ฉู่เชียนหลีตั้งใจตรวจดูมือของอ๋องหลี แน่นอนว่าไม่ได้เห็นสีหน้าของเฟิงเย่เสวียนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ในเวลานี้ แล้วก็ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเขา หลังจากพินิจพิเคราะห์บาดแผลอยู่ครู่หนึ่ง ก็เริ่มจัดกระดูกเฟิงเย่เสวียนมือกอดอก ยืนอยู่ด้านหลัง กระแอมออกมาเป็นบางครั้ง“วันนี้อากาศไม่เลว อีกเดี๋ยวไปเที่ยวทะเลสาบกันดีหรือไม่?”ฉู่เชียนหลีไม่แม้แต่เงยหน้า “อืม”“อยากกินหมีโหวเถา[1]หรือไม่? แคว้นเป่ยหนิงแช่แข็งผลไม้ฤดูใบไม้ร่วงจำนวนหนึ่ง เก็บไว้จนถึงฤดูใบไม้ผลิ ปีนี้เข้าวังหลวงเพื่อมอบให้แคว้นตงหลิง ข้าจะส่งคนไปในวังหลวงเพื่อเอามาบางส่วน”ฉู่เชียนหลีคลำกระดูกอย่างตั้งใจ “อืม”“วันนี้ลูกชายถีบท้องเจ้าแล้วหรือไม่?”“ยัง”“วันนี้ลูกชายอยากกินอะไร?”ฉู่เชียนหลี “...”เดิมทีกระดูกข้อมือของคนก็เล็กอยู่แล้ว เนื่องจากถูกเคาะจนแตก อยากจะฟื้นฟูให้กลับไปอยู่ในตำแหน่งปกติ ก็ค่อนข้างที่จะยาก จำเป็นต้องใช้สมาธิสูง ผลปรากฏว่าเฟิงเย่เสวียนที่อยู่ด้านข้าง เอาแต่พูดไม่หยุด ทำให้นางเสียสมาธินางขมวดคิ้ว หลุดพูดประโยคหนึ่งออกมา“เจ้าช่วยเงียบหน่อยได้หรือไม่?”“...”สีหน้าของชายหนุ่มค้างเติ่งไปเล็กน้อย
ยืนแข็งทื่ออยู่ครู่ใหญ่ สีหน้าที่แตกระแหงถึงได้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ยังคงเดินเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าบึ้งตึงเคร่งเครียดมาก หันหน้าไปมองชายหนุ่มที่อยู่บนเตียง“ท่านแม่เสียใจมาก เหตุใดเมื่อครู่นี้ท่านถึงได้ดุนาง ต่อหน้าคนนอกแบบนั้น?” สีหน้าของนางบึ้งตึงเป็นอย่างมากต่อหน้าของฉู่เชียนหลี ทำให้ฉู่เชียนหลีต้องเห็นเรื่องน่าอายของจวนอ๋องหลี นางคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ไว้หน้าแต่เฟิงเจิ้งหลีจะระงับอารมณ์เอาไว้ได้อย่างไร?การมาเยี่ยมที่เสแสร้งของอ๋องเฉิน คำพูดที่แฝงไปด้วยคำเสียดสีเหล่านั้น จงใจทำให้ฮูหยินเว่ยเข้าใจผิด เท่ากับว่าอ๋องเฉินตีมือของเขาจนหัก ยังอยากจะให้เขาคุกเข่า ซาบซึ้งในบุญคุณอย่างนั้นหรือ?เขาเป็นหมาใช่ไหม?ต่อให้เขาจะอารมณ์ดีกว่า ก็รับไม่ได้กับการดูถูกแบบนี้เฟิงเจิ้งหลีหลุบตาลง เม้มริมฝีปากบาง ยกมือที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แล้ววางลงบนหน้าท้อง ตะแคงตัวเข้าด้านในเล็กน้อย ไม่อยากจะพูดอะไรแม้แต่คำเดียวฉู่เจียวเจียวเห็นมือของเขา เมื่อนึกถึงเรื่องที่พระชายาอ๋องเฉินให้ยาทา แต่อ๋องเฉินกลับนำยาทากลับไป ที่นอกจวนก่อนหน้านี้...ก็โมโหมากขึ้นมาทันทีสองผัวนี่กำลังเล่นละครลิงอยู่หรืออ
ท่านอ๋องมีชีวิตสุขสบายตั้งแต่เด็ก ได้รับความโปรดปราน อำนาจและอิทธิพลล้นหลาม แน่นอนว่าอุปนิสัยย่อมต้องค่อนข้างโอหังและถือดี ให้คนแบบนี้ก้มหัวขอโทษ นั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้พระชายาก็ไม่เหมือนกับหญิงสาวคนอื่น มีความคิดความอ่านเป็นของตนเอง ไม่มีทางร่วมมือกับคนเลว ยิ่งชัดเจนและรู้ว่าตนเองอยากได้อะไร คนที่มีสติเช่นนี้ โดยปกติก็ไม่มีทางก้มหัวยอมรับผิดเช่นกันก็เหมือนกับหัวสองหัวชนกันเขาวัวขวิดกัน ย่อมไม่อ่อนข้อให้กันเมื่อเยว่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดของอวิ๋นอิง ก็พยักหน้าคล้ายจะเข้าใจ“ไม่ต้องกังวล ดูตามสถานการณ์เมื่อก่อนนี้ ครั้งนี้ไม่เกินสองวันก็ดีกัน” อวิ๋นอิงตบบ่าของเยว่เอ๋อร์ กล่าวด้วยรอยยิ้มบนโต๊ะฉู่เชียนหลีกำลังก้มหน้า คีบอาหารอย่างทุกข์ จู่ๆ ก็ขาดคนคีบอาหาร ปอกหัวหอม เลือกก้างปลาให้นาง นางไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่เหลือบตามอง แอบกวาดสายตามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามเงียบ ๆนางไม่เอ่ยปากพูดเปิดปากพูดก่อนก็เท่ากับว่ายอมแพ้ถ้าหากยอมแพ้แล้ว เขาก็คงคิดว่าตนเองสามารถควบคุมนางได้ ต่อไปอาจจะกลั่นแกล้งนางอย่างกำเริบเสิบสานได้แล้วสินะ?ปฏิเสธ!ตรงกันข้าม!เฟิงเย่เสวียนเลือกอาหารใน
ฉู่เชียนหลีที่เดิมทีไม่อยากสนใจได้ยิน ก็ควบคุมตัวเองไม่อยู่...ชายหนุ่มคนนี้สมควรตาย!เป็นหวัดแล้วยังไม่ไปนอนห้องข้าง ๆ อีกหรือ? จะต้องนอนกับนาง? ตอนนี้นางกำลังตั้งครรภ์ ถ้าหากเป็นหวัดขึ้นมา จะกินยามั่วซั่วไม่ได้ เขาไม่กลัวจะส่งผลกระทบถึงลูกเลยหรือไง?ในที่สุด ฉู่เชียนหลีก็อดไม่ได้ เอ่ยปากพูดเสียงเบาเป็นการหยั่งเชิงถาม“เจ้า...ไม่สบายหรือ?”ในขณะที่เสียงพูดจบลง เสียงไอของชายหนุ่มก็ไอมากขึ้น ในเวลาเดียวกัน ระหว่างทั้งสองคนก็เงียบขรึมไปหลายวินาทีบนเตียงที่มืดสลัว ไม่เห็นดวงตาดำขลับที่ล้ำลึกของชายหนุ่มตลอดบ่ายกับอีกหนึ่งคืน ในที่สุดนางก็เอ่ยปากพูดกับเขาแล้ว…เขาไม่พูดฉู่เชียนหลีรออยู่ครู่หนึ่ง กัดริมฝีปากล่างเบา ๆ “อยากให้ข้าช่วยจับชีพจรให้เจ้าหรือไม่?”คำตอบที่นางได้รับยังคงเป็นความเงียบสงบ แต่นางรู้ว่า เขายังไม่ได้นอน แล้วก็ไม่สนใจนาง รู้สึกว่ากำลังจงใจปั่นประสาทนางอยู่?โมโหขึ้นมาทันที “เจ้าเป็นใบ้ใช่หรือไม่?”“เจ้าอยากให้ข้าเงียบ ๆ ไม่ใช่หรือ?”ครั้งนี้ ในที่สุดชายหนุ่มก็เอ่ยปากพูดแล้วฉู่เชียนหลี “...”เป็นอย่างที่คิดไว้ เขากำลังผูกพยาบาทวันนี้ตอนที่อยู่จวนอ๋องหลี
ค่ำคืนที่นอนไม่หลับ...เป็นเพราะมีความในใจ ทั้งสองคนนอนเตียงเดียวกัน หายใจรดกัน แต่หัวใจกลับไม่ประสานเข้าด้วยกัน ต่างตนต่างคิดเรื่องของตนเอง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว ฉู่เชียนหลีถึงค่อย ๆ หลับไปตอนที่ตื่นขึ้นมา เฟิงเย่เสวียนไม่อยู่แล้ว ข้างกายเย็นเฉียบตั้งนานแล้ว คงจะไปนานมากแล้วน่าจะไปเข้าประชุมสำนักแล้วฉู่เชียนหลีลุกจากเตียง หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็นั่งลงกินข้าวเช้า คีบข้าวในถ้วย แต่กลับไม่ค่อยมีความอยากอาหารเท่าไหร่นางกัดตะเกียบ เท้าคาง จ้องมองทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิด้านนอกหน้าต่าง รู้สึกน่าเบื่อหน่ายเป็นอย่างมากแล้วก็จิ้มท้อง อยากจะให้เจ้าเด็กน้อยรีบคลอดออกมาไว ๆ เพื่ออยู่เป็นเพื่อนนางเยว่เอ๋อร์จ้องมองข้าวในถ้วยที่กินไปไม่ถึงสองคำของนาง ก็อยากจะให้พระชายากับท่านอ๋องคืนดีกัน จึงเอ่ยปากกล่าวเป็นการลองหยั่งเชิง“พระชายา หรือไม่ก็รอท่านอ๋องเลิกประชุมกลับมากินข้าวด้วยกันหรือไม่?”“...”ฉู่เชียนหลีเม้มปากทันที แม้ว่าจะไม่มีความอยากอาหาร แต่ก็ยังยกถ้วยข้าวขึ้น โกยข้าวสี่ห้าคำอย่างรวดเร็วเยว่เอ๋อร์ “...”อวิ๋นอิง “...”ทั้งสองคนสะอึกไปทันที หางตาเหลือบมองที่ด้านน
“หรือว่าเป็นอ๋องเจวี๋ย?”“เป็นไปไม่ได้เช่นกัน” พระชายาอ๋องเฟิงส่ายหน้า “อ๋องเฟิงกับอ๋องเจวี๋ยสนิทกันมาตลอด เรื่องที่พวกเขาทำข้าก็รู้เพียงบางส่วนเท่านั้น ถ้าหากอ๋องเจวี๋ยอยากจะช่วยเหลือเซียวจือฮว่า รวมหัวกันทำร้ายเจ้า เขาจะต้องลากอ๋องเฟิงไปด้วย”อ๋องเจวี๋ยเองก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง เขารู้ถึงความแตกต่างระหว่างการทำผิดคนเดียว รับผิดคนเดียว กับการร่วมกันทำความผิด ร่วมกันรับผิดถ้าหากเขาอยากลงมือเพียงลำพัง ก็คงไม่มีทางร่วมมือกับอ๋องเฟิง หลังจากเกิดเรื่องเสาเรือนถล่ม กับเรื่องขององค์หญิงใหญ่หรอกฉู่เชียนหลีขมวดคิ้วถ้าไม่ใช่อ๋องเฟิง แล้วก็ไม่ใช่อ๋องเจวี๋ยด้วยเช่นกัน แล้วจะเป็นใครที่แอบช่วยเหลือเซียวจือฮว่ากันนะ?ยังมีใครที่คิดอยากจะทำร้ายนางอีก?หรือว่านางยังทำให้ใครไม่พอใจอีก?เมื่อพระชายาอ๋องเฟิงเห็นสีหน้าของฉู่เชียนหลี มีคำพูดหลายคำที่กำลังจะพูดออกมา แต่ก็เม้มปากอีกครั้ง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยขึ้น“ที่ข้ามาในวันนี้ อันที่จริงยังมีอีกเรื่องที่อยากบอกเจ้า”“หืม?” ฉู่เชียนหลีหันไปมองนาง เงียบเพื่อรอฟังคำพูดต่อไปจากนี้แต่พระชายาอ๋องเฟิงกลับพูดจามีเงื่อนงำ “เรื่องนี้เกี่ยวข้อ
ในเวลานี้ ระหว่างหุบเขาที่อยู่ห่างออกไปจากเมืองหลวงหลายร้อยเมตร ภูเขาเขียวขจี น้ำใส เทือกเขาที่ทอดยาวต่อกัน ถนนหลวงอันเงียบสงบที่อยู่ท่ามกลางนั้น เส้นทางที่คดเคี้ยว ลมพัดใบไม้ปลิวว่อน แสงแดดที่ตกกระทบเล็กน้อย ทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงาม สวยจนเหนือจินตนาการท่ามกลางต้นไม้ที่ร่มรื่น เสียงฝีเท้าม้าอันแผ่วเบาดังขึ้นกะทันหันกรับ...กรับ ๆ...คนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บนอานม้า สวมชุดลำลองกำลังเดินทาง ด้านหน้ามีคนสามสี่คนกำลังเปิดทาง ด้านหลังมีสี่คนปิดท้าย คนที่ถูกอารักขาอย่างแน่นหนาอยู่ตรงกลางก็คือเฟิงเย่เสวียนที่นี่ห่างจากเมืองหลวงประมาณร้อยกว่าลี้หานเฟิงกับหานอิ๋งขนาบซ้ายขวา ตั้งแต่ตอนเช้าออกเดินทางจนกระทั่งตอนนี้ นายท่านเอาแต่ขมวดคิ้วแน่น ท่าทางไม่พูดจาสักคำ ราวกับว่ากำลังทุกข์ใจ มีบรรยากาศมืดครึ้มที่รุนแรงแผ่ปกคลุมอยู่บนตัว ทำให้คนไม่กล้าเข้าไปวุ่นวายกองทัพเร่งเดินทางอย่างเงียบ ๆ นอกจากเสียงฝีเท้าม้ากับเสียงลมพัดใบต้นไม้ใบหญ้าแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นอีก เงียบจนน่าประหลาดใจ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว...กองทัพหยุดลงหานเฟิงขี่ม้าเดินไปดูที่ด้านหน้า ที่แท้มีทางแยก ไม่รู้ว่าควรจะไปทางไ
อวิ๋นอิงเรียกสายตากลับคืนมา ก้มหน้ากล่าว “พระชายา ข้าอยากติดตามท่าน ท่านปลอดภัยข้าถึงจะวางใจ”“มีเจ้าดำน้อยกับคนอื่นอยู่ด้วย ไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก พวกเจ้าเดินทางไปกันก่อน พลางตามท่านอ๋อง พลางทิ้งสัญลักษณ์เอาไว้ พวกเราจะตามอยู่ด้านหลัง”ด้านนอกรถม้า หมาป่าตัวใหญ่กำลังวิ่งตามกองทัพด้วยอุ้งเท้าอย่างบ้าคลั่ง ราวกับกำลังดีใจอย่างลิงโลด วิ่งไปตรงนั้นที วิ่งไปตรงนี้ที บางครั้งยังแหงนคอ ส่งเสียงหอน ‘บรู้ว’ ที่ทรงอานุภาพอวิ๋นอิงยังอยากปฏิเสธ...“จางเฟย เจ้าพาคนสองสามคนเหลือเอาไว้ อารักขาความปลอดภัยของคุณหนู คนอื่นที่เหลือ ตามข้าไปก่อน” จิ่งอี้กำบังเหียนแน่น ม้ายกเท้าสูง เดินวนอยู่ที่เดิมสองรอบบนหลังม้า ชายหนุ่มกวาดตามองไปทางอวิ๋นอิงด้วยสายตาเย็นชา ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็กำบังเหียนม้าแน่น แล้วเดินไปข้างหน้าอวิ๋นอิงเม้มปาก ถึงแม้ว่าไม่อยากไปเอามากๆ แต่ไม่เชื่อฟังคำสั่งพระชายาก็ไม่ได้ แม้ว่าจะไม่เต็มใจเลยสักนิด แต่ก็ยังตามไปเงียบๆ...ทหารแบ่งแยกเป็นสองทางการให้อวิ๋นอิงกับจิ่งอี้ไปก่อน ฉู่เชียนหลีก็วางใจขึ้นมาได้เล็กน้อย ในมือถือแผนที่ที่ไปหามาจากห้องหนังสือ ด้านบนทำสัญลักษณ์ของตำแหน่งกั