เขาเสี่ยงชีวิตมาช่วยพวกนางแท้ ๆ นางจะทิ้งเขาลงอย่างนั้นหรือ นั่นมันไร้หัวใจเกินไปแล้ว พวกโจรมันมีกันตั้งหลายคน ลำพังแค่เขาผู้เดียว จะไปสู้พวกมันได้อย่างไร..อีกใจหนึ่งของนางก็คิดว่าหากเขาไม่มั่นใจในฝีมือของตนเอง ก็คงจะมิกล้ากระโดดเข้ามาช่วยนางหรอก! นางกลับไปแล้วจะช่วยอะไรเขาได้
โอ๊ย เอาวะเป็นไงเป็นกัน!!
"ถิงถิงเจ้ารีบกลับไปตามคนมาช่วยบุรุษผู้นั้นเร็ว คนนับสิบรุมคนเพียงหนึ่งอันตรายเกินไป ข้าจะกลับไปดูเขา เผื่อจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง"
"คุณหนู ท่านไปมิได้นะเจ้าคะมันอันตราย"
"นี่คือคำสั่ง ถ้าไม่อยากให้ข้าเป็นอันตราย เจ้าจงรีบไปตามคนมา!!" บัดนี้ในใจของนางว้าวุ่น เรื่องคอขาดบาดตายเช่นนี้จะมัวรอช้ามิได้ นางรู้สึกผิดที่ตอนแรกคิดหนีเขาออกมา
"เจ้าค่ะข้าจะรีบไปตามคนมาเดี๋ยวนี้" ถิงถิงไม่รอช้ารีบวิ่งไปตามทางรถม้า ในใจก็นึกให้ใครก็ได้ช่วยคุณหนูกับผู้มีพระคุณคนนั้นด้วย!
เจ้าเยี่ยนฟางวิ่งกลับมาที่เดิม บุรุษผู้มีพระคุณของนางกำลังต่อสู้อยู่กับพวกโจรอย่างดุเดือด บัดนี้พวกมันนอนหมอบกับพื้นไปเกือบหมดแล้ว บุรุษผู้นี้ช่างไร้เทียมทานยิ่งนัก
นางหลบอยู่หลังต้นไม้คอยสังเกตการณ์ จะมีสิ่งใดที่นางพอจะช่วยเขาได้บ้าง นางต่อสู้ไม่เป็น จะให้ไปร่วมสู้กับเขาก็คงจะเกินกำลังของนาง
โจรสามคนที่เหลือถูกฟันจนล้มลงนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น บุรุษผู้มีพระคุณกำลังจะหันไปจัดการกับโจรคนสุดท้าย ทันใดนั้นเอง หัวหน้าโจรก็จับดาบด้วยมือข้างซ้ายหมายจะพุ่งเข้าไปแทงข้างหลังคนที่มันฟันมือขวาของตน
ผู้มีพระคุณคนนั้นกำลังจะเสียท่าถูกลอบแทงข้างหลัง จ้าวเยี่ยนฟางไม่รอช้า สอดสายสายตามองหาสิ่งที่จะนำมาเป็นอาวุธได้ พลันเห็นก้อนหินพอเหมาะมืออยู่ไม่ไกลตน จึงรีบวิ่งไปขว้าหินก้อนนั้นขึ้นมาแล้วพุ่งทะยานเข้าไปทุ่มหินใส่หัวของโจรผู้นั้นอย่างสุดกำลัง
อั่ก!! หัวหน้าโจรร้องลั่นก่อนที่จะทรุดกายลงไปนอนกับพื้นดิน ของเหลวสีแดงสดไหลออกจากศีรษะโจรเป็นทางยาว บุรุษในชุดสีดำหันกลับมามองทางด้านหลัง เห็นหนึ่งในกลุ่มโจรนอนสลบเหมือดกับพื้นและสตรีใจกล้าที่ยืนตัวสั่น ในมือถือก้อนหินที่มีของเหลวสีแดงสดเปื้อนอยู่
ในขณะที่บุรุษผู้กล้าอึ้งกับภาพเบื้องหน้า โจรคนสุดท้ายที่เหลือสบโอกาสในยามที่อีกฝ่ายกำลังพลั้งเผลอ เงื้อดาบยาวขึ้นสูงแล้วตวัดฉับไปที่ร่างของบุรุษผู้กล้านั้นทันที ด้วยสัญชาตญาณและประสบการณ์ในเชิงรบ เขาพลิกพลิ้วเบี่ยงตัวหลบและตวัดดาบในมือฝ่าอากาศฟันฉับเข้ากับลำตัวของโจรผู้นั้นอย่างแม่นยำ
บุรุษผู้กล้าสังหารโจรตรงหน้าโดยไร้ความเมตตาและไร้ซึ่งความลังเล คมดาบยาวตัดผ่านหลอดลมของโจรทันที กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ ฝ่ามือหนาปาดเช็ดเลือดที่กระเซ็นมาเปื้อนใบหน้าที่โผล่พ้นผ้าออกอย่างลวก ๆ ก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจกับสตรีที่อยู่เบื้องหลัง
จ้าวเยี่ยนฟางเห็นคนตายต่อหน้าต่อตาก็ตกใจยิ่งนัก แข่งขาอ่อนแรง ร่างกายไร้ซึ่งแรงโน้มถ่วง ล้มพับพาบลงไปกองกับพื้นอย่างแรง บุรุษผู้กล้าค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้นางขึ้นเรื่อย ๆ นางนั่งตัวสั่นเทาแววตาสั่นไหว จับจ้องบุรุษตรงหน้าที่ก้าวย่างเข้ามายังตน แม้นจะกลัวเพียงใดแต่ก็ทำใจดีสู้เสือส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้กับคนตรงหน้า บุรุษผู้นี้ช่างน่ากลัวยิ่งกว่าโจรยิ่งนัก!
"เจ้ากลัวข้างั้นรึ เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงได้ใจกล้า ปากกล้ายิ่งนัก" จ้าวเยี่ยนฟางได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ นางไปปากกล้าใส่เขาตอนไหนกัน
"ข้าไปปากกล้าใส่ท่านตอนไหนกัน.." นางโต้กลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เหตุการณ์ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก เกิดมาก็ไม่เคยเห็นใครตายต่อหน้าต่อตาอย่างนี้มาก่อน ใครจะไปรับมือได้ไหว
แต่เดี๋ยวก่อน..เหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นกับน้ำเสียงนี้เหลือเกิน
ร่างบางพยายามจะลุกขึ้นยืนแต่ทว่าขานางกลับไม่ยอมเชื่อฟังเลย นางลุกไม่ขึ้นไม่ว่านางจะพยายามแค่ไหนแล้วก็ตาม
"เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงของสตรีผู้หนึ่งพ่นถ้อยคำหยาบคายออกมาเสียงดัง ระคายหูข้ายิ่งนัก" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นางไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์แบบไหนกัน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินสิ่งที่นางด่าโจรสินะ..
"อะ..เอ่อข้าเพียงโกรธเท่านั้นจึงได้พูดเช่นนั้นออกไป พวกมันทำไม่ดีกับข้า ไยข้าต้องพูดจาอ่อนหวานกับพวกมันด้วย"
"ไยเจ้ามิลองใช้มารยาดูเล่า แบบที่เจ้าเคยทำไง พวกมันอาจไม่ฆ่าเจ้าก็ได้" คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความประชดประชัน แม้เขาจะเป็นผู้มีพระคุณแต่นางกลับรู้สึกไม่ชอบใจบุรุษผู้นี้ขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
"ท่านเป็นใครกันถึงได้มาพูดจาดูหมิ่นข้าเช่นนี้ เรารู้จักกันงั้นหรือ?"
"เจ้าไม่รู้จริง ๆ หรือ" เขาตอบเสียงเรียบ
นางจ้องมองใบหน้าที่ปิดด้วยผ้าผืนสีดำของเขาด้วยความฉงนใจ และเมื่อใช้สายตามองสำรวจร่างกายกำยำของบุรุษตรงหน้าอย่างถี่ถ้วนก็พบว่า บุรุษผู้นี้มีส่วนคล้ายคลึงกับหวงตงหยางที่นางเพิ่งเจอที่โรงน้ำชา แต่มันจะเป็นไปได้หรือที่หวงตงหยางจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เอาชีวิตตนมาเสี่ยงเพื่อช่วยนาง เขารังเกียจนางอย่างกับอะไรดี
จ้าวเยี่ยนฟางจ้องลึกเข้าไปยังดวงตาสีเหล็กกล้าอย่างค้นหาคำตอบเพียงเสี้ยวนาที ก่อนจะเบือนใบหน้าหนีหลบดวงตาคู่คมนั้นที่จ้องลึกเข้ามายังดวงตากลมโตที่สั่นไหวเหมือนกันอย่างหวาดหวั่น พลันสายตาก็สังเกตเห็นว่าที่ช่วงกลางอกของเขา อาภรณ์ที่เขาสวมใส่มีรอยขาดเป็นทางยาวและบริเวณนั้นมีความเปียกชุ่มอยู่ เขาคงได้รับบาดเจ็บเป็นแน่!
"ท่านบาดเจ็บนี่ ข้าขอดูหน่อย" นางค่อย ๆ พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ยืนชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาบุรุษตรงหน้า
ไม่ว่าบุรุษผู้นี้จะเป็นใคร แต่เขาก็นับว่าเป็นผู้มีพระคุณ ต่อให้เขาคือหวงตงหยางที่จะฆ่านางในตอนจบ นางก็ต้องรักษาเขา
นางเดินเข้าไปหนึ่งก้าว เขาก็ถอยหลังออกจากนางหนึ่งก้าว
"ท่านจะถอยหลังหนีข้าทำไมกัน ข้าเพียงแค่จะดูแผลให้ท่านเท่านั้น"
"ข้าไม่เป็นไร แผลเท่านี้นับว่าไกลหัวใจ" แม้จะมองเห็นแค่เพียงครึ่งหน้า แต่นางก็เห็นว่า ใบหน้าของเขานั้นเริ่มซีดเซียว และบัดนี้บริเวณหน้าอกของเขามันเปียกชุ่มเป็นวงกว้างมากยิ่งกว่าเดิม
"ท่านอย่าดื้อนักจะได้มั้ย!!" นางดันบุรุษที่ตัวใหญ่กว่านางจนหลังเขาชิดติดกับต้นไม้ใหญ่ และจับไหล่ของเขาเบา ๆ ค่อย ๆ กดให้เขานั่งลง บัดนี้บุรุษที่แข็งแกร่งอย่างเขากลับถูกมือเล็ก ๆ จับไปวางตรงนั้นตรงนี้ได้อย่างง่ายดาย หากนางอยากดูนักก็ปล่อยให้นางดูให้สมใจ เขานั่งนิ่งไม่ขัดขืน และไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาใช้เพียงสายตาสำเร็จมองนาง
"คุณชายข้าต้องล่วงเกินท่านแล้ว" จ้าวเยี่ยนฟางจับไปที่อาภรณ์สีดำที่โชกเลือดของเขา ก่อนจะค่อย ๆ ถอดมันออกอย่างเบามือ สำหรับนางแล้วแค่ผู้ชายถอดเสื้อมันธรรมดามาก โลกที่นางจากมา ถอดให้เห็นกันยิ่งกว่านี้เยอะ และอีกอย่างนางก็เคยเรียนหมอมาก่อน แม้จะไม่ได้ชอบนัก แต่นางก็สามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้เป็นอย่างดี
เขาได้แต่นั่งเงียบคอยดูการกระทำของนาง นางกล้าถอดเสื้อผ้าของบุรุษแปลกหน้าได้อย่างไร หรือจริง ๆ แล้วนางจำได้ว่าเขาคือใคร แล้วถ้าหากว่านางจำเขาไม่ได้ล่ะ ต่อให้เป็นบุรุษแปลกหน้านางก็จะทำเช่นนี้หรือ.. เหอะ! นางช่างเป็นสตรีที่ไร้ยางอายยิ่งนัก
"เจ้ามันเป็นสตรีน่ารังเกียจ"
"ยังมีแรงต่อว่าข้าเช่นนี้แสดงว่าคงยังไม่ตายง่าย ๆ" จ้าวเยี่ยนฟางหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งขึ้นมา หมายมั่นว่าจะเอามาเช็ดเลือดให้กับบุรุษตรงหน้า แต่ทว่านางกลับชะงักการกระทำนั้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
บุรุษแปลกหน้าผู้นั้นมองผ้าเช็ดหน้าในมือของนางอย่างไม่ละสายตา ก่อนสายตาดุดันจะตวัดกลับมามองหน้านางด้วยความรู้สึกหนึ่งที่อ่านได้ยาก
ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นของหลงโม่โฉว แม้ว่านางจะมิได้เอามาเช็ดน้ำตาในตอนแรก แต่นางก็ต้องซักแล้วนำไปคืนเขา จะเอามาเช็ดเลือดเช่นนี้ไม่ได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็ลุกขึ้นทันที คนจะช่วยทำแผลให้กลับโดนด่าว่าเป็นสตรีน่ารังเกียจ นางน่าจะหนีไปเสียตั้งแต่ตอนแรก
ขณะที่นางกำลังจะหันหลังเดินออกไป กลับถูกเขาจับข้อมือไว้แน่น
"เจ้าจะไปไหน"
"ข้าจะไปหยิบผ้ามาห้ามเลือดให้ท่าน ปล่อยมือข้าได้แล้ว"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาจึงยอมปล่อยมือจากนาง จ้าวเยี่ยนฟางเดินผ่านซากโจรที่นอนอยู่บนพื้นโดยที่มิรู้ว่าใครเป็นใครตายบ้าง นางเดินตรงไปหยิบห่อผ้าที่นางเพิ่งซื้อมา และกลับเข้าไปในรถม้าเพื่อหยิบขวดเหล้าออกมา มันเป็นเหล้าที่นางตั้งใจซื้อไปดื่มที่เรือน
ไม่รู้ว่า เหล้านี้จะนำมาล้างแผลได้มั้ย.. แต่มันก็แอลกอฮอล์เหมือนกันแหละน่า ใช้ ๆ ไปก่อน จ้าวเยี่ยนฟางเดินกลับมายังต้นไม้ ที่มีบุรุษชุดดำนั่งรออยู่ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเขาจึงลืมตาขึ้นดู พบว่านางได้หอบของพะรุงพะรังเต็มสองมือไปหมด
"ท่านมีมีดสั้นหรือไม่เจ้าคะ" นางถามเขาเพื่อจะเอามันมาตัดผ้า ลำพังแค่แรงนางคงจะฉีกไม่ไหว
"เจ้าจะเอาไปทำอะไร" เขาถามอย่างงุนงง นางคิดจะสังหารเขาด้วยมีดอย่างนั้นหรือ แต่คงไม่เป็นเช่นนั้นหรอกกระมัง
"ผ้าผืนใหญ่ขนาดนี้หากไม่ตัดแล้วท่านจะห่มเอาหรือเจ้าคะ"
"มีแต่ดาบที่เจ้าเห็นนั่นแหละ" เขาพูดก่อนจะหลับตาลงเพราะขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับนาง
จ้าวเยี่ยนฟางใช้ชายกระโปรงตัวเองเช็ดรอยเลือดที่เปื้อนดาบจากนั้นนำเหล้ามาราดเพื่อทำความสะอาด และใช้ผ้าส่วนหนึ่งเช็ดดาบให้แห้ง ก่อนจะนำดาบที่นางคิดว่าสะอาดแล้วตัดผ้าแพรผืนสีขาวอีกผืนออกเป็นชิ้น ๆ ขนาดพอใช้งาน
นางใช้ผ้าชุบเหล้าแล้วเช็ดรอบ ๆ บาดแผลก่อนที่จะนำผ้าส่วนที่นางเตรียมไว้เป็นผ้าพันแผลค่อย ๆ บรรจงพันแผลให้กับเขา
บัดนี้เลือดของเขาดูเหมือนว่าจะไหลช้าลงแล้ว โชคดีที่แผลไม่ได้ลึกมาก มิเช่นนั้นอาจอันตรายถึงชีวิตได้ นางทิ้งตัวลงข้าง ๆ เขาเพื่อนั่งพัก พลางใช้ความคิดถึงการเอาชีวิตรอดจากที่นี่ หากมีหนึ่งในโจรฟื้นขึ้นมา นางจะทำอย่างไรดี
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ตรงเข้ามาทางที่นางนั่งอยู่ และดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงของคนหลายคน ไม่นานถิงถิงก็โผล่มาพร้อมกับทหารและรถม้าของจวน
จ้าวเยี่ยนฟางรีบลุกขึ้นไปเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ทหารฟัง หลังจากที่ตรวจสอบดูแล้วก็พบว่ามีผู้สิ้นชีพสิบห้าคน หนึ่งในนั้นรวมคนขับรถม้าของนางด้วย ส่วนกลุ่มโจรพวกนี้มีคนรอดชีวิตเพียงคนเดียว คือคนที่จ้าวเยี่ยนฟางทุบด้วยก้อนหิน..
บุรุษชุดดำที่ตอนนี้ถูกพันด้วยผ้าพันแผลเดินมายืนข้าง ๆ จ้าวเยี่ยนฟางก่อนจะใช้มือถอดผ้าปิดหน้าออก
"ตายหมดมั้ย" เขากล่าวอย่างภูมิใจในผลงานของตัวเอง จ้าวเยี่ยนฟางจึงหันไปดูว่าเขาลุกขึ้นมาได้อย่างไร ทหารหันไปมองตามที่มาของเสียงเมื่อเห็นป้ายหยกตรงเอวของเขาแล้ว ก็รีบทำความเคารพทันที
"คารวะท่านแม่ทัพ!!"
"ที่เหลือฝากพวกเจ้าจัดการด้วย" เขากล่าวอย่างเรียบง่ายก่อนจะหันหน้ามาหาสตรีตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นางได้แต่ยืนอึ้งและมึนงง นิ้วเรียวชี้หน้าเขา ทำตาปริบ ๆ ริมฝีปากอิ่มสีชมพูระเรื่อเผยอออกแล้วก็หุบอยู่หลายครั้ง คลายจะพูดอะไรแต่ก็ไม่มีเสียงใดหลุดรอดออกมาจากปากนาง
บุรุษคนนี้คือ.. หวงตงหยางจริง ๆ ด้วย!!
หวงตงหยาง..ตอนนี้เขาควรอยู่กับเหรินหลานเฟิงที่โรงน้ำชาสิ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน หวงตงหยางผู้นั้นเนี่ยนะ จะมาช่วยข้า เห็นทีปีนี้หิมะคงไม่ตกแล้วล่ะ เขาเกลียดจ้าวเยี่ยนฟางอย่างกับไส้เดือนกิ้งกือ เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะตามมาเพื่อปกป้องนาง"ท่าน! ท่านมาทำอะไรที่นี่" แม้นางจะคิดว่าบุรุษผู้นี้มีส่วนคล้ายกับหวงตงหยาง แต่นางก็ไม่คิดว่าจะเป็นเขาจริง ๆ เพราะจากนิยายที่นางเคยอ่านมันไม่มีฉากนี้นี่นา"นี่คือสิ่งแรกที่เจ้าพูดกับผู้มีพระคุณของเจ้าหรือ" หวงตงหยางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หลังจากจบงานเลี้ยงที่วัง เขาก็แทบไม่ได้เห็นหน้าจ้าวเยี่ยนฟางอีกเลย ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอหน้าฮูหยินของตนข้างนอกจวน แถมยังเป็นสถานการณ์เช่นนี้เพราะปกตินางจะต้องมาตามรังควานเขาเสียทุกที แต่คราวนี้นางกลับทำเหมือนไม่เห็นเขา และเดินออกไปทั้งอย่างนั้น อันที่จริงเขาเห็นนางตั้งแต่เดินเข้ามาที่โรงน้ำชาแล้วล่ะ เพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็นนางก็เท่านั้นและสิ่งที่แปลกขึ้นไปอีกคือ การที่จ้าวเยี่ยนฟางเห็นเขานั่งอยู่กับเหรินหลานเฟิง หากเป็นปกตินางคงเข้ามาโวยวาย ทำร้ายร่างกายเหรินหลานเฟิง ไม่ก็ทำลายขว้างปาข้าวของ แต่นางกลับไม่มีท
"หากหมอที่เก่งที่สุดรักษาได้เพียงเท่านี้ เช่นนั้นข้าจะเป็นคนรักษาให้ท่านเอง!" วิชาแพทย์ที่นางเคยร่ำเรียนมาในชาติก่อน กำลังจะได้ใช้จริงในชาตินี้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่อาชีพที่นางชอบ แต่นางก็ต้องทำเพื่อช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน"อย่างเจ้าน่ะหรือจะรักษาข้า แค่กๆ" เสียงพูดกระท่อนกระแท่นและไอโขกตามมาหลังจากบุรุษผู้องอาจพูดจบ หวงตงหยางพยายามสูดเอาอากาศเข้าปอด และค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะอย่างช้า ๆ ตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะมาสู้รบตบมือกับนางแล้วหากหมอที่เก่งที่สุดยังรักษาเขาไม่ได้ สตรีที่ชื่อว่าจ้าวเยี่ยนฟางจะรักษาเขาได้อย่างไร แต่ก็ช่างเถิด ตอนนี้เขาไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว..จ้าวเยี่ยนฟางถือวิสาสะถอดเสื้อของเขาออกตามอำเภอใจ หวงตงหยางก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืน นางเคยทำแผลให้เขามาแล้วครั้งหนึ่ง มิรู้ว่าครั้งนี้จะสามารถไว้ใจนางได้หรือไม่ เขาได้แต่ทำใจและยอมให้นางรักษาแต่โดยดีนางสำรวจบาดแผลของเขา ก่อนจะหันกลับมาบ่นเขาตามประสาคนที่เคยเรียนหมอมาก่อน ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าทำไมหมอถึงบ่นนางในตอนที่นางป่วยเพราะนางเองก็เป็นคนประเภทที่ หากไม่ได้เป็นอะไรหนักหนา นางจะไม่มีทางไป
"ช่วงนี้ข้าจะมาทำแผลให้ท่านทุกวันจนกว่าจะหายดี ถึงท่านจะไม่อยากเห็นหน้าข้าก็ช่วยอดทนหน่อยนะเจ้าคะ ขอเพียงข้ารักษาท่านเสร็จ ข้าจะไม่มารบกวนท่านอีก""ได้" เขาตอบกลับเสียงเรียบ สีหน้าและแววตาไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใด ๆ จ้าวเยี่ยนฟางได้แต่ฝืนยิ้มให้กับเขา เหตุใดนางถึงรู้สึกเศร้าเช่นนี้ ทั้งที่นางไม่ได้คิดอะไรกับเขาด้วยซ้ำ"วันนี้ข้าทำข้าวต้มทรงเครื่องมาให้ท่านด้วยล่ะ เดี๋ยวข้าจะให้เจียวมิ่งนำไปอุ่นมาให้ท่านนะเจ้าคะ"หวงตงหยางไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับไป เขาทำเพียงแค่มองดูนางทำนั่นทำนี่ก็เท่านั้น นางเก็บอุปกรณ์ทำแผลเสร็จเรียบร้อย ก็ลุกขึ้นและยกสำรับที่เย็นชืดแล้วไปให้เจียวมิ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมกลับกะละมังใส่น้ำ และผ้าสะอาดผืนหนึ่ง"เจ้าจะทำอะไร""เช็ดตัวให้ท่านไงเจ้าคะ ดูเหมือนว่าท่านจะมีไข้ด้วย ถึงแม้ว่าข้าจะทำแผลให้ท่านเสร็จแล้ว ก็ใช่ว่าไข้จะลดลงไปด้วย ท่านต้องเช็ดตัวเพื่อลดไข้ด้วยนะเจ้าคะ" นางตอบเขาไปอย่างไม่คิดอะไร แต่ทว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงกลับคิดไปไกล เช็ดตัวให้ก็ต้องเปลื้องผ้า หรือที่จริงแล้ว จ้าวเยี่ยนฟางอยากถือโอกาสที่เขาป่วยเพื่อหลอกกินเต้าหู้เขากันเมื่อเห็นว่าเขาทำสีหน้าไม่ไว้วางใจ นางก็ถึ
ตอนนี้นางช่างเป็นคนที่รับมือได้ยากเสียจริงหวงตงหยางคิดอยู่ในใจพลางยกยิ้มมุมปากอย่างพึงใจ ถึงจะไม่อยากยอมรับว่าเขาสนใจเรื่องของนาง แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้จ้าวเยี่ยนฟางเป็นสตรีที่น่าสนใจจริง ๆหลังจากวันนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ดูเหมือนจะดีขึ้น ทั้งหวงตงหยางและจ้าวเยี่ยนฟางต่างก็มีเรื่องต่าง ๆ มาพูดคุยกัน เพื่อแก้เบื่อ หวงตงหยางเริ่มพูดกับนางมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเอาเจียวมิ่งองครักษ์ส่วนตัวของเขาถึงกับอมยิ้มเวลามองมาที่เขาและนางจ้าวเยี่ยนฟางมักจะถามเขาถึงเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาเคยไปออกรบว่าเป็นอย่างไรบ้าง ครั้งแรกที่เขาจับดาบตอนอายุเท่าไหร่ หรือกระทั่งเรื่องการฝึกยุทธ์ วิชาตัวเบาต่าง ๆ นางล้วนนั่งฟังอย่างตั้งใจหวงตงหยางเหลือบเห็นสายตาของนางที่มองมาที่เขาด้วยความชื่นชมตลอดเวลาที่เขาเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง"เจ้าถูกใจเรื่องที่ข้าเล่าหรือ" เขาเอ่ยถามออกไปด้วยความแปลกใจ เรื่องของทหาร เรื่องของดาบ น้อยนักที่สตรีใต้หล้านี้จะใคร่รู้และอยากฟังเรื่องราว แต่ว่านางกลับนั่งฟังอย่างตั้งใจ อีกทั้งท่าทีก็ดูตื่นเต้นและสนุกสนานกับเรื่องเล่าของเขาการได้พูดคุยกับสตรีที่ชื่
อันที่จริงใช่ว่านางจะหลงใหลหวงตงหยางเหมือนจ้าวเยี่ยนฟางคนเก่า แต่นางเพียงไม่ชอบให้ใครมาพูดจาถากถางใส่เช่นนี้ หากไม่ชอบนาง ก็แค่เดินผ่านไปตั้งแต่แรกเสียก็จบ ไม่รู้ว่าจะมาทำตัวปากยื่นปากยาวใส่นางไปทำไมกัน"ข้าน่ะรู้สึกสงสารฮูหยินจับใจเลยนะเจ้าคะ" แม้ว่าเหรินหลานเฟิงจะทำเป็นตีหน้าเศร้า แต่แววตาของนางหาได้เป็นเช่นนั้นไม่นางคงจะเก่งในการพูดให้ผู้อื่นโมโหมากเลยสิท่า ถึงว่าล่ะจ้าวเยี่ยนฟางคนก่อนถึงได้ถึงขั้นลงไม้ลงมือตบตี เจ็บตัวเล็กน้อยแต่ได้หัวใจของพระเอกมาครอง หึ ช่างน่าขันยิ่งนักเจ้าก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนี่แม่นางเหรินแต่วิธีของเจ้าใช้ไม่ได้กับจ้าวเยี่ยนฟางคนนี้หรอกนะ ถ้าเหงาปากนักละก็ นางจะอยู่คุยเป็นเพื่อนให้ก็ได้"ตัวข้านี้ มีเรื่องอะไรให้คุณหนูจากสกุลเหรินมาสงสารกันล่ะ" เพราะหากเปรียบเทียบกันแล้ว ตัวของจ้าวเยี่ยนฟางเองก็นับว่าเหนือกว่าเหรินหลานเฟิงในทุก ๆ เรื่อง ทั้งฐานะทางสังคม ทรัพย์สินเงินทอง หรือกระทั่งรูปร่างหน้าตา จ้าวเยี่ยนฟางนั้น มิมีสิ่งใดที่ด้อยกว่าคุณหนูจากสกุลเหรินเลยแม้แต่น้อยเหรินหลานเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้น ก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมา แววตามีความสะกดกลั้นอารมณ์อยู่ไม่น้อย นิ้ว
จ้าวเยี่ยนฟางเดินมาหยุดที่หน้าเรือนของหวงตงหยางเหมือนในทุก ๆ วัน แต่ทว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ที่นางจะมารักษาให้เขา เพราะบาดแผลของเขานั้นเกือบหายดีแล้ว ตัวนางเองก็คงหมดหน้าที่แล้วเช่นกันอาจเป็นเพราะว่าหวงตงหยางเป็นคนฝึกยุทธ์ บาดแผลจึงสมานได้ไวกว่าคนปกติ นางนึกหัวเราะอยู่ในใจ คนที่มีวิทยายุทธ์อย่างนั้นหรือ.. ความคิดนี้มาจากคนที่เคยเรียนแพทย์อย่างนางได้อย่างไรกัน นางคงจะคุ้นชินกับโลกใบนี้เสียแล้วล่ะ"ข้าคิดว่าแผลของท่านเกือบจะหายดีแล้ว พักดื่มยาอีกสองสามวันคงหาย" นางพูดขึ้นในขณะที่กำลังก้มหน้าเก็บอุปกรณ์ทำแผลเช่นเดิมแต่ขณะที่นางจะลุกขึ้นเพื่อเอาของไปเก็บ เขากลับเรียกนางเอาไว้ หวงตงหยางจมอยู่ในห้วงความคิดของตนอยู่นาน เหตุใดเขาถึงรู้สึกวูบโหวง ใจหายแปลก ๆ เพียงแค่คิดว่านางจะไม่มาหาอีก มันเป็นความรู้สึกที่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทั้งที่เขาเคยเกลียดชังนางถึงขั้นไม่อยากเห็นหน้าไม่อยากเข้าใกล้ แต่กลับเฝ้ารอให้นางมาหา และรู้สึกใจหายทุกครั้งเมื่อนางกลับไป"เจ้าหมายความว่า หากข้าหายดีแล้ว เจ้าก็จะไม่มาที่นี่อีกใช่หรือไม่" น้ำเสียงอ่อนโยนแฝงความนัยลึกซึ้ง สายตาที่ทอดมองนางก็ยิ่งลึกล้ำจ
"ไหน ๆ ฮูหยินที่เจ้าจงเกลียดจงชัง ก็ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นแล้ว เจ้าควรมีสีหน้าที่ดีกว่านี้สิ หรือว่า..เจ้าคิดถึงนาง!""แค่กๆๆ นี่เจ้า! จะพูดอะไรก็ช่วยคิดก่อนพูดได้หรือไม่ ข้าเนี่ยนะ จะไปคิดถึงนาง เหอะ! สตรีร้ายกาจเช่นนั้น ข้าไม่..คิดถึงนางหรอก หายไปได้ก็ดีแล้ว" หวงตงหยางถึงกับสำลักเมื่อได้ยินสิ่งที่สหายของตนพูดออกมาเขาคิดถึงนางอย่างนั้นหรือ.. เป็นไปไม่ได้หรอก เขาเพียงแค่เคยชินที่นางคอยมาทำแผลให้ก็เท่านั้น"งั้นหรือ..แต่ข้ารู้สึกคิดถึงนางนะ" หลงโม่โฉวพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ พลางยกจอกสุราขึ้นมาดื่ม ครั้งล่าสุดที่เขาพบกับจ้าวเยี่ยนฟาง ก็ตั้งแต่ในร้านขายภาพวาด อีกทั้งตอนนั้นนางยังวิ่งมาสวมกอดเขา ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียจนเขาเองยังรู้สึกสงสารต้องยอมรับว่านางงดงามแม้กระทั่งตอนที่ร้องไห้ น้ำตาไหลอาบหน้า เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าเหตุใดหวงตงหยางจึงจงเกลียดจงชังนางนัก"เจ้ากำลังคิดถึงภรรยาของข้าอยู่นะโม่โฉว" หวงตงหยางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังมีศักดิ์เป็นฮูหยินของเขา ถึงจะรู้ว่าหลงโม่โฉวเพียงพูดเล่น แต่เขากลับรู้สึกไม่ชอบใจสักเท่าไหร่"เจ้ากินน้ำส้มสายชูอย่างนั้นหรือ..ก่อนหน้านี้เ
หวงตงหยางมุ่งหน้าไปยังอาชาสีนิลของตน เขาไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี วันนี้จิตใจของเขาสับสนวุ่นวายไปหมด ทั้งที่เคยเกลียดชังจ้าวเยี่ยนฟางปานนั้น ก็ยังคิดถึงใบหน้าของนางอยู่ได้ ในเมื่อนางไม่หายไปจากสมองสักที เขาก็จะไปหานางเองขณะหวงตงหยางกำลังกุมบังเหียนอาชาคู่ใจมุ่งหน้ากลับไปยังจวนสกุลหวงเพื่อที่จะไปพบกับฮูหยินของตน ในใจก็พลันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า จะไปหานางด้วยเรื่องอะไร มีเหตุผลใดเขาจึงต้องไปหานางกัน เขาคิดเช่นนั้นมาตลอดทาง จนกระทั่งถึงบริเวณหน้าจวนสองเท้ากระโดดลงจากอาชาอย่างมั่นคง ทหารยามที่เข้าเวรอยู่ ณ.ขณะนั้นจึงเป็นคนเอาม้าไปเก็บให้ผู้เป็นนาย หวงตงหยางเดินหน้าแดงก่ำไปยังที่พำนักของฮูหยิน ตอนนี้เขามาหยุดอยู่หน้าเรือนของสตรีที่เขาเคยเกลียดที่สุด ภายในใจสับสนวุ่นวายตีรวนกันไปหมด ทำไมข้าถึงได้ถ่อมาถึงที่นี่กันนะ หากข้าได้เจอหน้านาง ความรู้สึกวุ่นวายในใจนี้จะหายไปหรือไม่"ฮูหยินอยู่ที่ใด" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามบ่าวไพร่คนหนึ่งที่คอยรับใช้อยู่ในเรือนจงหยุน"เรียนท่านแม่ทัพ ฮูหยินกำลังพักผ่อนอยู่ที่ศาลาริมสระบัวเจ้าค่ะ"หวงตงหยางพยักหน้ารับรู้เล็กน้อย ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังศาลาริมสระบัว ซึ่งตอนนี้มีร่า
"หยางหยาง เธอคนนั้นสวยเนอะนายว่ามั้ย" ลู่ฉือเฉิงใช้ศอกสะกิดเพื่อนรักของตัวเองด้วยความตื่นเต้น พลางใช้นิ้วชี้ไปยังผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ยืนหันหลังอยู่ เธอสวมมินิเดรสสีครีม พร้อมกับรองเท้าส้นสูงแบรนด์ดัง ผมสีน้ำตาลอ่อนเหยียดตรงยาวจนถึงกลางหลัง ยิ่งมองดูยิ่งรู้สึกหลงใหล"อืม" เขาตอบกลับเพียงสั้น ๆ ทำเอาลูู่ฉือเฉิงถึงกับหน้ายู่ด้วยความผิดหวัง ทำไมเพื่อนของเขาถึงได้ทำตัวเหมือนกับก้อนหินแบบนี้ อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ กันแล้ว แต่เขายังไม่เคยเห็นเพื่อนสนิทคนนี้มีแฟนกับเขาเลยสักคน"นี่หยางหยาง ฉันถามนายจริง ๆ นาย..คงไม่ได้ชอบผู้ชายหรอกใช่มั้ย" ลู่ฉือเฉิงเอ่ยถามเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงที่ติดตลก"ฉันชอบผู้หญิงเหมือนกับนายนั่นแหละน่า" หวงตงหยางหรือที่เพื่อนสนิทเรียกว่าหยางหยางตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ อันที่จริงเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับศิลปะเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าที่ยอมมาหอศิลป์เป็นเพื่อนเจ้าลู่ฉือเฉิง เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับศิลปินท่านหนึ่งที่เขาจะต้องรู้ให้ได้..ชื่อของศิลปินคนนี้ เหมือนกับนางในฝันของเขา .."หยางหยางนายยังฝันแปลก ๆ อยู่ใช่มั้ย เพราะเธอคนนั้นหรือเปล่านายถึงไม่ยอมมีแฟนสักที" คำถาม
แสงไฟจากโคมระย้าคริสตัลส่องประกายระยิบระยับไปทั่วห้องโถงคอนโดหรู ผนังห้องสีครีมอ่อนประดับด้วยภาพวาดสีน้ำมันฝีมือประณีตที่บ่งบอกถึงรสนิยมอันเลิศหรูของเจ้าของห้อง เรือนร่างระหงยืนอยู่หน้าหน้าต่างบานใหญ่ เธอมองลงไปยังถนนด้านล่างที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนและยานพาหนะ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีจดหมายที่รอให้เธอเปิดอ่านวางรออยู่บนโต๊ะแขนเรียวเอื้อมมือไปหยิบซองจดหมายสีครีมที่วางอยู่บนโต๊ะข้างตัวออกมาเปิดอ่าน เนื้อหาภายในจดหมายแจ้งว่าเธอได้รับเชิญให้ไปจัดแสดงภาพวาดที่หอศิลป์แห่งหนึ่ง ริมฝีปากบางเผยอเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นและเดินไปยังมุมหนึ่งของห้องภาพวาดขนาดใหญ่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีขาวผืนหนึ่ง เรียวแขนเล็กค่อย ๆ ดึงผ้าคลุมออกอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นภาพวาดสีน้ำมันที่วิจิตรงดงาม สิ่งที่ปรากฏบนผืนผ้าใบก็คือรูปของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดจีนโบราณสีเปลือกไข่ เธอจ้องมองภาพนั้นด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ทว่ามิอาจซ่อนความโศกเศร้าในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนได้ แพขนตางอนหลุบต่ำลงเล็กน้อย นิ้วมือเรียวลูบดวงหน้าคนในภาพอย่างทะนุถนอม ราวกับกำลังสัมผัสใบหน้าของผู้เป็นที่รัก..เสียงริงโทนเรียกเข้าดังขึ้น ทำให้เจ้าของดว
หวงตงหยางนอนกอดหมอนที่ฮูหยินเคยหนุนนอน ด้วยความโศกเศร้าที่ไม่อาจบรรยายได้ น้ำตาแห่งความคิดถึงไหลอาบแก้มของเขา หมอนใบนั้นยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของนาง กลิ่นที่เขาจะไม่มีวันลืมเลือนไปได้ตลอดชีวิตหวงตงหยางโอบกอดหมอนแน่นยิ่งขึ้น ราวกับว่านั่นคือสิ่งเดียวที่ยังเชื่อมโยงเขากับนางได้ นัยน์ตาเศร้าสร้อยหลับตาลงและปล่อยให้ความทรงจำอันแสนหวานไหลเวียนอยู่ในหัวใจ ภาพของนางที่ยิ้มแย้ม หัวเราะ และร้องไห้ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา ภาพเหล่านั้นชัดเจนราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้แต่ความจริงแล้ว นางได้จากเขาไปแล้ว..หลังจากที่จ้าวเยี่ยนฟางสิ้นลมหายใจ หวงตงหยางก็รู้สึกราวกับว่าส่วนหนึ่งของตัวเขาได้ตายไปพร้อมกับนาง ความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดทรมานหัวใจ ภาพที่นางโผเข้ามารับคมกระบี่แทนเขายังคงตามหลอกหลอนเป็นดั่งเงา ทำให้เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแต่กระนั้นเขาก็ยังตายไม่ได้ เพราะนางได้ยอมสละชีวิตเพื่อช่วยเขาเอาไว้ เขาจำต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปกับความรู้สึกผิดที่กดทับหัวใจตลอดเวลาคำพูดที่จ้าวเยี่ยนฟางพูดไว้วันนั้นก็เป็นดั่งคำสาป "โปรดมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุขนะเจ้าคะ" นางพูดด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มชี
"หลานเฟิง เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร" หวงตงหยางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรนัก"ข้าเคยบอกท่านแล้วว่า ข้าจะมิยอมตกนรกอยู่คนเดียว ในเมื่อข้ามิสามารถครอบครองท่านได้ จะใครหน้าไหนก็มิคู่ควรทั้งนั้น!!" บัดนี้ดวงหน้าที่เคยงดงามอ่อนหวาน ถูกไฟริษยาแผดเผาจนไม่เหลือชิ้นดี ความรักทำให้นางตาบอดงมงาย ชายที่นางหลงรักกลับเห็นนางเป็นเพียงแค่ของเล่น สตรีที่นางชิงชังที่สุดกลับมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของนาง!!"ปล่อยเยี่ยนฟางไป นางมิได้เกี่ยวอะไรด้วย หากเจ้าโกรธแค้นนักก็มาลงที่ข้า ข้าขอรับความโกรธแค้นของเจ้าไว้แต่เพียงผู้เดียว""ฮ่าๆๆๆ จนป่านนี้ท่านก็ยังปกป้องมัน ในวันที่ข้าจมน้ำ ข้ารู้ว่าท่านแสร้งทำเป็นลงโทษนาง เพื่อที่จะได้มิต้องส่งตัวนางให้ทางการใช่หรือไม่ ท่านมิเคยคิดเข้าข้างข้าอยู่แล้ว แล้วที่ผ่านมาท่านจะมาให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับข้าทำไม""..." หวงตงหยางนิ่งเงียบมิยอมตอบกลับอะไร จริงอย่างที่เหรินหลานเฟิงพูด เขารู้ดีว่าจ้าวเยี่ยนฟางร้ายกาจเพียงใด แต่อย่างไรนางก็เป็นภรรยาที่รักและซื่อสัตย์ต่อเขาเพียงคนเดียว เหรินหลานเฟิงเองก็มิใช่สามัญชนคนธรรมดา หากบิดานางล่วงรู้ว่า ฮูหยินจงใจผลักลูกสาวของเข
แสงแดดสาดส่องผ่านหน้าต่างไม้สลัก มากระทบลงบนใบหน้าเนียนผ่องที่กำลังหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของผู้เป็นสามี เซี่ยซินหยานลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ ด้วยความงัวเงีย ดวงตาคู่งามจับจ้องไปยังใบหน้าคมคายที่บัดนี้กำลังหลับไหลอยู่ด้วยความรู้สึกรักใคร่ ฝ่ามือเล็กสัมผัสกับใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา เรียวนิ้วลูบไล้สันจมูกโด่งด้วยความหลงใหล"ฮูหยินเจ้าหลอกกินเต้าหู้ข้าหรือ" เสียงนุ่มทุ้มของเขาเอ่ยขึ้น ก่อนจะจับข้อมือของภรรยาตัวน้อยเอาไว้มิยอมปล่อย อันที่จริงเขาตื่นมาสักพักแล้ว เพียงแต่ว่าแสร้งทำเป็นนอนต่อก็เท่านั้น ผู้ใดจะรู้เล่าว่าฮูหยินจะมีมุมเช่นนี้อยู่ด้วย "ข้ามิได้คิดเช่นนั้นเสียหน่อย" เซี่ยซินหยานขมวดคิ้ว ประท้วงคำพูดของเขาด้วยเสียงแผ่ว นางมิได้มีความคิดเช่นนั้นเสียหน่อย นางเพียงแค่คิดว่าหวงตงหยางเป็นบุรุษที่รูปงามมากก็เท่านั้น มิได้มีอารมณ์ความรู้สึกใดแอบแฝงอย่างที่เขากล่าวหาเลยแม้แต่น้อย"หากมิได้คิดเช่นนั้น..แล้วเจ้าคิดเช่นไรกันล่ะ" สายตาวิบวับเจ้าเล่ห์จับจ้องไปยังริมฝีปากของนางพร้อมซักถาม "ข้าคิดว่าท่านรูปงามมากก็เท่านั้นเอง..พอใจหรือยังเจ้าคะ" เซี่ยซินหยานตัดสินใจตอบกลับไปตามตรง หวงต
อาทิตย์อัสดงสาดส่อง ย้อมให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนเป็นสีแสด กระทั่งเงาของต้นหลิวที่สะท้อนอยู่ในน้ำก็ยังมองเห็นเป็นสีแสดด้วยเช่นกัน จ้าวเยี่ยนฟางนั่งยังคงชะเง้อมองหาร่างของผู้เป็นสามี ด้วยความกระวนกระวายใจ"อากาศเย็นลงแล้วนะเจ้าคะฮูหยิน เข้าไปพักผ่อนด้านในเรือนเถิดเจ้าค่ะ" สาวใช้คนสนิทเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง วันนี้ฮูหยินของนางนั่งรอท่านแม่ทัพอยู่ที่ศาลาริมน้ำมาทั้งวันแล้ว ไม่ว่านางจะพูดเช่นไรก็ดูเหมือนว่าฮูหยินท่านจะไม่ยอมฟังเลยแม้แต่น้อย"ข้าขอรอเขาอยู่ตรงนี้อีกสักหน่อยนะ.." เสียงผู้เป็นนายตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน ถิงถิงจึงทำได้เพียงปล่อยให้ท่านนั่งรออยู่เช่นนี้ต่อไป สิ่งที่นางพอจะทำให้ฮูหยินได้ในเวลานี้ก็คือนำเสื้อคลุมหนา ๆ มาให้ท่านสินะ.."เช่นนั้นบ่าวจะไปนำเสื้อคลุมอุ่น ๆ มาให้นะเจ้าคะ" "อื้อ" จ้าวเยี่ยนฟางพยักหน้าตอบกลับเล็กน้อย ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังซุ้มประตูทางเข้าของเรือนจงหยุนไม่นานนักถิงถิงก็เดินกลับมาพร้อมกับเสื้อคลุมสีฟ้า มืออีกข้างหนึ่งของนางถือตะเกียงไม้มาด้วย นางช่วยใส่เสื้อคลุมให้กับฮูหยินและจัดแจงวางตะเกียงไว้ด้านข้าง เพราะนางรู้ดีว่าฮูหยินคงจะนั่งอยู่ต่อไปเช่นนี้ต่อไป หาก
ยามอู่ ของวันที่ห้าในป่าลึกเจียวมิ่งควบอาชาสีนิลมาหยุดอยู่ลานกว้างหน้ากระท่อมหลังเล็ก ร่างกำยำกระโดดลงจากหลังม้า ก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปผลักประตูไม้บานเก่า ๆ ออก จนเกิดเสียงดังเอี๊ยด ภาพที่เห็นนั้นยิ่งทำให้องครักษ์หนุ่มนั้นประหลาดใจก็คือภาพที่ เจ้านายของเขาพูดคุยกับตาเฒ่าเจ้าเลห์อย่างสนิทสนมราวกับว่ารู้จักกันมานานหรือตอนนี้ท่านแม่ทัพกำลังถูกสะกดจิต.. เขาคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ แต่กลับต้องหลุดออกจากภวังค์เพราะเสียงของผู้เป็นนาย"อ้าว เจ้ามาแล้วรึ" หวงตงหยางเอ่ยทักทายองครักษ์คนสนิท หลังจากที่มิได้เจอหน้ากันนานถึงสี่วัน"นายท่าน.. ท่านผู้เฒ่า" เจียวมิ่งประสานมือทำความเคารพก่อนจะค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม แม้ว่าในใจจะมิไว้ใจตาเฒ่าเจ้าเลห์ผู้นั้น แต่ทว่าตอนนั้นตาเฒ่านั่นก็มีศักดิ์เป็นถึงอาจารย์ของท่านแม่ทัพ มิว่าจะชอบหรือไม่ชอบอย่างไร เขาก็ต้องทำความเคารพ"ว่าแต่เจ้าหอบอะไรมาล่ะนั่น พะรุงพะรังเชียว"สายคมกริบจ้องมองห่อผ้าด้วยความสงสัย อันที่จริงเขากำลังรอให้เจียวมิ่งกลับมา เพราะจะได้ถามว่าฮูหยินได้ฝากจดหมายมาบ้างหรือเปล่า"อ่อ..ของพวกนี้ฮูหยินเป็นคนเตรียมมาให้ท่านน่ะขอรับ" เจียวมิ่งตอบกลับ ก่อนจะยื
บริเวณลานกว้างในป่าลึก หวงตงหยางฝึกฝนวิชาโดยการนั่งสมาธิเพื่อตามหาจุดที่มีแก่นของวิญญาณอยู่ โดยที่มีอาจารย์เฉิงคอยเฝ้าดูอยู่ไม่ห่าง และเมื่อเพ่งสมาธิถึงจุดหนึ่ง เสียงของเหล่าวิหกรวมถึงเสียงของสายลมนั้นได้ดับเงียบลงหวงตงหยางจ่มดิ่งสู่ห้วงแห่งสมาธิ และมุ่งหน้าตามหาแสงแห่งชีวิต จนกระทั่งพบเข้ากับดวงไฟสีขาวที่ลุกโชน เขาได้เอื้อมมือไปแตะกับดวงไฟดวงนั้น และเมื่อมือของเขาสัมผัสเข้ากับดวงไฟ ความรู้สึกมากมายก็ถาโถมเข้ามาอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ราวกับคลื่นทะเลที่คอยซัดเข้าหาชายฝั่งเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นทั่วร่างของหวงตงหยาง จนอาภรณ์ของเขานั้นเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เมื่อผู้เป็นอาจารย์เห็นเช่นนั้นจึงรู้ได้ทันทีว่า ลูกศิษย์ของเขาได้พบเจอเข้ากับแก่นของวิญญาณแล้วแก่นของวิญญาณนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์อันมากมายของมนุษย์ทั้ง รัก โลภ โกรธ หลง หวงตงหยางจะต้องเห็นภาพที่เขานั้นได้ใช้มาทั้งชีวิต รวมถึงได้เห็นอดีตทั้งดีและร้าย ต่อให้เป็นเรื่องที่เขานั้นลืมเลือนไปแล้ว มันก็จะกลับมาฉายซ้ำให้ได้เห็นหากเขาได้พบเข้ากับภาพแห่งความสุข เขาอาจจะไม่อยากกลับออกมายังโลกความเป็นจริงอีก ถ้าหากได้พบกับสิ่งที่เขาเกลียดหรือห
จ้าวเยี่ยนฟางลืมตาตื่นขึ้นมาในยามเฉิน ก็ไม่พบกับหวงตงหยางเสียแล้ว ในตอนแรกนางคิดว่าเขาคงจะไปที่ค่ายทหาร หรือไม่ก็คงจะเข้าวังตามปกติ นางจึงไม่คิดติดใจหรือสงสัยอะไรและใช้เวลาเกือบทั้งวันไปกับการเขียนตำราและปักเย็บผ้า"เหตุใดฮูหยินจึงปักผ้าเช็ดหน้าหลายผืนนักล่ะเจ้าคะ" ถิงถิงที่เงียบอยู่นานเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เจ้านายของนางจะเปิดร้านขายผ้าเช็ดหน้าหรืออย่างไรกัน นี่ก็ปาไปผืนที่สามแล้ว ท่านก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดปัก"ข้าตั้งใจปักไว้ให้ตงหยางน่ะ" ดวงหน้างามเงยหน้าขึ้นมาตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน บอกตามตรงว่านางก็มิได้มีฝีมืออันใด เพียงแต่ว่าอยากทำให้เขาก็เท่านั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าหวงตงหยางจะชอบผ้าเช็ดหน้าที่นางปักให้หรือไม่ เพราะว่ามันก็มิได้วิจิตรและมิใช่ลวดลายที่ทำยากอะไร"หากท่านแม่ทัพรู้ ท่านจะต้องดีใจมากแน่เจ้าค่ะ" "งั้นหรือ.. หากเขาชอบนั่นก็คงจะดี"ณ กระท่อมกลางป่าหวงตงหยางอยู่ในสภาวะอ่อนแรงหลังจากที่สูญเสียอายุไขให้กับเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นั้นไปสิบปี เขามองเห็นทุกการกระทำที่ชายคนผู้นั้นทำ แต่กระนั้นก็ยังไม่เข้าใจว่า มนุษย์คนหนึ่งจะดึงเอาอายุไขผู้อื่นไปได้อย่างไร"วันนี้เจ้าพักผ่อนอยู่ท