ตอนกลางคืน อวิ๋นอิงกลับมาแล้ว ฉู่เชียนหลีเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาคอยนางเมื่อเห็นนางกลับมา จึงลุกขึ้นสีหน้าของอวิ๋นอิงกลับไม่ค่อยดีเท่าไร “พระชายา ข้า...”“เจ้าไม่ต้องพูดอะไรกับข้า” ฉู่เชียนหลีตัดบทนาง “ข้าเพียงแค่อยากจะบอกเจ้าสองข้อ ข้อแรก การตายของจางเฟยไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง”“ข้อสอง เจ้ากับท่านโหวน้อยชอบพอกันและกัน เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่? ถึงได้ทำให้เจ้าพูดจาแบบนั้นออกไป?”“ถ้าหากเจ้าไม่อยากบอกกับข้า ก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าจงจำเอาไว้ว่า ข้ายืนอยู่ข้างเจ้าเสมอ จะช่วยเหลือเจ้าตลอดไป เข้าสามารถเชื่อใจข้าได้โดยไม่ต้องมีความเคลือบแคลงใจใด ๆ ขอเพียงเจ้าต้องการ ข้าจะช่วยเหลือเจ้าอย่างสุดความสามารถแน่นอน”ที่ตรงนี้ ฉู่เชียนหลีพูดจาอย่างกระจ่างแจ้งเบ้าตาของอวิ๋นอิงแดงก่ำขึ้นมาอย่างอดไม่ได้“พระชายา...”เสียงสะอึกสะอื้นความซาบซึ้งพลุ่งพล่านขึ้นมาในหัวใจ ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้นางรู้ดีว่าพระชายาดีกับนางมาก ปฏิบัติเหมือนกับเป็นน้องสาวแท้ ๆ แต่ถ้าหากพระชายารู้เข้าว่าการตายของจางเฟยเกี่ยวข้องกับนาง ยังจะเข้าข้างนางอยู่หรือไม่?นางกล้าพูดไหม?นางไม
วันรุ่งขึ้น ตอนที่จิ่งอี้มาถึง อวิ๋นอิงกำลังนั่งอยู่บนขั้นบันได หลุบตาลง ท่าทางหดหู่เศร้าซึม กำลังคิดอะไรบางอย่างเหม่อลอยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ก็เงยหน้าขึ้นหันไปมองภายในชั่วพริบตา ก็ได้สติกลับมา กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ดวงตาเปล่งประกายไปด้วยความอยากหลบหนี ลุกขึ้นยืนกำลังจะหนีเงาดำสั่นไหว ก็มาถึงตรงหน้านางทันที ขวางทางไปของนางเอาไว้อยากจะหนี แต่กลับถูกจับเอาไว้“เห็นข้า ก็ร้อนตัวหรือ?” รอยยิ้มเย็นชาของชายหนุ่มที่ไม่มีความจริงใจ บรรยากาศบนตัวยิ่งหนาวอวิ๋นอิงตัวแข็งทื่อ “ไม่ใช่ฝีมือข้า...”“ในเมื่อไม่ใช่เจ้า เหตุใดจึงไม่กล้าบอกพระชายา?” เขาย้อนถามเสียงเย็นชา “เป็นเพราะกลัวว่าหลังจากที่พระชายารู้ความจริง จะขับไล่เจ้าออกไปจากจวนอ๋องเฉินงั้นหรือ?”“ข้า...”นางหายใจติดขัดทันทีนางไม่กล้าพูด เป็นเพราะทันทีที่พูดออกไป เรื่องที่ตนเสียตัวไปก็จะถูกเปิดเผยแล้ว นางไม่อยากทิ้งความทรงจำที่ไม่ดีเอาไว้ให้ท่านโหวน้อยอวิ๋นอิงกำมือทั้งสองข้างแน่น เม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรง ไม่กล้าพูดออกมาแม้แต่คำเดียวไม่ว่านางจะอธิบายอย่างไร เขาก็ไม่มีทางเชื่อ“เป็นใบ้หรือไง?”“ข้า...”ชายหนุ่ม
ภายในเวลาชั่วพริบตา หลังจากผ่านไปสองวัน ก็ถึงวันเชงเม้งวันนี้ อากาศอึมครึม ฝนตกปรอย ๆ เวลาหลายร้อยหลายพันปี ประเพณีดั้งเดิมได้รับการสืบทอดมา ช่วงเทศกาลเชงเม้งฝนตกโปรยปราย เซ่นไหว้บรรพบุรุษ รำลึกถึงคนที่จากไป ชาวบ้านทุกครัวเรือนต่างพากันเผากระดาษเงิน เตรียมของเซ่นไหว้ เพื่อรำลึกถึงญาติที่จากไปการเซ่นไหว้ของราชวงศ์อยู่ที่สุสานหลวงเทศกาลเชงเม้งปีนี้ เนื่องจากตำแหน่งรัชทายาทยังว่าง จึงมีอ๋องหลีเป็นผู้จัดเตรียมทหารกองเกียรติยศ ขั้นตอน การจัดเตรียมองครักษ์รักษาความปลอดภัย ถึงขนาดความน่าเกรงขามของราชวงศ์ จนกระทั่งคนทำความเครื่องเซ่นไหว้ ของทุกชิ้นอ๋องหลีล้วนเป็นคนจัดเตรียมด้วยตนเองฉู่เชียนหลีสวมชุดเรียบง่าย บนเสื้อผ้าปักด้วยรูปใบไผ่อันเรียบง่าย ถ้าหากไม่ดูอย่างละเอียด ก็ยากที่จะมองออก ในความงดงามและสุภาพยังแฝงไปด้วยบุคลิกอันงดงามโดยสารรถม้า จนกระทั่งมาถึงสุสานหลวงตอนที่มาถึง ขุนนางฝ่ายบุ๋นบู๊ต่างก็มาถึงแล้ว ฝ่าบาทก็มาถึงแล้วเช่นกัน พิธีเซ่นไหว้กำลังจะเริ่มขึ้นบริเวณห่างออกไปไม่ไกล ขุนนางสิบกว่าคนกำลังห้อมล้อมอ๋องหลี ประสบสอพลอไม่หยุด“ท่านอ๋องหลีได้จัดเตรียมพิธีเซ่นไหว้เป็น
พิธีเซ่นไหว้ของราชวงศ์ได้มีการจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ พิธีการก็ยาวนานถึงสามชั่วยามกว่า ผู้เข้าร่วมนอกจากสมาชิกทั้งหมดของราชวงศ์แล้ว ยังมีเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายด้วยในตอนต้น ทุกคนเข้าพิธีจากนั้นราชครูขึ้นไปประกอบพิธีกรรมบนแท่นบูชา เซ่นไหว้บรรพชน ภาวนาขอพรให้แคว้นตงหลิง โดยมีหลวงจีนและแม่ชีสองร้อยกว่ารูปนั่งขัดสมาธิรอบแท่นบูชา ท่องพระคัมภีร์ที่เก่าแก่และซับซ้อนผู้คนคุกเข่าและก้มหน้าไว้อาลัยอยู่บนพื้นเนื่องจากฉู่เชียนหลีตั้งครรภ์ คุกเข่าไม่สะดวก ทำได้เพียงยกเก้าอี้มานั่ง และก้มหน้าไว้อาลัยให้บรรพชนเช่นกันท้องฟ้ามืดครึ้ม สายฝนโปรยปราย บรรยากาศในพิธีเงียบสงบและยิ่งใหญ่สิ้นสุดการไว้อาลัย ก็เข้าสู่พิธีการต่อไปพิธีการดำเนินไปอย่างมีระเบียบมาถึงคราวที่ต้องถวายธูปเทียนแล้ว ทุกคนเข้าแถวเดินไปที่ตรงหน้าเครื่องสักการะบนแท่นบูชาทีละคน โดยมีฮ่องเต้เป็นผู้นำ จากนั้นก็อ๋องหลี แล้วตามมาด้วยอ๋องท่านอื่นๆหลังจากอ๋องเฟิง อ๋องเจวี๋ย อ๋องติ้ง อ๋องอันเสร็จแล้ว ก็ถึงคราวของสามีภรรยาอ๋องเฉินทั้งสองเดินเคียงไหล่ขึ้นบนแท่นบูชา นางกำนัลคนหนึ่งถือถาด เดินเข้ามาอย่างนอบน้อม จากนั้นผ้าขาวที่อยู่บน
ก่อนหน้านี้ เคยเกิดกรณีที่อ๋องเฟิงกลั่นแกล้งอ๋องเฉินสองครั้ง ด้วยเหตุนี้ฉู่เชียนหลีจึงระวังตัว สังเกตอ๋องเฟิงเป็นพิเศษ“ฝ่าบาท โอกาสที่สำคัญเช่นนี้ อ๋องเฉินกลับถือเทียนแดง ตกลงมาไว้อาลัยหรือมาฉลองกันแน่? เขาไม่เคารพบรรพชน ไม่เคารพเทพเทวดา ขาดคุณสมบัติของการเป็นองค์ชาย!”ขุนนางใหญ่ท่านหนึ่งกล่าวโทษด้วยความโกรธอีกคนกล่าวต่อ “แม้เขาเป็นองค์ชายที่มีความสามารถ แต่ต่อให้มีพรสวรรค์เหนือคน ก็ไม่สมควรดูหมิ่นผู้ตาย นี่เป็นปัญหาด้านการอบรมสั่งสอน”ให้คนเช่นนี้มาเป็นฮ่องเต้ในวันข้างหน้า ไม่แน่ว่าจะก่อเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะสีหน้าฮ่องเต้น่าเกลียดมากถ้าหากเป็นเรื่องทั่วไป เขาสามารถแสร้งไม่รู้ไม่เห็น แต่เรื่องสำคัญอย่างเชงเม้งเซ่นไหว้บรรพชน เทพเซียนตลอดหลายร้อยปีของแคว้นตงหลิงมารวมตัวกันที่นี่ เจ้าให้เขาปล่อยไปเรื่องนี้ไปได้อย่างไร?“เฟิงเย่เสวียน เจ้าบังอาจมาก!”“เสด็จพ่อใจเย็นๆ ก่อน” ฉู่เชียนหลีเดินออกมาหนึ่งก้าว พร้อมกับถือเทียนแดงเล่มนั้นไว้ และแบฝ่ามือของเฟิงเย่เสวียนออก “ผิวของเทียนเล่มนี้ถูกคนทาเถ้าขาวหนึ่งชั้น ดูแล้วเหมือนเทียนขาวปกติ แต่ทันทีที่หยิบขึ้นมา เถ้าขาวก็จะร
ชายหนุ่มคนนั้นกลัว ถูกสายตามากมายเช่นหนีจ้องมอง และยังอยู่ต่อหน้าสุสานหลวง คุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุม แม้แต่ริมฝีปากก็สั่นด้วย“ข้า…ข้าเดิน…เดินผ่าน…ข้าไม่รู้อะไรเลย…”พูดจาอ้ำอึ้ง แค่ดูก็รู้ว่ามีพิรุธเสียงที่เย็นชาของเฟิงเจิ้งหลีดังขึ้น“ในเมื่อไม่พูด เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้แล้ว!”“ใครก็ได้ เฉือนเนื้อเขาออกมาเป็นชิ้นๆ ยอมพูดเมื่อไร ก็ปล่อยเขาเมื่อนั้น!”เมื่อมีคำสั่งออกมา ทหารองครักษ์คนหนึ่งลวงมีดสั่นออกมาวางบนแขนของเขา จะลงมือทันทีพลันชายหนุ่มตกใจจนก้นหด เขาจะกล้าแบกรับความเจ็บปวดที่ทรมานยิ่งกว่าตายเช่นนี้เสียที่ไหน? อ้าปากก็กล่าว“ข้าพูด! ข้าพูด! อ๋องเฟิงเป็นคนสั่งให้ข้าไปทาเถ้าขาวบนเทียนแดง!”ซี้ด…ทั้งสุสานหลวง เต็มไปด้วยเสียงสูดลมเย็นเข้าปอดอ๋องเฟิง!ทุกคนหันไปมองทางอ๋องเฟิง อ๋องเฟิงสะดุ้งเหมือนนกที่ตกใจลูกธนู“พูดเหลวไหล!”ปฏิกิริยาของเขารุนแรงเป็นพิเศษ“ข้าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร!”ฉู่เชียนหลีคิดไม่ถึงว่าอ๋องหลีจะช่วยนาง…นางอดไม่ได้ที่จะมองอ๋องหลีแวบหนึ่ง พอดีกับอ๋องหลีมองมาเช่นกัน บนใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ ที่อ่อนโย
ตระกูลกู้!ทันใดนั้น คนคนหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องถูกลากเข้ามาพัวพัน ทุกคนต่างประหลาดใจ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องที่กิจการครอบครัวของตระกูลกู้ได้ตกไปอยู่ในมือพระชายาอ๋องเฉินสี่ส่วนคิดเพียงตระกูลกู้แพ้เดิมพัน รู้สึกเสียหน้ามาก ไม่สามารถระบายความคับข้องใจนี้ ด้วยเหตุนี้จึงเล่นสกปรก แก้แค้นอ๋องเฉินฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “นายท่านรองกู้?”“พ่ะย่ะค่ะ!”อ๋องเฟิงพยักหน้าแรงๆ “เสด็จพ่อ เขานี่แหละ! เมื่อสามวันก่อนเขามาหาหม่อมฉัน อยากร่วมมือกับหม่อมฉันใส่ร้ายอ๋องเฉิน แต่หม่อมฉันปฏิเสธ คิดไม่ถึงว่าเขายังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ!”เขาผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้นายท่านรองกู้ฮ่องเต้เป็นคนเข้าข้างคนของตัวเอง ในเมื่อมีแพะรับบาป ก็ย่อมต้องปกป้องชื่อเสียงของอ๋องเฟิง เวลาเดียวกันก็ปกป้องชื่อเสียงของราชวงศ์ด้วย“ใครก็ได้ เรียกนายท่านรองกู้มา!”เขาออกคำสั่งหลังจากประมาณสองเค่อ นายท่านรองกู้มาแล้วเขาเห็นชายหนุ่มคนนั้นถูกกระชากออกมาแล้ว บรรยากาศในที่เกิดเหตุค่อนข้างเคร่งขรึม ในใจพอรู้อะไรบ้างแล้ว เขาตั้งสติแล้วเดินเข้าไปคำนับฮ่องเต้หยิบเทียนแดงเล่มนั้นขึ้น โยนไปที่ตรงหน้านายท่านรองกู้ ตวาดอย่างเย็นชา “
นายท่านรองกู้ร้อนรนแล้ว “พระชายาอ๋องเฉิน อย่าพูดเหลวไหล!”เรื่องสำคัญอย่างเชงเม้งเซ่นไหว้บรรพชน หากเขารับผิดชอบคนเดียว ไม่สามารถแบกรับผลที่ตามมาอยากแก้แค้นอ๋องเฉินเพื่อระบายความคับข้องใจ ใครจะรู้ว่าเอาตัวเองเดิมพันเข้าไปด้วย“เรื่องนี้ข้าสมคบคิดกับอ๋องเฟิง!”เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่ปิดบังอีก พูดความจริงออกมาโดยตรง เพื่อลากอ๋องเฟิงเข้ามารับผิดด้วย“ท่านอย่าคิดลากอ๋องเฟิงเข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นฝีมือของท่านนั่นแหละ” ฉู่เชียนหลีเหลือบมองเขา “แผนการของท่านไม่สำเร็จ อยากลากอ๋องเฟิงมารับผิดด้วย หัวหน้าตระกูลกู้ ท่านบังอาจมาก!”นางลูบท้องไปพลาง ทุกคำพูดเย็นชาเฉียบขาดหัวหน้าตระกูลกู้ทำจางเฟยตาย นางไม่ล้มตระกูลกู้ ก็ไม่สามารถระบายความคับข้องใจนี้!ฮ่องเต้เอนเอียงไปทางฉู่เชียนหลีอยู่แล้วถ้าหากเกี่ยวข้องกับอ๋องเฟิง มีแต่จะทำให้ราชวงศ์เสียหน้า เมื่อผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้ตระกูลกู้ ไม่เพียงสามารถปกป้องอ๋องเฟิง และยังสามารถจบปัญหาเมื่อคิดเช่นนี้ เขาตวาดอย่างเย็นชา“หัวหน้าตระกูลกู้ พฤติกรรมเช่นนี้ของท่านยิ่งอยู่ยิ่งเหิมเกริม ไม่เห็นเราอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ!”“เห็นแก่มิตรภาพระหว่