้น แม่ทัพหวงตงหยางก็สั่งยกเลิกการกักบริเวณฮูหยิน เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจ้าวเยี่ยนฟางจะรักษาสัญญาที่เคยพูดไว้เป็นอย่างดี นอกจากการมาขอให้เขาช่วยตรวจสอบบัญชีการใช้จ
จ้าวเยี่ยนฟางนั่งอยู่เพียงลำพังเช่นนั้นราวสองเค่อ แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของหวงตงหยางว่าจะกลับมา ถึงเขาจะเกลียดชังนางอย่างไร แต่เขาคงไม่ได้จะทิ้งนางไว้ที่นี่หรอกใช่หรือไม่..บัดนี้นางรู้สึกเวียนหัวมากขึ้นกว่าตอนแรก สงสัยว่านางคงไข้ขึ้นเสียแล้ว หวงตงหยางจะว่าอย่างไรก็ช่าง แต่ตอนนี้นางอยากกลับจวนเต็มทน แต่ก่อนจะกลับ อย่างไรก็ต้องไปตามหาหวงตงหยางเสียก่อน หากเขายังอยากใช้เวลาอยู่กับแม่นางเหริน นางก็จะปล่อยเขาไว้ที่นี่ แล้วกลับจวนสกุลหวงไปคนเดียวจ้าวเยี่ยนฟางตัดสินใจเดินออกมาข้างนอกเพื่อตามหาหวงตงหยาง ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องนภา สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดเอื่อย ๆ พัดพากลิ่นหอมของมวลดอกไม้ลอยล่องมาตามสายลม พระตำหนักแห่งนี้ประดับประดาไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ที่หายลได้ยากยิ่ง สมกับเป็นพระที่นั่งขององค์ฮองเฮา"ข้าก็คิดอยู่ว่า ผู้ใดออกมายืนอยู่คนเดียวเช่นนี้ ที่แท้..ก็หวงฮูหยินนี่เอง" น้ำเสียงเย้ยหยันดังขึ้นจากทางด้านหลัง จ้าวเยี่ยนฟางหันกลับไปยังทางต้นเสียงก็พบกับคุณหนูจากตระกูลขุนนางสามคนในความทรงจำที่ปรากฎ หนึ่งในคุณหนูเหล่านี้มีสตรีคนหนึ่งเคยตามเกี้ยวหวงตงหยาง ตั้งแต่ตอนที่นางและเขายังไม่ได้แต่ง
ถนนเทียนหนิงวันนี้จ้าวเยี่ยนฟางซื้อของมากมายทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับ นางรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ซื้อของตามที่ใจตนอยากได้ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเงินถุงเล็ก ๆ แค่นี้จะซื้อของได้มากมายถึงเพียงนี้เงินนี่ดีจริง ๆ ข้ารักเงินที่สุดเลย!"คุณหนู ท่านอยากจะแวะไปที่ไหนก่อนหรือไม่เจ้าคะ" ถิงถิงเอ่ยถามผู้เป็นนาย นาน ๆ ทีคุณหนูจ้าวจะออกจากจวน จะให้กลับไปทั้งอย่างนี้เลยก็เป็นที่เสียดายน่าดู"อืม..ข้าอยากไปร้านที่มีจิตรกรวาดรูปน่ะ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันอยู่ที่ไหน" หากชาตินี้นางสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระได้ นางก็อยากจะทำในสิ่งที่นางรัก อย่างเช่นการวาดรูป ในชีวิตก่อนนางต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือและเรียนพิเศษ จึงทำให้ไม่มีเวลาทำในสิ่งที่ตนชื่นชอบ"คุณหนูอาจจะมิได้สังเกต แต่ที่ถนนเทียนหนิงมีอยู่ที่หนึ่งนะเจ้าคะถึงมันจะเป็นร้านเล็ก ๆ ก็ตาม คุณหนู..ท่านอยากซื้อภาพวาดหรือเจ้าคะ""ใช่ และข้าก็อยากซื้อผืนผ้ามาวาดรูปด้วย" นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส ครั้งสุดท้ายที่นางได้จับพู่กันระบายสี มันตอนไหนกันนะถิงถิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หากคุณหนูจะแวะไปซื้อภาพวาด นางก็พอเข้าใจได้ แต่คุณหนูบอกว่าจะซื้อผืนผ้ามาว
เขาเสี่ยงชีวิตมาช่วยพวกนางแท้ ๆ นางจะทิ้งเขาลงอย่างนั้นหรือ นั่นมันไร้หัวใจเกินไปแล้ว พวกโจรมันมีกันตั้งหลายคน ลำพังแค่เขาผู้เดียว จะไปสู้พวกมันได้อย่างไร..อีกใจหนึ่งของนางก็คิดว่าหากเขาไม่มั่นใจในฝีมือของตนเอง ก็คงจะมิกล้ากระโดดเข้ามาช่วยนางหรอก! นางกลับไปแล้วจะช่วยอะไรเขาได้โอ๊ย เอาวะเป็นไงเป็นกัน!!"ถิงถิงเจ้ารีบกลับไปตามคนมาช่วยบุรุษผู้นั้นเร็ว คนนับสิบรุมคนเพียงหนึ่งอันตรายเกินไป ข้าจะกลับไปดูเขา เผื่อจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง""คุณหนู ท่านไปมิได้นะเจ้าคะมันอันตราย""นี่คือคำสั่ง ถ้าไม่อยากให้ข้าเป็นอันตราย เจ้าจงรีบไปตามคนมา!!" บัดนี้ในใจของนางว้าวุ่น เรื่องคอขาดบาดตายเช่นนี้จะมัวรอช้ามิได้ นางรู้สึกผิดที่ตอนแรกคิดหนีเขาออกมา"เจ้าค่ะข้าจะรีบไปตามคนมาเดี๋ยวนี้" ถิงถิงไม่รอช้ารีบวิ่งไปตามทางรถม้า ในใจก็นึกให้ใครก็ได้ช่วยคุณหนูกับผู้มีพระคุณคนนั้นด้วย!เจ้าเยี่ยนฟางวิ่งกลับมาที่เดิม บุรุษผู้มีพระคุณของนางกำลังต่อสู้อยู่กับพวกโจรอย่างดุเดือด บัดนี้พวกมันนอนหมอบกับพื้นไปเกือบหมดแล้ว บุรุษผู้นี้ช่างไร้เทียมทานยิ่งนักนางหลบอยู่หลังต้นไม้คอยสังเกตการณ์ จะมีสิ่งใดที่นางพอจะช่วยเขาได้บ้าง น
หวงตงหยาง..ตอนนี้เขาควรอยู่กับเหรินหลานเฟิงที่โรงน้ำชาสิ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน หวงตงหยางผู้นั้นเนี่ยนะ จะมาช่วยข้า เห็นทีปีนี้หิมะคงไม่ตกแล้วล่ะ เขาเกลียดจ้าวเยี่ยนฟางอย่างกับไส้เดือนกิ้งกือ เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะตามมาเพื่อปกป้องนาง"ท่าน! ท่านมาทำอะไรที่นี่" แม้นางจะคิดว่าบุรุษผู้นี้มีส่วนคล้ายกับหวงตงหยาง แต่นางก็ไม่คิดว่าจะเป็นเขาจริง ๆ เพราะจากนิยายที่นางเคยอ่านมันไม่มีฉากนี้นี่นา"นี่คือสิ่งแรกที่เจ้าพูดกับผู้มีพระคุณของเจ้าหรือ" หวงตงหยางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หลังจากจบงานเลี้ยงที่วัง เขาก็แทบไม่ได้เห็นหน้าจ้าวเยี่ยนฟางอีกเลย ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอหน้าฮูหยินของตนข้างนอกจวน แถมยังเป็นสถานการณ์เช่นนี้เพราะปกตินางจะต้องมาตามรังควานเขาเสียทุกที แต่คราวนี้นางกลับทำเหมือนไม่เห็นเขา และเดินออกไปทั้งอย่างนั้น อันที่จริงเขาเห็นนางตั้งแต่เดินเข้ามาที่โรงน้ำชาแล้วล่ะ เพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็นนางก็เท่านั้นและสิ่งที่แปลกขึ้นไปอีกคือ การที่จ้าวเยี่ยนฟางเห็นเขานั่งอยู่กับเหรินหลานเฟิง หากเป็นปกตินางคงเข้ามาโวยวาย ทำร้ายร่างกายเหรินหลานเฟิง ไม่ก็ทำลายขว้างปาข้าวของ แต่นางกลับไม่มีท
"หากหมอที่เก่งที่สุดรักษาได้เพียงเท่านี้ เช่นนั้นข้าจะเป็นคนรักษาให้ท่านเอง!" วิชาแพทย์ที่นางเคยร่ำเรียนมาในชาติก่อน กำลังจะได้ใช้จริงในชาตินี้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่อาชีพที่นางชอบ แต่นางก็ต้องทำเพื่อช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน"อย่างเจ้าน่ะหรือจะรักษาข้า แค่กๆ" เสียงพูดกระท่อนกระแท่นและไอโขกตามมาหลังจากบุรุษผู้องอาจพูดจบ หวงตงหยางพยายามสูดเอาอากาศเข้าปอด และค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะอย่างช้า ๆ ตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะมาสู้รบตบมือกับนางแล้วหากหมอที่เก่งที่สุดยังรักษาเขาไม่ได้ สตรีที่ชื่อว่าจ้าวเยี่ยนฟางจะรักษาเขาได้อย่างไร แต่ก็ช่างเถิด ตอนนี้เขาไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว..จ้าวเยี่ยนฟางถือวิสาสะถอดเสื้อของเขาออกตามอำเภอใจ หวงตงหยางก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืน นางเคยทำแผลให้เขามาแล้วครั้งหนึ่ง มิรู้ว่าครั้งนี้จะสามารถไว้ใจนางได้หรือไม่ เขาได้แต่ทำใจและยอมให้นางรักษาแต่โดยดีนางสำรวจบาดแผลของเขา ก่อนจะหันกลับมาบ่นเขาตามประสาคนที่เคยเรียนหมอมาก่อน ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าทำไมหมอถึงบ่นนางในตอนที่นางป่วยเพราะนางเองก็เป็นคนประเภทที่ หากไม่ได้เป็นอะไรหนักหนา นางจะไม่มีทางไป
"หยางหยาง เธอคนนั้นสวยเนอะนายว่ามั้ย" ลู่ฉือเฉิงใช้ศอกสะกิดเพื่อนรักของตัวเองด้วยความตื่นเต้น พลางใช้นิ้วชี้ไปยังผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ยืนหันหลังอยู่ เธอสวมมินิเดรสสีครีม พร้อมกับรองเท้าส้นสูงแบรนด์ดัง ผมสีน้ำตาลอ่อนเหยียดตรงยาวจนถึงกลางหลัง ยิ่งมองดูยิ่งรู้สึกหลงใหล"อืม" เขาตอบกลับเพียงสั้น ๆ ทำเอาลูู่ฉือเฉิงถึงกับหน้ายู่ด้วยความผิดหวัง ทำไมเพื่อนของเขาถึงได้ทำตัวเหมือนกับก้อนหินแบบนี้ อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ กันแล้ว แต่เขายังไม่เคยเห็นเพื่อนสนิทคนนี้มีแฟนกับเขาเลยสักคน"นี่หยางหยาง ฉันถามนายจริง ๆ นาย..คงไม่ได้ชอบผู้ชายหรอกใช่มั้ย" ลู่ฉือเฉิงเอ่ยถามเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงที่ติดตลก"ฉันชอบผู้หญิงเหมือนกับนายนั่นแหละน่า" หวงตงหยางหรือที่เพื่อนสนิทเรียกว่าหยางหยางตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ อันที่จริงเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับศิลปะเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าที่ยอมมาหอศิลป์เป็นเพื่อนเจ้าลู่ฉือเฉิง เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับศิลปินท่านหนึ่งที่เขาจะต้องรู้ให้ได้..ชื่อของศิลปินคนนี้ เหมือนกับนางในฝันของเขา .."หยางหยางนายยังฝันแปลก ๆ อยู่ใช่มั้ย เพราะเธอคนนั้นหรือเปล่านายถึงไม่ยอมมีแฟนสักที" คำถาม
แสงไฟจากโคมระย้าคริสตัลส่องประกายระยิบระยับไปทั่วห้องโถงคอนโดหรู ผนังห้องสีครีมอ่อนประดับด้วยภาพวาดสีน้ำมันฝีมือประณีตที่บ่งบอกถึงรสนิยมอันเลิศหรูของเจ้าของห้อง เรือนร่างระหงยืนอยู่หน้าหน้าต่างบานใหญ่ เธอมองลงไปยังถนนด้านล่างที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนและยานพาหนะ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีจดหมายที่รอให้เธอเปิดอ่านวางรออยู่บนโต๊ะแขนเรียวเอื้อมมือไปหยิบซองจดหมายสีครีมที่วางอยู่บนโต๊ะข้างตัวออกมาเปิดอ่าน เนื้อหาภายในจดหมายแจ้งว่าเธอได้รับเชิญให้ไปจัดแสดงภาพวาดที่หอศิลป์แห่งหนึ่ง ริมฝีปากบางเผยอเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นและเดินไปยังมุมหนึ่งของห้องภาพวาดขนาดใหญ่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีขาวผืนหนึ่ง เรียวแขนเล็กค่อย ๆ ดึงผ้าคลุมออกอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นภาพวาดสีน้ำมันที่วิจิตรงดงาม สิ่งที่ปรากฏบนผืนผ้าใบก็คือรูปของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดจีนโบราณสีเปลือกไข่ เธอจ้องมองภาพนั้นด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ทว่ามิอาจซ่อนความโศกเศร้าในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนได้ แพขนตางอนหลุบต่ำลงเล็กน้อย นิ้วมือเรียวลูบดวงหน้าคนในภาพอย่างทะนุถนอม ราวกับกำลังสัมผัสใบหน้าของผู้เป็นที่รัก..เสียงริงโทนเรียกเข้าดังขึ้น ทำให้เจ้าของดว
หวงตงหยางนอนกอดหมอนที่ฮูหยินเคยหนุนนอน ด้วยความโศกเศร้าที่ไม่อาจบรรยายได้ น้ำตาแห่งความคิดถึงไหลอาบแก้มของเขา หมอนใบนั้นยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของนาง กลิ่นที่เขาจะไม่มีวันลืมเลือนไปได้ตลอดชีวิตหวงตงหยางโอบกอดหมอนแน่นยิ่งขึ้น ราวกับว่านั่นคือสิ่งเดียวที่ยังเชื่อมโยงเขากับนางได้ นัยน์ตาเศร้าสร้อยหลับตาลงและปล่อยให้ความทรงจำอันแสนหวานไหลเวียนอยู่ในหัวใจ ภาพของนางที่ยิ้มแย้ม หัวเราะ และร้องไห้ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา ภาพเหล่านั้นชัดเจนราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้แต่ความจริงแล้ว นางได้จากเขาไปแล้ว..หลังจากที่จ้าวเยี่ยนฟางสิ้นลมหายใจ หวงตงหยางก็รู้สึกราวกับว่าส่วนหนึ่งของตัวเขาได้ตายไปพร้อมกับนาง ความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดทรมานหัวใจ ภาพที่นางโผเข้ามารับคมกระบี่แทนเขายังคงตามหลอกหลอนเป็นดั่งเงา ทำให้เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแต่กระนั้นเขาก็ยังตายไม่ได้ เพราะนางได้ยอมสละชีวิตเพื่อช่วยเขาเอาไว้ เขาจำต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปกับความรู้สึกผิดที่กดทับหัวใจตลอดเวลาคำพูดที่จ้าวเยี่ยนฟางพูดไว้วันนั้นก็เป็นดั่งคำสาป "โปรดมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุขนะเจ้าคะ" นางพูดด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มชี
"หลานเฟิง เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร" หวงตงหยางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรนัก"ข้าเคยบอกท่านแล้วว่า ข้าจะมิยอมตกนรกอยู่คนเดียว ในเมื่อข้ามิสามารถครอบครองท่านได้ จะใครหน้าไหนก็มิคู่ควรทั้งนั้น!!" บัดนี้ดวงหน้าที่เคยงดงามอ่อนหวาน ถูกไฟริษยาแผดเผาจนไม่เหลือชิ้นดี ความรักทำให้นางตาบอดงมงาย ชายที่นางหลงรักกลับเห็นนางเป็นเพียงแค่ของเล่น สตรีที่นางชิงชังที่สุดกลับมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของนาง!!"ปล่อยเยี่ยนฟางไป นางมิได้เกี่ยวอะไรด้วย หากเจ้าโกรธแค้นนักก็มาลงที่ข้า ข้าขอรับความโกรธแค้นของเจ้าไว้แต่เพียงผู้เดียว""ฮ่าๆๆๆ จนป่านนี้ท่านก็ยังปกป้องมัน ในวันที่ข้าจมน้ำ ข้ารู้ว่าท่านแสร้งทำเป็นลงโทษนาง เพื่อที่จะได้มิต้องส่งตัวนางให้ทางการใช่หรือไม่ ท่านมิเคยคิดเข้าข้างข้าอยู่แล้ว แล้วที่ผ่านมาท่านจะมาให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับข้าทำไม""..." หวงตงหยางนิ่งเงียบมิยอมตอบกลับอะไร จริงอย่างที่เหรินหลานเฟิงพูด เขารู้ดีว่าจ้าวเยี่ยนฟางร้ายกาจเพียงใด แต่อย่างไรนางก็เป็นภรรยาที่รักและซื่อสัตย์ต่อเขาเพียงคนเดียว เหรินหลานเฟิงเองก็มิใช่สามัญชนคนธรรมดา หากบิดานางล่วงรู้ว่า ฮูหยินจงใจผลักลูกสาวของเข
แสงแดดสาดส่องผ่านหน้าต่างไม้สลัก มากระทบลงบนใบหน้าเนียนผ่องที่กำลังหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของผู้เป็นสามี เซี่ยซินหยานลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ ด้วยความงัวเงีย ดวงตาคู่งามจับจ้องไปยังใบหน้าคมคายที่บัดนี้กำลังหลับไหลอยู่ด้วยความรู้สึกรักใคร่ ฝ่ามือเล็กสัมผัสกับใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา เรียวนิ้วลูบไล้สันจมูกโด่งด้วยความหลงใหล"ฮูหยินเจ้าหลอกกินเต้าหู้ข้าหรือ" เสียงนุ่มทุ้มของเขาเอ่ยขึ้น ก่อนจะจับข้อมือของภรรยาตัวน้อยเอาไว้มิยอมปล่อย อันที่จริงเขาตื่นมาสักพักแล้ว เพียงแต่ว่าแสร้งทำเป็นนอนต่อก็เท่านั้น ผู้ใดจะรู้เล่าว่าฮูหยินจะมีมุมเช่นนี้อยู่ด้วย "ข้ามิได้คิดเช่นนั้นเสียหน่อย" เซี่ยซินหยานขมวดคิ้ว ประท้วงคำพูดของเขาด้วยเสียงแผ่ว นางมิได้มีความคิดเช่นนั้นเสียหน่อย นางเพียงแค่คิดว่าหวงตงหยางเป็นบุรุษที่รูปงามมากก็เท่านั้น มิได้มีอารมณ์ความรู้สึกใดแอบแฝงอย่างที่เขากล่าวหาเลยแม้แต่น้อย"หากมิได้คิดเช่นนั้น..แล้วเจ้าคิดเช่นไรกันล่ะ" สายตาวิบวับเจ้าเล่ห์จับจ้องไปยังริมฝีปากของนางพร้อมซักถาม "ข้าคิดว่าท่านรูปงามมากก็เท่านั้นเอง..พอใจหรือยังเจ้าคะ" เซี่ยซินหยานตัดสินใจตอบกลับไปตามตรง หวงต
อาทิตย์อัสดงสาดส่อง ย้อมให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนเป็นสีแสด กระทั่งเงาของต้นหลิวที่สะท้อนอยู่ในน้ำก็ยังมองเห็นเป็นสีแสดด้วยเช่นกัน จ้าวเยี่ยนฟางนั่งยังคงชะเง้อมองหาร่างของผู้เป็นสามี ด้วยความกระวนกระวายใจ"อากาศเย็นลงแล้วนะเจ้าคะฮูหยิน เข้าไปพักผ่อนด้านในเรือนเถิดเจ้าค่ะ" สาวใช้คนสนิทเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง วันนี้ฮูหยินของนางนั่งรอท่านแม่ทัพอยู่ที่ศาลาริมน้ำมาทั้งวันแล้ว ไม่ว่านางจะพูดเช่นไรก็ดูเหมือนว่าฮูหยินท่านจะไม่ยอมฟังเลยแม้แต่น้อย"ข้าขอรอเขาอยู่ตรงนี้อีกสักหน่อยนะ.." เสียงผู้เป็นนายตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน ถิงถิงจึงทำได้เพียงปล่อยให้ท่านนั่งรออยู่เช่นนี้ต่อไป สิ่งที่นางพอจะทำให้ฮูหยินได้ในเวลานี้ก็คือนำเสื้อคลุมหนา ๆ มาให้ท่านสินะ.."เช่นนั้นบ่าวจะไปนำเสื้อคลุมอุ่น ๆ มาให้นะเจ้าคะ" "อื้อ" จ้าวเยี่ยนฟางพยักหน้าตอบกลับเล็กน้อย ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังซุ้มประตูทางเข้าของเรือนจงหยุนไม่นานนักถิงถิงก็เดินกลับมาพร้อมกับเสื้อคลุมสีฟ้า มืออีกข้างหนึ่งของนางถือตะเกียงไม้มาด้วย นางช่วยใส่เสื้อคลุมให้กับฮูหยินและจัดแจงวางตะเกียงไว้ด้านข้าง เพราะนางรู้ดีว่าฮูหยินคงจะนั่งอยู่ต่อไปเช่นนี้ต่อไป หาก
ยามอู่ ของวันที่ห้าในป่าลึกเจียวมิ่งควบอาชาสีนิลมาหยุดอยู่ลานกว้างหน้ากระท่อมหลังเล็ก ร่างกำยำกระโดดลงจากหลังม้า ก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปผลักประตูไม้บานเก่า ๆ ออก จนเกิดเสียงดังเอี๊ยด ภาพที่เห็นนั้นยิ่งทำให้องครักษ์หนุ่มนั้นประหลาดใจก็คือภาพที่ เจ้านายของเขาพูดคุยกับตาเฒ่าเจ้าเลห์อย่างสนิทสนมราวกับว่ารู้จักกันมานานหรือตอนนี้ท่านแม่ทัพกำลังถูกสะกดจิต.. เขาคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ แต่กลับต้องหลุดออกจากภวังค์เพราะเสียงของผู้เป็นนาย"อ้าว เจ้ามาแล้วรึ" หวงตงหยางเอ่ยทักทายองครักษ์คนสนิท หลังจากที่มิได้เจอหน้ากันนานถึงสี่วัน"นายท่าน.. ท่านผู้เฒ่า" เจียวมิ่งประสานมือทำความเคารพก่อนจะค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม แม้ว่าในใจจะมิไว้ใจตาเฒ่าเจ้าเลห์ผู้นั้น แต่ทว่าตอนนั้นตาเฒ่านั่นก็มีศักดิ์เป็นถึงอาจารย์ของท่านแม่ทัพ มิว่าจะชอบหรือไม่ชอบอย่างไร เขาก็ต้องทำความเคารพ"ว่าแต่เจ้าหอบอะไรมาล่ะนั่น พะรุงพะรังเชียว"สายคมกริบจ้องมองห่อผ้าด้วยความสงสัย อันที่จริงเขากำลังรอให้เจียวมิ่งกลับมา เพราะจะได้ถามว่าฮูหยินได้ฝากจดหมายมาบ้างหรือเปล่า"อ่อ..ของพวกนี้ฮูหยินเป็นคนเตรียมมาให้ท่านน่ะขอรับ" เจียวมิ่งตอบกลับ ก่อนจะยื
บริเวณลานกว้างในป่าลึก หวงตงหยางฝึกฝนวิชาโดยการนั่งสมาธิเพื่อตามหาจุดที่มีแก่นของวิญญาณอยู่ โดยที่มีอาจารย์เฉิงคอยเฝ้าดูอยู่ไม่ห่าง และเมื่อเพ่งสมาธิถึงจุดหนึ่ง เสียงของเหล่าวิหกรวมถึงเสียงของสายลมนั้นได้ดับเงียบลงหวงตงหยางจ่มดิ่งสู่ห้วงแห่งสมาธิ และมุ่งหน้าตามหาแสงแห่งชีวิต จนกระทั่งพบเข้ากับดวงไฟสีขาวที่ลุกโชน เขาได้เอื้อมมือไปแตะกับดวงไฟดวงนั้น และเมื่อมือของเขาสัมผัสเข้ากับดวงไฟ ความรู้สึกมากมายก็ถาโถมเข้ามาอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ราวกับคลื่นทะเลที่คอยซัดเข้าหาชายฝั่งเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นทั่วร่างของหวงตงหยาง จนอาภรณ์ของเขานั้นเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เมื่อผู้เป็นอาจารย์เห็นเช่นนั้นจึงรู้ได้ทันทีว่า ลูกศิษย์ของเขาได้พบเจอเข้ากับแก่นของวิญญาณแล้วแก่นของวิญญาณนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์อันมากมายของมนุษย์ทั้ง รัก โลภ โกรธ หลง หวงตงหยางจะต้องเห็นภาพที่เขานั้นได้ใช้มาทั้งชีวิต รวมถึงได้เห็นอดีตทั้งดีและร้าย ต่อให้เป็นเรื่องที่เขานั้นลืมเลือนไปแล้ว มันก็จะกลับมาฉายซ้ำให้ได้เห็นหากเขาได้พบเข้ากับภาพแห่งความสุข เขาอาจจะไม่อยากกลับออกมายังโลกความเป็นจริงอีก ถ้าหากได้พบกับสิ่งที่เขาเกลียดหรือห
จ้าวเยี่ยนฟางลืมตาตื่นขึ้นมาในยามเฉิน ก็ไม่พบกับหวงตงหยางเสียแล้ว ในตอนแรกนางคิดว่าเขาคงจะไปที่ค่ายทหาร หรือไม่ก็คงจะเข้าวังตามปกติ นางจึงไม่คิดติดใจหรือสงสัยอะไรและใช้เวลาเกือบทั้งวันไปกับการเขียนตำราและปักเย็บผ้า"เหตุใดฮูหยินจึงปักผ้าเช็ดหน้าหลายผืนนักล่ะเจ้าคะ" ถิงถิงที่เงียบอยู่นานเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เจ้านายของนางจะเปิดร้านขายผ้าเช็ดหน้าหรืออย่างไรกัน นี่ก็ปาไปผืนที่สามแล้ว ท่านก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดปัก"ข้าตั้งใจปักไว้ให้ตงหยางน่ะ" ดวงหน้างามเงยหน้าขึ้นมาตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน บอกตามตรงว่านางก็มิได้มีฝีมืออันใด เพียงแต่ว่าอยากทำให้เขาก็เท่านั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าหวงตงหยางจะชอบผ้าเช็ดหน้าที่นางปักให้หรือไม่ เพราะว่ามันก็มิได้วิจิตรและมิใช่ลวดลายที่ทำยากอะไร"หากท่านแม่ทัพรู้ ท่านจะต้องดีใจมากแน่เจ้าค่ะ" "งั้นหรือ.. หากเขาชอบนั่นก็คงจะดี"ณ กระท่อมกลางป่าหวงตงหยางอยู่ในสภาวะอ่อนแรงหลังจากที่สูญเสียอายุไขให้กับเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นั้นไปสิบปี เขามองเห็นทุกการกระทำที่ชายคนผู้นั้นทำ แต่กระนั้นก็ยังไม่เข้าใจว่า มนุษย์คนหนึ่งจะดึงเอาอายุไขผู้อื่นไปได้อย่างไร"วันนี้เจ้าพักผ่อนอยู่ท