จ้าวเยี่ยนฟางนั่งอยู่เพียงลำพังเช่นนั้นราวสองเค่อ แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของหวงตงหยางว่าจะกลับมา ถึงเขาจะเกลียดชังนางอย่างไร แต่เขาคงไม่ได้จะทิ้งนางไว้ที่นี่หรอกใช่หรือไม่..
บัดนี้นางรู้สึกเวียนหัวมากขึ้นกว่าตอนแรก สงสัยว่านางคงไข้ขึ้นเสียแล้ว หวงตงหยางจะว่าอย่างไรก็ช่าง แต่ตอนนี้นางอยากกลับจวนเต็มทน แต่ก่อนจะกลับ อย่างไรก็ต้องไปตามหาหวงตงหยางเสียก่อน หากเขายังอยากใช้เวลาอยู่กับแม่นางเหริน นางก็จะปล่อยเขาไว้ที่นี่ แล้วกลับจวนสกุลหวงไปคนเดียว
จ้าวเยี่ยนฟางตัดสินใจเดินออกมาข้างนอกเพื่อตามหาหวงตงหยาง ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องนภา สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดเอื่อย ๆ พัดพากลิ่นหอมของมวลดอกไม้ลอยล่องมาตามสายลม พระตำหนักแห่งนี้ประดับประดาไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ที่หายลได้ยากยิ่ง สมกับเป็นพระที่นั่งขององค์ฮองเฮา
"ข้าก็คิดอยู่ว่า ผู้ใดออกมายืนอยู่คนเดียวเช่นนี้ ที่แท้..ก็หวงฮูหยินนี่เอง" น้ำเสียงเย้ยหยันดังขึ้นจากทางด้านหลัง จ้าวเยี่ยนฟางหันกลับไปยังทางต้นเสียงก็พบกับคุณหนูจากตระกูลขุนนางสามคน
ในความทรงจำที่ปรากฎ หนึ่งในคุณหนูเหล่านี้มีสตรีคนหนึ่งเคยตามเกี้ยวหวงตงหยาง ตั้งแต่ตอนที่นางและเขายังไม่ได้แต่งงานกัน พอมาเห็นเช่นนี้แล้วต่อให้ไม่มีความทรงจำเก่าของจ้าวเยี่ยนฟาง นางก็สามารถดูออกได้ในปราดเดียวเลยว่า คนไหนคือสตรีที่คอยตามยั่วยวนหวงตงหยาง
จ้าวเยี่ยนฟางยิ้มให้พวกนางเล็กน้อยโดยที่มิได้ตอบอะไรกลับไป ดูก็รู้ว่าคนพวกนั้นตั้งใจเข้ามาหาเรื่อง นางจึงไม่อยากเสวนาให้เสียเวลา
"น่าแปลกนะเจ้าคะ เหตุใดวันนี้ท่านถึงมายืนอยู่เพียงลำพัง" คุณหนูสกุลหลิวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับห่วงใย ทว่าความห่วงใยนั้นไปไม่ถึงดวงตา นางเป็นคนที่หลงรักหวงตงหยางข้างเดียวเช่นเดียวกันกับจ้าวเยี่ยนฟาง
"นั่นสิเจ้าคะ ท่านแม่ทัพไม่เห็นอยู่กับท่านเหมือนเช่นทุกปี มิใช่ว่าความรักจืดจางแล้วหรือเจ้าคะ" คุณหนูอีกคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางเย้ยหยัน สตรีคนนี้เป็นหนึ่งในตัวประกอบของนิยาย กระทั่งความทรงจำของจ้าวเยี่ยนฟาง ยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่านางคือใคร
"คุณหนูฟ่านนี่ล่ะก็ ไปพูดอะไรอย่างนั้นต่อหน้าฮูหยินล่ะ เดี๋ยวฮูหยินท่านจะเสียใจเอานะ" หลิวซูเซียวแสร้งห้ามปรามสหายของตน ทั้งที่จริงแล้ว ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
"ความรักจืดจางอะไรกัน พวกเจ้ามิเคยสังเกตสีหน้าของท่านแม่ทัพตอนอยู่กับฮูหยินหรือ เหมือนคนจะอาเจียนอยู่ตลอดเวลาแน่ะ คิกๆๆๆ" สตรีตัวประกอบอีกคนหนึ่งพูดขึ้น จากนั้นทั้งสามคนก็พยายามกลั้นเสียงหัวเราะอย่างน่าหมั่นไส้
ถ้าหากว่านางเป็นจ้าวเยี่ยนฟางคนเก่า เกรงว่าคุณหนูพวกนี้คงจะโดนตบเลือดกบปากเป็นแน่ แต่ช่างเถิด เพราะนางมิใช่จ้าวเยี่ยนฟางคนเก่าอีกแล้ว ไม่มีทางที่นางจะไปลงมือตบตีกับใคร เพียงเพราะคำพูดแค่ไม่กี่คำ
อีกอย่างตอนนี้นางก็ไม่ได้มีอารมณ์จะไปทะเลาะกับใครด้วย ตอนนี้นางเพียงแค่อยากตามหาหวงตงหยางให้เจอ แล้วกลับจวนเท่านั้น ส่วนอย่างอื่น นางมิได้สนใจ
"พวกเจ้ามีเรื่องจะพูดแค่นี้ใช่หรือไม่" เมื่อพูดจบนางก็หันหลังเดินออกมาจากตรงนั้น เพื่อที่จะตามหาหวงตงหยางต่อไป ใจจริงของนางก็อยากจะอยู่ต่อปากต่อคำกับตัวประกอบพวกนี้อยู่เหมือนกัน แต่ทว่าร่างกายของนางตอนนี้เริ่มไม่ไหวแล้ว นางจึงไม่อยากอยู่ต่อความยาวสาวความยืดกับคนพวกนี้ให้เสียเวลา
เมื่อหันหลังเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว เท้าทั้งสองข้างของนางก็ชะงักอยู่กับที่ ภาพที่เห็นคือหวงตงหยางกำลังยืนมองมาที่นาง โดยที่ข้างกายเขาก็มีเหรินหลานเฟิงยืนอยู่ข้าง ๆ สายตาคมของเขาจับจ้องมาทางนางอย่างมิบ่งบอกถึงอารมณ์ เขาต้องคิดว่านางก่อเรื่องอีกแล้วเป็นแน่
ช่างเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด เพราะน้ำตาของนางนั้นไหลออกมาโดยที่ตัวนางเองก็ไม่ทันรู้ตัว
"ท่านจะกลับจวนพร้อมข้าเลยไหม.."จ้าวเยี่ยนฟางพยายามทำเสียงให้ปกติที่สุด บัดนี้ร่างกายของนางเริ่มหายใจหอบถี่ ภาพที่เห็นก็ค่อย ๆ เลือนรางลงอย่างช้า ๆ แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ร่างกายบอบบางโซเซอย่างไร้เรี่ยวแรง ภาพสุดท้ายที่นางเห็นก็คือหวงตงหยางรีบวิ่งมารับนางไว้ได้อย่างทันท่วงที จากนั้นทุกอย่างก็มืดดับลง
ไม่นะ..เขาต้องคิดว่าข้าแกล้งป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจเขาแน่ ๆ
หวงตงหยางช้อนร่างบาง เข้ามาไว้ในอ้อมแขน เขาอุ้มฮูหยินเพียงในนามของเขากลับไปยังรถม้า ตลอดระยะทางที่เดินกลับหวงตงหยางเองมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา เขาทำเพียงแค่มุ่งหน้าไปยังรถม้าอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเดินมาถึงรถม้าหวงตงหยางก็ก้มลงมามองสตรีในอ้อมแขนก่อนจะส่งสัญญาณให้ถิงถิงช่วยจัดแจงที่นั่งด้านในให้เรียบร้อย จากนั้นก็ค่อย ๆ วางร่างของจ้าวเยี่ยนฟางลงบนเบาะนั่งอย่างเบามือ ด้วยพื้นที่ในรถม้าไม่เพียงพอสำหรับการนอนหลับ เขาจึงจำยอมนั่งลงข้าง ๆ สตรีที่กำลังหลับใหล ก่อนจะประคองศีรษะนางมาพิงที่ไหล่ของตน
ไอร้อนจากร่างกายบอบบางของนางส่งผ่านมาถึงเขา ทั่วกรอบหน้างามมีเม็ดเหงื่อเล็ก ๆ ผุดพรายตามกรอบหน้า จังหวะการหายใจของนางนั้นหอบถี่ คราวนี้เขาไม่ได้รู้สึกว่านางกำลังแสดงละครต่อหน้าเขา แต่นางกำลังป่วยอยู่จริง ๆ
ระหว่างทางกลับจวน หวงตงหยางได้แต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ มันช่างเป็นเรื่องที่แปลกจริง ๆ ที่ฮูหยินของเขายืนฟังสตรีอื่นพูดจาดูถูกและเย้ยหยันเช่นนั้น หากเป็นยามปกติ มีหรือที่คนอย่างจ้าวเยี่ยนฟางจะยืนฟังอยู่เฉย ๆ
ตอนนั้นเขาตั้งใจว่าจะเดินกลับเข้าไปในงาน แต่ดันได้ยินเสียงสตรีสามคนนั้นเสียก่อน ในตอนแรกเขาคิดว่า คงเป็นคุณหนูสกุลอื่นถูกรังแก แต่พอลองตั้งใจฟังดูดี ๆ แล้วก็พบว่านั่นเป็นคำพูดที่พูดกับฮูหยินของเขา
ด้วยเพราะความสงสัย ว่าจ้าวเยี่ยนฟางเปลี่ยนไปแล้วจริงหรือไม่ เขาจึงแอบดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ แต่น่าแปลกที่จ้าวเยี่ยนฟางมิได้ตอบโต้อะไรกลับไปเลยสักคำ พอเห็นว่านางนิ่งเงียบไปเช่นนี้ เขาก็รู้สึกใจอ่อนยวบอย่างบอกไม่ถูก
เขาอยากเห็นสีหน้าของนางตอนนั้นเหลือเกิน ว่านางทำหน้าอย่างไร..
รถม้าเคลื่อนตัวมาหยุดที่จวนแม่ทัพหวง จ้าวเยี่ยนฟางจึงถูกปลุกให้ตื่นจากนิทรา ดวงตาคู่งามลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ก่อนจะรู้ตัวว่า ตนนั้นนั่งซบไหล่หวงตงหยางมาตลอดทาง ร่างบางสะดุ้งโหยงลุกพรวดพราดออกมาจากรถม้าในทันที
หวงตงหยางเห็นเช่นนั้นก็ส่ายหัวเบา ๆ ให้กับการกระทำของฮูหยิน นับวันนางยิ่งทำตัวประหลาด เมื่อร่างสูงก้าวลงมาจากรถม้าก็พบว่า จ้าวเยี่ยนฟางนั้นเดินห่างออกไปแล้ว เขาจึงสาวเท้าเดินตามนางไปอย่างไม่รู้ตัว
"ฮูหยิน ข้าขอคุยด้วยหน่อย" เสียงทุ้มต่ำดูทรงอำนาจเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลัง จ้าวเยี่ยนฟางจึงชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันกลับไปหาบุรุษร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างหลัง หวงตงหยางเหลือบสายตาไปมองสาวใช้ของฮูหยิน ถิงถิงที่เห็นเช่นนั้นจึงค้อมศีรษะอย่างนอบน้อม ก่อนจะขอตัวเดินออกมาก่อน เพื่อให้ท่านแม่ทัพและฮูหยินได้อยู่กันตามลำพัง
"มีอะไรหรือเจ้าคะ" จ้าวเยี่ยนฟางเอ่ยถามกลับ เขามีเรื่องจะคุยกับนางอย่างนั้นหรือ เรื่องอะไรกัน หรือเขาจะมาต่อว่านางเรื่องอะไรอีก..
"เรื่องที่งานเลี้ยง มันเกิดอะไรขึ้น" เขาเอ่ยถามขึ้น ในขณะที่สายตาคมเพ่งมองนางอย่างคาดคั้น
"ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ พวกนางเพียงแค่เข้ามาทักทายข้าเฉย ๆ" จ้าวเยี่ยนฟางตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ มันคงเป็นการทักทายกันอย่างปกติของสตรีที่นี่นั่นแหละ
"คำพูดเช่นนั้นเจ้าเรียกมันว่าคำทักทายอย่างนั้นหรือ ไม่สมกับเป็นเจ้าเลยนะฮูหยิน" น้ำเสียงของเขาแฝงความจริงจังและหมายหมั่นอย่างที่ไม่ยอมให้นางทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
จ้าวเยี่ยนฟางมองลึกเข้าไปในดวงตาเย็นชาคู่นั้น ในแววตาของหวงตงหยาง มิได้มีความห่วงใยอยู่เลยสักนิดเดียว
"ท่านแม่ทัพ ท่านพูดราวกับว่า ข้าต้องเข้าไปตบตีพวกนาง ถึงจะสมกับเป็นข้าอย่างนั้นแหละ" จ้าวเยี่ยนฟางตอบกลับด้วยสีหน้าเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน ไม่สมกับเป็นนางอย่างนั้นหรือ อย่ามาพูดให้ขำหน่อยเลย
ข้ามิได้รักใคร่เจ้าเหมือนจ้าวเยี่ยนฟางคนเก่า ไยข้าจะต้องไปตบตีกับผู้อื่นให้เสียมือข้าด้วย
"เปล่า..ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น ข้าเพียงแค่แปลกใจ ที่เจ้ามิยอมตอบโต้อะไรกลับไปเลย" บอกตามตรงว่าเขาไม่ชินที่จ้าวเยี่ยนฟางเป็นเช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่สนใจและไม่รู้สึกอะไร คนอย่างนางจะไปโดนใครรังแกได้ มีแต่นางนั่นแหละที่จะรังแกผู้อื่น
เมื่อก่อนนางทั้งปากร้ายและเย่อหยิ่ง เป็นสตรีจองหองที่เขามิเคยเหลียวแล เพราะเหตุใดจู่ ๆ นางก็เปลี่ยนไปเช่นนี้ คนที่เคยร้ายกาจมาโดยตลอด บัดนี้มายืนฟังผู้อื่นพูดจาเย้ยหยันใส่ โดยที่ไม่แสดงอาการโกรธเคือง มันเป็นไปได้จริง ๆ หรือ..
ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น หวงตงหยางจะอยากรู้ในสิ่งที่เขารู้ดีที่สุดไปทำไมกัน
"สิ่งที่สตรีพวกนั้นพูด ล้วนเป็นความจริง ท่านจะให้ข้าเอาอะไรไปตอบโต้พวกนางล่ะเจ้าคะ" จ้าวเยี่ยนฟางตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย หวงตงหยางที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ความรักจืดจางอะไรกัน พวกเจ้ามิเคยสังเกตสีหน้าของท่านแม่ทัพตอนอยู่กับฮูหยินหรือ เหมือนคนจะอาเจียนอยู่ตลอดเวลาแน่ะ
นั่นเป็นคำพูดที่เขาไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้เลย เพราะทั้งหมดมันเป็นเรื่องจริงอย่างที่นางว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาหวงตงหยางเองก็มิเคยทำหน้าที่สามีที่ดีให้กับนาง กระทั่งการแสดงละครของเขา ยังเต็มไปด้วยความฝืนทน จนใครต่อใครต่างก็ดูออก
"หากท่านหมดธุระแล้ว ข้าขอตัวก่อน" นางมิอยากอยู่ต่อความยาวสาวความยืดกับเขาอีก สู้เอาเวลาไปนอนยังจะดีเสียกว่า เพราะวันนี้นางเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว และก็ไม่มีแรงหลงเหลือไว้คุยเรื่องไร้สาระอีก
"อะ..อืม เจ้าไปพักเถิด"
เมื่อหวงตงหยางพูดจบ จ้าวเยี่ยนฟางก็เดินออกไปทันที โดยที่ทิ้งให้เขายืนแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น เขาทำตัวไม่ถูกจริง ๆ เมื่อก่อนฮูหยินนั้นร้ายกาจ เขาจึงมิได้สนใจว่าสิ่งที่เขาทำมันจะทำให้นางรู้สึกอย่างไร แต่ตอนนี้ เขาควรทำตัวอย่างไรกับฮูหยินที่เป็นเช่นนี้..
หลายวันต่อมา
"เจียวมิ่ง" มือหนาวางพู่กันลงด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงถึงอารมณ์ ก่อนจะหันไปหาองครักษ์คนสนิท ที่กำลังยืนเงียบ ๆ อยู่มุมห้อง
"ขอรับนายท่าน" เจียวมิ่งยกสองมือขึ้นมาประสานกันแล้วโค้งคำนับ รอฟังคำสั่งของผู้เป็นนาย เขาสังเกตเห็นมาสักพักแล้วว่าช่วงนี้ท่านแม่ทัพดูเหมือนมีเรื่องกังวลใจ เพราะท่านมักถอนหายใจพลางส่ายหน้าอยู่บ่อย ๆ
"ช่วงนี้.. ที่เรือนจงหยุน เป็นอย่างไรบ้าง" หวงตงหยางเอ่ยขึ้น ด้วยท่าทีราวกับว่าไม่ใส่ใจ องครักษ์หนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ ท่านแม่ทัพสนใจเรื่องที่เรือนจงหยุนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน..
"เรือนจงหยุนเรียบร้อยและสงบดี ไม่มีบ่าวไพร่คนไหนถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกขายออกจากจวนขอรับ" เจียวมิ่งตอบกลับผู้เป็นนายไปตามตรง ทว่าท่านแม่ทัพกลับมีสีหน้าราวกับไม่พอใจในคำตอบของเขา แท้จริงแล้วท่านแม่ทัพต้องการจะถามเรื่องอะไรกันแน่..
"เจ้าออกไปได้แล้ว"เสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยอำนาจพูดขึ้น
"ขอรับ" เจียวมิ่งโค้งคำนับผู้เป็นนาย ก่อนจะเดินออกมาด้วยสีหน้างุนงง
เรือนจงหยุนเป็นที่พำนักของฮูหยินนี่นา หรือว่าท่านแม่ทัพ..กำลังถามถึงฮูหยินอย่างนั้นหรือ..
เมื่อองครักษ์เดินออกไปแล้ว บุรุษที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดก็ลุกขึ้นหยิบเสื้อคลุมมาสวม ก่อนจะเดินตามออกไปเช่นกัน อยู่แต่จวนเช่นนี้มีแต่จะทำให้เขาเบื่อหน่าย สู้ออกไปเดินเล่นข้างนอกคงจะดีเสียกว่า
ร่างกำยำควบอาชาสีนิลมุ่งหน้าไปทางตลาดเทียนหนิง ช่วงนี้เขามักจะคิดแต่เรื่องไร้สาระ อย่างเรื่องของจ้าวเยี่ยนฟางที่ทำตัวแปลกไปเสียจนเขาคิดว่านางเป็นคนอื่น แต่มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร
จากที่เคยมารอต้อนรับเขาตอนกลับจวนทุกวันก็ไม่โผล่มาให้เห็นหน้า ทั้งที่เคยยกน้ำชาและขนมมาให้ในตอนบ่ายนางก็ไม่ทำ ทั้งที่เมื่อก่อนมักจะโผล่หน้ามาให้เห็นเสียจนรู้สึกรำคาญ คอยตามหึงหวงเขากับสตรีทุกคน นางกลับพูดให้เขารับอนุเข้าจวนอย่างง่ายดาย
ถึงจะเป็นฮูหยินเพียงในนามก็เถอะ แต่อย่างไรเขาก็ยังมีศักดิ์เป็นสามีของนาง
ใจคอนางคิดจะอยู่ใช้เงินข้าไปวัน ๆ โดยไม่มีน้ำใจทำอะไรเพื่อข้าเลยหรือ
เรือนจงหยุน
วันนี้จ้าวเยี่ยนฟางตั้งใจว่าจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก เพราะตอนนี้นางไม่ถูกกักบริเวณอีกแล้ว ดวงหน้างามหันซ้ายหันขวาอยู่หน้าคันฉ่องทองเหลืองอย่างอารมณ์ดี ใบหน้านี้ไม่ว่าจะมองอีกสักกี่ครั้งก็งดงามเช่นเคย
"ถิงถิง วันนี้ข้าเป็นอย่างไรบ้าง" ร่างบางลุกขึ้นยืนพร้อมหมุนตัวให้สาวใช้คนสนิทช่วยติชม หมู่นี้รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้างดงามนั้นอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่เมื่อก่อนหากมิใช่เรื่องที่เกี่ยวกับแม่ทัพหวงตงหยาง มีหรือที่คนทั่วไปจะได้ยลรอยยิ้มเช่นนั้นของจ้าวเยี่ยนฟาง
"คุณหนูของบ่าว งดงามที่สุดแล้วเจ้าค่ะ" ถิงถิงกล่าวชื่นชมจากใจจริง มิได้มีการประจบสอพลอเลยแม้แต่น้อย อย่างที่คนทั่วไปเขาร่ำลือกัน หากตัดนิสัยใจคอของคุณหนูจ้าวออกไปแล้ว นางนั้นนับว่าเป็นสตรีที่งดงามและเพียบพร้อมไม่น้อยหน้าใครในใต้หล้า
"คุณหนู ช่วงนี้บ่าวสังเกตเห็น ท่านมิชอบรวบผมอย่างสตรีที่ออกเรือนแล้ว..คุณหนูโกรธท่านแม่ทัพหรือเจ้าคะ" ถิงถิงสังเกตมาสักพักแล้วว่า คุณหนูของนางนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่เหตุการณ์จมน้ำครั้งนั้น.. การที่คุณหนูมิยอมเกล้าผมขึ้นเช่นนี้ ก็เหมือนกับการทำตัวเหมือนตอนที่ยังไม่ออกเรือน
หรือคุณหนูจะโกรธท่านแม่ทัพเข้าแล้วจริง ๆ ..
"ข้ารู้สึกชอบตอนปล่อยผมมากกว่า อีกอย่างข้าก็เป็นเพียงแค่ฮูหยินในนามของเขา ไม่ว่าข้าจะทำทรงผมเช่นไร ล้วนไม่เกี่ยวอะไรกับเขา" นางตอบกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำ แต่หากถามว่าโกรธหวงตงหยางหรือไม่นั้น นางก็ต้องยอมรับเลยว่าโกรธ
แต่โกรธไปแล้วจะทำอย่างไรได้ สุดท้ายนางก็ต้องอยู่ที่จวนแห่งนี้อยู่ดี ถึงจะโกรธอย่างไร นางก็ไม่ได้เกลียดชังหวงตงหยางถึงขนาดที่ว่าอยู่ร่วมชายคาเดียวกันไม่ได้
หากหย่าร้าง ก็ขัดต่อพระราชโองการ มีโทษถึงประหารชีวิต หากรั้นอยู่ต่อที่นี่นางก็อาจจะตายด้วยน้ำมือของหวงตงหยาง
การหนีไปจากที่นี่เป็นตัวเลือกที่ดี แต่จะให้นางหนีไปไหนล่ะ ใต้หล้านี้มีแต่ที่ที่นางไม่คุ้นชิน ลำพังแค่ความทรงจำของจ้าวเยี่ยนฟางคนเก่าจะไปช่วยอะไรได้ เพราะเท่าที่จำได้นางก็มีศัตรูมากกว่ามิตร
นางไม่อยากหาเหาใส่หัว สู้อยู่ที่นี่อย่างเจียมตัวและใช้เงินทองของเขาอยู่เงียบ ๆ หวงตงหยางอาจจะไม่ฆ่านางเหมือนต้นฉบับก็ได้
"ไปกันเถอะถิงถิง ไปถนนเทียนหนิงกัน!" จ้าวเยี่ยนฟางกลับมายิ้มอย่างร่าเริง เพียงได้รู้ว่าจะได้ออกไปเที่ยวข้างนอกนางก็ดีใจเสียจนเนื้อเต้น หากเป็นไปได้ นางก็อยากไปเช่าโรงเตี๊ยมอยู่เสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่มีหวังหากหวงตงหยางรู้เข้า นางคงถูกกักบริเวณอีกเป็นแน่
ถนนเทียนหนิงวันนี้จ้าวเยี่ยนฟางซื้อของมากมายทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับ นางรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ซื้อของตามที่ใจตนอยากได้ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเงินถุงเล็ก ๆ แค่นี้จะซื้อของได้มากมายถึงเพียงนี้เงินนี่ดีจริง ๆ ข้ารักเงินที่สุดเลย!"คุณหนู ท่านอยากจะแวะไปที่ไหนก่อนหรือไม่เจ้าคะ" ถิงถิงเอ่ยถามผู้เป็นนาย นาน ๆ ทีคุณหนูจ้าวจะออกจากจวน จะให้กลับไปทั้งอย่างนี้เลยก็เป็นที่เสียดายน่าดู"อืม..ข้าอยากไปร้านที่มีจิตรกรวาดรูปน่ะ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันอยู่ที่ไหน" หากชาตินี้นางสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระได้ นางก็อยากจะทำในสิ่งที่นางรัก อย่างเช่นการวาดรูป ในชีวิตก่อนนางต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือและเรียนพิเศษ จึงทำให้ไม่มีเวลาทำในสิ่งที่ตนชื่นชอบ"คุณหนูอาจจะมิได้สังเกต แต่ที่ถนนเทียนหนิงมีอยู่ที่หนึ่งนะเจ้าคะถึงมันจะเป็นร้านเล็ก ๆ ก็ตาม คุณหนู..ท่านอยากซื้อภาพวาดหรือเจ้าคะ""ใช่ และข้าก็อยากซื้อผืนผ้ามาวาดรูปด้วย" นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส ครั้งสุดท้ายที่นางได้จับพู่กันระบายสี มันตอนไหนกันนะถิงถิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หากคุณหนูจะแวะไปซื้อภาพวาด นางก็พอเข้าใจได้ แต่คุณหนูบอกว่าจะซื้อผืนผ้ามาว
เขาเสี่ยงชีวิตมาช่วยพวกนางแท้ ๆ นางจะทิ้งเขาลงอย่างนั้นหรือ นั่นมันไร้หัวใจเกินไปแล้ว พวกโจรมันมีกันตั้งหลายคน ลำพังแค่เขาผู้เดียว จะไปสู้พวกมันได้อย่างไร..อีกใจหนึ่งของนางก็คิดว่าหากเขาไม่มั่นใจในฝีมือของตนเอง ก็คงจะมิกล้ากระโดดเข้ามาช่วยนางหรอก! นางกลับไปแล้วจะช่วยอะไรเขาได้โอ๊ย เอาวะเป็นไงเป็นกัน!!"ถิงถิงเจ้ารีบกลับไปตามคนมาช่วยบุรุษผู้นั้นเร็ว คนนับสิบรุมคนเพียงหนึ่งอันตรายเกินไป ข้าจะกลับไปดูเขา เผื่อจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง""คุณหนู ท่านไปมิได้นะเจ้าคะมันอันตราย""นี่คือคำสั่ง ถ้าไม่อยากให้ข้าเป็นอันตราย เจ้าจงรีบไปตามคนมา!!" บัดนี้ในใจของนางว้าวุ่น เรื่องคอขาดบาดตายเช่นนี้จะมัวรอช้ามิได้ นางรู้สึกผิดที่ตอนแรกคิดหนีเขาออกมา"เจ้าค่ะข้าจะรีบไปตามคนมาเดี๋ยวนี้" ถิงถิงไม่รอช้ารีบวิ่งไปตามทางรถม้า ในใจก็นึกให้ใครก็ได้ช่วยคุณหนูกับผู้มีพระคุณคนนั้นด้วย!เจ้าเยี่ยนฟางวิ่งกลับมาที่เดิม บุรุษผู้มีพระคุณของนางกำลังต่อสู้อยู่กับพวกโจรอย่างดุเดือด บัดนี้พวกมันนอนหมอบกับพื้นไปเกือบหมดแล้ว บุรุษผู้นี้ช่างไร้เทียมทานยิ่งนักนางหลบอยู่หลังต้นไม้คอยสังเกตการณ์ จะมีสิ่งใดที่นางพอจะช่วยเขาได้บ้าง น
หวงตงหยาง..ตอนนี้เขาควรอยู่กับเหรินหลานเฟิงที่โรงน้ำชาสิ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน หวงตงหยางผู้นั้นเนี่ยนะ จะมาช่วยข้า เห็นทีปีนี้หิมะคงไม่ตกแล้วล่ะ เขาเกลียดจ้าวเยี่ยนฟางอย่างกับไส้เดือนกิ้งกือ เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะตามมาเพื่อปกป้องนาง"ท่าน! ท่านมาทำอะไรที่นี่" แม้นางจะคิดว่าบุรุษผู้นี้มีส่วนคล้ายกับหวงตงหยาง แต่นางก็ไม่คิดว่าจะเป็นเขาจริง ๆ เพราะจากนิยายที่นางเคยอ่านมันไม่มีฉากนี้นี่นา"นี่คือสิ่งแรกที่เจ้าพูดกับผู้มีพระคุณของเจ้าหรือ" หวงตงหยางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หลังจากจบงานเลี้ยงที่วัง เขาก็แทบไม่ได้เห็นหน้าจ้าวเยี่ยนฟางอีกเลย ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอหน้าฮูหยินของตนข้างนอกจวน แถมยังเป็นสถานการณ์เช่นนี้เพราะปกตินางจะต้องมาตามรังควานเขาเสียทุกที แต่คราวนี้นางกลับทำเหมือนไม่เห็นเขา และเดินออกไปทั้งอย่างนั้น อันที่จริงเขาเห็นนางตั้งแต่เดินเข้ามาที่โรงน้ำชาแล้วล่ะ เพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็นนางก็เท่านั้นและสิ่งที่แปลกขึ้นไปอีกคือ การที่จ้าวเยี่ยนฟางเห็นเขานั่งอยู่กับเหรินหลานเฟิง หากเป็นปกตินางคงเข้ามาโวยวาย ทำร้ายร่างกายเหรินหลานเฟิง ไม่ก็ทำลายขว้างปาข้าวของ แต่นางกลับไม่มีท
"หากหมอที่เก่งที่สุดรักษาได้เพียงเท่านี้ เช่นนั้นข้าจะเป็นคนรักษาให้ท่านเอง!" วิชาแพทย์ที่นางเคยร่ำเรียนมาในชาติก่อน กำลังจะได้ใช้จริงในชาตินี้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่อาชีพที่นางชอบ แต่นางก็ต้องทำเพื่อช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน"อย่างเจ้าน่ะหรือจะรักษาข้า แค่กๆ" เสียงพูดกระท่อนกระแท่นและไอโขกตามมาหลังจากบุรุษผู้องอาจพูดจบ หวงตงหยางพยายามสูดเอาอากาศเข้าปอด และค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะอย่างช้า ๆ ตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะมาสู้รบตบมือกับนางแล้วหากหมอที่เก่งที่สุดยังรักษาเขาไม่ได้ สตรีที่ชื่อว่าจ้าวเยี่ยนฟางจะรักษาเขาได้อย่างไร แต่ก็ช่างเถิด ตอนนี้เขาไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว..จ้าวเยี่ยนฟางถือวิสาสะถอดเสื้อของเขาออกตามอำเภอใจ หวงตงหยางก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืน นางเคยทำแผลให้เขามาแล้วครั้งหนึ่ง มิรู้ว่าครั้งนี้จะสามารถไว้ใจนางได้หรือไม่ เขาได้แต่ทำใจและยอมให้นางรักษาแต่โดยดีนางสำรวจบาดแผลของเขา ก่อนจะหันกลับมาบ่นเขาตามประสาคนที่เคยเรียนหมอมาก่อน ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าทำไมหมอถึงบ่นนางในตอนที่นางป่วยเพราะนางเองก็เป็นคนประเภทที่ หากไม่ได้เป็นอะไรหนักหนา นางจะไม่มีทางไป
"ช่วงนี้ข้าจะมาทำแผลให้ท่านทุกวันจนกว่าจะหายดี ถึงท่านจะไม่อยากเห็นหน้าข้าก็ช่วยอดทนหน่อยนะเจ้าคะ ขอเพียงข้ารักษาท่านเสร็จ ข้าจะไม่มารบกวนท่านอีก""ได้" เขาตอบกลับเสียงเรียบ สีหน้าและแววตาไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใด ๆ จ้าวเยี่ยนฟางได้แต่ฝืนยิ้มให้กับเขา เหตุใดนางถึงรู้สึกเศร้าเช่นนี้ ทั้งที่นางไม่ได้คิดอะไรกับเขาด้วยซ้ำ"วันนี้ข้าทำข้าวต้มทรงเครื่องมาให้ท่านด้วยล่ะ เดี๋ยวข้าจะให้เจียวมิ่งนำไปอุ่นมาให้ท่านนะเจ้าคะ"หวงตงหยางไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับไป เขาทำเพียงแค่มองดูนางทำนั่นทำนี่ก็เท่านั้น นางเก็บอุปกรณ์ทำแผลเสร็จเรียบร้อย ก็ลุกขึ้นและยกสำรับที่เย็นชืดแล้วไปให้เจียวมิ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมกลับกะละมังใส่น้ำ และผ้าสะอาดผืนหนึ่ง"เจ้าจะทำอะไร""เช็ดตัวให้ท่านไงเจ้าคะ ดูเหมือนว่าท่านจะมีไข้ด้วย ถึงแม้ว่าข้าจะทำแผลให้ท่านเสร็จแล้ว ก็ใช่ว่าไข้จะลดลงไปด้วย ท่านต้องเช็ดตัวเพื่อลดไข้ด้วยนะเจ้าคะ" นางตอบเขาไปอย่างไม่คิดอะไร แต่ทว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงกลับคิดไปไกล เช็ดตัวให้ก็ต้องเปลื้องผ้า หรือที่จริงแล้ว จ้าวเยี่ยนฟางอยากถือโอกาสที่เขาป่วยเพื่อหลอกกินเต้าหู้เขากันเมื่อเห็นว่าเขาทำสีหน้าไม่ไว้วางใจ นางก็ถึ
ตอนนี้นางช่างเป็นคนที่รับมือได้ยากเสียจริงหวงตงหยางคิดอยู่ในใจพลางยกยิ้มมุมปากอย่างพึงใจ ถึงจะไม่อยากยอมรับว่าเขาสนใจเรื่องของนาง แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้จ้าวเยี่ยนฟางเป็นสตรีที่น่าสนใจจริง ๆหลังจากวันนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ดูเหมือนจะดีขึ้น ทั้งหวงตงหยางและจ้าวเยี่ยนฟางต่างก็มีเรื่องต่าง ๆ มาพูดคุยกัน เพื่อแก้เบื่อ หวงตงหยางเริ่มพูดกับนางมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเอาเจียวมิ่งองครักษ์ส่วนตัวของเขาถึงกับอมยิ้มเวลามองมาที่เขาและนางจ้าวเยี่ยนฟางมักจะถามเขาถึงเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาเคยไปออกรบว่าเป็นอย่างไรบ้าง ครั้งแรกที่เขาจับดาบตอนอายุเท่าไหร่ หรือกระทั่งเรื่องการฝึกยุทธ์ วิชาตัวเบาต่าง ๆ นางล้วนนั่งฟังอย่างตั้งใจหวงตงหยางเหลือบเห็นสายตาของนางที่มองมาที่เขาด้วยความชื่นชมตลอดเวลาที่เขาเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง"เจ้าถูกใจเรื่องที่ข้าเล่าหรือ" เขาเอ่ยถามออกไปด้วยความแปลกใจ เรื่องของทหาร เรื่องของดาบ น้อยนักที่สตรีใต้หล้านี้จะใคร่รู้และอยากฟังเรื่องราว แต่ว่านางกลับนั่งฟังอย่างตั้งใจ อีกทั้งท่าทีก็ดูตื่นเต้นและสนุกสนานกับเรื่องเล่าของเขาการได้พูดคุยกับสตรีที่ชื่
อันที่จริงใช่ว่านางจะหลงใหลหวงตงหยางเหมือนจ้าวเยี่ยนฟางคนเก่า แต่นางเพียงไม่ชอบให้ใครมาพูดจาถากถางใส่เช่นนี้ หากไม่ชอบนาง ก็แค่เดินผ่านไปตั้งแต่แรกเสียก็จบ ไม่รู้ว่าจะมาทำตัวปากยื่นปากยาวใส่นางไปทำไมกัน"ข้าน่ะรู้สึกสงสารฮูหยินจับใจเลยนะเจ้าคะ" แม้ว่าเหรินหลานเฟิงจะทำเป็นตีหน้าเศร้า แต่แววตาของนางหาได้เป็นเช่นนั้นไม่นางคงจะเก่งในการพูดให้ผู้อื่นโมโหมากเลยสิท่า ถึงว่าล่ะจ้าวเยี่ยนฟางคนก่อนถึงได้ถึงขั้นลงไม้ลงมือตบตี เจ็บตัวเล็กน้อยแต่ได้หัวใจของพระเอกมาครอง หึ ช่างน่าขันยิ่งนักเจ้าก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนี่แม่นางเหรินแต่วิธีของเจ้าใช้ไม่ได้กับจ้าวเยี่ยนฟางคนนี้หรอกนะ ถ้าเหงาปากนักละก็ นางจะอยู่คุยเป็นเพื่อนให้ก็ได้"ตัวข้านี้ มีเรื่องอะไรให้คุณหนูจากสกุลเหรินมาสงสารกันล่ะ" เพราะหากเปรียบเทียบกันแล้ว ตัวของจ้าวเยี่ยนฟางเองก็นับว่าเหนือกว่าเหรินหลานเฟิงในทุก ๆ เรื่อง ทั้งฐานะทางสังคม ทรัพย์สินเงินทอง หรือกระทั่งรูปร่างหน้าตา จ้าวเยี่ยนฟางนั้น มิมีสิ่งใดที่ด้อยกว่าคุณหนูจากสกุลเหรินเลยแม้แต่น้อยเหรินหลานเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้น ก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมา แววตามีความสะกดกลั้นอารมณ์อยู่ไม่น้อย นิ้ว
จ้าวเยี่ยนฟางเดินมาหยุดที่หน้าเรือนของหวงตงหยางเหมือนในทุก ๆ วัน แต่ทว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ที่นางจะมารักษาให้เขา เพราะบาดแผลของเขานั้นเกือบหายดีแล้ว ตัวนางเองก็คงหมดหน้าที่แล้วเช่นกันอาจเป็นเพราะว่าหวงตงหยางเป็นคนฝึกยุทธ์ บาดแผลจึงสมานได้ไวกว่าคนปกติ นางนึกหัวเราะอยู่ในใจ คนที่มีวิทยายุทธ์อย่างนั้นหรือ.. ความคิดนี้มาจากคนที่เคยเรียนแพทย์อย่างนางได้อย่างไรกัน นางคงจะคุ้นชินกับโลกใบนี้เสียแล้วล่ะ"ข้าคิดว่าแผลของท่านเกือบจะหายดีแล้ว พักดื่มยาอีกสองสามวันคงหาย" นางพูดขึ้นในขณะที่กำลังก้มหน้าเก็บอุปกรณ์ทำแผลเช่นเดิมแต่ขณะที่นางจะลุกขึ้นเพื่อเอาของไปเก็บ เขากลับเรียกนางเอาไว้ หวงตงหยางจมอยู่ในห้วงความคิดของตนอยู่นาน เหตุใดเขาถึงรู้สึกวูบโหวง ใจหายแปลก ๆ เพียงแค่คิดว่านางจะไม่มาหาอีก มันเป็นความรู้สึกที่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทั้งที่เขาเคยเกลียดชังนางถึงขั้นไม่อยากเห็นหน้าไม่อยากเข้าใกล้ แต่กลับเฝ้ารอให้นางมาหา และรู้สึกใจหายทุกครั้งเมื่อนางกลับไป"เจ้าหมายความว่า หากข้าหายดีแล้ว เจ้าก็จะไม่มาที่นี่อีกใช่หรือไม่" น้ำเสียงอ่อนโยนแฝงความนัยลึกซึ้ง สายตาที่ทอดมองนางก็ยิ่งลึกล้ำจ
"หยางหยาง เธอคนนั้นสวยเนอะนายว่ามั้ย" ลู่ฉือเฉิงใช้ศอกสะกิดเพื่อนรักของตัวเองด้วยความตื่นเต้น พลางใช้นิ้วชี้ไปยังผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ยืนหันหลังอยู่ เธอสวมมินิเดรสสีครีม พร้อมกับรองเท้าส้นสูงแบรนด์ดัง ผมสีน้ำตาลอ่อนเหยียดตรงยาวจนถึงกลางหลัง ยิ่งมองดูยิ่งรู้สึกหลงใหล"อืม" เขาตอบกลับเพียงสั้น ๆ ทำเอาลูู่ฉือเฉิงถึงกับหน้ายู่ด้วยความผิดหวัง ทำไมเพื่อนของเขาถึงได้ทำตัวเหมือนกับก้อนหินแบบนี้ อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ กันแล้ว แต่เขายังไม่เคยเห็นเพื่อนสนิทคนนี้มีแฟนกับเขาเลยสักคน"นี่หยางหยาง ฉันถามนายจริง ๆ นาย..คงไม่ได้ชอบผู้ชายหรอกใช่มั้ย" ลู่ฉือเฉิงเอ่ยถามเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงที่ติดตลก"ฉันชอบผู้หญิงเหมือนกับนายนั่นแหละน่า" หวงตงหยางหรือที่เพื่อนสนิทเรียกว่าหยางหยางตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ อันที่จริงเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับศิลปะเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าที่ยอมมาหอศิลป์เป็นเพื่อนเจ้าลู่ฉือเฉิง เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับศิลปินท่านหนึ่งที่เขาจะต้องรู้ให้ได้..ชื่อของศิลปินคนนี้ เหมือนกับนางในฝันของเขา .."หยางหยางนายยังฝันแปลก ๆ อยู่ใช่มั้ย เพราะเธอคนนั้นหรือเปล่านายถึงไม่ยอมมีแฟนสักที" คำถาม
แสงไฟจากโคมระย้าคริสตัลส่องประกายระยิบระยับไปทั่วห้องโถงคอนโดหรู ผนังห้องสีครีมอ่อนประดับด้วยภาพวาดสีน้ำมันฝีมือประณีตที่บ่งบอกถึงรสนิยมอันเลิศหรูของเจ้าของห้อง เรือนร่างระหงยืนอยู่หน้าหน้าต่างบานใหญ่ เธอมองลงไปยังถนนด้านล่างที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนและยานพาหนะ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีจดหมายที่รอให้เธอเปิดอ่านวางรออยู่บนโต๊ะแขนเรียวเอื้อมมือไปหยิบซองจดหมายสีครีมที่วางอยู่บนโต๊ะข้างตัวออกมาเปิดอ่าน เนื้อหาภายในจดหมายแจ้งว่าเธอได้รับเชิญให้ไปจัดแสดงภาพวาดที่หอศิลป์แห่งหนึ่ง ริมฝีปากบางเผยอเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นและเดินไปยังมุมหนึ่งของห้องภาพวาดขนาดใหญ่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีขาวผืนหนึ่ง เรียวแขนเล็กค่อย ๆ ดึงผ้าคลุมออกอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นภาพวาดสีน้ำมันที่วิจิตรงดงาม สิ่งที่ปรากฏบนผืนผ้าใบก็คือรูปของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดจีนโบราณสีเปลือกไข่ เธอจ้องมองภาพนั้นด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ทว่ามิอาจซ่อนความโศกเศร้าในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนได้ แพขนตางอนหลุบต่ำลงเล็กน้อย นิ้วมือเรียวลูบดวงหน้าคนในภาพอย่างทะนุถนอม ราวกับกำลังสัมผัสใบหน้าของผู้เป็นที่รัก..เสียงริงโทนเรียกเข้าดังขึ้น ทำให้เจ้าของดว
หวงตงหยางนอนกอดหมอนที่ฮูหยินเคยหนุนนอน ด้วยความโศกเศร้าที่ไม่อาจบรรยายได้ น้ำตาแห่งความคิดถึงไหลอาบแก้มของเขา หมอนใบนั้นยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของนาง กลิ่นที่เขาจะไม่มีวันลืมเลือนไปได้ตลอดชีวิตหวงตงหยางโอบกอดหมอนแน่นยิ่งขึ้น ราวกับว่านั่นคือสิ่งเดียวที่ยังเชื่อมโยงเขากับนางได้ นัยน์ตาเศร้าสร้อยหลับตาลงและปล่อยให้ความทรงจำอันแสนหวานไหลเวียนอยู่ในหัวใจ ภาพของนางที่ยิ้มแย้ม หัวเราะ และร้องไห้ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา ภาพเหล่านั้นชัดเจนราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้แต่ความจริงแล้ว นางได้จากเขาไปแล้ว..หลังจากที่จ้าวเยี่ยนฟางสิ้นลมหายใจ หวงตงหยางก็รู้สึกราวกับว่าส่วนหนึ่งของตัวเขาได้ตายไปพร้อมกับนาง ความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดทรมานหัวใจ ภาพที่นางโผเข้ามารับคมกระบี่แทนเขายังคงตามหลอกหลอนเป็นดั่งเงา ทำให้เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแต่กระนั้นเขาก็ยังตายไม่ได้ เพราะนางได้ยอมสละชีวิตเพื่อช่วยเขาเอาไว้ เขาจำต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปกับความรู้สึกผิดที่กดทับหัวใจตลอดเวลาคำพูดที่จ้าวเยี่ยนฟางพูดไว้วันนั้นก็เป็นดั่งคำสาป "โปรดมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุขนะเจ้าคะ" นางพูดด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มชี
"หลานเฟิง เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร" หวงตงหยางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรนัก"ข้าเคยบอกท่านแล้วว่า ข้าจะมิยอมตกนรกอยู่คนเดียว ในเมื่อข้ามิสามารถครอบครองท่านได้ จะใครหน้าไหนก็มิคู่ควรทั้งนั้น!!" บัดนี้ดวงหน้าที่เคยงดงามอ่อนหวาน ถูกไฟริษยาแผดเผาจนไม่เหลือชิ้นดี ความรักทำให้นางตาบอดงมงาย ชายที่นางหลงรักกลับเห็นนางเป็นเพียงแค่ของเล่น สตรีที่นางชิงชังที่สุดกลับมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของนาง!!"ปล่อยเยี่ยนฟางไป นางมิได้เกี่ยวอะไรด้วย หากเจ้าโกรธแค้นนักก็มาลงที่ข้า ข้าขอรับความโกรธแค้นของเจ้าไว้แต่เพียงผู้เดียว""ฮ่าๆๆๆ จนป่านนี้ท่านก็ยังปกป้องมัน ในวันที่ข้าจมน้ำ ข้ารู้ว่าท่านแสร้งทำเป็นลงโทษนาง เพื่อที่จะได้มิต้องส่งตัวนางให้ทางการใช่หรือไม่ ท่านมิเคยคิดเข้าข้างข้าอยู่แล้ว แล้วที่ผ่านมาท่านจะมาให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับข้าทำไม""..." หวงตงหยางนิ่งเงียบมิยอมตอบกลับอะไร จริงอย่างที่เหรินหลานเฟิงพูด เขารู้ดีว่าจ้าวเยี่ยนฟางร้ายกาจเพียงใด แต่อย่างไรนางก็เป็นภรรยาที่รักและซื่อสัตย์ต่อเขาเพียงคนเดียว เหรินหลานเฟิงเองก็มิใช่สามัญชนคนธรรมดา หากบิดานางล่วงรู้ว่า ฮูหยินจงใจผลักลูกสาวของเข
แสงแดดสาดส่องผ่านหน้าต่างไม้สลัก มากระทบลงบนใบหน้าเนียนผ่องที่กำลังหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของผู้เป็นสามี เซี่ยซินหยานลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ ด้วยความงัวเงีย ดวงตาคู่งามจับจ้องไปยังใบหน้าคมคายที่บัดนี้กำลังหลับไหลอยู่ด้วยความรู้สึกรักใคร่ ฝ่ามือเล็กสัมผัสกับใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา เรียวนิ้วลูบไล้สันจมูกโด่งด้วยความหลงใหล"ฮูหยินเจ้าหลอกกินเต้าหู้ข้าหรือ" เสียงนุ่มทุ้มของเขาเอ่ยขึ้น ก่อนจะจับข้อมือของภรรยาตัวน้อยเอาไว้มิยอมปล่อย อันที่จริงเขาตื่นมาสักพักแล้ว เพียงแต่ว่าแสร้งทำเป็นนอนต่อก็เท่านั้น ผู้ใดจะรู้เล่าว่าฮูหยินจะมีมุมเช่นนี้อยู่ด้วย "ข้ามิได้คิดเช่นนั้นเสียหน่อย" เซี่ยซินหยานขมวดคิ้ว ประท้วงคำพูดของเขาด้วยเสียงแผ่ว นางมิได้มีความคิดเช่นนั้นเสียหน่อย นางเพียงแค่คิดว่าหวงตงหยางเป็นบุรุษที่รูปงามมากก็เท่านั้น มิได้มีอารมณ์ความรู้สึกใดแอบแฝงอย่างที่เขากล่าวหาเลยแม้แต่น้อย"หากมิได้คิดเช่นนั้น..แล้วเจ้าคิดเช่นไรกันล่ะ" สายตาวิบวับเจ้าเล่ห์จับจ้องไปยังริมฝีปากของนางพร้อมซักถาม "ข้าคิดว่าท่านรูปงามมากก็เท่านั้นเอง..พอใจหรือยังเจ้าคะ" เซี่ยซินหยานตัดสินใจตอบกลับไปตามตรง หวงต
อาทิตย์อัสดงสาดส่อง ย้อมให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนเป็นสีแสด กระทั่งเงาของต้นหลิวที่สะท้อนอยู่ในน้ำก็ยังมองเห็นเป็นสีแสดด้วยเช่นกัน จ้าวเยี่ยนฟางนั่งยังคงชะเง้อมองหาร่างของผู้เป็นสามี ด้วยความกระวนกระวายใจ"อากาศเย็นลงแล้วนะเจ้าคะฮูหยิน เข้าไปพักผ่อนด้านในเรือนเถิดเจ้าค่ะ" สาวใช้คนสนิทเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง วันนี้ฮูหยินของนางนั่งรอท่านแม่ทัพอยู่ที่ศาลาริมน้ำมาทั้งวันแล้ว ไม่ว่านางจะพูดเช่นไรก็ดูเหมือนว่าฮูหยินท่านจะไม่ยอมฟังเลยแม้แต่น้อย"ข้าขอรอเขาอยู่ตรงนี้อีกสักหน่อยนะ.." เสียงผู้เป็นนายตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน ถิงถิงจึงทำได้เพียงปล่อยให้ท่านนั่งรออยู่เช่นนี้ต่อไป สิ่งที่นางพอจะทำให้ฮูหยินได้ในเวลานี้ก็คือนำเสื้อคลุมหนา ๆ มาให้ท่านสินะ.."เช่นนั้นบ่าวจะไปนำเสื้อคลุมอุ่น ๆ มาให้นะเจ้าคะ" "อื้อ" จ้าวเยี่ยนฟางพยักหน้าตอบกลับเล็กน้อย ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังซุ้มประตูทางเข้าของเรือนจงหยุนไม่นานนักถิงถิงก็เดินกลับมาพร้อมกับเสื้อคลุมสีฟ้า มืออีกข้างหนึ่งของนางถือตะเกียงไม้มาด้วย นางช่วยใส่เสื้อคลุมให้กับฮูหยินและจัดแจงวางตะเกียงไว้ด้านข้าง เพราะนางรู้ดีว่าฮูหยินคงจะนั่งอยู่ต่อไปเช่นนี้ต่อไป หาก
ยามอู่ ของวันที่ห้าในป่าลึกเจียวมิ่งควบอาชาสีนิลมาหยุดอยู่ลานกว้างหน้ากระท่อมหลังเล็ก ร่างกำยำกระโดดลงจากหลังม้า ก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปผลักประตูไม้บานเก่า ๆ ออก จนเกิดเสียงดังเอี๊ยด ภาพที่เห็นนั้นยิ่งทำให้องครักษ์หนุ่มนั้นประหลาดใจก็คือภาพที่ เจ้านายของเขาพูดคุยกับตาเฒ่าเจ้าเลห์อย่างสนิทสนมราวกับว่ารู้จักกันมานานหรือตอนนี้ท่านแม่ทัพกำลังถูกสะกดจิต.. เขาคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ แต่กลับต้องหลุดออกจากภวังค์เพราะเสียงของผู้เป็นนาย"อ้าว เจ้ามาแล้วรึ" หวงตงหยางเอ่ยทักทายองครักษ์คนสนิท หลังจากที่มิได้เจอหน้ากันนานถึงสี่วัน"นายท่าน.. ท่านผู้เฒ่า" เจียวมิ่งประสานมือทำความเคารพก่อนจะค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม แม้ว่าในใจจะมิไว้ใจตาเฒ่าเจ้าเลห์ผู้นั้น แต่ทว่าตอนนั้นตาเฒ่านั่นก็มีศักดิ์เป็นถึงอาจารย์ของท่านแม่ทัพ มิว่าจะชอบหรือไม่ชอบอย่างไร เขาก็ต้องทำความเคารพ"ว่าแต่เจ้าหอบอะไรมาล่ะนั่น พะรุงพะรังเชียว"สายคมกริบจ้องมองห่อผ้าด้วยความสงสัย อันที่จริงเขากำลังรอให้เจียวมิ่งกลับมา เพราะจะได้ถามว่าฮูหยินได้ฝากจดหมายมาบ้างหรือเปล่า"อ่อ..ของพวกนี้ฮูหยินเป็นคนเตรียมมาให้ท่านน่ะขอรับ" เจียวมิ่งตอบกลับ ก่อนจะยื
บริเวณลานกว้างในป่าลึก หวงตงหยางฝึกฝนวิชาโดยการนั่งสมาธิเพื่อตามหาจุดที่มีแก่นของวิญญาณอยู่ โดยที่มีอาจารย์เฉิงคอยเฝ้าดูอยู่ไม่ห่าง และเมื่อเพ่งสมาธิถึงจุดหนึ่ง เสียงของเหล่าวิหกรวมถึงเสียงของสายลมนั้นได้ดับเงียบลงหวงตงหยางจ่มดิ่งสู่ห้วงแห่งสมาธิ และมุ่งหน้าตามหาแสงแห่งชีวิต จนกระทั่งพบเข้ากับดวงไฟสีขาวที่ลุกโชน เขาได้เอื้อมมือไปแตะกับดวงไฟดวงนั้น และเมื่อมือของเขาสัมผัสเข้ากับดวงไฟ ความรู้สึกมากมายก็ถาโถมเข้ามาอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ราวกับคลื่นทะเลที่คอยซัดเข้าหาชายฝั่งเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นทั่วร่างของหวงตงหยาง จนอาภรณ์ของเขานั้นเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เมื่อผู้เป็นอาจารย์เห็นเช่นนั้นจึงรู้ได้ทันทีว่า ลูกศิษย์ของเขาได้พบเจอเข้ากับแก่นของวิญญาณแล้วแก่นของวิญญาณนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์อันมากมายของมนุษย์ทั้ง รัก โลภ โกรธ หลง หวงตงหยางจะต้องเห็นภาพที่เขานั้นได้ใช้มาทั้งชีวิต รวมถึงได้เห็นอดีตทั้งดีและร้าย ต่อให้เป็นเรื่องที่เขานั้นลืมเลือนไปแล้ว มันก็จะกลับมาฉายซ้ำให้ได้เห็นหากเขาได้พบเข้ากับภาพแห่งความสุข เขาอาจจะไม่อยากกลับออกมายังโลกความเป็นจริงอีก ถ้าหากได้พบกับสิ่งที่เขาเกลียดหรือห
จ้าวเยี่ยนฟางลืมตาตื่นขึ้นมาในยามเฉิน ก็ไม่พบกับหวงตงหยางเสียแล้ว ในตอนแรกนางคิดว่าเขาคงจะไปที่ค่ายทหาร หรือไม่ก็คงจะเข้าวังตามปกติ นางจึงไม่คิดติดใจหรือสงสัยอะไรและใช้เวลาเกือบทั้งวันไปกับการเขียนตำราและปักเย็บผ้า"เหตุใดฮูหยินจึงปักผ้าเช็ดหน้าหลายผืนนักล่ะเจ้าคะ" ถิงถิงที่เงียบอยู่นานเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เจ้านายของนางจะเปิดร้านขายผ้าเช็ดหน้าหรืออย่างไรกัน นี่ก็ปาไปผืนที่สามแล้ว ท่านก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดปัก"ข้าตั้งใจปักไว้ให้ตงหยางน่ะ" ดวงหน้างามเงยหน้าขึ้นมาตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน บอกตามตรงว่านางก็มิได้มีฝีมืออันใด เพียงแต่ว่าอยากทำให้เขาก็เท่านั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าหวงตงหยางจะชอบผ้าเช็ดหน้าที่นางปักให้หรือไม่ เพราะว่ามันก็มิได้วิจิตรและมิใช่ลวดลายที่ทำยากอะไร"หากท่านแม่ทัพรู้ ท่านจะต้องดีใจมากแน่เจ้าค่ะ" "งั้นหรือ.. หากเขาชอบนั่นก็คงจะดี"ณ กระท่อมกลางป่าหวงตงหยางอยู่ในสภาวะอ่อนแรงหลังจากที่สูญเสียอายุไขให้กับเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นั้นไปสิบปี เขามองเห็นทุกการกระทำที่ชายคนผู้นั้นทำ แต่กระนั้นก็ยังไม่เข้าใจว่า มนุษย์คนหนึ่งจะดึงเอาอายุไขผู้อื่นไปได้อย่างไร"วันนี้เจ้าพักผ่อนอยู่ท