ในเมืองหลวง บรรดาชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์เรื่องระหว่างท่านอ๋องทั้งสอง ก่อให้เกิดความคาดเดาขึ้นมากมายวันนี้แต่เช้าตรู่ ฝ่าบาทได้ทรงเรียกทั้งสองคนเข้าวัง เพื่อว่ากล่าว“เรื่องอะไรกันแน่ถึงต้องทะเลาะกันแบบนี้ ต่อหน้าของทุกคนด้วย? จะเอาเกียรติของราชวงศ์ไปไว้ที่ไหน!”ตบโต๊ะ โมโหอ๋องเฉินกับอ๋องหลีทะเลาะกัน ทำให้บรรดาชาวบ้านหัวเราะเยาะ ราชวงศ์ที่ผ่าเผย กลับกลายเป็นหัวข้อสนทนาในวงน้ำชาของชาวบ้าน จะให้เขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?สุสานหลวงถล่ม องค์ชายยังตีกัน เรื่องยังเยอะไม่พอหรือไร?“แต่ละคน ก็อายุยี่สิบกว่าปีกันแล้ว ทะเลาะอะไรกัน! ไม่แบ่งเบาภาระเราก็ชั่งแล้ว ต้องทะเลาะกันจนกลายเป็นเช่นนี้ถึงจะพอใจใช่หรือไม่? เจ้าตายข้าอยู่? เราจะให้พวกจ้าสมปรารถนา!”ฝ่าบาทสะบัดแขนเสื้อด้วยความโมโห กวาดฎีกาที่อยู่บนโต๊ะ โยนมีดสั้นเล่มหนึ่งลงไปเคร้ง...มีดสั้นตกลงบนพื้นอย่างเย็นเยียบ บรรดาขันทีตกใจจนรีบคุกเข่าลงไปบนพื้น ก้มหน้างุด ไม่กล้าหายใจดังท่านอ๋องทั้งสองท่านอยู่เคียงบ่ากันอยู่ด้านหน้าโต๊ะทรงงาน หลุบตาลงเล็กน้อย ไม่ได้คิดที่จะเอ่ยปาก แล้วก็ไม่ได้ขยับเช่นกัน“เอาสิ ลงมือ!” ฝ่าบาทเดินไปที่ด้านหน้าของ
“เจ้า...”การอยู่กับภรรยาเป็นเรื่องสำคัญ แต่งานราชการไม่สำคัญหรือ? ยังพูดด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจอีก เขาไม่รู้ว่าก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ขนาดนั้นอย่างนั้นหรือ?เป็นเพราะเขาให้ท้ายเขาจนเคยตัวแล้ว!ผู้ชายคนหนึ่ง ที่มีอุดมคติและความทะเยอทะยานอันสูงส่ง จะวนเวียนอยู่กับผู้หญิงได้อย่างไร?ภายภาคหน้าขึ้นครองบัลลังก์ นางสนมนางกำนัลมากมาย ผู้หญิงมากถมไป เอาหัวใจไปทุ่มเทที่ผู้หญิงคนเดียว มีแต่จะทำให้กลายเป็นกษัตริย์ที่ละเลยหน้าที่ฝ่าบาทขมวดคิ้ว กล่าว “ในเมื่อเจ้าชอบอยู่กับภรรยา ถ้าเช่นนั้นก็อยู่เสียให้พอ เรื่องการจัดงานเซ่นไหว้บรรพบุรุษ มอบหมายให้เจ้าห้าไปทำ”เฟิงเย่เสวียนฟังจบ ใบหน้าไม่มีอารมณ์ใด ๆ เพียงแค่ประสานมือ ตอบ“เสด็จพ่อพอพระทัยก็พอพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ ก็เดินออกไปสีหน้าของฝ่าบาทเคร่งขรึมทันทีเป็นเพราะให้ท้ายมากเกินไป!เขาต้องทำให้เขารู้ว่า หญิงสาวกับประเทศชาติ สิ่งใดสำคัญกว่ากัน จะต้องทำให้เขาเกิดความรู้สึกกังวลและกดดัน เมินเฉยเขาสักระยะหนึ่ง เขาก็จะรู้จักการแสวงหาความก้าวหน้า“เสด็จพ่อ แค่ก...หม่อมฉันรู้ว่าตนเองคุณสมบัติและประสบการณ์ไม่มากพอ เกรงว่าจะทำได้ไม่ดี...แค่กแค่ก อ
ฉู่เชียนหลีกลับประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อวานนี้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนั้น จงเกลียดจงชังแบบนี้ คิดตกได้เร็วขนาดนี้เลยหรือ?“ทำให้เจ้าต้องเป็นกังวลใจแล้ว” เฟิงเจิ้งหลียันโต๊ะทำงาน ดวงตาที่ซีดเซียวหันมองไปทางฉู่เชียนหลี ยกผลการสืบสวนในมือขึ้น ยิ้มอย่างอ่อนโยน “อันที่จริง เพียงแค่คำพูดของเจ้า ข้าก็เชื่อแล้ว”ภายในชั่วพริบตา อุณหภูมิบนร่างกายของเฟิงเย่เสวียนก็ลดฮวบลงทันที สายตาเย็นเยียบกล้ายั่วยุเขาอย่างเปิดเผย ต่อหน้าต่อตาของเขา ไม่จำใส่สมองเอาบ้างเสียเลย!ฉู่เชียนหลีกล่าว “นี่ไม่ใช่ข้าพูด ผลการสืบสวนเรื่องจริงเป็นเช่นนี้ ท่านสามารถไปสืบเองได้ ตอนนั้น มีคนมากมายอยู่ที่สุสานหลวง มีคนพยานและหลักฐานมากมายไม่สามารถปลอมแปลงได้”เฟิงเจิ้งหลียิ้มบาง ๆ ส่ายหน้า “ไม่สืบแล้ว ข้าเชื่อเจ้า การวางตัวและศีลธรรมของเจ้าควรข้าให้ข้าเชื่อ”เขาคิดแบบนั้นจริง ๆ นั่นเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้วจริง ๆ แม้จะเสียใจกับการตายของฮูหยินเว่ย แต่เรื่องเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ทำได้แค่เพียงเดินหน้าต่อ“ได้ยินว่าเมื่อสองวันก่อนพระชายาของข้ามาเยี่ยมน้องสาวแล้ว ที่ข้ามาวันนี้ ก็เพื่อ
ตัวตนคืออะไร ก็ควรอยู่ที่ตรงนั้น หากพยายามรนหาที่ตายละก็ ผลลัพธ์มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นทั้งสองคนสบตากัน อากาศเย็นพุ่งเข้าใส่ ราวกับว่ากำลังจะเปิดสนามรบที่ไร้รูปร่างขึ้น เต็มไปด้วยกลิ่นอายของดินปืนที่มองไม่เห็นเฟิงเย่เสวียนไม่อนุญาตให้ชายใดเข้าใกล้ฉู่เชียนหลี โดยเฉพาะเฟิงเจิ้งหลี ถ้าหากเขามีจุดประสงค์ ไม่หยุดลองหยั่งเชิงขีดจำกัดของเขาละก็ เขาจะทำให้เขาได้รู้ถึง ผลที่ตามมาของการแตะต่อมโมโหเฟิงเจิ้งหลีไม่กลัวอะไรทั้งสิ้นนางเว่ยตายแล้ว คนที่เขาเป็นห่วงเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ก็ไม่มีแล้ว เขาไม่กลัวแม้กระทั่งความเป็นความตาย แล้วจะหวาดกลัวต่อคำข่มขู่ของอ๋องเฉินได้อย่างไร?ภายในหัวสมองของเขามีเพียงความคิดเดียว แก้นแค้น!เขากับเฟิงเย่เสวียนไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ ระหว่างพวกเขา ต้องมีคนใดคนหนึ่งตาย!“อาเฉิน...”ด้านนอกโถง ฉู่เชียนหลีกลับมาแล้วเฟิงเย่เสวียนกะพริบตา จากนั้นก็คลายมือออกจากคอเสื้อของอ๋องหลี ปัดรอยย่นบนเสื้อผ้าของเขา กล่าวเสียงเย็นชา“ในเมื่ออาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ก็รออยู่ในจวน อย่าวิ่งไปทั่ว ขนาดยืนทรงตัวยังทำไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะไปตายอยู่ตรงซอกหลืบไหนเมื่อใด”เฟิงเจิ้
“ข้า...”ทันทีที่ฉู่เจียวเจียวอ้าปาก ก็สำลักทันทีนางรู้ว่าการตายของนางเว่ยเป็นอุบัติเหตุ แต่เป็นเพราะไม่ชอบขี้หน้าฉู่เชียนหลี แล้วก็ไม่ชอบท่าทางที่อ๋องหลีเข้าข้างฉู่เชียนหลี ถึงได้กัดและใส่ร้ายป้ายสีฉู่เชียนหลีอันที่จริง เดิมทีนางเว่ยไม่ต้องตายเมื่อคืนวานนี้ นางอยากจะไปคิดบัญชีกับฉู่เชียนหลี แต่กลับทำให้ฉู่เชียนหลีท้องแข็ง ถ้าหากนางอยู่ที่เรือนละก็ นางเว่ยก็ไม่มีทางวิ่งออกไปแต่นี่ก็ไม่นับว่าเป็นความผิดของนางนี่นา!ถ้าหากไม่ใช่เพราะอ๋องเฉินไล่ท่านอ๋องไปที่สุสานหลวง นางต้องเป็นกังวลจนเสียสติไหม?“ท่านอ๋อง คืนวันนั้นข้าไปหาฉู่เชียนหลี ข้าอยากจะให้นางขอร้องอ๋องเฉิน ให้ท่านกลับมารักษาบาดแผล แต่ว่า...อ๋องเฉินพูดว่าข้าจุ้นจ้านมากเกินไป เลยคุมขังข้า ยังไม่ให้พบท่านแม่อีกด้วย”“คืนวันนั้น ท่านแม่อยู่ข้างนอก ข้าได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของท่านแม้ ข้าอยากจะวิ่งออกไปจนจะเป็นบ้า แต่พวกเขาไม่อนุญาตให้ข้าออกไป คืนนั้นฝนตกหนักมาก อ๋องเฉินกับฉู่เชียนหลีจิตใจอำมหิตเหลือเกิน พวกเขาไม่สนใจท่านแม่ มองดูนางตายท่ามกลางสายฝนยามค่ำคืน...”นางพูดจาเหลวไหล เบ้าตาแดงก่ำน้ำตาไหล น้ำเสียงสะอึกสะอื้น ท
ชั้นล่าง บรรดาผู้หญิงพากันแยกย้าย ที่ไปนอนพักก็ไปนอนพัก ที่แต่งหน้าก็แต่งหน้า ที่พูดคุยก็พูดคุย ขณะที่กำลังคุยกันเจี๊ยวจ๊าว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดัง ‘ปังๆๆ’ จากชั้นบนเหมือนกับมีของหนักอะไรบางอย่างกลิ้งตกลงมายิ่งอยู่ยิ่งเสียงดัง ยิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้ปัง…สุดท้ายกลิ้งลงมาถึงชั้นหนึ่ง ชนใส่เสาต้นหนึ่งจนเกิดเสียงดังสนั่น เมื่อพลิกคว่ำกลับมา เห็นเพียงผู้หญิงในชุดกระโปรงสีม่วง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ศีรษะแตกเลือดไหลทะลัก ดวงตาเบิกกว้างและกลม สิ้นใจไปแล้ว“พี่เยาเอ๋อร์…”“มีคนตาย!”“ว้ายๆ!”หลังจากนั้นสองชั่วยาม วังหลวง ห้องทรงพระอักษร บรรยากาศตึงเครียด“ต้องเป็นฝีมือของอ๋องเฉินแน่นอน เสด็จพ่อโปรดออกหน้าแทนลูกที่ยังไม่เกิดของหม่อมฉันด้วย เด็กเป็นผู้บริสุทธิ์น่ะ!”อ๋องเฟิงคุกเข่าอยู่บนพื้น เบ้าตาแดงก่ำ เสียงสะอึกสะอื้น อารมณ์แปรปรวนมากแต่งงานแปดปี อายุเกือบสามสิบ ในที่สุดก็มีลูกหนึ่งคนแล้ว แต่เมื่อครู่ได้รับข่าวนี้ ตกตึกตาย หนึ่งศพสองชีวิตพริบตานั้น ตกจากสวรรค์สู่นรกไม่ได้รู้สึกอะไรกับการตายของเยาเอ๋อร์มากนัก แต่ลูกที่น่าสงสาร เขาแค่อยากได้ลูกที่เป็นของตนเอง!อยู่ดีๆ เยาเอ๋อร์จ
ทันทีที่เกิดเรื่องกับเยาเอ๋อร์ ทั้งหอจุ้ยเมิ่งถูกปิดกั้น คนที่อยู่ข้างในถูกควบคุมตัวทั้งหมด ตามคำบอกเล่าของพวกเขา ตอนนั้นแม่นางเยาเอ๋อร์พักผ่อนอยู่ชั้นบน และบนชั้นสามก็ไม่มีใครเลยมีความเป็นไปได้ที่นางอาจจะพลาดพลั้ง ไม่ระวังกลิ้งตกบันไดตายแต่เนื่องจากปัญหาระหว่างอ๋องเฟิงกับอ๋องเฉิน อ๋องเฟิงไม่ยอมละเว้นอ๋องเฉินง่ายๆ ฉู่เชียนหลีต้องการหาหลักฐานการตายธรรมชาติของเยาเอ๋อร์ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของอ๋องเฉินแต่เมื่อสายตานางมองไปที่ศีรษะของเยาเอ๋อร์ ก็ต้องตะลึงงันฉับพลันรอก่อนค่อยๆ วางมือลงบนผมของนาง พลันนิ้วมือดึงเบาๆ ก็ดึงผมที่หลุดร่วงขึ้นมาหนึ่งกระจุกผมกระจุกนี้มีประมาณยี่สิบถึงสามสิบเส้น ตรงโคนผมเปื้อนเลือดแววตาฉู่เชียนหลีขรึมลง “นางถูกคนผลักตกจากบันได”ผู้ว่าการศาลาว่าการซุนเทียนตะลึงงันครู่หนึ่ง “เหตุใดพระชายาอ๋องเฉินพูดเช่นนี้?”“ดูเส้นผมนี่” นางยกมือขึ้น “ทุกคนผมร่วงได้ แต่โดยทั่วไปผมจะร่วงแค่หนึ่งหรือสองสามเส้น แต่เส้นผมกระจุกนี้บนหัวของนาง ถูกคนดึงจนหลุด”นางสงสัย มีคนกระชากผมของเยาเอ๋อร์ ผลักนางตกบันได“นี่…”พลันผู้ว่าการศาลาว่าการซุนเทียนดู เหมือนเป็นเช่นนี้จร
ฉู่เชียนหลีเห็นเขา สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือใบหน้าที่ซีดเซียวและไร้เรี่ยวแรงของเขา อยากเข้าไปประคองเขา แต่มือเปื้อนเลือด“ท่านพักฟื้นอยู่ในจวนไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมาศาลาว่าการซุนเทียนแล้ว?”เฟิงเจิ้งหลีเดินเข้าไปอย่างเป็นห่วง “ข้าได้ยินข่าวนี้ จะอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร? ตรวจสอบถึงไหนแล้ว? ได้ผลสรุปแล้วหรือยัง? ได้ยินมาว่าอ๋องหลีกับอ๋องเฟิงทะเลาะกันในวัง ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”ทะเลาะมันแน่อยู่แล้ว ประการแรกความเศร้าโศกที่สูญเสียลูก ประการที่สองสามารถอาศัยข้ออ้างนี้เล่นงานอ๋องเฉินนางมีลางสังหรณ์ อ๋องเฟิงจะกัดอ๋องเฉินไม่ปล่อย ก่อนที่จะรู้ตัวคนร้ายตัวจริง เรื่องนี้ไม่มีทางสงบลงง่ายๆ แน่นอนนางรับผ้าเช็ดหน้าอุ่นที่ผู้ว่าการศาลาว่าการซุนเทียนส่งให้ เช็ดมือจนสะอาด“ข้าตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว พบเพียงเศษผ้าที่ขาดชิ้นนั้น”“ทำมาจากวัสดุอะไร?”“ไหม ท่านดูสิ”เฟิงเจิ้งหลีรับมา ผ้าไหมสีขาวถูกแรงดึงจนขาด เนื่องจากฉีกขาดจึงย่น ผ้าไหมแต่ละเส้นที่ขาดยังทิ้งรอยต่อไว้“คนทั่วไปไม่มีปัญญาสวมใส่วัสดุเช่นนี้” เขากล่าว“ใช่ ดังนั้นข้าได้ให้ศาลาว่าการซุนเทียนไปตรวจสอบร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปต
ทุกคนรออยู่ที่นอกประตูเมือง เฟิงเย่เสวียนขี่ม้าเข้าไปใกล้ สายตาจ้องฉู่เชียนหลีอย่างลึกซึ้งหลายวินาทีฉู่เชียนหลียิ้มระหว่างทั้งสองคน คำพูดมากมายไม่จำเป็นต้องพูด แค่สบตากัน ก็สามารถเข้าใจกันแล้วผ่านไปครู่หนึ่งเขาถอนสายตากลับ กระตุกม้าให้หยุดลง โน้มกายและเอื้อมมือไปรับลูก“ส่งเขาให้ข้า”เฟิงเจิ้งหลียิ้มได้อ่อนโยนมาก ก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าวอย่างเชื่อฟัง ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเล็กน้อย ส่งเด็กที่อยู่ในมือออกไป“น้องเจ็ด เดินทางปลอดภัย”เขาเน้นเสียงคำว่า ‘ปลอดภัย’ เป็นพิเศษ เหมือนมีความหมายที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่อ๋องเฉินยื่นมือออกมาแล้ว ขณะที่กำลังจะสัมผัสโดนเด็ก เฟิงเจิ้งหลีปล่อยมือกะทันหันทันใดนั้นเด็กสูญเสียแรงยึดเหนี่ยว ร่วงลงไปโดยตรง!“จื่อเยี่ย!”พลันเฟิงเย่เสวียนแน่นหน้าอก กระโดดลงจากม้าด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด ก็เห็นอ๋องหลีรับเด็กไว้แล้ว และก็เพราะพริบตาที่เขาเผลอนี้ จึงถูกธนูลับดอกหนึ่งยิงเข้าที่สะบักฉึก…“อาเฉิน!”“ท่านอ๋อง!”เหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน ไม่มีใครรับมือทันเวลาเฟิงเจิ้งหลีใช้มือซ้ายอุ้มเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ย มือขวาจับตัวฉู่เชียนหลี ถอยหลังเจ็ดแปดก้าว ขณะ
เฟิงเย่เสวียนเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว “ปล่อยฉู่เชียนหลีกับเด็ก ข้าอยู่เอง เจ้าจับฉู่เชียนหลีไม่มีประโยชน์ มีเพียงจับข้าเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถนั่งราชบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง”เฟิงเจิ้งหลีเย้ยหยัน“อย่ามาต่อรองกับข้า ข้ายอมถอยให้แล้ว ถ้าหากยังได้คืบจะเอาศอก ข้าไม่ถือสาที่จะพินาศไปพร้อมกัน”ฉู่เชียนหลีรีบถอยกลับมาจับข้อมือเฟิงเย่เสวียน กล่าวเสียงเบา “เจ้าพาจื่อเยี่ยไป!”“เชียนหลี…”“คนที่เขาต้องการคือข้า มีเพียงเจ้าไปและมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น จึงจะมีโอกาสพลิกสถานการณ์ จื่อเยี่ยไปแล้ว ข้าจึงจะวางใจ ถึงเวลานั้น เขาก็ไม่มีข้อได้เปรียบอีก และไม่จำเป็นต้องกลัวเขาอีกแล้ว” ฉู่เชียนหลีวิเคราะห์เบาๆ อย่างฉับไวเฟิงเจิ้งหลีไม่มีทางฆ่านางใช้นางคนเดียว แลกกับความปลอดภัยของจื่อเยี่ย แลกกับความปลอดภัยของทุกคน อย่างไรก็ดีกว่าสู้กันตายไปข้างหนึ่ง เลือดนองเหมือนแม่น้ำไม่ใช่ว่านางจะถูกขังอยู่ในเมืองหลวงตลอดไปตราบใดที่ยังมีชีวิต ก็มีโอกาสเฟิงเย่เสวียนรู้ผลได้ผลเสียในนี้ เด็กคนนี้อย่างไรก็ต้องช่วย แต่เขาจะทิ้งฉู่เชียนหลีไว้คนเดียวได้อย่างไร“เชียนหลี ข้ามันไร้ประโยชน์”“ข้าไม่อนุญาตให้เจ
เมื่อพรรคของอ๋องหลีได้ยินเช่นนี้ ก็กลัวทันทีดูท่าทีของพระชายาอ๋องเฉิน นี่กำลังจะเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ในวังชัดๆ!ฆ่าคนติดต่อกันสองคน ไม่กระพริบตาแม้แต่ทีเดียวเลือดกระเซ็นโดนใบหน้า ก็เย็นเฉียบท่าทางที่ชั่วร้ายเหมือนปีศาจนั่น ทำให้ขุนนางหลายคนเกิดความกลัว ลองถามคนทั่วหล้า จะมีสักกี่คนที่ไม่กลัว? อยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวพวกเขาไม่อยากตายขุนนางคนหนึ่งกลัวจนพูดติดอ่าง“อ๋อง อ๋องหลี…อย่างไรเด็กที่อยู่ในมือท่านก็เป็นพระนัดดาองค์โต เป็นสายเลือดของราชวงศ์ ถ้าหากฆ่าเขา ในวันข้างหน้า มลทินของท่านจะถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ เกรงว่าจะถูกคนรุ่นหลังด่าทอต่อๆ กันเป็นหมื่นปี”ขุนนางอีกคนก็กล่าวเสียงสั่น“อ๋องเฉินโปรดพิจารณา…”ถ้าหากสู้กันจริงๆ พวกเขาสู้ไม่ไหวอ๋องเฉินมีฮ่องเต้หนุนหลัง มีกองทัพ มีกำลังทหาร อ๋องเฉินเป็นฝ่ายได้เปรียบทุกด้านในมืออ๋องหลี นอกจากพระนัดดาองค์โต ก็ไม่มีเบี้ยอย่างอื่นแล้ว อีกทั้ง ทหารรักษาพระองค์ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ทหารองครักษ์เงาของอ๋องเฉินเมื่อไรที่สู้กัน พวกเขาจะตายกันหมดไม่จำเป็นต้องตายไปครั้งหนึ่ง บางครั้ง เมื่อเห็นว่าพอแล้วก
เฟิงเย่เสวียนแค่ขมวดคิ้วทีหนึ่ง ก็ข่มความเจ็บปวดนี้ลงไปผู้บัญชาการจางฟาดอย่างดุร้ายลองคิดดูเขาที่เป็นขุนนางคนหนึ่ง สามารถใช้แส้ฟาดองค์ชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด นี่เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเพียงใด พูดคำนี้ออกไป เขาสามารถอวดสามสิบปียิ่งฟาดยิ่งรู้สึกสนุก ยิ่งฟาดยิ่งแรงเพี๊ยะ!เพี๊ยะๆๆ!ทุกคนร้อนใจจนกระทืบเท้า แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไป อ๋องหลีบ้าไปแล้ว เขาไม่ใช่อ๋องหลีที่เข้าถึงได้ง่ายอีกแล้ว!ฉู่เชียนหลีเพิ่งคิดจะกระโจนเข้าไป ก็ถูกอ๋องหลีสั่งให้คนคุมตัวไปยืนอยู่ข้างๆ บังคับให้นางมองดูต่อหน้าต่อตา“ฉู่เชียนหลี ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าจะต้องเสียใจ คนไร้ประโยชน์อย่างเฟิงเย่เสวียน แม้แต่ลูกชายก็ปกป้องไม่ได้ มีประโยชน์อะไร”แววตาเฟิงเจิ้งหลีเปล่งแสงที่บ้าคลั่ง“เขาเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ ฝ่าบาทจะให้ความสำคัญกับคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้อย่างไร? ฉู่เชียนหลี เจ้าว่าเจ้าตาบอดใช่หรือไม่? เจ้าดูสภาพที่สะบักสะบอมของเขาตอนนี้ เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง เจ้าก็ยังชอบเขา เช่นนั้นเจ้าก็เป็นสุนัขตัวเมียที่แพศยา”เขายิ้มอย่างชั่วร้าย สิ่งที่พูดออกมายิ่งไม่น่าฟังทุกคนตาแดง อยากพุ่งเข้าไปสับอ๋องหลีเป็นชิ้นๆ เสีย
ผู้ชายที่ร่างกายสูงใหญ่งอหัวเข่า คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอ๋องหลีอย่างตั้งตรง แม้อยู่ต่ำกว่า แต่ความสูงศักดิ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก ไม่ลดน้อยลงเลยสักนิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากคุกเข่าให้ฮ่องเต้และบรรพชน พวกเขาไม่เคยเห็นอ๋องเฉินคุกเข่าให้ใครเฟิงเจิ้งหลีเห็นดังนี้ แหงนหน้าหัวเราะ“ฮ่าๆๆ!”คิดไม่ถึงจริงๆ เขาจะมีวันนี้ด้วยลูกชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด แพ้ให้กับลูกชายที่ไม่โปรดปรานที่สุด ไม่สะดุดตาที่สุด และยังถูกทุกคนรังแก ความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่าเช่นนี้ ทำให้ในใจเขาสาแก่ใจจริงๆ“ฮ่าๆๆๆ เฟิงเย่เสวียน เจ้าก็มีวันนี้ด้วย!”หัวเราะเสร็จ เขารู้สึกว่าความเย่อหยิ่งของอ๋องเฉินมันขัดตาทั้งๆ ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนต้องคุกเข่า เหตุใดยังอวดดีหยิ่งผยองเช่นนี้?เขาออกคำสั่ง “ก้มหัวเจ้าลงไป”เฟิงเย่เสวียนเม้มปาก ก้มศีรษะลงเขาออกคำสั่งอีกครั้ง “โขกศีรษะ!”“อ๋องหลี ท่านอย่ารังแกให้มันมากนัก! ท่านกับท่านอ๋องของเราเป็นคนรุ่นเดียวกัน ท่านรับการโขกหัวจากเขาไม่ได้! ไม่กลัวบรรพชนรู้แล้ว อายุสั้นหรือ!” พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความโกรธเพิ่งกล่าวจบ ก็ถูกผู้บัญชาการจางถีบจนล้มลงพื้นหลังจากล้มลง ก
“ปล่อยคนของเจ้าแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว คืนลูกให้ข้า” ฉู่เชียนหลีจ้องเขาเฟิงเจิ้งหลีเหลือบมองเด็กน้อยในอ้อมแขน ท่าทางที่ร้องไห้จนหน้าแดง เห็นแล้วปวดใจนักคิดว่าแค่นี้ก็จบแล้วหรือ?เขายิ้ม“ฉู่เชียนหลี เหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์นะ?”“?”“……”“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า? เด็กอยู่ในมือข้า เป็นหรือตายขึ้นอยู่กับข้า ถึงคราวที่เจ้าต้องมาสอนข้าทำงานตั้งแต่เมื่อไร?”สีหน้าฉู่เชียนหลีเคร่งขรึมทันทีเห็นได้ชัด เขาได้คืบจะเอาศอก“เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”“ข้าหรือ” เขาเงยหน้าด้วยรอยยิ้ม กวาดมองทุกคน และตำหนักอันหรูหราหลังนี้ วังหลวงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ แผ่นดินที่ดีเช่นนี้เขาต้องการอะไร ยังต้องให้พูดอีกหรือ?แต่ว่า มองดูท่าทางที่ร้อนใจของฉู่เชียนหลี เขาเกิดอยากสนุก ต้องการระบายความคับข้องใจที่ได้รับในสองวันนี้ออกมาให้หมดลูบแก้มของเด็กน้อยพลางกล่าว“อยากได้ลูกคืน ไม่มีปัญหา มันก็ต้องดูว่าอ๋องเฉินมีความจริงใจหรือไม่”เงียบไปครู่หนึ่ง“อืม หรือไม่อ๋องเฉินคุกเข่า โขกหัวให้ข้าสามครั้ง ข้าก็คืนลูกให้เจ้า เป็นอย่างไร?”ฉู่เชียนหลีโมโหแล้วด้วยนิสัยที่ยอมหนึ่งก้าว จะเอาสิบก้าวข
“เจ้า!”ฉู่เชียนหลีถูกความเฉยเมยของนางยั่วจนโมโหแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่าใต้ฟ้าจะมีแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้มันก็จริงฉู่เจียวเจียวกับเฟิงเจิ้งหลี ถ้าไม่เหมือนกันก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาสองสามีภรรยาทำไม่ลงรอหลังจากลู่ฉินเติบโต รู้ว่าตัวเองมีแม่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเพียงใด!“ฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียน พวกเจ้าเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รีบปล่อยตัวอ๋องหลี ความอดทนข้ามีขีดจำกัด!” ฉู่เจียวเจียวกล่าวอย่างเย็นชา“จะเอาชีวิตของลูกชาย หรือจะปล่อยคน พวกเจ้าเลือกเอง”อย่างไรนางก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ดิ้นรน ตายสถานเดียวดิ้นรน เดิมพัน ยังมีโอกาสสายตาเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมมาก หางตาเหลือบมองหานเฟิง หานเฟิงเข้าใจทันที เขาซ่อนมือไว้ที่หลัง และทำท่าสัญญาณมือไปที่ด้านหลังมือธนูเตรียมพร้อมจู่ๆ ฉู่เจียวเจียวก็กล่าวเสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสามารถลองดูได้ ดูสิว่าการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าไว หรือมีดที่อยู่ในมือข้าเร็ว”“ต่อให้ข้าตาย การฆ่าเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยก็ใช้เวลาแค่พริบตาเดียว”ฉู่เชียนหลีสั่งให้มือธนูหยุดทันที “ปล่อยคน!”อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามผู้หญิงคนนี้มันเป็นผู
พลันฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอก“หยุดนะ…”“อย่าเข้ามา!”ฉู่เจียวเจียวถอยหลังสามก้าว มือซ้ายจับเด็ก มือขวาถือมีดสั้น มีดสั้นที่แวววาวจ่ออยู่บนผิวอันบอบบางของเด็ก กรีดจนรอยเลือดออกแล้วเลือดไหลออกมาแล้ว“จู่ๆ เจ้าก็มาเป็นห่วงข้า และยังพยายามอยากอุ้มลูกทุกวิถีทาง ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้มีเจตนาดี”นางยิ้มอย่างเย็นชา“เหอะ! ดูเหมือนฮ่องเต้ที่แกไม่ตายสักทีนั่นเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเจ้าสินะ!”ไอ้แก่ เป็นอัมพาตเฉียบพลันยังไม่ยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมอีกต่อให้รู้ความจริงแล้วอย่างไร?ชีวิตของเด็กคนนี้อยู่ในมือนาง“ฉู่เชียนหลีนะฉู่เชียนหลี เจ้าคิดอย่างไรก็คงคิดไม่ถึงกระมังว่า เจ้าเลี้ยงลูกสาวข้า ข้าเลี้ยงลูกชายเจ้า และก็ต้องขอบคุณลูกชายคนดีคนนี้ของเจ้า กลายเป็นตัวช่วยที่สำคัญของอ๋องหลี” นางเผยอมุมปาก รอยยิ้มนั้นน่ากลัวมากฉู่เชียนหลียืนตัวแข็งอยู่ตรงที่เดิม ไม่กล้าขยับ“เจ้าต้องการอะไร?”ฉู่เชียนหลีจ้องมีดสั้นในมือนาง กลัวว่านางจะพลั้งเผลอกรีดโดนคอของเด็กตั้งครรภ์สิบเดือนลูกชายเป็นก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งที่ตกลงมาจากร่างกายนางนางไม่กล้าเดิมพัน และเดิมพันไม่ไหวฉู่เจียวเจียวกล่าว “ข้าต้องก
กลางดึกกำลังถึงช่วงที่คนเงียบสงบ คนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปที่ตำหนักเจาหยางราวกับคลื่นยักษ์ ตอนที่ใกล้จะถึง ฉู่เชียนหลีตวาดสั่งให้พวกเขาหยุด“พวกเจ้าอยู่ห่างๆ อยากเข้าใกล้!”พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “พระชายา พวกเราต้องไปเอาพระนัดดาองค์โตกลับมา นั่นเป็นเลือดเนื้อของท่านกับท่านอ๋องนะ”“ข้ารู้!”ก็เพราะรู้ จึงไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้“ไปทำอะไรคนเยอะแยะ ถ้าหากบีบจนฉู่เจียวเจียวไม่มีทางเลือก นางทำอะไรขึ้นมา…”ฉู่เชียนหลีแทบจะเป็นบ้าแล้ว ร้อนรนเหมือนมดที่อยู่บนกระทะร้อน ทั้งร้อนใจทั้งไม่สบายใจ น้ำเสียงก็ค่อนข้างฉุนเฉียวไม่อยากพูดมาก วิ่งเข้าไปในตำหนักเจาหยางเพียงลำพัง คนอื่นรออยู่ที่ข้างนอก ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามภายในตำหนักฉู่เจียวเจียวกำลังกล่อมจื่อเยี่ย ฉู่เจียวเจียวมาแล้ว นางมองเด็กน้อยที่อ้วนสมบูรณ์ กล่าวโดยไม่เงยหน้า“พระชายาอ๋องเฉิน ลูกของข้าเพิ่งนอนหลับ ”โปรดให้อภัย ข้าอุ้มเขาไว้ ร่างกายหนัก ไม่สะดวกลุกขึ้นยืน สายตาฉู่เชียนหลีมองไปที่ตัวเด็กเด็กน้อยอ้วนสมบูรณ์ ใบหน้าจ้ำม่ำ คิ้วละเอียดอ่อน หน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู คล้ายเฟิงเจิ้งเว่ยซีแปดส่วนเหตุใดเมื่อก่อนนางไม่สังเกต