ฉันมักนึกสงสัยมาตลอดว่าสิ่งที่นักเขียนทั้งหลายมักบอก ‘จูบสามารถขยับโลกทั้งใบได้’ นั่นหมายความว่าอย่างไร นี่สินะความรู้สึกทั้งมวลหลุดลอยออกจากร่างเพราะฉันจับหลังศีรษะโรแวนแน่นและดื่มด่ำกับรสจูบนี้ ราวกับว่านี่ยังตอบสนองฉันไม่พอและปรารถนามากกว่านี้ แม้แต่จูบของอีธานยังไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ฉันหลงเข้าไปในจูบนี้พร้อมด้วยริมฝีปากเขาที่กำลังกลืนกินฉันอยู่ เป็นฝันที่รอคอยมานานเหลือเกิน ฉันต้องการให้โรแวนจูบฉันและเพรียกหาเช่นนี้ นี้คือสิ่งที่ฉันปราถนามาตลอดทุกครั้งที่เขาออกไปทำงานในทุกเช้า นี่คือสิ่งที่โหยหาทุกครั้งที่เราสอดใส่กัน เราไม่เคยทำเช่นนี้กันเลยไม่ใช่เพราะฉันไม่เคยลอง ทว่าเขากลับไม่เคยต้องการฉันเลย“คุณพยายามทำตัวให้เร่าร้อนแต่ก็ไม่ได้เรื่องเลย ทุกครั้งที่ผมสอดใส่เข้าไปในตัวคุณ คนที่ผมต้องการก็คือเอมม่า ผมจินตนาการว่าใต้ร่างผมคือเอมม่า ทุกครั้งที่ผมเสร็จสม ผมก็เห็นหน้าของเธอ คุณมันไม่ได้พิเศษอะไรเลยแค่ผู้หญิงใจง่าย ผมก็เลยใช้คุณเท่านั้น ผมใช้คุณเป็นเครื่องมือสนองกามเท่านั้น”ประโยคที่โรแวนเคยพูดกระแทกใส่หน้าฉันเมื่อสองสามเดือนก่อนยังสะท้อนอยู่ในหัวฉันราวกับเสียงระฆังดัง ฉันผละออกจ
แสงสว่างจ้าที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้ฉันลืมตาตื่นขึ้น แทนที่จะลุกขึ้นในทันที ฉันแค่นอนอยู่บนเตียงสักพักหนึ่งขณะที่ลูบไล้หน้าท้องตัวเองและรู้สึกได้ถึงลูกน้อยกำลังขยับอยู่ในตัวฉันฉันมองไปที่ปฏิทินบนโต๊ะข้างเตียงและตระหนักได้ว่าวันนี้เพิ่งครบหกเดือนของระยะสำคัญแล้ว มันน่ากลัวที่จะมีลูก หนทางทั้งหมดนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ฉันมักจะขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอในแต่ละครั้งที่ฉันผ่านระยะสำคัญกับลูกน้อยของฉันเพราะรู้ว่าไม่ใช่เด็กทารกทุกคนที่จะเกิดมาได้ปลอดภัยหลังจากกล่าวคำอธิษฐานขอบคุณเล็ก ๆ น้อยเสร็จ ฉันก็ลุกขึ้นและลงไปชั้นล่าง ฉันสามารถอาบน้ำในภายหลังได้แต่ตอนนี้รู้สึกหิว เพราะด้วยเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ฉันจึงลืมกินอาหารไปเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวานก็ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับโรแวน ฉันยังคงไม่อยากเชื่อเลยว่าฉันจะปล่อยเขาจูบฉันแล้วฉันกลับเพลิดเพลินไปกับมันเสียได้มันทำให้ฉันรำคาญมากที่ฉันต้องการมากกว่านี้ ฉันต้องการให้เขาจูบดื่มด่ำยิ่งขึ้น ฉันอยากให้เขาทำมากกว่านี้ ฉันสามารถโทษว่ามันเป็นเพราะฮอร์โมนได้ แต่รู้ดีว่าฉันกำลังโกหกตัวเองอยู่โรแวนทำฉันเจ็บปวดมามาก แต่ความเป
เอมม่า“ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไง มอลลี่” ฉันบอกเธอ เกือบจะร้องไห้ออกมา “พวกเขาโกรธฉันมากตอนนี้”แม่กับทราวิสไม่ยอมรับสายหรือแม้แต่จะพูดคุยกับฉัน หลังจากความหายนะที่งานเลี้ยงนั่น ฉันก็ยังไม่ได้เจอหรือคุยกับพวกเขาเลยทราวิสเมินเฉยต่อฉัน และแม่ก็ไล่ฉันออกจากบ้านทันทีที่งานเล็ก ๆ นั่นจบลง มันน่าอึดอัดเป็นบ้า ไม่มีใครยอมพูดคุยกับฉันเลยจริง ๆ มันเหมือนกับว่าฉันไม่มีตัวตน นี่คือสิ่งที่เอวารู้สึกในอดีตใช่ไหม? มันยุ่งเหยิงเป็นบ้า“ฉันบอกเธอแล้วว่าให้บอกความจริงกับพวกเขา แต่เธอไม่ฟังเลย” เสียงของมอลลี่นำฉันกลับมาสู่ปัจจุบันเธอพูดถูก ทุกครั้งที่เธอเอ่ยถึงเรื่องนั้น ฉันจะจบมันลงก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไรด้วยซ้ำ ทันทีที่ฉันรู้ถึงการตั้งครรภ์ของตน เธอขอร้องให้ฉันบอกพวกเขาแต่ฉันปฏิเสธ เธอพยายามมาโดยตลอดแปดปีที่ผ่านมานี้ มันไม่เคยได้ผลเพราะฉันไม่เคยฟังเธอเลย บางครั้งฉันจะโกรธเสียด้วยซ้ำ พวกเราจะโต้เถียงกันและจากนั้นก็ลงเอยด้วยการไม่ได้พูดคุยกันอยู่หลายวัน“ฉันรู้” ฉันกระซิบอย่างเหนื่อยล้าฉันนอนไม่หลับเลย เพราะมีเรื่องให้คิดในหัวมากมายจนมันยากสำหรับฉันที่จะพบความสงบสุขและนอนหลับได้“ไม่ เธอไม่เลย
ความคิดนั้นทำให้เกิดความตื่นตระหนกบางอย่างในตัวฉัน ฉันไม่อยากคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ฉันไม่อยากละทิ้งความฝันของฉันที่จะได้อยู่กับโรแวน ฉันเอาแต่นิ่งเงียบราวกับว่ากำลังต่อสู้กับคำพูดของเธอในหัวของตัวเอง“เอมม่า?” เธอเรียกฉันรู้จักมอลลี่ดี เธออยากให้ฉันเห็นด้วย เธออยากให้ฉันบอกว่าฉันจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ฉันไม่ต้องการฉันหลุดจากการต้องตอบเธอมาได้เมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา“ฉันต้องไปแล้ว มอลลี่ มีคนอยู่ที่ประตู” ฉันบอกเธอด้วยความรีบร้อนขณะที่ฉันเดินไปยังประตู“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ เอม นี่…”ฉันวางสายก่อนที่เธอจะทันได้พูดจบประโยคเมื่อเปิดประตู ฉันก็ประหลาดใจที่เจอแม่ของฉันอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เธอไม่ได้ยิ้มแต่ความหวังยังคงพองฟูอยู่ภายในตัวฉันแม่ไม่ได้รอคำเชิญ เธอเพียงแค่เดินเข้ามา“แม่จะพูดสั้น ๆ นะ” เธอเอ่ยขึ้น และความหวังทั้งหมดที่ฉันมีเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาได้หดตัวและตายไปฉันปิดประตูและเผชิญหน้ากับแม่ เมื่อมองไปที่เธอ ฉันกลั้นน้ำตาไว้เมื่อฉันสังเกตเห็นความเกรี้ยวกราดที่กำลังลุกเต้นอยู่ภายในแววตาของแม่“แม่อยากพบหลานชายของแม่ แม่หวังว่าลูกจะแนะนำเขา
โรแวนเป็นเวลาสองวันแล้วตั้งแต่ความจริงได้เปิดเผยออกมา ผมยังคงตัดใจจากจูบนั้นไม่ได้ ตอนที่ผมก้มหน้าลงเพื่อจูบเอวา ผมคาดไว้ว่าเธอจะผลักผมออกไป หรือเลวร้ายกว่านั้นอาจตบหน้าผม ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าผมรู้สึกประหลาดใจเมื่อเธอปล่อยให้ผมจูบเธอ แต่ความประหลาดใจนั้นกลายเป็นความสุขและความปิติยินดีในไม่ช้าไม่อยากเชื่อเลยว่าผมอยู่มานานขนาดนี้โดยไม่จูบเธอได้ยังไง ริมฝีปากของเธอนุ่มนวลและปากของเธอก็น่าเสพติด ผมสามารถใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการจูบเธอ และผมคงจะมีความสุขมาก อีกครั้งแล้วที่ผมพูดแบบนี้ ผมโคตรจะโง่เง่าเลย ทุกครั้งที่ผมปฏิเสธจูบของเอวาตอนที่พวกเรายังแต่งงานกัน ผมคิดว่าผมกำลังทำโทษเธออยู่ แต่ผมไม่รู้เลยว่าผมกำลังพลาดโอกาสที่จะทำบางอย่างไป ผมมักจะเสียใจเรื่องนี้อยู่เสมอเพราะผมพลาดโอกาสไปมากมายตอนนี้ผมอยู่ในออฟฟิศของตัวเองและไม่สามารถจดจ่อกับเรื่องไร้สาระได้ ผมมีการประชุมทางธุรกิจในอีกสองสามวันข้างหน้า แต่กระนั้นสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของผมก็คือจูบนั้นผมรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง การจูบเธอแล้วเธอตอบสนองด้วยนั้นคล้ายกับประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นของการได้รับจูบครั้งแรกจากผู้หญิงคนหนึ่ง
ความหวังทั้งหมดที่ผมมีได้เหี่ยวแห้งตายไป บ้าเอ้ย ผมจะมีโอกาสทำทุกอย่างให้ถูกต้องบ้างไหม? จะเป็นไปได้ไหมที่นะเอาชนะใจเธอคืนมา? “ฉันไม่คิดว่านั่นคือสิ่งเดียวหรอก พวกเราทั้งคู่รู้จักเอวาดี ถ้าเธอไม่ต้องการ เธอจะไม่ยอมให้นายจูบหรอก ฮอร์โมนบ้าบออะไรกัน” เขาพยายามให้กำลังใจผม แต่ตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกคล้อยตามเลยจริง ๆประตูถูกเปิดออกและทราวิสก็เดินเข้ามา เขาดูย่ำแย่มาก เขาเดินมาหาและนั่งลงข้างเกบ“นายดูแย่มาก” เกบบอกให้เขารู้ทราวิสเพียงถอนหายใจ “ฉันรู้ ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”เรื่องต่าง ๆ ยุ่งเหยิงไปหมดหลังจากรู้ว่าน้องสาวสุดที่รักของเขามีลูกซึ่งเธอเก็บไว้เป็นความลับถึงแปดปี“เป็นไงบ้างล่ะ?” ผมถาม“แย่น่ะสิ ฉันทนไม่ได้ที่จะอยู่ในห้องเดียวกับเอมม่าตอนนี้ แม่ก็เหมือนกัน อันที่จริงแม่ยื่นคำขาดให้เอมม่า ถ้าเธอสร้างไม่ความสัมพันธ์กับกันเนอร์แม่ก็จะตัดขาดเธอออกจากชีวิต”ทั้งเกบและผมจ้องมองเขาด้วยความตกใจ ผมไม่เคยคิดเลยว่าเคทขู่ที่จะตัดขาดกับเอมม่าได้แม้แต่ตอนที่เอวากับผมยุ่งพัวพันกัน เธอไม่เคยตัดขาดกับเอวา แน่นอนเธอกับเจมส์เมินเฉยต่อเธอ แต่พวกเขาไม่ได้ตัดเธอออกไป“นายพูดจริงหรือเปล
เอวาฉันไม่สามารถเอาโน้ตบ้า ๆ นั่นออกจากหัวได้เลย ฉันเอาแต่คิดเรื่องนี้ฉันอยากจะเชื่อนะว่ามันไม่มีอะไรเลยนอกจากการเล่นพิเรนทร์ แต่ฉันไม่มั่นใจมากนักเพราะรู้สึกแย่ทุกครั้งที่อ่านมันฉันเคยคิดที่จะแจ้งความแต่ไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ มันก็แค่กระดาษโน้ตแผ่นหนึ่ง ถ้าหากว่าคาลพูดถูกว่ามันก็แค่เป็นการเล่นพิเรนทร์โง่ ๆ ล่ะ? โทรศัพท์ของดังขึ้นทำให้ฉันสะดุ้งสุดตัว ฉันวางไม้ถูพื้นลงและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เมื่อเห็นชื่อโรแวนกะพริบอยู่ ฉันเกือบจะวางสายแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำ“สวัสดี” ฉันบังคับเสียงตัวเองให้ดูไร้อารมณ์“คุณเป็นไงบ้าง?” เขาถาม ฟังดูไม่มั่นใจเล็กน้อยฉันสาบานเลยว่าไม่มีทางคุ้นชินกับโรแวนเวอร์ชั่นนี้ มันไม่เหมือนเขาเลย มันเหมือนว่าเขาตื่นขึ้นมาในวันหนึ่งและกลายเป็นอีกคน แต่ถ้าเขาได้เปลี่ยนไปอย่างแท้จริงคงจะใช้เวลาสักพักที่จะคุ้นชินกับเขาได้“คุณต้องการอะไรหรือเปล่า?”“อืม ผมแค่อยากให้คุณรู้ว่าผมจะเดินทางไปทำธุรกิจสักสองสามวันน่ะครับ” เขาแจ้งให้ฉันทราบ ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกงุนงงเล็กน้อย“โอเคค่ะ งั้นคุณอยากให้ฉันแจ้งให้โนอาทราบใช่ไหม?”โนอาอยู่โรงเรียน เขาจะผิดหวังเพราะเขาไม่ชอบให้
“มีอะไรคะ? คุณตะโกนเรียกชื่อฉันเหมือนกับว่าโลกจะแตกเลย” ฉันบอกเขาเมื่อฉันตระหนักได้ว่าเขายังคงไม่ได้พูดอะไรสักคำ สายตาของเขาเบิกกว้างขึ้นราวกับว่าเขาเพิ่งค้นพบบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ฉันจ้องมองเขา เขาสวมเสื้อกีฬาแขนยาวกับกางเกงวอร์ม ตอนแรกฉันรู้สึกงงว่าทำไมเขาถึงไม่อยู่ที่ทำงาน แต่จากนั้นฉันก็จำได้ว่าวันนี้เป็นวันหยุด“คาลวิน?” ฉันเรียกเขาส่ายหัว “โอ้ โทษทีครับ ผมไม่รู้ว่านี่เร็วเกินไปหรือเปล่า แต่ผมอยากถามคุณบางอย่าง”อย่างแรกโรแวนอยากจะพูดเกี่ยวกับบางอย่าง และตอนนี้คาลวินก็อยากถามฉันบางอย่าง ด้วยการที่เขาแสดงอาการลอกแลก ฉันแค่รู้ว่าฉันอาจไม่ชอบในสิ่งที่เขาพูด“โอเค ว่ามาสิคะ”เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะสูดหายใจลึก“ผมอยากชวนคุณออกเดตน่ะครับ”“ว่าไงนะคะ?” ฉันพูดอึกอัก จ้องมองเขาด้วยตาเบิกกว้างฉันได้ยินเขาถูกหรือเปล่า? มันไม่สามารถเป็นไปได้ ไม่มีทางที่เขาจะขอฉันแบบนั้น พวกเราเป็นแค่เพื่อนกัน“คุณจะไปออกเดตกับผมได้ไหมครับ?” เขาถาม ครั้งนี้ด้วยเสียงที่ชัดเจนกว่าเดิม “ผมรู้ว่ามันอาจจะเร็วเกินไป แต่ผมคิดว่านี่ดีที่สุดแล้ว พวกเราสามารถช่วยกันและกันให้ผ่านพ้นความเจ็บปวดในอดีตได้
ฉันหยุดหายใจเเพราะความตกใจ และผละออกจากเขา ในขณะที่ร่างเล็ก ๆ กระโดดขึ้นมาบนตัวเรา"สุขสันต์วันคริสต์มาส!" เขาตะโกนอย่างมีความสุขด้วยเสียงร้องเพลง“หัวจะปวด” ทั้งกาเบรียลและฉันครางอย่างหงุดหงิดจะมาช้ากว่านี้สักชั่วโมงไม่ได้หรืออย่างไร? ถ้ามีใครสักคนในครอบครัวนี้ที่ชอบขัดจังหวะเรา มันก็ต้องเป็นลูกคนที่สอง แอนดรูว์ คนนี้แน่นอน เราเรียกเขาว่าดรูว์เขาอาจจะไม่รู้ว่าเขาเป็นตัวขัดจังหวะแค่ไหน แต่ก็ไม่สำคัญยังไงเขาก็ทำอยู่ดี"ตื่นครับ! ตื่น!" เขาตะโกนเสียงดัง จนชั่วขณะหนึ่งฉันไม่ได้ยินอะไรเลย นอกจากเสียงก้องของเจ้าลูกชาย"ไม่ต้องตะโกนก็ได้ ดรูว์" เกเบรียลบ่น "พ่อแม่ได้ยินชัดเจนโดยที่หนูไม่ต้องทำให้แก้วหูพ่อแม่แตกก็ได้"ดูเหมือนดรูว์จะไม่ฟังเลย เขาเด้งขึ้นเด้งลงบนเตียง มีความสุขแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาเกเบรียลขยับตัวใต้ผ้าห่ม คงพยายามขยับทุกอย่างให้เข้าที ฉันขยับร่างกายขึ้นและพิงหัวเตียง ก่อนจะคว้าลูกชายที่กระตือรือร้นและอยู่ไม่นิ่งมา สิ่งสุดท้ายที่เราต้องการคือเขาทำร้ายพ่อของเขาด้วยการเผลอเหยียบเข้ากลางตัวเขาหรืออะไรทำนองนั้น"หนูพยายามห้ามเลียมแล้วนะคะ แต่แม่ก็รู้ว่าเขาเป็นยังไงเวลาต
ฮาร์เปอร์ฉันกำลังล่องลอยอยู่บนปุยเมฆสีขาวนุ่มฟูแห่งการนอนหลับ ฉันรู้สึกอบอุ่น รู้สึกสงบ และรู้สึกได้รับความรักฉันเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาทีละน้อย เกเบรียลนอนอยู่ข้างหลังฉัน แขนโอบกอดฉันไว้ เขาทำแบบนี้ทุกครั้งที่เรานอนหลับด้วยกัน เขากอดฉันไว้แน่นในอ้อมแขน ราวกับว่าเขากลัวว่าฉันจะหายไปหากไม่ทำเช่นนี้ฉันขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหลุดออกจากอ้อมแขนของสามี ทว่าแทนที่จะปล่อยฉันไป เขากลับกระชับมือแน่นขึ้น ซึ่งดันฉันเข้าไปแนบชิดมากขึ้นฉันหยุดขยับเมื่อรู้สึกถึงเขา ฉันรู้สึกถึง น้องน้อยที่ตื่นมาเคารพธงชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ฮอร์โมนของฉันพลุ่งพล่าน และฉันก็ต้องการเขาขึ้นมาทันที ฉันอยากให้เขาสอดแทรกเข้ามาในร่างนี้เรื่องบนเตียงของเราสองช่างสมบูรณ์ แต่ก็มีบางครั้งที่ต้องการมากกว่านี้ อาจเพราะมีลูกด้วยกันถึงสามคนแล้ว บางเวลามันก็ยากที่จะมีเวลาส่วนตัวที่ไม่ถูกรบกวนได้"อืม" เกเบรียลร้องครางเมื่อฉันถูบั้นท้ายกับเป้าของเขาเสียงนั้นเดินทางลงไปจนถึงจุดนั้นของฉัน ฉันถูอีกครั้ง กระตุ้นเสียงครางแสนเร้าอารมณ์จากเขาอีกเกเบรียลเริ่มประทับจูบตามหลัง ไหล่ และคอ มันผ่านมาสองสามวันแล้ว และฉันก็โหยหาเขา
"ใช่เลยครับ" เขาตอบรับรอยยิ้มของฉัน ขณะที่คิลเลียนเดินเข้ามาหาเรา"ผมมาขโมยภรรยาแสนสวยของผมคืนแล้วครับ" เสียงเขาแหบพร่า และฉันอดไม่ได้ที่จะละลายไปกับโทนเสียงนั้น มันเซ็กซี่สุด ๆ ไปเลย“เธอเป็นของคุณแล้วนะ” คาลวินปล่อยมือจากฉันและหลีกทาง ก่อนจะเดินจากไปคิลเลียนดึงฉันเข้าไปในอ้อมกอดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีช่องว่างระหว่างเรา "เป็นยังไงบ้าง? ปวดหลังหรือเปล่า? ขาเป็นยังไง?"เห็นไหม ฉันบอกแล้วไง เขาเป็นเสือร้ายในคราบทนายความ แต่ดูแลเอาใจใส่และรักใคร่ในฐานะคู่ครอง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันมีสเปคแบบไหน จนกระทั่งฉันได้พบเขา"สบายดีค่ะ ที่รัก ไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนั้นก็ได้" ฉันหัวเราะเบา ๆ ดันตัวเองเข้าไปใกล้เขามากขึ้น"ผมเคยบอกว่าผมรักคุณแล้วหรือยัง?" เขาถามฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะที่เขย่งปลายเท้าและกระซิบชิดริมฝีปากของเขา "ประมาณพันครั้งแล้วค่ะวันนี้ แต่ฉันไม่ได้บ่นอะไรนะ""คุณคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผมเลยนะครับ เอมม่า ผมนึกไม่ออกเลยว่าชีวิตผมจะเป็นยังไงหากไม่มีคุณ ผมรู้ว่าเราได้กล่าวคำสาบานกันไปแล้ว แต่ผมสัญญาว่าจะรักและทะนุถนอมคุณเสมอ เพราะคุณคือของขวัญที่เบื้องบนประทานมา ผมสัญญา
มอลลี่เป็นหนึ่งในเพื่อนเจ้าสาว เช่นเดียวกับเอวา คอนนี่ เล็ตตี้ ฮาร์เปอร์ และคินลีย์ พวกเธอเป็นเพื่อนสาวกันมาสี่ปีแล้วตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุวันนั้น แน่นอนว่าฉันไม่มีวันหาใครมาแทนมอลลี่ได้ เธอเป็นเพื่อนสนิทที่สุด แต่ฉันก็รู้สึกขอบคุณที่มีพวกเธออยู่เช่นกันอีกอย่างเมื่อวานนี้มอลลี่บอกฉันว่าเธอกำลังคิดจะย้ายมาอยู่ที่นี่ ฉันตื่นเต้นมาก ฉันรักเธอ แต่เรายอมรับว่าเป็นเพื่อนระยะไกลกันมันรักษาความสัมพันธ์กันได้ยาก ฉันมีความสุขมากที่เธอจะย้ายมาอยู่ใกล้ ๆเสียงเพลงช้าลง และกันเนอร์ก็เดินเข้ามา ตัดบทสนทนาทั้งหมด“เต้นรำกันหน่อยไหมครับ แม่?”มีเสียง ว้าว ดังขึ้นเป็นระลอก และฉันสาบานได้ว่าหัวใจฉันละลายไปตรงนั้นเลย"แน่นอนสิจ๊ะ สุดหล่อของแม่" ฉันตอบก่อนจะจับมือเขาตอนนี้กันเนอร์อายุสิบสี่ เป็นวัยรุ่นแล้วเชื่อไหมล่ะ? เขาสูงเท่าฉันแล้ว และฉันมั่นใจว่าอีกไม่กี่ปีเขาจะสูงกว่าฉัน ฉันไม่ว่าอะไรหรอก เขาก็จะเป็นลูกชายตัวน้อยของฉันเสมอคาลวินและฉันตัดสินใจส่งเขาไปเข้ารับการบำบัดทันทีที่ฉันออกจากโรงพยาบาล เราเข้าร่วมการบำบัดร่วมกันบ้าง และพูดคุยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา และเกี่ยวกับวันที่เกิดอุบัติเหตุ
เอมม่าฉันเต้นรำกับมอลลี่ ปล่อยให้เสียงเพลงโอบล้อมตัวไว้ ฉันรู้สึกปวดหลังเล็กน้อยแต่ก็ไม่สำคัญอะไรเลยเมื่อฉันมีความสุขสุด ๆ แบบนี้ชุดเดรสสะบัดไปมาขณะที่เราตะโกนเนื้อเพลง หน้าร้อนแสนสาหัส ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ออกมาสุดเสียง เอวาที่กำลังตั้งครรภ์ท้องแก่ก็เข้าร่วมกับเราด้วย ฉันหัวเราะเพราะเธอคิดว่าเธอกำลังเต้นอยู่เลยแต่เปล่าเลย ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเรียกสิ่งที่เธอกำลังทำว่าอะไรดีจำนวนครั้งที่ฉันเรียกว่าตนเองมีความสุขนั้นสามารถนับนิ้วได้เลย หนึ่งคือตอนที่ฉันสอบเนติบัณฑิตได้ สองคือตอนที่กันเนอร์เรียกฉันว่าแม่เป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมานาน และสามคือวันนี้ งานแต่งของฉันคุณได้ยินไม่ผิดหรอกค่ะ ฉันแต่งงานแล้วและฉันมีความสุขอย่างที่สุดจำทนายหนุ่มน่ารักที่ฉันเล่าให้เอวาฟังในวันเกิดของเจมส์ได้ไหมคะ? จะว่าอย่างไรดี เขาไม่เคยละความพยายามเลยค่ะ ไม่ว่าฉันจะปฏิเสธเขากี่ครั้งก็ตาม เขาขอฉันคบหาอยู่เรื่อย ๆ และที่ฉันบอกว่าเรื่อย ๆ ก็คือเขาขอเกือบทุกวัน ฉันเบื่อที่จะได้ยินคำถามเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนวันหนึ่งฉันก็ตอบตกลง ปรากฏว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตนี้เลยฉันชะลอฝีเท้าลง ดวงตามองหาเจ้าบ
กันเนอร์มีน้องชายแล้ว งงกันอยู่ใช่ไหมคะ? เพราะเมื่อกี้ฉันกับเอวากำลังคุยเรื่องแฟนกันอยู่เลย เชสไม่ใช่ลูกชายของฉันค่ะ เขาเป็นลูกชายตัวน้อยของคาลวินและคินลีย์ พวกเขาแต่งงานกันเมื่อปีที่แล้วแล้วมีเชสตัวน้อยน่ารักคนนี้เป็นลูกน้อยคาลวินและฉันสนิทกันมากขึ้นตั้งแต่อุบัติเหตุ เหมือนกับกันเนอร์ เขายกโทษให้ฉัน และพวกเราก็สามารถสร้างมิตรภาพที่สวยงามได้คินลีย์เป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เธอเข้ากับพวกเราทุกคนได้ เธอใจดีและน่ารัก และที่สำคัญที่สุด เธอทำให้คาลวินมีความสุขและปฏิบัติต่อกันเนอร์เหมือนลูกชายของเธอเอง"ไม่จ้ะ ไม่เคยเกินจริงเลย" เอวาแก้ตัว "น้าแค่อยากให้แม่หนูเล่าเรื่องทนายความน่ารักที่ที่ทำงานให้ฟังมากกว่านี้""ผมขอจบตรงนี้นะครับ ไปดีกว่า" เขาพูด ดูเหมือนจะขยะแขยงเล็กน้อย "แม่ดูน้องได้ใช่ไหมครับ หรือผมควรจะพาน้องไปด้วย?"“แม่สบายมากจ้ะ…ไปเล่นกับเพื่อน ๆ เถอะ”เขาพยักหน้าก่อนที่จะวิ่งไปหาโนอาและคนอื่น ๆ คาลวินใจดีพอที่จะแก้ไขข้อตกลงเรื่องการดูแลบุตร ตอนนี้พวกเราดูแลกันเนอร์ร่วมกัน ลูกอยู่กับคาลวินวันธรรมดาและใช้วันหยุดสุดสัปดาห์กับฉัน"เอาล่ะ กลับมาเรื่องผู้ชายน่ารักคนนั้นก่อนนะ
สามปีต่อมาเอมม่า"จริงจังนะ เอมม่า เมื่อไหร่เธอจะหาแฟนสักที?" เอวาเอ่ยถามพร้อมนั่งลงข้าง ๆ ฉันฉันมองออกไปที่สวนหลังบ้านและยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ วันนี้เป็นวันเกิดของเจมส์ลูกชายของทราวิสและเล็ตตี้ ซึ่งตั้งชื่อตามพ่อของพวกเราและเจมส์กำลังจะอายุครบหนึ่งขวบเล็ตตี้และทราวิสแต่งงานกันเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว ทราวิสคุกเข่าขอเธอแต่งงานทันทีที่ฉันได้สติขึ้นหลังจากอุบัติเหตุที่เกือบจะพรากชีวิตฉันไป คุณอาจจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนขับรถคนนั้น เขาถูกจำคุกห้าปีในข้อหาขับรถโดยประมาท ฉันหวังว่าเขาจะได้รับบทเรียนนะกลับมาที่ทราวิสและเล็ตตี้ ฉันคิดว่าการเห็นฉันอยู่ในโรงพยาบาลทำให้เขารู้ว่าชีวิตสั้นแค่ไหน เขาขอเธอแต่งงานและเล็ตตี้ก็ตอบตกลง พวกเขาแต่งงานกันซึ่งเป็นงานแต่งงานฤดูใบไม้ผลิที่สวยงามตอนนี้ัฉันได้กลายเป็นเพื่อนกับเอวาก็เลยถูกดึงเข้ามาในวงจรนี้ด้วย คอนนี่และรีเปอร์แต่งงานกันแบบงานแต่งงานเล็ก ๆ ที่เป็นกันเองกับเพื่อนสนิทและครอบครัว สี่เดือนต่อมาทั้งสองก็อ้าแขนรับลูกสาวของพวกเขา เฮเวน ตอนนี้คอนนี่ก็กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สองซึ่งเป็นลูกสาวอีกคนฮาร์เปอร์และเกเบรียลก็กำลังจะมีลูกด้วยกันอีก
"ไม่ไหวแล้ว! ฉันต้องเบ่งเดี๋ยวนี้" ฉันคำรามพร้อมจับเสื้อเกเบรียลไว้ฉันรู้สึกบ้าไปแล้ว เหมือนฉันเสียสติไปแล้ว ความเจ็บปวดกำลังทำให้ฉันบ้าไปแล้วจริง ๆโชคดีที่พวกเราไปถึงห้องคลอดก่อนที่ฉันจะคลอดลูกตรงทางเดินของโรงพยาบาล ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเดินไปถึงห้องคลอด และเจ้าหน้าที่ก็เริ่มเตรียมพร้อมให้ฉันเอวาอยู่ในห้องเรียบร้อย ฉันรู้สึกขอบคุณที่มีคนเข้าใจความรู้สึกตอนที่ช่องคลอดฉีกออกเป็นสองส่วนเพื่อให้เด็กตัวน้อย ๆ ออกมาดูโลก"ฉันไม่ไหวแล้ว" ฉันกัดฟันพูด ก่อนที่จะยกตัวขึ้นและเบ่งสุดแรงฉันสาบานว่าฉันรู้สึกเหมือนก้นจะแตกและมันก็เพิ่มความเจ็บปวดให้ฉันมากขึ้น"ความผิดคุณเลย!" ฉันกรีดร้องใส่เกเบรียลขณะที่จับมือเขาไว้แน่นฉันจ้องเขม็งไปที่เขา ลมหายใจถี่กระชั้น และรูจมูกบานออกเพื่อพยายามสูดอากาศเข้าไปในปอดให้ได้มากที่สุด"เตรียมนะ เธอ เบ่งเลย" เอวาเร่งเร้าฉันขณะที่เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากให้ฉัน "เกเบรียลไม่สำคัญแล้วตอนนี้""อ้าว ใจร้ายนะ เอวา" เกเบรียลพึมพำพร้อมจ้องเขม็งไปยังเอวา เธอจ้องเขม็งกลับราวกับจะบอกให้เขาหุบปากและทำตามน้ำไปฉันบีบมือพวกเขาเมื่อมดลูกหดตัวอีกครั้ง และฉันก็ออ
"สบายมากจ้ะ หมีน้อยลิลลี่ แม่กำลังจะคลอดลูก... จำที่แม่บอกหนูได้ไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้นตอนถึงเวลาแบบนี้?"เธอพยักหน้า "ค่ะ แม่บอกว่าแม่จะเจ็บท้อง แต่หนูไม่ต้องห่วง เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้น้องเกิดมาค่ะ""ดีมากจ้ะ" ฉันเบ้หน้าเมื่อการหดเกร็งตัวจู่โจมฉันอีกครั้ง "นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ดังนั้นอย่ากลัวไปนะจ๊ะ"เกเบรียลจับมือและช่วยให้ฉันเดินออกจากห้อง ฉันหายใจเข้าทางจมูกและหายใจออกทางปาก แต่พูดตามตรงมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย"หนูแค่ไม่เข้าใจน่ะค่ะ ทำไมแม่ต้องเจ็บด้วย? ทำไมเด็กถึงออกมาจากท้องแม่ไม่ได้โดยไม่ทำให้แม่เจ็บล่ะคะ?"สิ่งที่ฉันไม่ต้องการที่สุดคือทำให้ลูกสาวหวาดกลัวโดยต้องอธิบายให้เธอฟังว่าความเจ็บปวดนั้นจำเป็นสำหรับการออกแรงเบ่งเด็กออกมาจากร่างกายฉัน เธอจะอยากรู้ว่าทำไมต้องเบ่งลูกออกมาด้วย และฉันจะต้องอธิบายว่าเพราะลูกตัวใหญ่และทางออกเล็กกว่า ดังนั้นการหดเกร็งตัวเหล่านั้นจึงจำเป็นสำหรับการเบ่งลูกออกมา จากนั้นเธอจะอยากรู้ว่าทางออกนั้นคืออะไร และฉันจะต้องบอกเธอว่าลูกออกมาทางนั้นอย่างไรเล่าอย่างที่คุณเห็น นั่นไม่ใช่บทสนทนาที่เธอเตรียมใจรับได้นัก เธอจะตกใจกลัวเมื่อรู้ว