จวนอ๋องหลีเฟิงเจิ้งหลีนั่งพิงเตียงนอน ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่ง ใช้มือข้างซ้ายกดหน้ากระดาษเอาไว้เบา ๆ พลิกหน้าถัดไปเป็นครั้งคราว มือข้างขวาวางไว้อีกข้างอย่างสบาย ๆ ถูกพันด้วยผ้าพันแผลหนา ๆ นิ้วขาวซีดไม่มีสีเลือดเลยแม้แต่น้อยหมดสติ เลือดไหลเวียนไม่คล่อง ไม่ต่างอะไรกับกึ่งพิการฉู่เจียวเจียวประคองถ้วยยา หลายมาวันนี้ร้องไห้ไม่หยุด ร้องไห้จนดวงตาบวมแดง เต็มไปด้วยเส้นเลือด สภาพราวกับแก่ขึ้นสิบปี ซีดเซียวเป็นอย่างมากฮูหยินเว่ยมองดูอยู่ในสายตา เจ็บปวดในใจ คอยเตือนให้นางไปพักผ่อนตลอด แต่นางไม่ยอมไปฮูหยินเว่ยจนปัญญาจึงพูดเกลี้ยกล่อมชายหนุ่มที่อยู่บนเตียง“หลีเอ๋อร์ เจ้าดูเจียวเจียว เพื่อเจ้าแล้วอดหลับอดนอนจนสภาพเป็นเช่นนี้ นางกำลังตั้งท้องลูกของเจ้าอยู่ด้วยนะ...คนที่เจ้าไม่ควรทำให้ผิดหวังที่สุดในชีวิตนี้ ก็คือเจียวเจียว!”นิ้วมือที่กำลังพลิกหน้าหนังสือของชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น ก็พลิกหน้าใหม่ ราวกับว่าไม่ได้ยินอะไร จงใจไม่ตอบกลับ“หลี...”“ท่านอ๋อง อ๋องเฉินกับพระชายาอ๋องเฉินมาเยี่ยมท่าน” เวลานี้ คนใช้เข้ามารายงานดวงตาของชายหนุ่มเปล่งประกายทันที ในที่สุดบนใ
เขายังคงหลุบตาลงเช่นเดิม “ข้าไม่ได้ทำอะไรที่ไม่สมควรทำ”เขาเพียงแค่เห็นฉู่เชียนหลีเป็นเพียงแค่เพื่อนเท่านั้น ระบายอารมณ์ เขาไม่ได้มีเจตนาที่จะล่วงเกินนางเลยสักนิด เขาไม่ละลายใจต่อคุณธรรมของตนเอง“หลีเอ๋อร์ เจ้าอย่าปิดบังแม่ เจ้าดูสิเจ้าได้รับบาดเจ็บมาสามวันแล้ว ก็มีเพียงอ๋องเฉินกับพระชายาอ๋องเฉินมาเยี่ยมเจ้า...” ในระหว่างที่พูด ฮูหยินเว่ยก็ดวงตาแดงก่ำ สะอึกสะอื้นเป็นเพราะอ๋องหลีไม่ได้รับความโปรดปราน ประกอบกับครั้งนี้เขาได้รับบาดเจ็บ ล่วงเกินคนอื่น ขุนนางที่ยืนอยู่ห่าง ๆ พวกนั้น ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้ องค์ชายองค์อื่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจวนอ๋องหลีที่ถูกทอดทิ้ง แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังไม่เคยมา มีเพียงภรรยาอ๋องเฉินที่มาเท่านั้น“เจ้าต้องเชื่อฟังแม่ ทำจิตใจให้สงบ พระชายาอ๋องเฉินจะต้องช่วยรักษาเจ้าจนหายดีแน่ แล้วก็อ๋องเฉินด้วย เขาดีต่อเจ้าถึงเพียงนี้ ยังส่งยาชั้นยอดมาให้อีกด้วย หลังจากที่เจ้าหายดีแล้ว จะต้องไม่ลืมบุญคุณของอ๋องเฉินอย่างเด็ดขาด”เมื่อเฟิงเจิ้งหลีได้ยินคำพูดประโยคนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที สีหน้าดูแย่ราวกับกินแมลงวันเข้าไป มือซ้ายที่ถือหนังสือกำแน่นขึ้นไม่น้อยแต
ฉู่เชียนหลีตั้งใจตรวจดูมือของอ๋องหลี แน่นอนว่าไม่ได้เห็นสีหน้าของเฟิงเย่เสวียนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ในเวลานี้ แล้วก็ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเขา หลังจากพินิจพิเคราะห์บาดแผลอยู่ครู่หนึ่ง ก็เริ่มจัดกระดูกเฟิงเย่เสวียนมือกอดอก ยืนอยู่ด้านหลัง กระแอมออกมาเป็นบางครั้ง“วันนี้อากาศไม่เลว อีกเดี๋ยวไปเที่ยวทะเลสาบกันดีหรือไม่?”ฉู่เชียนหลีไม่แม้แต่เงยหน้า “อืม”“อยากกินหมีโหวเถา[1]หรือไม่? แคว้นเป่ยหนิงแช่แข็งผลไม้ฤดูใบไม้ร่วงจำนวนหนึ่ง เก็บไว้จนถึงฤดูใบไม้ผลิ ปีนี้เข้าวังหลวงเพื่อมอบให้แคว้นตงหลิง ข้าจะส่งคนไปในวังหลวงเพื่อเอามาบางส่วน”ฉู่เชียนหลีคลำกระดูกอย่างตั้งใจ “อืม”“วันนี้ลูกชายถีบท้องเจ้าแล้วหรือไม่?”“ยัง”“วันนี้ลูกชายอยากกินอะไร?”ฉู่เชียนหลี “...”เดิมทีกระดูกข้อมือของคนก็เล็กอยู่แล้ว เนื่องจากถูกเคาะจนแตก อยากจะฟื้นฟูให้กลับไปอยู่ในตำแหน่งปกติ ก็ค่อนข้างที่จะยาก จำเป็นต้องใช้สมาธิสูง ผลปรากฏว่าเฟิงเย่เสวียนที่อยู่ด้านข้าง เอาแต่พูดไม่หยุด ทำให้นางเสียสมาธินางขมวดคิ้ว หลุดพูดประโยคหนึ่งออกมา“เจ้าช่วยเงียบหน่อยได้หรือไม่?”“...”สีหน้าของชายหนุ่มค้างเติ่งไปเล็กน้อย
ยืนแข็งทื่ออยู่ครู่ใหญ่ สีหน้าที่แตกระแหงถึงได้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ยังคงเดินเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าบึ้งตึงเคร่งเครียดมาก หันหน้าไปมองชายหนุ่มที่อยู่บนเตียง“ท่านแม่เสียใจมาก เหตุใดเมื่อครู่นี้ท่านถึงได้ดุนาง ต่อหน้าคนนอกแบบนั้น?” สีหน้าของนางบึ้งตึงเป็นอย่างมากต่อหน้าของฉู่เชียนหลี ทำให้ฉู่เชียนหลีต้องเห็นเรื่องน่าอายของจวนอ๋องหลี นางคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ไว้หน้าแต่เฟิงเจิ้งหลีจะระงับอารมณ์เอาไว้ได้อย่างไร?การมาเยี่ยมที่เสแสร้งของอ๋องเฉิน คำพูดที่แฝงไปด้วยคำเสียดสีเหล่านั้น จงใจทำให้ฮูหยินเว่ยเข้าใจผิด เท่ากับว่าอ๋องเฉินตีมือของเขาจนหัก ยังอยากจะให้เขาคุกเข่า ซาบซึ้งในบุญคุณอย่างนั้นหรือ?เขาเป็นหมาใช่ไหม?ต่อให้เขาจะอารมณ์ดีกว่า ก็รับไม่ได้กับการดูถูกแบบนี้เฟิงเจิ้งหลีหลุบตาลง เม้มริมฝีปากบาง ยกมือที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แล้ววางลงบนหน้าท้อง ตะแคงตัวเข้าด้านในเล็กน้อย ไม่อยากจะพูดอะไรแม้แต่คำเดียวฉู่เจียวเจียวเห็นมือของเขา เมื่อนึกถึงเรื่องที่พระชายาอ๋องเฉินให้ยาทา แต่อ๋องเฉินกลับนำยาทากลับไป ที่นอกจวนก่อนหน้านี้...ก็โมโหมากขึ้นมาทันทีสองผัวนี่กำลังเล่นละครลิงอยู่หรืออ
ท่านอ๋องมีชีวิตสุขสบายตั้งแต่เด็ก ได้รับความโปรดปราน อำนาจและอิทธิพลล้นหลาม แน่นอนว่าอุปนิสัยย่อมต้องค่อนข้างโอหังและถือดี ให้คนแบบนี้ก้มหัวขอโทษ นั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้พระชายาก็ไม่เหมือนกับหญิงสาวคนอื่น มีความคิดความอ่านเป็นของตนเอง ไม่มีทางร่วมมือกับคนเลว ยิ่งชัดเจนและรู้ว่าตนเองอยากได้อะไร คนที่มีสติเช่นนี้ โดยปกติก็ไม่มีทางก้มหัวยอมรับผิดเช่นกันก็เหมือนกับหัวสองหัวชนกันเขาวัวขวิดกัน ย่อมไม่อ่อนข้อให้กันเมื่อเยว่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดของอวิ๋นอิง ก็พยักหน้าคล้ายจะเข้าใจ“ไม่ต้องกังวล ดูตามสถานการณ์เมื่อก่อนนี้ ครั้งนี้ไม่เกินสองวันก็ดีกัน” อวิ๋นอิงตบบ่าของเยว่เอ๋อร์ กล่าวด้วยรอยยิ้มบนโต๊ะฉู่เชียนหลีกำลังก้มหน้า คีบอาหารอย่างทุกข์ จู่ๆ ก็ขาดคนคีบอาหาร ปอกหัวหอม เลือกก้างปลาให้นาง นางไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่เหลือบตามอง แอบกวาดสายตามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามเงียบ ๆนางไม่เอ่ยปากพูดเปิดปากพูดก่อนก็เท่ากับว่ายอมแพ้ถ้าหากยอมแพ้แล้ว เขาก็คงคิดว่าตนเองสามารถควบคุมนางได้ ต่อไปอาจจะกลั่นแกล้งนางอย่างกำเริบเสิบสานได้แล้วสินะ?ปฏิเสธ!ตรงกันข้าม!เฟิงเย่เสวียนเลือกอาหารใน
ฉู่เชียนหลีที่เดิมทีไม่อยากสนใจได้ยิน ก็ควบคุมตัวเองไม่อยู่...ชายหนุ่มคนนี้สมควรตาย!เป็นหวัดแล้วยังไม่ไปนอนห้องข้าง ๆ อีกหรือ? จะต้องนอนกับนาง? ตอนนี้นางกำลังตั้งครรภ์ ถ้าหากเป็นหวัดขึ้นมา จะกินยามั่วซั่วไม่ได้ เขาไม่กลัวจะส่งผลกระทบถึงลูกเลยหรือไง?ในที่สุด ฉู่เชียนหลีก็อดไม่ได้ เอ่ยปากพูดเสียงเบาเป็นการหยั่งเชิงถาม“เจ้า...ไม่สบายหรือ?”ในขณะที่เสียงพูดจบลง เสียงไอของชายหนุ่มก็ไอมากขึ้น ในเวลาเดียวกัน ระหว่างทั้งสองคนก็เงียบขรึมไปหลายวินาทีบนเตียงที่มืดสลัว ไม่เห็นดวงตาดำขลับที่ล้ำลึกของชายหนุ่มตลอดบ่ายกับอีกหนึ่งคืน ในที่สุดนางก็เอ่ยปากพูดกับเขาแล้ว…เขาไม่พูดฉู่เชียนหลีรออยู่ครู่หนึ่ง กัดริมฝีปากล่างเบา ๆ “อยากให้ข้าช่วยจับชีพจรให้เจ้าหรือไม่?”คำตอบที่นางได้รับยังคงเป็นความเงียบสงบ แต่นางรู้ว่า เขายังไม่ได้นอน แล้วก็ไม่สนใจนาง รู้สึกว่ากำลังจงใจปั่นประสาทนางอยู่?โมโหขึ้นมาทันที “เจ้าเป็นใบ้ใช่หรือไม่?”“เจ้าอยากให้ข้าเงียบ ๆ ไม่ใช่หรือ?”ครั้งนี้ ในที่สุดชายหนุ่มก็เอ่ยปากพูดแล้วฉู่เชียนหลี “...”เป็นอย่างที่คิดไว้ เขากำลังผูกพยาบาทวันนี้ตอนที่อยู่จวนอ๋องหลี
ค่ำคืนที่นอนไม่หลับ...เป็นเพราะมีความในใจ ทั้งสองคนนอนเตียงเดียวกัน หายใจรดกัน แต่หัวใจกลับไม่ประสานเข้าด้วยกัน ต่างตนต่างคิดเรื่องของตนเอง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว ฉู่เชียนหลีถึงค่อย ๆ หลับไปตอนที่ตื่นขึ้นมา เฟิงเย่เสวียนไม่อยู่แล้ว ข้างกายเย็นเฉียบตั้งนานแล้ว คงจะไปนานมากแล้วน่าจะไปเข้าประชุมสำนักแล้วฉู่เชียนหลีลุกจากเตียง หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็นั่งลงกินข้าวเช้า คีบข้าวในถ้วย แต่กลับไม่ค่อยมีความอยากอาหารเท่าไหร่นางกัดตะเกียบ เท้าคาง จ้องมองทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิด้านนอกหน้าต่าง รู้สึกน่าเบื่อหน่ายเป็นอย่างมากแล้วก็จิ้มท้อง อยากจะให้เจ้าเด็กน้อยรีบคลอดออกมาไว ๆ เพื่ออยู่เป็นเพื่อนนางเยว่เอ๋อร์จ้องมองข้าวในถ้วยที่กินไปไม่ถึงสองคำของนาง ก็อยากจะให้พระชายากับท่านอ๋องคืนดีกัน จึงเอ่ยปากกล่าวเป็นการลองหยั่งเชิง“พระชายา หรือไม่ก็รอท่านอ๋องเลิกประชุมกลับมากินข้าวด้วยกันหรือไม่?”“...”ฉู่เชียนหลีเม้มปากทันที แม้ว่าจะไม่มีความอยากอาหาร แต่ก็ยังยกถ้วยข้าวขึ้น โกยข้าวสี่ห้าคำอย่างรวดเร็วเยว่เอ๋อร์ “...”อวิ๋นอิง “...”ทั้งสองคนสะอึกไปทันที หางตาเหลือบมองที่ด้านน
“หรือว่าเป็นอ๋องเจวี๋ย?”“เป็นไปไม่ได้เช่นกัน” พระชายาอ๋องเฟิงส่ายหน้า “อ๋องเฟิงกับอ๋องเจวี๋ยสนิทกันมาตลอด เรื่องที่พวกเขาทำข้าก็รู้เพียงบางส่วนเท่านั้น ถ้าหากอ๋องเจวี๋ยอยากจะช่วยเหลือเซียวจือฮว่า รวมหัวกันทำร้ายเจ้า เขาจะต้องลากอ๋องเฟิงไปด้วย”อ๋องเจวี๋ยเองก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง เขารู้ถึงความแตกต่างระหว่างการทำผิดคนเดียว รับผิดคนเดียว กับการร่วมกันทำความผิด ร่วมกันรับผิดถ้าหากเขาอยากลงมือเพียงลำพัง ก็คงไม่มีทางร่วมมือกับอ๋องเฟิง หลังจากเกิดเรื่องเสาเรือนถล่ม กับเรื่องขององค์หญิงใหญ่หรอกฉู่เชียนหลีขมวดคิ้วถ้าไม่ใช่อ๋องเฟิง แล้วก็ไม่ใช่อ๋องเจวี๋ยด้วยเช่นกัน แล้วจะเป็นใครที่แอบช่วยเหลือเซียวจือฮว่ากันนะ?ยังมีใครที่คิดอยากจะทำร้ายนางอีก?หรือว่านางยังทำให้ใครไม่พอใจอีก?เมื่อพระชายาอ๋องเฟิงเห็นสีหน้าของฉู่เชียนหลี มีคำพูดหลายคำที่กำลังจะพูดออกมา แต่ก็เม้มปากอีกครั้ง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยขึ้น“ที่ข้ามาในวันนี้ อันที่จริงยังมีอีกเรื่องที่อยากบอกเจ้า”“หืม?” ฉู่เชียนหลีหันไปมองนาง เงียบเพื่อรอฟังคำพูดต่อไปจากนี้แต่พระชายาอ๋องเฟิงกลับพูดจามีเงื่อนงำ “เรื่องนี้เกี่ยวข้อ
อันธพาลเจ็บจนกรีดร้องเหมือนหมูโดนเชือด “อ๊ะๆ!”ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็โดนถีบจนไปกลิ้งอยู่บนพื้น รองเท้าปักลายดอกไม้เหยียบลงบนหน้าอก หนักจนทำให้เขาหายใจไม่ออก กระอักเลือดออกมา“พู่!”เขากอดต้นขาของอวิ๋นอิง อยากดิ้นให้หลุด แต่หาของอวิ๋นอิงกดทับอยู่บนร่างกายของเขาเหมือนเหล็กกล้า และเขาก็เหมือนกับปลาตัวหนึ่งที่ถูกตอกตะปูอยู่บนเขียง พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ดิ้นไม่หลุดเจอผีแล้ว!ทั้งที่นางผอมเช่นนี้ เหตุใดจึงมีแรงมากเช่นนี้?ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?ชาวบ้านก็ตะลึงเช่นกันอวิ๋นอิงอุ้มลูกสาวไว้ด้วยมือข้างเดียว ค่อยๆ ก้มลง ยกฝ่ามืออีกข้าง เหวี่ยงไปที่ใบหน้าของอันธพาลโดยตรง“ข้าสั่งให้เจ้าเก็บ”เพียะ!“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”เพียะ!“หูหนวกหรือ?”เพียะ!หนึ่งประโยค หนึ่งฝ่ามือ ตบจนอันธพาลหันซ้ายหันขวา มุมปากแตกมีเลือดไหล หูอื้อ สะบักสะบอมเหมือนสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง ไม่หลงเหลือความฮึกเหิมของก่อนหน้านี้เลย“ลูกพี่!”ลิ่วล้อสามคนคว้าโต๊ะเก้าอี้และท่อนไม้ที่อยู่ข้างๆ ฟาดไปทางอวิ๋นอิงอย่างแรงอวิ๋นอิงกระโดนหมุนตัวเตะพวกเขาสามคนจนลอยกระเด็นออกไปไกลเจ็ดแปดเมตร โดยไม่หั
ตงหลิงเจียงหนาน ทำเนียบสามเดือนที่พระชายาจากไป อ๋องเฉินเอาแต่เก็บตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก หานเฟิงต้องรับผิดชอบงานแทนทุกอย่าง เมื่อนานวันเข้า โลกภายนอกต่างกำลังคาดเดา จิตใจของอ๋องเฉินได้รับกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เกรงว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วช่วงนี้ ในที่สุดอาการบาดเจ็บของจิ่งอี้ก็ดีขึ้นแล้วอาการบาดเจ็บทางกระดูกหรือเส้นเอ็น ต้องรักษาอย่างน้อยหนึ่งร้อยวันในที่สุดกระดูกซี่โครงที่หักสองซี่ก็หายดีแล้ว สามารถขี่ม้าได้แล้ว ตอนนั้นเขาบอกว่าจะนำทัพกลับแคว้นซีอวี้ทันทีแต่ก่อนไป เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจ“เหตุใดไม่เจอแม่นางอวิ๋นอิงเลย?”จ้านหูจริงจังขึ้นมาทันที เขาตอบ“องค์ชายใหญ่ ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้!”“ไม่ต้อง”หลังจากปฏิเสธอย่างเฉยเมย ปีนขึ้นหลังม้า ขี่ออกไปคนเดียวแล้วจ้านหู “?”หมายความว่าอย่างไร?ตอนที่องค์ชายใหญ่หมดสติ แม้อวิ๋นอิงบอกว่าไม่สนใจ แต่แอบมาเยี่ยมองค์ชายใหญ่ตอนดึกดื่นเวลาที่ไม่มีคนองค์ชายใหญ่ก็อีกคน ทั้งที่คิดถึงอวิ๋นอิง แต่ไม่ยอมรับในใจของพวกเขาสองคนล้วนมีอีกฝ่าย ลูกสาวก็อายุเกือบครึ่งขวบแล้ว เหตุใดไม่ลองเปิดใจสักนิดแล้วอยู่ด้วยกันเลย
คืนแรกที่มาถึงต่างโลก ฉู่เชียนหลีฝันในความฝัน นางอยู่บนสนามรบ สู้จนตัวตาย เลือดไหลเป็นแม่น้ำ น่าสลดใจนัก…ในความฝัน นางได้ต่อสู้ร่วมกับชายคนหนึ่งที่มองไม่เห็นใบหน้า ร่วมเป็นร่วมตาย และยังมีเสียงที่นุ่มนิ่มของเด็ก เรียก ‘ท่านแม่’ ครั้งแล้วครั้งเล่าในความฝัน ราวกับนางได้รับความอยุติธรรมครั้งใหญ่ หัวใจเจ็บปวด และพยายามอธิบายสุดชีวิต แต่พวกคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ครอบครัว’ ไม่เชื่อนาง และยังบีบคั้นนางสู่เส้นทางที่สิ้นหวังในความฝัน…มีคนกำลังเรียกนาง‘เชียนหลี…เชียนหลี…’ฉึก!ฉู่เชียนหลีลืมตาฉับพลัน ท้องฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว แสงแดดอุ่นๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามา สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของอากาศ สงบมากนางรู้สึกเวียนศีรษะ และแน่นหน้าอกราวกับนางอยู่ในความฝันอันยาวนานจริงๆนางได้รับความอยุติธรรมนางถูกคนในครอบครัวฆ่าตายแต่เหตุใดนางจำผู้ชายที่เรียกนาง และภาพที่เรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ ไม่ได้เลย“องค์หญิง ท่านตื่นแล้ว”เมื่ออ้ายอ้ายได้ยินเสียง ถือกะละมังน้ำอุ่นกับเครื่องใช้เข้ามาปรนนิบัติฉู่เชียนหลีนวดขมับ อยู่ในอาการเหม่อลอย แขนขาอ่อนแรง ไม่มีแรงขยับ ดึงผ้าห่มออก ลงจากเตียง สวมรองเท้
สาวใช้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รีบฝนหมึกอย่างเชื่อฟังมองดูองค์หญิงรีบหยิบพู่กัน เขียนอะไรบางอย่าง ท่าทางที่รีบร้อนนั่น เมื่อก่อนเวลาที่นังเป็นห่วงคุณชายเซิ่น ยังไม่รีบร้อนเช่นนี้เลยองค์หญิงกระโดดสระน้ำ หมดสติไปสามวัน หลังจากฟื้น ก็เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย?นิสัยเปลี่ยนไปน้ำเสียงเปลี่ยนไปแต่เมื่อลองตั้งใจมอง องค์หญิงยังคงเป็นองค์หญิง ยังคงเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยฉู่เชียนหลีเขียนอย่างรวดเร็ว…อ๋องเฉินเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยู่แคว้นหนานยวน…พลางเขียน พลางกล่าวอย่างรีบร้อน “รีบไปหาคน ช่วยข้าส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้อ๋องเฉินที่ตงหลิงเจียงหนาน”นางอยากบอกความจริงกับเฟิงเย่เสวียน ต่อให้ตนลืมแล้ว แต่เฟิงเย่เสวียนจำนางได้เขาจะต้องมาหานางแน่นอนไม่ช้าก็เร็วสักวัน พวกเขาครอบครัวสี่คนจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา“อ๋องเฉินแห่งตงหลิงเจียงหนาน?”สาวใช้เกาศีรษะด้วยความสงสัย “องค์หญิง ท่านส่งจดหมายให้อ๋องเฉินทำไม? ท่านรู้จักอ๋องเฉินตั้งแต่เมื่อไร?”ฉู่เชียนหลีรีบกล่าว“อธิบายกับเจ้าไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ของข้ากับอ๋องเฉินไม่ธรรมดา…อ๋องเฉิน? อ๋องเฉินตงหลิง?”เงยหน้าฉับพลัน“ข้ารู้จักอ๋องเฉ
ทุกคน “...”สีหน้าฮ่องเต้หนานยวนดูไม่ดีนัก เซิ่ยซือเฉินเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง เพื่อบัณฑิตคนหนึ่ง ต้องทุ่มสุดตัวเช่นนี้เลย ต้องตื่นเต้นเช่นนี้เลย?ในฐานะองค์หญิง ไม่ควรมองให้ไกลกว่านี้หน่อยหรือ?เพื่อป้องกันจวินลั่วยวนทำร้ายตัวเอง เขาออกคำสั่ง มัดมือและเท้าของนางโดยตรงจวินลั่วยวนขยับไม่ได้แล้วเห็นท่าทางที่จะยิ้มไม่ยิ้มของฉู่เชียนหลี และยังเลิกคิ้วอย่างยั่วยุ นางโมโหจนแทบกัดลิ้นฆ่าตัวตายหลังจากเหตุการณ์ที่วุ่นวาย ไปจากตำหนักองค์หญิงฉู่เชียนหลีกับหลิงอี้ซิงเดินเคียงข้างกันจากไป เมื่ออารมณ์ดี จังหวะการเดินก็ผ่อนคลายเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงเบาๆฮัมไปฮัมมา จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลิงอี้ซิงเป็นผู้มีจิตใจเมตตา อุทิศตนให้กับความดีและคุณธรรมหยุดฝีเท้าหันไปถาม “ท่านพี่ ท่านน่าจะเห็นกระมัง ว่าข้าจงใจรังแกจวินลั่วยวน?”หลิงอี้ซิงเดินตามปกติ สายตามองไปข้างหน้า พยักหน้าอย่างเกียจคร้าน ตอบสั้นๆ เพียงคำเดียว“อืม”“ท่านไม่รู้สึกว่าข้านิสัยไม่ดีหรือ?”เขาหยุดเดินหันมามองนาง กล่าวอย่างจริงจัง “ที่เจ้ารังแกนาง นั่นก็ต้องเป็นเพราะนางล่วงเกินเจ้าก่อนแน่นอน ล้วนเป็นความผิดของนาง”เขาไ
“ยวนเอ๋อร์! ยวนเอ๋อร์!” ฮ่องเต้หนานยวนร้อนใจจนหน้าถอดสี “ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบมาเร็ว ยวนเอ๋อร์เสียเลือดมากเกินไป หมดสติไปแล้ว!”จวินลั่วยวนที่ ‘เสียเลือดมากเกินไปจนหมดสติ’ “...”เจ้าน่ะสิที่เสียเลือดมากเกินไปเจ้าเสียเลือดมากเกินไปทั้งครอบครัว!หมอหลวงมาอย่างรวดเร็ว หลังจากทำแผลให้จวินลั่วยวนเสร็จ ถอนหายใจด้วยความกังวล “สามเดือนแล้ว ในที่สุดเอ็นขององค์หญิงก็เชื่อมต่อกัน คิดไม่ถึงว่าขาดอีกแล้ว ความพยายามในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า” ต่อจากนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกสามเดือน เปิดบาดแผล บำรุงเอ็นทุกวันเมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินคำนี้ เบ้าตาแดงฉับพลัน“ล้วนเป็นความผิดของข้า…”นางดึงชายเสื้อของหลิงอี้ซิง กล่าวเสียงสะอึก“ท่านพี่ ข้ามันไม่ดี ต้องเป็นเพราะเรื่องของคุณชายเซิ่นแน่ องค์โกรธข้า ไม่ชอบข้า จึงฟาดมือของตัวเองใส่เสา เพื่อเป็นการแสดงความรังเกียจต่อข้า”“ข้าทำร้ายนาง ฮือๆ…”หลิงอี้ซิงรักน้องสาว ทุกคนในแคว้นหนานยวนรู้เรื่องนี้แล้วฮ่องเต้หนานยวนกล่าวโทษนางได้อย่างไร?กลับกัน เขายังต้องขอร้องหลิงอี้ซิงทักษะการทำนายของหลิงอี้ซิงมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้ฟ้า ตลอดหลายปีที่เขานั่งตำแหน
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เตียง จวินลั่วยวนนอนหลับแล้ว ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน หน้าซีดซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกฉู่เชียนหลีเหลือบมองแวบหนึ่ง“เหตุใดข้อมือของนางยังมีเลือด?”สามเดือนแล้ว แผลยังไม่หาย?นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตอบ“หมอหลวงบอกว่า จะใช้ยาพิเศษรักษาเอ็นมือและเท้าที่ขาดขององค์หญิง จำเป็นต้องเปิดแผล ขยับเอ็นที่ขาดไปรวมกันทุกวัน จนกระทั่งเชื่อมต่อกัน”“ฮืม?”ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วด้วยความสนใจเช่นนี้ก็เท่ากับว่า จวินลั่วยวนต้องทนกับความเจ็บปวดที่ใช้มีดเปิดปากแผลทุกวันติดต่อกันสามเดือนเต็มๆ น่าสังเวชน่าจะเจ็บมากกระมัง?นางค่อยๆ นั่งลง จับข้อมือของจวินลั่วยวนเบาๆ มองผ้าพันแผลที่ถูกพันห้าหกรอบอย่างครุ่นคิดทันใดนั้นออกแรงกดที่นิ้ว“ซี้ด…!”จวินลั่วยวนเจ็บจนตื่น ลืมตาทันทีฉู่เชียนหลีรีบปล่อยมือ “โอ๊ย…ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจแตะตัวท่าน ดูท่านเจ็บมากเลยนะ ขอโทษจริงๆ”“!”หลินเหยี่ยมาอยู่ในตำหนักของนางได้อย่างไร?นางรังเกียจผู้หญิงคนนี้ที่สุด!อาศัยที่พี่ชายของตัวเองเป็นราชครู แสร้งทำเป็นช่วยเหลือชาวบ้าน ทำแต่ความดีทุกวัน มีแต่คนบอกว่าองค์หญ
เซิ่นสือเฉิน “?”เหตุใดวันนี้รู้สึกว่าหลิงเหยี่ยแปลกๆ?เมื่อก่อนนางชอบเขามากเลยไม่ใช่หรือ? เวลาที่เขาอ่านหนังสือ นางชอบมาอยู่ข้างๆ ฝนหมึกพัดลมให้เขา เวลาที่เขาเขียนหนังสือ นางชอบแอบที่นอกหน้าต่าง จับจิ้งหรีดเล่น เวลาที่เขางีบหลับ นางมักจะชงชาหิมะชั้นดีมาให้เขานางยังบอกว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวเหตุใดแค่วันเดียว ก็ปล่อยวางได้แล้ว?“องค์หญิงหลิง ข้าขอโทษ” เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดที่จริงเขาก็ชอบหลิงเหยี่ยเช่นกัน แต่องค์หญิงยวนบอกเขาว่าหลิงเหยี่ยนิสัยไม่ดี ชอบรังแกคนรับใช้ หาเรื่องชาวบ้าน ใส่ร้ายโยนความผิดให้ผู้อื่นด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ และทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายเขาเป็นคนเรียนหนังสือ นิสัยซื่อตรง ไม่สามารถยอมรับคนที่จิตใจอำมหิตอย่างหลิงเหยี่ยเมื่อเปรียบเทียบกัน เขาชอบจวินลั่วยวนที่ไร้เดียงสา จิตใจดี และร่าเริงมากกว่า“เมื่อก่อนท่านส่งข้าเรียนหนังสือ ช่วยข้าหาอาจารย์ ใช้เส้นสาย ทำให้ข้าสอบติดขุนนาง…บุญคุณส่วนนี้ ข้า ข้าทำได้เพียงตอบแทนท่านชาติหน้าแล้ว…”ฉู่เชียนหลียิ้มอย่างอ่อนโยน“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อย”“ได้ยินมาว่าองค์หญิงยวนได้รับบาดเจ็บ พวกเราเข้าวังไปดูนางกันเ
องค์หญิง?คุณชายเซิ่น?ฉู่เชียนหลีไม่ได้รับความทรงจำใดๆ เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก สับสนและงงงวยเล็กน้อยยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงและเสียงต่อต้านดังมาจากนอกประตู “ใต้เท้าหลิง! ใต้เท้าหลิง ต่อให้ท่านบีบคั้นข้าจนตาย ข้าก็ไม่แต่งงานกับนาง!”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจข้ามีเพียงองค์หญิงยวนเอ๋อร์เท่านั้น!”ยวนเอ๋อร์?องค์หญิง?ฉู่เชียนหลีเงยหน้ามองไป เห็นชายหนุ่มสวมชุดเพ้าสีขาวและที่ครอบผมหยก กำลังลากผู้ชายที่ท่าทางสุภาพเหมือนคนเรียนหนังสือเข้ามานางตระหนักถึงบางอย่าง รีบดึงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายมาถามเบาๆ“ที่นี่คือแคว้นหนานยวน?”สาวใช้ “?”องค์หญิงเป็นอะไรไป?เหตุใดถามคำถามเช่นนี้?“องค์หญิง ท่าน…”“อย่าพูดไร้สาระ ตอบข้า!”สาวใช้ตกใจ รีบกล่าว “ท่านคือหลิงเหยี่ย องค์หญิงต่างแซ่ของแคว้นหนานยวน ใต้เท้าคือมหาราชครูของแคว้นหนวนยวน เป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่าน เพราะใต้เท้าชำนาญการทำนาย เคยช่วยแคว้นสามครั้ง สร้างคุณประโยชน์มากมาย ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงต่างแซ่…”คำพูดที่เหลือ ฉู่เชียนหลีมองข้ามโดยตรงสิ่งเดียวที่นางคิดคือ นางถูกส่งมาเป็นองค์หญิงต่างแซ่ อีกท