ฉู่เชียนหลีตะลึงงันแล้วคำพูดเช่นนี้เขาก็สามารถพูดออกมาจากปาก…พวกเขาต่างก็เป็นคนมีครอบครัวและใกล้จะมีลูกแล้ว เขากลับพูดคำพูดเช่นนี้กับนาง เขาไม่รู้สึกผิดต่อมโนธรรมของตัวเอง? และรวมถึงเด็กที่อยู่ในท้องของฉู่เจียวเจียวหรือ?“บ้าไปแล้ว…เฟิงเจิ้งหลี ท่านบ้าไปแล้ว!”นางยิ่งออกแรงดิ้นรนแล้วอ้าปาก ก็กัดไปที่ข้อมือของเขา!เฟิงเจิ้งหลีเจ็บพลันจับไหล่ทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลี หมุนนางกลับมา จ้องดวงตาทั้งคู่ของนาง กล่าวเสียงสั่น“ตอนนี้ข้ากำลังพูดอะไร ในใจข้ารู้ดี นี่เป็นความในใจของข้า ข้าชอบเจ้า ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเจ้า ก็ชอบเจ้าแล้ว”“ปีที่แล้ว ข้าเก็บความรู้สึกไว้ในใจมาโดยตลอด แอบเฝ้าดูเจ้าเงียบๆ ไม่อยากรบกวนชีวิตประจำวันของเจ้า แต่หลังจากเฟิงเย่เสวียนบีบคั้นแม่ข้าตาย ข้าก็รู้แล้วว่าข้าคิดผิด!”“ผู้ชายที่จิตใจอำมหิตคนนั้น สามารถบีบคั้นแม้แต่ผู้หญิงคนหนึ่งจนตาย คนที่ต่ำช้าเช่นนี้!”“เขาไม่สามารถมอบความสุขที่แท้จริงให้เจ้า เจ้าอยู่กับเขา ไม่มีทางอยู่จนแก่เฒ่า!”เขาจับนางแน่น เขย่านางอย่างแรงยิ่งเขย่าแรงเพียงใด เสียงก็ยิ่งสั่นเท่านั้นอำมหิตไร้ยางอายต่ำช้ำจึงจะเป็นโฉมหน้าท
ความอดทนของเขามีขีดจำกัดต่อให้เขานิสัยดีแค่ไหน อ่อนโยนแค่ไหน ก็มีช่วงที่ฉุนเฉียวจนเสียการควบคุม“ทำไม?” ฉู่เชียนหลีมองเขาอย่างถากถาง “ข้าไม่ทำตามที่ท่านพูด ท่านก็จะทำร้ายข้าเหมือนที่ทำร้ายเฟิงเย่เสวียนหรือ?”เฟิงเจิ้งหลีเพิ่งโกรธ ก็เหมือนหวนคืนสติฉับพลัน มีสติทันทีไม่เหมือน!เขากับเฟิงเย่เสวียนมีความแค้น จึงต้องการชีวิตของเฟิงเย่เสวียนแต่ฉู่เชียนหลีเป็นคนที่เขารัก“ต่อให้ข้าทำร้ายคนทั้งโลก ก็จะไม่ทำร้ายเจ้าเด็ดขาด!”เขาเดินออกมา จับข้อมือข้างหนึ่งของนาง “อย่ากลับเมืองหลวงเลย ข้าหาสถานที่เงียบๆ ให้เจ้า อยู่ที่นั่นก่อนสองสามเดือน คลอดลูกออกมาก่อน ดีหรือไม่?”ฉู่เชียนหลีมองเขาอย่างตะลึงงัน“นี่ท่านจะกักบริเวณข้า?”ขังนางไว้ ควบคุมอิสระของนาง“ข้าทำเพราะหวังดีต่อเจ้า”เฟิงเจิ้งหลีกล่าว “อีกไม่นาน ทางเป่ยเจียงก็จะรายงานสงครามการตายของอ๋องเฉิน ข้าจะซ่อนเจ้าไว้ สร้างเรื่องว่าเจ้าเสียใจมากเกินไป จึงฆ่าตัวตายเพื่ออ๋องเฉิน”ให้ฉู่เชียนหลีแกล้งตาย“รอเจ้าคลอดลูกแล้ว ข้าจะมอบตัวตนใหม่ให้ และเปลี่ยนใบหน้าใหม่ให้เจ้า รับพวกเจ้าสองแม่ลูกกลับเมืองหลวง พวกเราอยู่ด้วยกันตลอดไป”ตอนที่
เฟิงเจิ้งหลียืนตัวแข็งที่อยู่กับที่ทันที จ้องมองอ๋องเฉินที่กำลังสาวเท้าออกมาอย่างช้า ๆ ด้วยความตกตะลึงมีเรื่องอะไรที่เหนือการควบคุมของเขาตอนแรก เขายังไม่เข้าใจทันทีที่ฉู่เชียนหลีเก็บสีหน้า ‘ตื่นตกใจ’ เมื่อครู่นี้กลับไป แบกท้องโย้ เดินไปที่ข้างกายของเฟิงเย่เสวียน ทั้งสองคนยืนเคียงข้างกัน“พวกเจ้า...”เฟิงเจิ้งหลีจ้องมองทั้งสองคนด้วยความงงงัน ราวกับว่าเข้าใจอะไรบางอย่างแล้วที่แท้ ฉู่เชียนหลีรู้เรื่องที่เฟิงเย่เสวียนไม่ได้ออกจากเมืองหลวงตั้งแต่แรกแล้ว จึงร่วมมือกับเฟิงเจิ้งหลี ขุดหลุมพราง แล้วให้เขากระโดดลงไปรู้ตัวอีกทีถึงได้เข้าใจเรื่องนี้“ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้า...”“ลูกอกตัญญู!”เพี้ยะ——เสียงตบหน้าดังก้อง สะบัดเข้าไปที่ใบหน้าของเฟิงเจิ้งหลี เขาโดนตบจนสมองมึนงงไปสองวินาที มีเลือดไหลออกมาจากบริเวณมุมปากทันทีไม่คิดเลยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือ...ฝ่าบาทแม้แต่ฝ่าบาทก็ทรงเสด็จมาด้วยเช่นกันเป็นเวลาสิบกว่าวินาทีที่เฟิงเจิ้งหลียืนกุมแก้มที่เจ็บจนชาเอาไว้ ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนตัวตรง หันหน้าไปมองฝ่าบาทที่ทรงกริ้ว อ๋องเฉินหยอกล้อ ฉู่เชียนหลีที่มีสีหน้าไร้อารมณ์เรื่องดำเนินมาถึงตร
“เป็นเพราะว่ามารดาผู้ให้กำเนิดของหม่อมฉันเป็นนางกำนัล หม่อมฉันถึงได้ถูกเยาะเย้ย”“แต่ว่าตอนนั้น เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าพระองค์เสวยน้ำจันทร์จนเมามาย บังคับมารดาของหม่อมฉันถวายตัว แต่พระองค์กลับสลัดความรับผิดชอบทั้งหมดทิ้ง กลายเป็นความผิดของมารดาหม่อมฉันทั้งหมด!”“ทรงเห็นแก่ตัว ชั่วช้า พระองค์ไม่คู่ควรที่จะเป็นบิดา!”เฟิงเจิ้งหลีกล่าวตำหนิเขาอย่างโกรธแค้นคำพูดเหล่านี้ ได้เก็บซ่อนอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของเขามายี่สิบกว่าปีน้ำเสียงที่โมโหดังก้องอยู่ในอากาศ เหมือนกับค้อนหนัก ที่ตอกลงไปในหัวใจของฝ่าบาทอย่างรุนแรง ทำให้การให้ใจของฮ่องเต้หนักหน่วงและหอบถี่เขายอมรับ ตอนนั้น เป็นเขาที่เมาสุราขืนใจนางโปรดปรานคนนั้น เฟิงเจิ้งหลีถึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาเขายอมรับ ว่าเป็นความผิดของเขาคำโบราณพูดเอาไว้ได้ดี คนเราหาใช่เทพเทวดา จะไม่เคยทำผิดพลาดได้อย่างไร?ใครบ้างไม่เคยทำผิด?แต่ ลูกชายคนหนึ่ง กำลังชี้หน้า ด่าข้าอย่างหยาบคาย นี่คือสิ่งที่เขาสั่งสอน?เขาเป็นฮ่องเต้ผู้สง่าผ่าเผย เป็นผู้ชายที่สูงศักดิ์ที่สุดแห่งแคว้นตงหลิง เคยได้รับความอัปยศอดสูแบบนี้เช่นนี้เมื่อใดกัน?ฝ่าบาทใบหน้าบึ้งตึง สีหน้าดูแย่จ
เป็นอมตะ...สายตาของฝ่าบาทจริงจังขึ้นมาทันที แสงในดวงตาล้ำลึกและซับซ้อนเรื่องนี้ เขาไม่เคยเอ่ยกับใครมาก่อน แม้จะเป็นการเก็บดอกไม้แห่งความตาย ก็ใช้ชื่อของฮองเฮา ประกาศกับภายนอกว่าฮองเฮาสุขภาพไม่แข็งแรง เฟิงเจิ้งหลีรู้ได้อย่างไรเฟิงเจิ้งหลีเข้าใกล้หู กระซิบ พูดอะไรบางอย่างอีกสองสามประโยคห่างออกไปไม่ไกลนักฉู่เชียนหลียืนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ไม่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน แม้แต่คำเดียวจ้องมองใบหน้ายิ้มแย้มที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์นั้นของอ๋องหลี ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางถึงมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง...ผ่านไปครู่หนึ่งเฟิงเจิ้งหลียืนตัวตรง จ้องมองฝ่าบาทด้วยใบหน้าอมยิ้ม จากนั้นก็ถอยออกไปสองก้าว เป็นฝ่ายพูดออกมาเอง“พาข้าไปที่จวนเฟิงเหรินเถอะ”องครักษ์สองคนก้าวมาข้างหน้า คุมตัวเขาออกไปก่อนหน้าออกไป เขามองฉู่เชียนหลีด้วยสายตาล้ำลึกแวบหนึ่งฝ่าบาทเม้มปากแน่น ยืนอยู่ที่เดิม มองสีหน้าบนใบหน้าไม่ออก สายตาที่อึมครึม ทำให้คนคาดเดาสิ่งที่กำลังคิดอยู่ไม่ออก“เสด็จพ่อ?”ฉู่เชียนหลีเรียกเป็นการลองหยั่งเชิงฝ่าบาทถึงได้สติกลับคืนมา“อ้อ ภรรยาเจ้าเจ็ด...เรื่องราวที่นี่จบลงแล้ว กลับไปเ
ไม่ใช่หรอกกระมัง?!พวกเขาไม่ได้ตาฝาด?คนที่ลงมาจากรถม้า เป็นท่านอ๋องจริง ๆ?ถงเฟยอ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึง จนคางเกือบจะถึงพื้น “ฉะ เฉินเอ๋อร์? เจ้าจริง ๆ หรือ?”“ท่านน้า?”หลิงเชียนอี้ก็ตกตะลึงเช่นกัน “ท่านออกศึกไม่ใช่หรือ? ท่านอยู่ที่เป่ยเจียงไม่ใช่หรือ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นเนี่ยให้ตายเถอะ! ต่อให้ท่านมีปีกบินได้ ก็ไม่มีทางบินกลับมาได้เร็วขนาดนี้หรอกกระมัง?”หัวสมองอันชาญฉลาดของอวิ๋นอิงคิดออกทันทีเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พระชายาเข้านอนไว กินข้าวอิ่ม ทุกคนคิดว่านางได้รับกระทบกระเทือนทางจิตใจ ถึงได้ทำตัวผิดปกติขนาดนี้ ที่แท้...“ท่านอ๋อง ที่แท้ท่านก็อยู่ที่เมืองหลวงมาตลอด!”นางเดาถูกต้องเฟิงเย่เสวียนโอบเอวเล็กของฉู่เชียนหลี ยกริมฝีปากบางขึ้น“อ๋องเจวี๋ยออกศึกแทนข้า”เขาอารักขาอยู่ที่เมืองหลวง ไม่ได้ออกไป รวมหัวกับฉู่เชียนหลี เพื่อหลอกล่อให้อ๋องหลีออกมา“ให้ตายเถอะ!”หลิงเชียนอี้รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ทุบกำปั้นลงไปบนหัวไหล่ของชายหนุ่ม กล่าวตำหนิ“คนแบบท่าน เลวจริง ๆ! ทำให้พวกเราเป็นกังวลว่าท่านน้าสะใภ้จะคิดถึงท่านมากจนเกินไป จนสุขภาพทรุดโทรม ปลอบโยนนางสารพัด ทำให้นางส
เสียงตำหนิในหมู่ชาวบ้านค่อนข้างดัง วันรุ่งขึ้น หลังจากประชุมสำนัก ฝ่าบาทได้เรียกตัวเฟิงเย่เสวียนไปที่ห้องทรงพระอักษรเป็นการส่วนตัว“เสด็จพ่อ ท่านเรียกหาข้า”เฟิงเย่เสวียนมาถึงแล้วฝ่าบาทพึ่งจะลงจากการประชุมสำนัก ถอดกวานอันหนักที่สวมอยู่บนหัวนั่นออก วางลงบนโต๊ะ “เจ้าน่าจะรู้ว่าที่เราเรียกหาเจ้า เพราะเรื่องอันใด”วันนี้ ในท้องพระโรง มีขุนนางจำนวนไม่น้อยที่หยิบยกเรื่องออกศึกมาเป็นหัวข้อ ในการวิจารณ์อ๋องเฉินเฟิงเย่เสวียนย่อมรู้ดีฝ่าบาทจับพู่บนกวานนั่น แล้วถอนหายใจยาวเหยียด“ประเทศชาติหนึ่ง ราษฎรเป็นสิ่งสำคัญ”ตั้งแต่สมัยโบราณ มีคำกล่าวที่ว่าราษฎรสำคัญกว่าจักรพรรดิ“ชาวบ้านถือเป็นเกณฑ์ในการพิสูจน์ว่าประเทศนั้นแข็งแกร่งหรือไม่ ชาวบ้านอยู่เย็นเป็นสุข ได้ใจของประชาชน ประเทศชาติก็จะแข็งแกร่ง ในทางกลับกัน ต่อให้ประเทศจะแข็งแกร่งมากขนาดไหน ไม่มีการสนับสนุนของประชาชน จะช้าหรือเร็วก็ต้องพังทลาย”เฟิงเย่เสวียนเข้าใจเหตุผลข้อนี้ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่พูดจา ฟังคำสั่งสอนฝ่าบาททรงตรัสอีกว่า“ในหมู่ราษฎร พวกชาวบ้านมีความเห็นด้านลบต่อเจ้าเป็นอย่างมาก ถ้าหากเจ้าไม่ไปออกศึกละก็ จะให้เราเอาหน้าไป
จวนอ๋องเฉินใกล้ถึงกำหนดคลอด คนในจวนก็ยุ่งกับการทำงาน ได้จัดเตรียมกลุ่มหมอตำแยที่มีประสบการณ์ยาวนานที่สุดเอาไว้เรียบร้อยตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว พร้อมรับคำสั่งทุกเมื่อถงเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้ ขาแช่อยู่ในตะกร้าใบใหญ่ กำลังคัดเลือกเสื้อผ้าตัวน้อยรูปแบบต่าง ๆ ที่อยู่ในตะกร้า มีทั้งของเด็กผู้ชาย แล้วก็มีทั้งของเด็กผู้หญิง จัดเตรียมได้อย่างครบครัน“เสียวฉู่ เจ้าชอบเด็กผู้ชายหรือว่าเด็กผู้หญิง?”“เราต้องเลือกคลอดในวันฤกษ์งามยามดีหรือไม่? ข้าจะไปตามหาหมอดูมาทำนายดีหรือไม่?”“ท้องของเจ้าใหญ่มาก...”นางถือเสื้อผ้าตัวน้อย ในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนฉู่เชียนหลีนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ไขว้ขาอย่างเกียจคร้าน มองดูคนใช้ที่เดินผ่านไปมาที่ด้านนอกเป็นครั้งคราว จ้องมองท่าทางที่กำลังยุ่งของพวกเขา ถอนหายใจเบา ๆ เป็นครั้งคราวแสงแดดสาดส่องเข้ามา ทำให้รู้สึกเกียจคร้าน และง่วงนอน“พระชายาจะต้องให้กำเนิดท่านอ๋องน้อยแน่นอน ดูจากท้องที่กลม ต้องเป็นลูกชายแน่นอน” เยว่เอ๋อร์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม“พระชายาควรจะขยับให้มาก ๆ ยิ่งเข้าใกล้วันคลอด ยิ่งต้องเดินให้มาก ได้ยินมาว่าแบบนี้จะทำให้คลอดง่าย” อวิ๋นอิงกล่าวทัน