คาลวินผมรอ ผมนั่งรออย่างอดทนให้เธอกลับมา ผมไม่รู้ว่าเธอไปไหน แต่ก็เดาได้ไม่ยาก เธอโกรธ ผมเข้าใจตรงนี้ดีกว่าใครทั้งนั้น ถ้ามีใครที่โกรธและเจ็บปวดกับสิ่งที่เอมม่าทำ ก็คงเป็นผมนี่แหละ เธอทำให้ผมกับกันเนอร์เจ็บปวดอย่างถึงที่สุดจนผมไม่อยากยอมรับผมได้ยินเสียงประตูเปิด แต่ไม่ขยับตัว ผมยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าทำอะไรอยู่ที่นี่ ลูกชายของผมอยู่ที่บ้านกับพี่เลี้ยงเด็ก แต่เพราะเหตุผลบางสิ่ง ผมจึงรู้สึกว่าควรอยู่ที่นี่มากกว่าเอวาหยุดชะงักทันทีที่เห็นผม "คาล ฉันไม่ได้คิดว่าคุณยังจะอยู่ที่นี่"ดวงตาของเธอแดงและบวม เห็นได้ชัดว่าเธอร้องไห้มามากขนาดไหน ผมไม่รู้จะพูดอะไรกับเธอเลยจริง ๆ ผมไม่มีคำพูดที่เหมาะสม"ผมคิดว่านั่งรอคุณดีกว่า" ผมพูดขณะที่เธอนั่งลง "ไปไหนมาเหรอครับ?"ผมพอรู้ว่าเธอไปไหนหลังจากที่รู้ความจริงว่าเอมม่าเป็นแม่ของกันเนอร์ แต่นั่นก็หลายชั่วโมงมาแล้ว ไม่รู้เลยว่าเธอไปไหนต่อ ผมแน่ใจว่าการเผชิญหน้ากับเอมม่าไม่น่าจะกินเวลาถึงสามชั่วโมง“ฉันอยากคิดอะไรนิดหน่อย เลยขับรถไปทั่วค่ะ” เธอเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ให้ตายสิ! มันยากสำหรับฉันมากเลย ไม่ใช่แค่เพราะฉันรักกันเนอร์เหมือนลูกแท้ ๆ นะคะ มันรู้แย่
“ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยและเริ่มดูแลตัวมากยิ่งขึ้น จากนั้นผมก็เปลี่ยนไปแบบไม่เหลือเค้าเดิมเลย ผมสุดเหวี่ยงกับชีวิตมหาวิทยาลัยมาก ๆ ทั้งผู้หญิง งานสังสรรค์ และเหล้ายาปลาปิ้ง ชีวิตโคตรจะดี มีผู้หญิงรุมล้อม เต็มไปหมดเลยครับ มีให้เลือกเต็มไปหมดเลย ไม่นานจากนั้นผมก็เริ่มลืมเรื่องเอมม่าไป มันไม่มีประโยชน์เลยที่มานั่งร้องไห้ให้กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้ต้องการเรา ทั้ง ๆ ที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงตนเองได้”เอวาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ผมรู้ว่าเธอไม่ได้มีช่วงเวลามหาวิทยาลัยที่สนุกแบบนั้น นั่นเป็นเพราะเธอตั้งท้องตอนอายุสิบแปด เธอกลายเป็นทั้งแม่และภรรยา ไม่มีเวลามาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดาไร้กังวลได้หรอก อย่างน้อยผมก็ได้สัมผัสประสบการณ์นั้นก่อนที่เอมม่าจะกลับเข้ามาในชีวิตผมอีกครั้ง“หลายสิ่งดำเนินไปด้วยดีจนกระทั่งคุณปู่เส้นเลือดในสมองตีบและกลายเป็นอัมพาตไป คุณปู่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เกิดเพราะพ่อแม่ของผมเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทั้งคู่ คุณปู่เป็นเหมือนทั้งชีวิตผมเลยก็ว่าได้และไม่รู้ด้วยว่าญาติมิตรคนอื่นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ผมต้องย้ายที่เรียนมาอยู่ใกล้กับบ้านคุณปู่ด้วย เพราะจะได้ดูแลท่านง่ายขึ้น”ดวงตาของเ
ความเป็นจริง ผมกลัวมาก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมไม่มีประสบการณ์ในการเป็นพ่อเลย สำหรับผมแล้ว การใกล้ชิดเด็ก ๆ ก็ไม่เคยด้วยซ้ำ มันล้นหลามไปหมด แต่ในใจผมก็รู้ดีว่าผมรักลูกคนนี้แล้ว“เธอต้องการทำแท้งครับ และผมก็ไม่ยอมให้ผมเกิดขึ้นแน่ ดังนั้นผมจะพูดขู่เธอไป” ผมสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกว่าลำคอตีบตันเพราะความรู้สึกกำลังพรั่งพรูออกมา “ผมเลยพาเธอไปอยู่ที่บ้านคุณปู่และหวังว่าหลายสิ่งจะดีขึ้น หวังว่าเธอจะเรียนรู้คำว่ารักจากลูกและผม แต่ก็คิดผิดไป”“เธอเลวร้ายมากเลยครับ ผมขอพูดตามตรงเลย ตลอดช่วงนั้นเรามีอะไรกันตอนที่เธอมีอารมณ์เสมอ แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เธอหยุดพฤติกรรมที่น่าเกลียดกับผมเลย เธอทั้งด่าผม เรียกผมว่าไอ้นู้นบ้างไอ้นี่บ้าง บางครั้งก็ตบตีผมด้วย เธอเอาแต่พูดว่าผมทำลายชีวิตเธอและก็เกลียดผมและลูกมากขนาดไหน”ผมจ้องมองพื้นบ้านและพยายามคิดว่าเธอคงผ่านอะไรมามากมาย เธอทั้งตั้งท้อง อกหัก และยังรักผู้ชายคนอื่นอยู่ เพราะฉะนั้นผมจึงปล่อยให้เธอระบายอารมณ์หงุดหงิดใส่ผม“มันลำบากมากเลยครับ ผมอยากเดินหนีไปหลายครั้ง แต่ก็เห็นแก่ลูกเสมอ บางครั้งผมก็นึกถึงช่วงเวลาที่เธออ่อนหวาน หรือตอนที่เธอร้องไห้อ้อนวอนไม่ให้ผ
เอวาสมองของฉัน ณ ตอนนี้แทบทนรับเรื่องไม่ไหวฉันนั่งอยู่ตรงนี้นับตั้งแต่คาลวินออกไปเกือบชั่วโมงได้แล้ว ฉันขออนุญาตให้โนอาไปค้างที่บ้านเขาและเขาก็ตอบตกลงฉันยังคงพยายามเรียบเรียงเรื่องราวที่เปิดเผยออกมาวันนี้ มันเป็นข้อมูลที่มากเกินไป และฉันยังไม่สามารถจัดการกับพวกมันได้เลยโทรศัพท์ดังขึ้น วินาทีหนึ่งจากนั้น ฉันคิดจะเมินเฉย แต่ก็ตัดสินใจตรงกันข้ามเพราะอาจเป็นเรื่องด่วนก็ได้ฉันปัดหน้าจอโดยที่ไม่เหลือบลงไปมอง มือหยิบหูฟังขึ้นมาใส่หูแต่ยังไม่พูดอะไรออกไป ภายในจิตใจตอนนี้เป็นสีขาวโพลน ทำได้เพียงนั่งรอให้ปลายสายเริ่มบทสนทนาก่อน“เอวา” เธอถอนหายใจ “ขอบคุณพระเจ้า เป็นไรไหมเนี่ย? ทราวิสเล่าเรื่องวันนี้ให้ฉันฟังหมดแล้วนะ”ทันใดนั้นฉันก็จำเสียงของเพื่อนได้ เล็ตตี้นั่นเอง“ไม่มั่นใจเลย เอาจริง” ฉันตอบไปอย่างแผ่วเบายังไม่เข้าใจเลยว่าเอมม่าถึงได้ใจไม้ไส้ระกำกับคาลวินและหนูกันเนอร์ได้อย่างไร ฉันรุ้ว่าเธอต้องการอุ้มท้องลูกของโรแวน ทว่าไม่เคยคิดเลยว่าจะปฏิเสธเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองเพียงเพราะไม่ได้มีสายเลือดของโรแวนไหลเวียนอยู่ ช่างเลวร้ายเสียจริง“ทราวิสบอกว่าเธอเป็นคนที่รู้ความจริงและเป
ฉันกำลังจะพูดบางสิ่งออกมา ทันใดนั้น กริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น“มีคนมาหาน่ะ เล็ตตี้ เดี๋ยวฉันไปก่อนนะ”ฉันเหนื่อยและอ่อนล้าเต็มที่ทั้งร่างกายและจิตใจ“ได้สิ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันต่อนะ ฉันรู้ว่าวันนี้มันเหนื่อยมากสำหรับเธอ”เราสองต่างบอกลาและวางสายไป ฉันคิดว่าอยากเมินเฉยต่อคนตรงหน้าประตู อย่างที่บอกไปว่าฉันเหนื่อยเหลือเกิน และไม่ต้องการพบใครในตอนนี้ฉันลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าไปเปิดประตูดู “โรแวน คุณมาทำอะไรที่นี่?” ฉันเอ่ยถามด้วยความตกใจฉันประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นเชา พูดกันตามตรง ฉันคิดว่าเขาจะคอยอยู่ข้างเอมม่าเพื่อปลอบโยนเธอเสียอีก รู้สึกตกใจเหมือนกันที่เขามาอยู่ตรงนี้แทน“เข้าไปได้ไหม?” เขาเอ่ยถามแทนตอบคำถามฉันฉันอาจสติหลุดหรือเป็นอะไรไปแล้วก็ได้เพราะว่าร่างกายเขยิบออกมาด้านข้างและปล่อยให้เขาเข้าไป โรแวนยิ้มเล็กน้อยขณะก้าวเข้าด้านใน“โนอาหลับแล้วเหรอ?” เขาเอ่ยถาม มือก็ถอดเสื้อคลุมด้านนอกออก“ก็น่าใช่นะ แต่ลูกไม่ได้อยู่นี่หรอก วันนี้ลูกไปนอนค้างที่บ้านของคาลวิน”ฉันเห็นความโกรธในดวงตาโรแวนเมื่อเอ่ยชื่อของคาลวินออกมา ตอนนั้นฉันอดคิดไม่ได้ว่าเขาคงจะไปต่อยตีกับคาลอีกครั้งหนึ
ฉันมักนึกสงสัยมาตลอดว่าสิ่งที่นักเขียนทั้งหลายมักบอก ‘จูบสามารถขยับโลกทั้งใบได้’ นั่นหมายความว่าอย่างไร นี่สินะความรู้สึกทั้งมวลหลุดลอยออกจากร่างเพราะฉันจับหลังศีรษะโรแวนแน่นและดื่มด่ำกับรสจูบนี้ ราวกับว่านี่ยังตอบสนองฉันไม่พอและปรารถนามากกว่านี้ แม้แต่จูบของอีธานยังไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ฉันหลงเข้าไปในจูบนี้พร้อมด้วยริมฝีปากเขาที่กำลังกลืนกินฉันอยู่ เป็นฝันที่รอคอยมานานเหลือเกิน ฉันต้องการให้โรแวนจูบฉันและเพรียกหาเช่นนี้ นี้คือสิ่งที่ฉันปราถนามาตลอดทุกครั้งที่เขาออกไปทำงานในทุกเช้า นี่คือสิ่งที่โหยหาทุกครั้งที่เราสอดใส่กัน เราไม่เคยทำเช่นนี้กันเลยไม่ใช่เพราะฉันไม่เคยลอง ทว่าเขากลับไม่เคยต้องการฉันเลย“คุณพยายามทำตัวให้เร่าร้อนแต่ก็ไม่ได้เรื่องเลย ทุกครั้งที่ผมสอดใส่เข้าไปในตัวคุณ คนที่ผมต้องการก็คือเอมม่า ผมจินตนาการว่าใต้ร่างผมคือเอมม่า ทุกครั้งที่ผมเสร็จสม ผมก็เห็นหน้าของเธอ คุณมันไม่ได้พิเศษอะไรเลยแค่ผู้หญิงใจง่าย ผมก็เลยใช้คุณเท่านั้น ผมใช้คุณเป็นเครื่องมือสนองกามเท่านั้น”ประโยคที่โรแวนเคยพูดกระแทกใส่หน้าฉันเมื่อสองสามเดือนก่อนยังสะท้อนอยู่ในหัวฉันราวกับเสียงระฆังดัง ฉันผละออกจ
แสงสว่างจ้าที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้ฉันลืมตาตื่นขึ้น แทนที่จะลุกขึ้นในทันที ฉันแค่นอนอยู่บนเตียงสักพักหนึ่งขณะที่ลูบไล้หน้าท้องตัวเองและรู้สึกได้ถึงลูกน้อยกำลังขยับอยู่ในตัวฉันฉันมองไปที่ปฏิทินบนโต๊ะข้างเตียงและตระหนักได้ว่าวันนี้เพิ่งครบหกเดือนของระยะสำคัญแล้ว มันน่ากลัวที่จะมีลูก หนทางทั้งหมดนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ฉันมักจะขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอในแต่ละครั้งที่ฉันผ่านระยะสำคัญกับลูกน้อยของฉันเพราะรู้ว่าไม่ใช่เด็กทารกทุกคนที่จะเกิดมาได้ปลอดภัยหลังจากกล่าวคำอธิษฐานขอบคุณเล็ก ๆ น้อยเสร็จ ฉันก็ลุกขึ้นและลงไปชั้นล่าง ฉันสามารถอาบน้ำในภายหลังได้แต่ตอนนี้รู้สึกหิว เพราะด้วยเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ฉันจึงลืมกินอาหารไปเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวานก็ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับโรแวน ฉันยังคงไม่อยากเชื่อเลยว่าฉันจะปล่อยเขาจูบฉันแล้วฉันกลับเพลิดเพลินไปกับมันเสียได้มันทำให้ฉันรำคาญมากที่ฉันต้องการมากกว่านี้ ฉันต้องการให้เขาจูบดื่มด่ำยิ่งขึ้น ฉันอยากให้เขาทำมากกว่านี้ ฉันสามารถโทษว่ามันเป็นเพราะฮอร์โมนได้ แต่รู้ดีว่าฉันกำลังโกหกตัวเองอยู่โรแวนทำฉันเจ็บปวดมามาก แต่ความเป
เอมม่า“ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไง มอลลี่” ฉันบอกเธอ เกือบจะร้องไห้ออกมา “พวกเขาโกรธฉันมากตอนนี้”แม่กับทราวิสไม่ยอมรับสายหรือแม้แต่จะพูดคุยกับฉัน หลังจากความหายนะที่งานเลี้ยงนั่น ฉันก็ยังไม่ได้เจอหรือคุยกับพวกเขาเลยทราวิสเมินเฉยต่อฉัน และแม่ก็ไล่ฉันออกจากบ้านทันทีที่งานเล็ก ๆ นั่นจบลง มันน่าอึดอัดเป็นบ้า ไม่มีใครยอมพูดคุยกับฉันเลยจริง ๆ มันเหมือนกับว่าฉันไม่มีตัวตน นี่คือสิ่งที่เอวารู้สึกในอดีตใช่ไหม? มันยุ่งเหยิงเป็นบ้า“ฉันบอกเธอแล้วว่าให้บอกความจริงกับพวกเขา แต่เธอไม่ฟังเลย” เสียงของมอลลี่นำฉันกลับมาสู่ปัจจุบันเธอพูดถูก ทุกครั้งที่เธอเอ่ยถึงเรื่องนั้น ฉันจะจบมันลงก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไรด้วยซ้ำ ทันทีที่ฉันรู้ถึงการตั้งครรภ์ของตน เธอขอร้องให้ฉันบอกพวกเขาแต่ฉันปฏิเสธ เธอพยายามมาโดยตลอดแปดปีที่ผ่านมานี้ มันไม่เคยได้ผลเพราะฉันไม่เคยฟังเธอเลย บางครั้งฉันจะโกรธเสียด้วยซ้ำ พวกเราจะโต้เถียงกันและจากนั้นก็ลงเอยด้วยการไม่ได้พูดคุยกันอยู่หลายวัน“ฉันรู้” ฉันกระซิบอย่างเหนื่อยล้าฉันนอนไม่หลับเลย เพราะมีเรื่องให้คิดในหัวมากมายจนมันยากสำหรับฉันที่จะพบความสงบสุขและนอนหลับได้“ไม่ เธอไม่เลย
ฉันหยุดหายใจเเพราะความตกใจ และผละออกจากเขา ในขณะที่ร่างเล็ก ๆ กระโดดขึ้นมาบนตัวเรา"สุขสันต์วันคริสต์มาส!" เขาตะโกนอย่างมีความสุขด้วยเสียงร้องเพลง“หัวจะปวด” ทั้งกาเบรียลและฉันครางอย่างหงุดหงิดจะมาช้ากว่านี้สักชั่วโมงไม่ได้หรืออย่างไร? ถ้ามีใครสักคนในครอบครัวนี้ที่ชอบขัดจังหวะเรา มันก็ต้องเป็นลูกคนที่สอง แอนดรูว์ คนนี้แน่นอน เราเรียกเขาว่าดรูว์เขาอาจจะไม่รู้ว่าเขาเป็นตัวขัดจังหวะแค่ไหน แต่ก็ไม่สำคัญยังไงเขาก็ทำอยู่ดี"ตื่นครับ! ตื่น!" เขาตะโกนเสียงดัง จนชั่วขณะหนึ่งฉันไม่ได้ยินอะไรเลย นอกจากเสียงก้องของเจ้าลูกชาย"ไม่ต้องตะโกนก็ได้ ดรูว์" เกเบรียลบ่น "พ่อแม่ได้ยินชัดเจนโดยที่หนูไม่ต้องทำให้แก้วหูพ่อแม่แตกก็ได้"ดูเหมือนดรูว์จะไม่ฟังเลย เขาเด้งขึ้นเด้งลงบนเตียง มีความสุขแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาเกเบรียลขยับตัวใต้ผ้าห่ม คงพยายามขยับทุกอย่างให้เข้าที ฉันขยับร่างกายขึ้นและพิงหัวเตียง ก่อนจะคว้าลูกชายที่กระตือรือร้นและอยู่ไม่นิ่งมา สิ่งสุดท้ายที่เราต้องการคือเขาทำร้ายพ่อของเขาด้วยการเผลอเหยียบเข้ากลางตัวเขาหรืออะไรทำนองนั้น"หนูพยายามห้ามเลียมแล้วนะคะ แต่แม่ก็รู้ว่าเขาเป็นยังไงเวลาต
ฮาร์เปอร์ฉันกำลังล่องลอยอยู่บนปุยเมฆสีขาวนุ่มฟูแห่งการนอนหลับ ฉันรู้สึกอบอุ่น รู้สึกสงบ และรู้สึกได้รับความรักฉันเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาทีละน้อย เกเบรียลนอนอยู่ข้างหลังฉัน แขนโอบกอดฉันไว้ เขาทำแบบนี้ทุกครั้งที่เรานอนหลับด้วยกัน เขากอดฉันไว้แน่นในอ้อมแขน ราวกับว่าเขากลัวว่าฉันจะหายไปหากไม่ทำเช่นนี้ฉันขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหลุดออกจากอ้อมแขนของสามี ทว่าแทนที่จะปล่อยฉันไป เขากลับกระชับมือแน่นขึ้น ซึ่งดันฉันเข้าไปแนบชิดมากขึ้นฉันหยุดขยับเมื่อรู้สึกถึงเขา ฉันรู้สึกถึง น้องน้อยที่ตื่นมาเคารพธงชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ฮอร์โมนของฉันพลุ่งพล่าน และฉันก็ต้องการเขาขึ้นมาทันที ฉันอยากให้เขาสอดแทรกเข้ามาในร่างนี้เรื่องบนเตียงของเราสองช่างสมบูรณ์ แต่ก็มีบางครั้งที่ต้องการมากกว่านี้ อาจเพราะมีลูกด้วยกันถึงสามคนแล้ว บางเวลามันก็ยากที่จะมีเวลาส่วนตัวที่ไม่ถูกรบกวนได้"อืม" เกเบรียลร้องครางเมื่อฉันถูบั้นท้ายกับเป้าของเขาเสียงนั้นเดินทางลงไปจนถึงจุดนั้นของฉัน ฉันถูอีกครั้ง กระตุ้นเสียงครางแสนเร้าอารมณ์จากเขาอีกเกเบรียลเริ่มประทับจูบตามหลัง ไหล่ และคอ มันผ่านมาสองสามวันแล้ว และฉันก็โหยหาเขา
"ใช่เลยครับ" เขาตอบรับรอยยิ้มของฉัน ขณะที่คิลเลียนเดินเข้ามาหาเรา"ผมมาขโมยภรรยาแสนสวยของผมคืนแล้วครับ" เสียงเขาแหบพร่า และฉันอดไม่ได้ที่จะละลายไปกับโทนเสียงนั้น มันเซ็กซี่สุด ๆ ไปเลย“เธอเป็นของคุณแล้วนะ” คาลวินปล่อยมือจากฉันและหลีกทาง ก่อนจะเดินจากไปคิลเลียนดึงฉันเข้าไปในอ้อมกอดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีช่องว่างระหว่างเรา "เป็นยังไงบ้าง? ปวดหลังหรือเปล่า? ขาเป็นยังไง?"เห็นไหม ฉันบอกแล้วไง เขาเป็นเสือร้ายในคราบทนายความ แต่ดูแลเอาใจใส่และรักใคร่ในฐานะคู่ครอง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันมีสเปคแบบไหน จนกระทั่งฉันได้พบเขา"สบายดีค่ะ ที่รัก ไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนั้นก็ได้" ฉันหัวเราะเบา ๆ ดันตัวเองเข้าไปใกล้เขามากขึ้น"ผมเคยบอกว่าผมรักคุณแล้วหรือยัง?" เขาถามฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะที่เขย่งปลายเท้าและกระซิบชิดริมฝีปากของเขา "ประมาณพันครั้งแล้วค่ะวันนี้ แต่ฉันไม่ได้บ่นอะไรนะ""คุณคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผมเลยนะครับ เอมม่า ผมนึกไม่ออกเลยว่าชีวิตผมจะเป็นยังไงหากไม่มีคุณ ผมรู้ว่าเราได้กล่าวคำสาบานกันไปแล้ว แต่ผมสัญญาว่าจะรักและทะนุถนอมคุณเสมอ เพราะคุณคือของขวัญที่เบื้องบนประทานมา ผมสัญญา
มอลลี่เป็นหนึ่งในเพื่อนเจ้าสาว เช่นเดียวกับเอวา คอนนี่ เล็ตตี้ ฮาร์เปอร์ และคินลีย์ พวกเธอเป็นเพื่อนสาวกันมาสี่ปีแล้วตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุวันนั้น แน่นอนว่าฉันไม่มีวันหาใครมาแทนมอลลี่ได้ เธอเป็นเพื่อนสนิทที่สุด แต่ฉันก็รู้สึกขอบคุณที่มีพวกเธออยู่เช่นกันอีกอย่างเมื่อวานนี้มอลลี่บอกฉันว่าเธอกำลังคิดจะย้ายมาอยู่ที่นี่ ฉันตื่นเต้นมาก ฉันรักเธอ แต่เรายอมรับว่าเป็นเพื่อนระยะไกลกันมันรักษาความสัมพันธ์กันได้ยาก ฉันมีความสุขมากที่เธอจะย้ายมาอยู่ใกล้ ๆเสียงเพลงช้าลง และกันเนอร์ก็เดินเข้ามา ตัดบทสนทนาทั้งหมด“เต้นรำกันหน่อยไหมครับ แม่?”มีเสียง ว้าว ดังขึ้นเป็นระลอก และฉันสาบานได้ว่าหัวใจฉันละลายไปตรงนั้นเลย"แน่นอนสิจ๊ะ สุดหล่อของแม่" ฉันตอบก่อนจะจับมือเขาตอนนี้กันเนอร์อายุสิบสี่ เป็นวัยรุ่นแล้วเชื่อไหมล่ะ? เขาสูงเท่าฉันแล้ว และฉันมั่นใจว่าอีกไม่กี่ปีเขาจะสูงกว่าฉัน ฉันไม่ว่าอะไรหรอก เขาก็จะเป็นลูกชายตัวน้อยของฉันเสมอคาลวินและฉันตัดสินใจส่งเขาไปเข้ารับการบำบัดทันทีที่ฉันออกจากโรงพยาบาล เราเข้าร่วมการบำบัดร่วมกันบ้าง และพูดคุยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา และเกี่ยวกับวันที่เกิดอุบัติเหตุ
เอมม่าฉันเต้นรำกับมอลลี่ ปล่อยให้เสียงเพลงโอบล้อมตัวไว้ ฉันรู้สึกปวดหลังเล็กน้อยแต่ก็ไม่สำคัญอะไรเลยเมื่อฉันมีความสุขสุด ๆ แบบนี้ชุดเดรสสะบัดไปมาขณะที่เราตะโกนเนื้อเพลง หน้าร้อนแสนสาหัส ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ออกมาสุดเสียง เอวาที่กำลังตั้งครรภ์ท้องแก่ก็เข้าร่วมกับเราด้วย ฉันหัวเราะเพราะเธอคิดว่าเธอกำลังเต้นอยู่เลยแต่เปล่าเลย ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเรียกสิ่งที่เธอกำลังทำว่าอะไรดีจำนวนครั้งที่ฉันเรียกว่าตนเองมีความสุขนั้นสามารถนับนิ้วได้เลย หนึ่งคือตอนที่ฉันสอบเนติบัณฑิตได้ สองคือตอนที่กันเนอร์เรียกฉันว่าแม่เป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมานาน และสามคือวันนี้ งานแต่งของฉันคุณได้ยินไม่ผิดหรอกค่ะ ฉันแต่งงานแล้วและฉันมีความสุขอย่างที่สุดจำทนายหนุ่มน่ารักที่ฉันเล่าให้เอวาฟังในวันเกิดของเจมส์ได้ไหมคะ? จะว่าอย่างไรดี เขาไม่เคยละความพยายามเลยค่ะ ไม่ว่าฉันจะปฏิเสธเขากี่ครั้งก็ตาม เขาขอฉันคบหาอยู่เรื่อย ๆ และที่ฉันบอกว่าเรื่อย ๆ ก็คือเขาขอเกือบทุกวัน ฉันเบื่อที่จะได้ยินคำถามเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนวันหนึ่งฉันก็ตอบตกลง ปรากฏว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตนี้เลยฉันชะลอฝีเท้าลง ดวงตามองหาเจ้าบ
กันเนอร์มีน้องชายแล้ว งงกันอยู่ใช่ไหมคะ? เพราะเมื่อกี้ฉันกับเอวากำลังคุยเรื่องแฟนกันอยู่เลย เชสไม่ใช่ลูกชายของฉันค่ะ เขาเป็นลูกชายตัวน้อยของคาลวินและคินลีย์ พวกเขาแต่งงานกันเมื่อปีที่แล้วแล้วมีเชสตัวน้อยน่ารักคนนี้เป็นลูกน้อยคาลวินและฉันสนิทกันมากขึ้นตั้งแต่อุบัติเหตุ เหมือนกับกันเนอร์ เขายกโทษให้ฉัน และพวกเราก็สามารถสร้างมิตรภาพที่สวยงามได้คินลีย์เป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เธอเข้ากับพวกเราทุกคนได้ เธอใจดีและน่ารัก และที่สำคัญที่สุด เธอทำให้คาลวินมีความสุขและปฏิบัติต่อกันเนอร์เหมือนลูกชายของเธอเอง"ไม่จ้ะ ไม่เคยเกินจริงเลย" เอวาแก้ตัว "น้าแค่อยากให้แม่หนูเล่าเรื่องทนายความน่ารักที่ที่ทำงานให้ฟังมากกว่านี้""ผมขอจบตรงนี้นะครับ ไปดีกว่า" เขาพูด ดูเหมือนจะขยะแขยงเล็กน้อย "แม่ดูน้องได้ใช่ไหมครับ หรือผมควรจะพาน้องไปด้วย?"“แม่สบายมากจ้ะ…ไปเล่นกับเพื่อน ๆ เถอะ”เขาพยักหน้าก่อนที่จะวิ่งไปหาโนอาและคนอื่น ๆ คาลวินใจดีพอที่จะแก้ไขข้อตกลงเรื่องการดูแลบุตร ตอนนี้พวกเราดูแลกันเนอร์ร่วมกัน ลูกอยู่กับคาลวินวันธรรมดาและใช้วันหยุดสุดสัปดาห์กับฉัน"เอาล่ะ กลับมาเรื่องผู้ชายน่ารักคนนั้นก่อนนะ
สามปีต่อมาเอมม่า"จริงจังนะ เอมม่า เมื่อไหร่เธอจะหาแฟนสักที?" เอวาเอ่ยถามพร้อมนั่งลงข้าง ๆ ฉันฉันมองออกไปที่สวนหลังบ้านและยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ วันนี้เป็นวันเกิดของเจมส์ลูกชายของทราวิสและเล็ตตี้ ซึ่งตั้งชื่อตามพ่อของพวกเราและเจมส์กำลังจะอายุครบหนึ่งขวบเล็ตตี้และทราวิสแต่งงานกันเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว ทราวิสคุกเข่าขอเธอแต่งงานทันทีที่ฉันได้สติขึ้นหลังจากอุบัติเหตุที่เกือบจะพรากชีวิตฉันไป คุณอาจจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนขับรถคนนั้น เขาถูกจำคุกห้าปีในข้อหาขับรถโดยประมาท ฉันหวังว่าเขาจะได้รับบทเรียนนะกลับมาที่ทราวิสและเล็ตตี้ ฉันคิดว่าการเห็นฉันอยู่ในโรงพยาบาลทำให้เขารู้ว่าชีวิตสั้นแค่ไหน เขาขอเธอแต่งงานและเล็ตตี้ก็ตอบตกลง พวกเขาแต่งงานกันซึ่งเป็นงานแต่งงานฤดูใบไม้ผลิที่สวยงามตอนนี้ัฉันได้กลายเป็นเพื่อนกับเอวาก็เลยถูกดึงเข้ามาในวงจรนี้ด้วย คอนนี่และรีเปอร์แต่งงานกันแบบงานแต่งงานเล็ก ๆ ที่เป็นกันเองกับเพื่อนสนิทและครอบครัว สี่เดือนต่อมาทั้งสองก็อ้าแขนรับลูกสาวของพวกเขา เฮเวน ตอนนี้คอนนี่ก็กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สองซึ่งเป็นลูกสาวอีกคนฮาร์เปอร์และเกเบรียลก็กำลังจะมีลูกด้วยกันอีก
"ไม่ไหวแล้ว! ฉันต้องเบ่งเดี๋ยวนี้" ฉันคำรามพร้อมจับเสื้อเกเบรียลไว้ฉันรู้สึกบ้าไปแล้ว เหมือนฉันเสียสติไปแล้ว ความเจ็บปวดกำลังทำให้ฉันบ้าไปแล้วจริง ๆโชคดีที่พวกเราไปถึงห้องคลอดก่อนที่ฉันจะคลอดลูกตรงทางเดินของโรงพยาบาล ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเดินไปถึงห้องคลอด และเจ้าหน้าที่ก็เริ่มเตรียมพร้อมให้ฉันเอวาอยู่ในห้องเรียบร้อย ฉันรู้สึกขอบคุณที่มีคนเข้าใจความรู้สึกตอนที่ช่องคลอดฉีกออกเป็นสองส่วนเพื่อให้เด็กตัวน้อย ๆ ออกมาดูโลก"ฉันไม่ไหวแล้ว" ฉันกัดฟันพูด ก่อนที่จะยกตัวขึ้นและเบ่งสุดแรงฉันสาบานว่าฉันรู้สึกเหมือนก้นจะแตกและมันก็เพิ่มความเจ็บปวดให้ฉันมากขึ้น"ความผิดคุณเลย!" ฉันกรีดร้องใส่เกเบรียลขณะที่จับมือเขาไว้แน่นฉันจ้องเขม็งไปที่เขา ลมหายใจถี่กระชั้น และรูจมูกบานออกเพื่อพยายามสูดอากาศเข้าไปในปอดให้ได้มากที่สุด"เตรียมนะ เธอ เบ่งเลย" เอวาเร่งเร้าฉันขณะที่เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากให้ฉัน "เกเบรียลไม่สำคัญแล้วตอนนี้""อ้าว ใจร้ายนะ เอวา" เกเบรียลพึมพำพร้อมจ้องเขม็งไปยังเอวา เธอจ้องเขม็งกลับราวกับจะบอกให้เขาหุบปากและทำตามน้ำไปฉันบีบมือพวกเขาเมื่อมดลูกหดตัวอีกครั้ง และฉันก็ออ
"สบายมากจ้ะ หมีน้อยลิลลี่ แม่กำลังจะคลอดลูก... จำที่แม่บอกหนูได้ไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้นตอนถึงเวลาแบบนี้?"เธอพยักหน้า "ค่ะ แม่บอกว่าแม่จะเจ็บท้อง แต่หนูไม่ต้องห่วง เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้น้องเกิดมาค่ะ""ดีมากจ้ะ" ฉันเบ้หน้าเมื่อการหดเกร็งตัวจู่โจมฉันอีกครั้ง "นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ดังนั้นอย่ากลัวไปนะจ๊ะ"เกเบรียลจับมือและช่วยให้ฉันเดินออกจากห้อง ฉันหายใจเข้าทางจมูกและหายใจออกทางปาก แต่พูดตามตรงมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย"หนูแค่ไม่เข้าใจน่ะค่ะ ทำไมแม่ต้องเจ็บด้วย? ทำไมเด็กถึงออกมาจากท้องแม่ไม่ได้โดยไม่ทำให้แม่เจ็บล่ะคะ?"สิ่งที่ฉันไม่ต้องการที่สุดคือทำให้ลูกสาวหวาดกลัวโดยต้องอธิบายให้เธอฟังว่าความเจ็บปวดนั้นจำเป็นสำหรับการออกแรงเบ่งเด็กออกมาจากร่างกายฉัน เธอจะอยากรู้ว่าทำไมต้องเบ่งลูกออกมาด้วย และฉันจะต้องอธิบายว่าเพราะลูกตัวใหญ่และทางออกเล็กกว่า ดังนั้นการหดเกร็งตัวเหล่านั้นจึงจำเป็นสำหรับการเบ่งลูกออกมา จากนั้นเธอจะอยากรู้ว่าทางออกนั้นคืออะไร และฉันจะต้องบอกเธอว่าลูกออกมาทางนั้นอย่างไรเล่าอย่างที่คุณเห็น นั่นไม่ใช่บทสนทนาที่เธอเตรียมใจรับได้นัก เธอจะตกใจกลัวเมื่อรู้ว