ขันทีสองสามคนที่อยู่ด้านหลังถลาขึ้นมา ไม่นานก็ควบคุมตัวพระสนมซูไว้ได้“ปล่อยข้า พวกเจ้าปล่อยข้านะ พวกเจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร? กล้าทำเช่นนี้กับข้า ข้าจะตีพวกเจ้าให้ตายเสีย” พระสนมซูผมเผ้ายุ่งเหยิงรุงรัง ดิ้นรนอย่างแรงราวกับคนเสียสติเหล่าขันทีควบคุมตัวคนโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าพระสนมซูดิ้นรนไม่หลุด จึงดิ
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น จึงขับไล่ดวงดาวและดวงจันทร์ที่หลงเหลืออยู่ให้เลือนหายไปแสงสีแดงอ่อนโผล่พ้นจาก้อนเมฆ ขับไล่หมอกที่อยู่อย่างเงียบเหงามาตลอดทั้งคืนออกไปฉินเหยี่ยนเย่ว์เปิดม่านมองออกไปภายใต้แสงยามเช้าที่สาดส่อง ตำหนักที่ตั้งอยู่เรียงรายเปล่งประกายแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วน ภายใต้แสงสีแดงจึงดูโอ่อ่าแ
ตงฟางหลีรู้สึกกังวลเล็กน้อยนี่แตกต่างจากที่เขาคิดเอาไว้เสด็จพ่อเรียกพบเหยี่ยนเย่ว์ตามลำพัง เหยี่ยนเย่ว์มีนิสัยแข็งกร้าว จะโชคดีหรือโชคร้ายก็ยากจะคาดเดาได้“ไม่ต้องกังวลเพคะ หม่อมฉันจะไปยอมรับผิดกับเสด็จพ่อก่อน” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ตบไหล่ของเขานางลดเสียงลง แล้วเอ่ยขึ้น “เสด็จพ่อเรียกพบหม่อมฉันตามลำพัง
“พูด!” ฮ่องเต้เห็นว่านางนิ่งงันไป ก็ตรัสตะคอกเสียงเข้ม“ลูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของราชวงศ์ ลูกไม่ควรลงมือกับท่านอ๋องสาม และยิ่งไม่ควรทำให้เขากลายเป็นขันที” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ไม่ทันได้คิดไตรตรอง รีบพูดออกมาทันที“เพล้ง” ฮ่องเต้ยกโถที่บรรจุน้ำตาลขึ้นมา ก่อนจะใช้แรงเท่ากันเขวี้ยงลงบนพื้นโถน้ำตาลทำขึ้นจากเคร
ครั้นได้ดื่มน้ำหวานที่นึกถึงมานาน อารมณ์ของพระองค์ก็แจ่มใสขึ้นมาหลังจากดื่มชานมไปหนึ่งแก้วใหญ่เต็ม ๆ พระองค์ถึงได้หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดที่มุมพระโอษฐ์ ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจเมื่อเงยหน้าขึ้น พลันเห็นฉินเหยี่ยนเย่ว์ที่คุกเข่าที่พื้นอย่างว่านอนสอนง่าย“เราพูดคำไหนคำนั้น และทำตามที่ได้ตกลงกัน
กลับมา” ขณะที่ฉินเหยี่ยนเย่ว์กำลังจะไปทำของหวานที่ห้องเครื่องนั้น ฮ่องเต้พลันตะโกนเรียกนางไว้“ทำที่นี่” ฮ่องเต้ชี้ไปที่ห้องหนึ่ง “เราให้คนจัดห้องว่างไว้ต่างหากแล้ว เรื่องนี้เรารู้เจ้ารู้ ห้ามไม่ให้คนนอกรู้เป็นอันขาด เจ้ารู้ใช่ไหม?”ฉินเหยี่ยนเย่ว์ถึงกับมุมปากกระตุกสองครั้งเป็นฮ่องเต้ก็ไม่ง่ายเหมือ
ฮ่องเต้จัดการกับฎีกาทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ดันไปไว้ข้าง ๆ“เรื่องของเจ้ากับเจ้าสาม องครักษ์จื่ออวี๋รายงานให้เราฟังทั้งหมดแล้ว” พระองค์พูดขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยฉินเหยี่ยนเย่ว์เห็นว่าในที่สุดพระองค์ก็พูดถึงประเด็นหลัก ก็รีบคุกเข่าลง “ลูกรู้ผิดเพคะ”“รู้ผิด?” ฮ่องเต้แค่นเสียงเย็นชา “เจ้ารู้ผิดอ
ฮ่องเต้เคาะนิ้วบนโต๊ะเบา ๆ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปฉินเหยี่ยนเย่ว์ตอนเจ้าสามได้ถูกช่วงจังหวะพอดี ทว่า ผลร้ายที่ตามมาก็มิอาจประมาทได้เลยท่ามกลางการต่อสู้ที่วุ่นวาย นางที่ลงมือจัดการโดยบังเอิญย่อมได้ถูกกำหนดให้เป็นแพะรับบาป“เสด็จพี่ตัดใจทำไม่ลงหรือ?” อ๋องอี๋หยางยกถ้วยชานมที่ว่างเปล่าขึ้นมาดม ก่อนจะวา
ความเป็นไปได้มากที่สุด คือพี่ใหญ่ใช้ประโยชน์จากทาสเป่ยลู่คนนั้น ทำเรื่องที่มิอาจเปิดเผยได้เหล่านั้นอยู่ที่นี่หากเป็นเหตุผลเช่นนี้ เบาะแสทุกอย่างล้วนราบรื่นแล้วตงฟางหลีเดินอ้อมห้องอีกหนึ่งรอบใช้มือสัมผัสและเคาะสิ่งของที่น่าสงสัยทั้งหมดเบา ๆ ไปหนึ่งรอบน่าเสียดาย ที่หาร่องรอยของห้องลับไม่เจอ“จางฉู
ตงฟางหลีพยุงตัวกับราวบันได ใบหน้าหล่อเหลานั้นซีดเผือดหากเป็นน้ำพุจริง ๆ ไม่เพียงแต่รสนิยมเลวร้าย มิหนำซ้ำยังส่งกลิ่นเหม็นจนทำให้คนเดือดดาลจางฉู่ส่ายหน้า “มิทราบได้พ่ะย่ะค่ะ แทนที่จะบอกว่าเป็นน้ำพุ มิสู้บอกว่า พวกมันดูเหมือนเสาค้ำยันศาลามากกว่า ที่แห่งนี้เป็นที่ที่เฉียนอ๋องสร้างขึ้นกับมือเพื่ออนุภร
ในแววตาเขาไร้คลื่นลม และน้ำเสียงก็ราบเรียบมากเช่นกันเฟยอิ่งลอบขมวดคิ้วแน่นเขารู้จักจางฉู่มาแต่ไหนแต่ไร จางฉู่มีนิสัยเย็นชา กระทำการสุขุมหนักแน่น ไตร่ตรองพิจารณารอบด้าน มิใช่คนที่มุทะลุบุ่มบ่ามพรรค์นั้นหากแต่พฤตกรรมครานี้ ผิดแปลกไปอย่างแท้จริงแปลกไปจนมิคล้ายกับเป็นจางฉู่ตัวจริงเฟยอิ่งยิ่งคิดก็ยิ
ตงฟางหลีเดิมทีก็มีโรครักความสะอาดอยู่แล้ว ทนรับกลิ่นแปลกประหลาดเช่นนี้ไม่ได้ที่สุดยามที่กลิ่นเหม็นเน่าสายนั้นถาโถมเข้ามา เขาถึงกับอดถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้ ภายในกระเพาะประหนึ่งพลิกแม่น้ำล้มมหาสมุทรก็มิปานเขารีบล้วงหาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก สะกดความรู้สึกขยะแขยงลงไปเฟยอิ่งเองก็ถูกความรู้สึกน่ารัง
“เหตุผลที่คุณหนูเซียวหย่ากับพี่ใหญ่ เป็นเพราะว่าพี่ใหญ่สังหารลูกของพวกเขาเองกับมือ” ตงฟางหลีพูดต่อไป “ที่นางมิสามารถตั้งครรภ์มาโดยตลอด ก็เป็นการขัดขวางของพี่ใหญ่เช่นกัน”“พี่ใหญ่คิดว่าการตายของทาสเป่ยลู่เกี่ยวข้องกับคุณหนูเซียว จึงเอาโทสะมาระบายใส่คุณหนูเซียว คุณหนูเซียวที่ลุ่มหลงในความรักอย่างลึกซึ
บนใบหน้าเย็นชาและแน่วแน่นั้น เผยให้เห็นถึงสีหน้าไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่งร่างกายสูงใหญ่ของเขาถอยหลังไปอย่างไร้ร่องรอย น้ำเสียงนั้นทั้งลำบากใจทั้งเจ็บปวด “หวั่นเอ๋อร์...ไม่สิ พระชายาเฉียนจากไปแล้ว และคงไม่มีวันกลับมาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เรือนบุปผาหาได้มีผู้ใดอยู่ไม่ เชิญท่านอ๋องเจ็ดกลับไปเถิด”ยามที่จางฉู
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด เวลาที่เหยี่ยนเย่ว์จะได้รับความทรมานก็จะยิ่งนานมากขึ้นเท่านั้นยามที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา หน้าผากตงฟางหลีถึงกับเต้นตุบ ๆ โดยไม่รู้ตัวไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกไปเองหรือไม่เขามักจะรู้สึกว่า แม้ว่ายัยหนูของเขาจะพลั้งเผลอถูกคนลักพาตัวไปทว่า มิใช่สตรีที่จะปล่อยให้ผู้อื่นเข่นฆ่าได้
ขณะเดียวกันภายในหอฉยงฮวาใบหน้าตงฟางหลีดำทะมึนนิ้วของเขาเคาะที่โต๊ะเบา ๆหลังจากคาดเดาได้ว่าเหยี่ยนเย่ว์อาจถูกเฉียนอ๋องลักพาตัวไปเขากลัวว่าหากเข้าไปหาตรง ๆ จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นกลัวว่าหลังจากพี่ใหญ่ที่มีนิสัยวิปริตเช่นนั้นถูกกระตุ้นเข้า จะทำอันตรายต่อเหยี่ยนเย่ว์ดังนั้น จึงมาที่หอฉยงฮวาก่อ
ท่ามกลางการนองเลือดพร่าเลือน เขาตกตะลึงและเผยสีหน้าเหลือเชื่อ “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”“ดูเหมือนข้าจะเดาถูก” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เย้ยหยันเดิมทีนางไม่แน่ใจนัก และอยากหลอกลวงเขาคิดไม่ถึงว่าการหลอกลวงจะประสบผลสำเร็จในครั้งเดียวการกระทำโหดเหี้ยมเกิดขึ้นที่ก้นทะเลสาบ ช่างเข้ากับนิสัยวิปริตนี้จริง ๆ“เจ้ารู้ได