คำพูดแปลก ๆ เพียงประโยคเดียว ทำให้ฉู่เชียนหลีตะลึงงันไป จากนั้นก็สังเกตว่าเขาเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปอยากจะอธิบาย แต่เฟิงเย่เสวียนก็เดินเข้ามาแล้ว“เหมือนกับเป็นการขยี้มดตัวหนึ่งให้ตาย เหตุใดจึงต้องทำให้เป็นเรื่องยุ่งยาก”ชายหนุ่มในชุดสีดำสาวเท้ายาวเดินเข้ามา โอบเอวของฉู่เชียนหลีเอาไว้ พานางถอยห่างออกไปสองก้าว ดวงตาดำขลับเหลือบมองเฟิงเจิ้งหลีน้ำเสียงได้ความอ่อนโยนถ้าหากเขาคิดจะค่าใคร แค่ลงมือทันทีก็จบ เหตุใดจึงต้องย้ายเขาไปที่สุสานหลวง แล้วก็ทำให้สุสานหลวงถล่ม ให้มันยุ่งยากขนาดนั้นตอนนี้เป็นเพราะเรื่องสุสานหลวงถล่ม ทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย ประชาชนเกิดข้อวิจารณ์ ความวุ่นวายที่ตามมามีไม่น้อย“เฮอะ...” เฟิงเจิ้งหลีแค่นเสียงหัวเราะถูกต้อง ในสายตาของเขา ชีวิตของเขาก็แค่มดตัวหนึ่งไม่ใช่หรือ?คิดจะทารุณก็ทำ อยากจะจัดการก็ทำ อยากจะทำอย่างไรก็ทำ เป็นเพราะเบื้องหลังของเขามีฝ่าบาทคอยหนุนหลัง แต่เขามีเพียงตัวคนเดียวตลอดยี่สิบห้าปีที่ผ่านมา ก็เป็นเช่นนี้มาตลอดเป็นเพราะไร้คนคอยปกป้อง เขาได้รับความอัปยศอดสูทุกรูปแบบเขาทนมามากพอแล้ว!เขายันโลงศพ ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก การคุกเข่าเป็นเวล
เป็นเพราะฉู่เชียนหลีใจอ่อน เขาถึงได้มาร่วมพิธีศพที่จวนอ๋องหลี ไม่อย่างนั้นละก็ เขาไม่มีทางเข้ามาเหยียบจวนอ๋องหลีแม้แต่ครึ่งก้าว!สิ่งที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ถ้าหากอ๋องหลียังยั่วยุแบบนี้ เขาไม่มีทางลงมืออย่างออมมือแน่บรรดาแขก บรรดาคนใช้เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พากันวิจารณ์เสียงเบา“เหตุใดจู่ ๆ อ๋องหลีถึงอยากฆ่าอ๋องเฉิน คงจะไม่ใช่เพราะการตายของนางเว่ยเกี่ยวข้องกับอ๋องเฉินหรอกกระมัง?”“อย่าเอ็ดไป ได้ข่าวว่านางเว่ยตายอยู่ด้านนอกจวนอ๋องเฉิน แบบนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับอ๋องเฉินได้อย่างไร?”“เหตุใดอ๋องเฉินถึงต้องทำร้ายนางเว่ย เหมือนว่าระหว่างพวกเขาไม่มีความแค้นอะไรนี่?”“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ แต่ว่าการตายของนางเว่ย จะต้องเกี่ยวข้องกับอ๋องเฉินแน่ อ๋องหลีถึงได้โมโหขนาดนี้...”“พูดแบบนี้ก็มีเหตุผล...”เสียงวิจารณ์เบา ๆ คำพูดเล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่างแพร่กระจายออกไปเฟิงเย่เสวียนหมดความอดทน โอบเอวของฉู่เชียนหลี กำลังจะเดินออกไป“อย่าไป...”เฟิงเจิ้งหลีลุกขึ้นด้วยร่างกายที่โงนเงน นิ้วที่ซีดขาวจับมีดสั้น เดินเข้าไปหาเขาอย่างโซเซ“คืน...ชีวิต...ท่านแม่ของข้ามา...”“อ๋องหลี
ในเมืองหลวง บรรดาชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์เรื่องระหว่างท่านอ๋องทั้งสอง ก่อให้เกิดความคาดเดาขึ้นมากมายวันนี้แต่เช้าตรู่ ฝ่าบาทได้ทรงเรียกทั้งสองคนเข้าวัง เพื่อว่ากล่าว“เรื่องอะไรกันแน่ถึงต้องทะเลาะกันแบบนี้ ต่อหน้าของทุกคนด้วย? จะเอาเกียรติของราชวงศ์ไปไว้ที่ไหน!”ตบโต๊ะ โมโหอ๋องเฉินกับอ๋องหลีทะเลาะกัน ทำให้บรรดาชาวบ้านหัวเราะเยาะ ราชวงศ์ที่ผ่าเผย กลับกลายเป็นหัวข้อสนทนาในวงน้ำชาของชาวบ้าน จะให้เขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?สุสานหลวงถล่ม องค์ชายยังตีกัน เรื่องยังเยอะไม่พอหรือไร?“แต่ละคน ก็อายุยี่สิบกว่าปีกันแล้ว ทะเลาะอะไรกัน! ไม่แบ่งเบาภาระเราก็ชั่งแล้ว ต้องทะเลาะกันจนกลายเป็นเช่นนี้ถึงจะพอใจใช่หรือไม่? เจ้าตายข้าอยู่? เราจะให้พวกจ้าสมปรารถนา!”ฝ่าบาทสะบัดแขนเสื้อด้วยความโมโห กวาดฎีกาที่อยู่บนโต๊ะ โยนมีดสั้นเล่มหนึ่งลงไปเคร้ง...มีดสั้นตกลงบนพื้นอย่างเย็นเยียบ บรรดาขันทีตกใจจนรีบคุกเข่าลงไปบนพื้น ก้มหน้างุด ไม่กล้าหายใจดังท่านอ๋องทั้งสองท่านอยู่เคียงบ่ากันอยู่ด้านหน้าโต๊ะทรงงาน หลุบตาลงเล็กน้อย ไม่ได้คิดที่จะเอ่ยปาก แล้วก็ไม่ได้ขยับเช่นกัน“เอาสิ ลงมือ!” ฝ่าบาทเดินไปที่ด้านหน้าของ
“เจ้า...”การอยู่กับภรรยาเป็นเรื่องสำคัญ แต่งานราชการไม่สำคัญหรือ? ยังพูดด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจอีก เขาไม่รู้ว่าก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ขนาดนั้นอย่างนั้นหรือ?เป็นเพราะเขาให้ท้ายเขาจนเคยตัวแล้ว!ผู้ชายคนหนึ่ง ที่มีอุดมคติและความทะเยอทะยานอันสูงส่ง จะวนเวียนอยู่กับผู้หญิงได้อย่างไร?ภายภาคหน้าขึ้นครองบัลลังก์ นางสนมนางกำนัลมากมาย ผู้หญิงมากถมไป เอาหัวใจไปทุ่มเทที่ผู้หญิงคนเดียว มีแต่จะทำให้กลายเป็นกษัตริย์ที่ละเลยหน้าที่ฝ่าบาทขมวดคิ้ว กล่าว “ในเมื่อเจ้าชอบอยู่กับภรรยา ถ้าเช่นนั้นก็อยู่เสียให้พอ เรื่องการจัดงานเซ่นไหว้บรรพบุรุษ มอบหมายให้เจ้าห้าไปทำ”เฟิงเย่เสวียนฟังจบ ใบหน้าไม่มีอารมณ์ใด ๆ เพียงแค่ประสานมือ ตอบ“เสด็จพ่อพอพระทัยก็พอพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ ก็เดินออกไปสีหน้าของฝ่าบาทเคร่งขรึมทันทีเป็นเพราะให้ท้ายมากเกินไป!เขาต้องทำให้เขารู้ว่า หญิงสาวกับประเทศชาติ สิ่งใดสำคัญกว่ากัน จะต้องทำให้เขาเกิดความรู้สึกกังวลและกดดัน เมินเฉยเขาสักระยะหนึ่ง เขาก็จะรู้จักการแสวงหาความก้าวหน้า“เสด็จพ่อ แค่ก...หม่อมฉันรู้ว่าตนเองคุณสมบัติและประสบการณ์ไม่มากพอ เกรงว่าจะทำได้ไม่ดี...แค่กแค่ก อ
ฉู่เชียนหลีกลับประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อวานนี้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนั้น จงเกลียดจงชังแบบนี้ คิดตกได้เร็วขนาดนี้เลยหรือ?“ทำให้เจ้าต้องเป็นกังวลใจแล้ว” เฟิงเจิ้งหลียันโต๊ะทำงาน ดวงตาที่ซีดเซียวหันมองไปทางฉู่เชียนหลี ยกผลการสืบสวนในมือขึ้น ยิ้มอย่างอ่อนโยน “อันที่จริง เพียงแค่คำพูดของเจ้า ข้าก็เชื่อแล้ว”ภายในชั่วพริบตา อุณหภูมิบนร่างกายของเฟิงเย่เสวียนก็ลดฮวบลงทันที สายตาเย็นเยียบกล้ายั่วยุเขาอย่างเปิดเผย ต่อหน้าต่อตาของเขา ไม่จำใส่สมองเอาบ้างเสียเลย!ฉู่เชียนหลีกล่าว “นี่ไม่ใช่ข้าพูด ผลการสืบสวนเรื่องจริงเป็นเช่นนี้ ท่านสามารถไปสืบเองได้ ตอนนั้น มีคนมากมายอยู่ที่สุสานหลวง มีคนพยานและหลักฐานมากมายไม่สามารถปลอมแปลงได้”เฟิงเจิ้งหลียิ้มบาง ๆ ส่ายหน้า “ไม่สืบแล้ว ข้าเชื่อเจ้า การวางตัวและศีลธรรมของเจ้าควรข้าให้ข้าเชื่อ”เขาคิดแบบนั้นจริง ๆ นั่นเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้วจริง ๆ แม้จะเสียใจกับการตายของฮูหยินเว่ย แต่เรื่องเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ทำได้แค่เพียงเดินหน้าต่อ“ได้ยินว่าเมื่อสองวันก่อนพระชายาของข้ามาเยี่ยมน้องสาวแล้ว ที่ข้ามาวันนี้ ก็เพื่อ
ตัวตนคืออะไร ก็ควรอยู่ที่ตรงนั้น หากพยายามรนหาที่ตายละก็ ผลลัพธ์มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นทั้งสองคนสบตากัน อากาศเย็นพุ่งเข้าใส่ ราวกับว่ากำลังจะเปิดสนามรบที่ไร้รูปร่างขึ้น เต็มไปด้วยกลิ่นอายของดินปืนที่มองไม่เห็นเฟิงเย่เสวียนไม่อนุญาตให้ชายใดเข้าใกล้ฉู่เชียนหลี โดยเฉพาะเฟิงเจิ้งหลี ถ้าหากเขามีจุดประสงค์ ไม่หยุดลองหยั่งเชิงขีดจำกัดของเขาละก็ เขาจะทำให้เขาได้รู้ถึง ผลที่ตามมาของการแตะต่อมโมโหเฟิงเจิ้งหลีไม่กลัวอะไรทั้งสิ้นนางเว่ยตายแล้ว คนที่เขาเป็นห่วงเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ก็ไม่มีแล้ว เขาไม่กลัวแม้กระทั่งความเป็นความตาย แล้วจะหวาดกลัวต่อคำข่มขู่ของอ๋องเฉินได้อย่างไร?ภายในหัวสมองของเขามีเพียงความคิดเดียว แก้นแค้น!เขากับเฟิงเย่เสวียนไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ ระหว่างพวกเขา ต้องมีคนใดคนหนึ่งตาย!“อาเฉิน...”ด้านนอกโถง ฉู่เชียนหลีกลับมาแล้วเฟิงเย่เสวียนกะพริบตา จากนั้นก็คลายมือออกจากคอเสื้อของอ๋องหลี ปัดรอยย่นบนเสื้อผ้าของเขา กล่าวเสียงเย็นชา“ในเมื่ออาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ก็รออยู่ในจวน อย่าวิ่งไปทั่ว ขนาดยืนทรงตัวยังทำไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะไปตายอยู่ตรงซอกหลืบไหนเมื่อใด”เฟิงเจิ้
“ข้า...”ทันทีที่ฉู่เจียวเจียวอ้าปาก ก็สำลักทันทีนางรู้ว่าการตายของนางเว่ยเป็นอุบัติเหตุ แต่เป็นเพราะไม่ชอบขี้หน้าฉู่เชียนหลี แล้วก็ไม่ชอบท่าทางที่อ๋องหลีเข้าข้างฉู่เชียนหลี ถึงได้กัดและใส่ร้ายป้ายสีฉู่เชียนหลีอันที่จริง เดิมทีนางเว่ยไม่ต้องตายเมื่อคืนวานนี้ นางอยากจะไปคิดบัญชีกับฉู่เชียนหลี แต่กลับทำให้ฉู่เชียนหลีท้องแข็ง ถ้าหากนางอยู่ที่เรือนละก็ นางเว่ยก็ไม่มีทางวิ่งออกไปแต่นี่ก็ไม่นับว่าเป็นความผิดของนางนี่นา!ถ้าหากไม่ใช่เพราะอ๋องเฉินไล่ท่านอ๋องไปที่สุสานหลวง นางต้องเป็นกังวลจนเสียสติไหม?“ท่านอ๋อง คืนวันนั้นข้าไปหาฉู่เชียนหลี ข้าอยากจะให้นางขอร้องอ๋องเฉิน ให้ท่านกลับมารักษาบาดแผล แต่ว่า...อ๋องเฉินพูดว่าข้าจุ้นจ้านมากเกินไป เลยคุมขังข้า ยังไม่ให้พบท่านแม่อีกด้วย”“คืนวันนั้น ท่านแม่อยู่ข้างนอก ข้าได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของท่านแม้ ข้าอยากจะวิ่งออกไปจนจะเป็นบ้า แต่พวกเขาไม่อนุญาตให้ข้าออกไป คืนนั้นฝนตกหนักมาก อ๋องเฉินกับฉู่เชียนหลีจิตใจอำมหิตเหลือเกิน พวกเขาไม่สนใจท่านแม่ มองดูนางตายท่ามกลางสายฝนยามค่ำคืน...”นางพูดจาเหลวไหล เบ้าตาแดงก่ำน้ำตาไหล น้ำเสียงสะอึกสะอื้น ท
ชั้นล่าง บรรดาผู้หญิงพากันแยกย้าย ที่ไปนอนพักก็ไปนอนพัก ที่แต่งหน้าก็แต่งหน้า ที่พูดคุยก็พูดคุย ขณะที่กำลังคุยกันเจี๊ยวจ๊าว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดัง ‘ปังๆๆ’ จากชั้นบนเหมือนกับมีของหนักอะไรบางอย่างกลิ้งตกลงมายิ่งอยู่ยิ่งเสียงดัง ยิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้ปัง…สุดท้ายกลิ้งลงมาถึงชั้นหนึ่ง ชนใส่เสาต้นหนึ่งจนเกิดเสียงดังสนั่น เมื่อพลิกคว่ำกลับมา เห็นเพียงผู้หญิงในชุดกระโปรงสีม่วง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ศีรษะแตกเลือดไหลทะลัก ดวงตาเบิกกว้างและกลม สิ้นใจไปแล้ว“พี่เยาเอ๋อร์…”“มีคนตาย!”“ว้ายๆ!”หลังจากนั้นสองชั่วยาม วังหลวง ห้องทรงพระอักษร บรรยากาศตึงเครียด“ต้องเป็นฝีมือของอ๋องเฉินแน่นอน เสด็จพ่อโปรดออกหน้าแทนลูกที่ยังไม่เกิดของหม่อมฉันด้วย เด็กเป็นผู้บริสุทธิ์น่ะ!”อ๋องเฟิงคุกเข่าอยู่บนพื้น เบ้าตาแดงก่ำ เสียงสะอึกสะอื้น อารมณ์แปรปรวนมากแต่งงานแปดปี อายุเกือบสามสิบ ในที่สุดก็มีลูกหนึ่งคนแล้ว แต่เมื่อครู่ได้รับข่าวนี้ ตกตึกตาย หนึ่งศพสองชีวิตพริบตานั้น ตกจากสวรรค์สู่นรกไม่ได้รู้สึกอะไรกับการตายของเยาเอ๋อร์มากนัก แต่ลูกที่น่าสงสาร เขาแค่อยากได้ลูกที่เป็นของตนเอง!อยู่ดีๆ เยาเอ๋อร์จ