หลังจากขันทีประกาศแล้ว พระพันปีรุดมาด้วยความโกรธย่างก้าวของนางแข็งแกร่ง มองไม่ออกเลยว่านางเกือบสิ้นใจเมื่อไม่กี่วันก่อนด้านหลังของพระพันปี ยังมีองค์หญิงจ่างซีที่ตามติดเข้ามาด้วย“ฉินเหยี่ยนเย่ว์ ในที่สุดข้าก็พบเจ้าจนได้” หลังจากที่พระพันปีมาถึงที่ตำหนักไท่อี๋ก็เมินเฉยต่อทุกคน และเดินตรงไปหยุดอยู่ต
หญิงชราทำแหวนของตัวเองหาย กลับถามนางว่าแหวนอยู่ที่ใด นี่ตรรกะใดกันเนี่ย!“หม่อมฉันมิได้ขโมยไป” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พูดอย่างเด็ดขาด “และหม่อมฉันก็มิรู้ว่าแหวนของพระพันปีอยู่ที่ใดด้วย”“ยังกล้าปากแข็งอยู่อีก” เมื่อพระพันปีเห็นท่าทางหัวแข็งของนาง จึงตะโกนเรียกคนด้านข้าง “ตบปาก ตบจนกว่านางจะยอมรับ”สีหน้าของ
ขันทีหลานขยับย้ายเก้าอี้มา แล้ววางไว้ข้าง ๆพระพันปีขมวดคิ้วพูดตามหลักเหตุผลแล้ว นางเป็นพระพันปี แม้ว่านางจะเป็นสตรี แต่ด้วยตำแหน่งเป็นพระพันปีอยู่นั้น ฮ่องเต้เองก็ควรจะให้นางนั่งข้างบนผู้ใดจะรู้ ฮ่องเต้เพียงให้คนย้ายเก้าอี้เท่านั้นนี่กำลังเตือนนางอย่างชัดเจนสีหน้าของนางดูคาดไม่ถึง และไม่ได้นั่ง
ตราบใดที่เนินเขาเขียวขจียังคงอยู่ ทุกสิ่งสามารถกลับมาได้อีกครั้งนางกัดฟันแน่น หยิบป้ายทองละเว้นโทษตายออกมาอย่างสั่นเทา ก่อนจะพูดด้วยเสียงกึกก้อง “ป้ายทองที่อดีตฮ่องเต้ทรงมอบให้อยู่ที่นี่แล้ว ยังไม่รีบถวายบังคมอีกรึ?”หลังจากที่ไท่เฟยฉางยกป้ายทองขึ้น สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่พลันเปลี่ยนไปโ
ไท่เฟยฉางยกป้ายทองของอดีตฮ่องเต้ขึ้น “พวกพระองค์จะฝ่าฝืนราชโองการอย่างเปิดเผยรึ?"“ไท่เฟยฉาง” เมื่อเห็นว่าไท่เฟยฉางยังคงพูดต่อไป กระแสเสียงของอ๋องอี๋หยางจึงเย็นเยียบลง “ขอพระองค์เย็นพระทัยลงบ้าง”“อุปนิสัยของเสด็จพี่ พระองค์น่าจะทรงทราบดี เขาจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ตัดสินไปแล้ว หากพระองค์ยืนกราน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น นางจะขโมยของไปได้อย่างไร?“เจ้ายังกล้าเล่นลิ้นอีก” พระพันปีสะบัดแขนเสื้อ “แหวนวงนั้นหายไปในวันที่เหมาเหมาหายไป วันถัดมาข้าก็ล้มป่วยแล้ว หลังจากที่ข้าป่วย มีเพียงเจ้าคนเดียวที่ใกล้ชิดกับหมอหลวงทุกคน เป็นไปไม่ได้ที่หมอหลวงจะอาจหาญถอดแหวนนั้นออกไป มีเพียงเจ้าเท่านั้น”“ถูกต้อง เ
“เสด็จพ่อเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์มีสีหน้าขอประทานอภัย “นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของลูก ลูกต้องล้างความอยุติธรรมของตนเอง ลูกขอร้องให้เสด็จพ่อประทานอภัย ให้กับการทำตามอำเภอใจของลูก และให้โอกาสลูกได้หักล้างข้อกล่าวหาให้ตัวเองด้วยเพคะ”ฮ่องเต้ไม่มีคำพูดใดออกมา มีเพียงเสียงแค่นหัวเราะอย่างเย็นช
องค์หญิงจ่างซีมั่นใจว่าฉินเหยี่ยนเย่ว์จะพ่ายแพ้ นางเชิดหน้าขึ้นสูง “เสด็จพี่สองพระองค์ทรงเป็นพยาน ข้าล่ะอยากเห็นว่าเจ้าสามารถพลิกแพลงอะไรออกมาอีก”“หม่อมฉันพลิกแพลงอะไรไม่ได้หรอกเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กางมือออก พร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้า“เพียงแต่หม่อมฉันโชคดีกว่า องค์หญิงจ่างซี พระองค์ฟังให้ดีนะ
ความเป็นไปได้มากที่สุด คือพี่ใหญ่ใช้ประโยชน์จากทาสเป่ยลู่คนนั้น ทำเรื่องที่มิอาจเปิดเผยได้เหล่านั้นอยู่ที่นี่หากเป็นเหตุผลเช่นนี้ เบาะแสทุกอย่างล้วนราบรื่นแล้วตงฟางหลีเดินอ้อมห้องอีกหนึ่งรอบใช้มือสัมผัสและเคาะสิ่งของที่น่าสงสัยทั้งหมดเบา ๆ ไปหนึ่งรอบน่าเสียดาย ที่หาร่องรอยของห้องลับไม่เจอ“จางฉู
ตงฟางหลีพยุงตัวกับราวบันได ใบหน้าหล่อเหลานั้นซีดเผือดหากเป็นน้ำพุจริง ๆ ไม่เพียงแต่รสนิยมเลวร้าย มิหนำซ้ำยังส่งกลิ่นเหม็นจนทำให้คนเดือดดาลจางฉู่ส่ายหน้า “มิทราบได้พ่ะย่ะค่ะ แทนที่จะบอกว่าเป็นน้ำพุ มิสู้บอกว่า พวกมันดูเหมือนเสาค้ำยันศาลามากกว่า ที่แห่งนี้เป็นที่ที่เฉียนอ๋องสร้างขึ้นกับมือเพื่ออนุภร
ในแววตาเขาไร้คลื่นลม และน้ำเสียงก็ราบเรียบมากเช่นกันเฟยอิ่งลอบขมวดคิ้วแน่นเขารู้จักจางฉู่มาแต่ไหนแต่ไร จางฉู่มีนิสัยเย็นชา กระทำการสุขุมหนักแน่น ไตร่ตรองพิจารณารอบด้าน มิใช่คนที่มุทะลุบุ่มบ่ามพรรค์นั้นหากแต่พฤตกรรมครานี้ ผิดแปลกไปอย่างแท้จริงแปลกไปจนมิคล้ายกับเป็นจางฉู่ตัวจริงเฟยอิ่งยิ่งคิดก็ยิ
ตงฟางหลีเดิมทีก็มีโรครักความสะอาดอยู่แล้ว ทนรับกลิ่นแปลกประหลาดเช่นนี้ไม่ได้ที่สุดยามที่กลิ่นเหม็นเน่าสายนั้นถาโถมเข้ามา เขาถึงกับอดถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้ ภายในกระเพาะประหนึ่งพลิกแม่น้ำล้มมหาสมุทรก็มิปานเขารีบล้วงหาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก สะกดความรู้สึกขยะแขยงลงไปเฟยอิ่งเองก็ถูกความรู้สึกน่ารัง
“เหตุผลที่คุณหนูเซียวหย่ากับพี่ใหญ่ เป็นเพราะว่าพี่ใหญ่สังหารลูกของพวกเขาเองกับมือ” ตงฟางหลีพูดต่อไป “ที่นางมิสามารถตั้งครรภ์มาโดยตลอด ก็เป็นการขัดขวางของพี่ใหญ่เช่นกัน”“พี่ใหญ่คิดว่าการตายของทาสเป่ยลู่เกี่ยวข้องกับคุณหนูเซียว จึงเอาโทสะมาระบายใส่คุณหนูเซียว คุณหนูเซียวที่ลุ่มหลงในความรักอย่างลึกซึ
บนใบหน้าเย็นชาและแน่วแน่นั้น เผยให้เห็นถึงสีหน้าไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่งร่างกายสูงใหญ่ของเขาถอยหลังไปอย่างไร้ร่องรอย น้ำเสียงนั้นทั้งลำบากใจทั้งเจ็บปวด “หวั่นเอ๋อร์...ไม่สิ พระชายาเฉียนจากไปแล้ว และคงไม่มีวันกลับมาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เรือนบุปผาหาได้มีผู้ใดอยู่ไม่ เชิญท่านอ๋องเจ็ดกลับไปเถิด”ยามที่จางฉู
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด เวลาที่เหยี่ยนเย่ว์จะได้รับความทรมานก็จะยิ่งนานมากขึ้นเท่านั้นยามที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา หน้าผากตงฟางหลีถึงกับเต้นตุบ ๆ โดยไม่รู้ตัวไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกไปเองหรือไม่เขามักจะรู้สึกว่า แม้ว่ายัยหนูของเขาจะพลั้งเผลอถูกคนลักพาตัวไปทว่า มิใช่สตรีที่จะปล่อยให้ผู้อื่นเข่นฆ่าได้
ขณะเดียวกันภายในหอฉยงฮวาใบหน้าตงฟางหลีดำทะมึนนิ้วของเขาเคาะที่โต๊ะเบา ๆหลังจากคาดเดาได้ว่าเหยี่ยนเย่ว์อาจถูกเฉียนอ๋องลักพาตัวไปเขากลัวว่าหากเข้าไปหาตรง ๆ จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นกลัวว่าหลังจากพี่ใหญ่ที่มีนิสัยวิปริตเช่นนั้นถูกกระตุ้นเข้า จะทำอันตรายต่อเหยี่ยนเย่ว์ดังนั้น จึงมาที่หอฉยงฮวาก่อ
ท่ามกลางการนองเลือดพร่าเลือน เขาตกตะลึงและเผยสีหน้าเหลือเชื่อ “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”“ดูเหมือนข้าจะเดาถูก” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เย้ยหยันเดิมทีนางไม่แน่ใจนัก และอยากหลอกลวงเขาคิดไม่ถึงว่าการหลอกลวงจะประสบผลสำเร็จในครั้งเดียวการกระทำโหดเหี้ยมเกิดขึ้นที่ก้นทะเลสาบ ช่างเข้ากับนิสัยวิปริตนี้จริง ๆ“เจ้ารู้ได